ด้ายแดง บทที่ 2 : ผู้สืบทอด
โดย : พัทชุลี
ด้ายแดง เรื่องราวของความผูกพันของสมาชิกในครอบครัวที่มีวิถีชีวิตและความเชื่อตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณที่แม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อมีเรื่องของธุรกิจเข้ามา ความบาดหมางจึงเกิดขึ้น นวนิยายเนื้อหาเข้มข้นโดย พัทชุลี ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
***********************************
– 2 –
รูปถ่ายใบหนึ่งในมือผ่านเวลามายี่สิบปีแล้ว หากแต่ความทรงจำของคนที่ถืออยู่กลับรู้สึกว่า วันเวลาไม่ได้ผ่านไปมากนัก ความทรงจำครั้งก่อนยังคงชัดเจน เจ้าสัวหม่าบิดาของเธอนั่งบนเก้าอี้ แม่อยู่นั่งข้างๆ ลูกชายหญิงสองคนนั่นก็คือเธอกับพี่ชายคนโตยืนอยู่ที่ตำแหน่งด้านหน้า ด้านซ้ายแม่รองหรือที่เธอเรียกว่าน้าเหม่ยอิงก็อุ้มเหม่ยซิงยืนอยู่ ส่วนหลงเหว่ยยืนอยู่ข้างหน้า
รูปใบนี้ตำแหน่งบางตำแหน่งอาจจะขาดหายไป ตอนนี้ทั้งอาปา แม่ และพี่ใหญ่ต่างก็ไม่อยู่แล้ว ที่เหลืออยู่ก็เป็นลูกแม่รองทั้งหมด เจียเฟิงจับจ้องไปที่ตำแหน่งของหลงเหว่ยนิ่งและเนิ่นนาน
“แม่ครับ” เสียงเรียกของลูกชายทำให้เธอต้องหันไปยิ้มให้เขา เด็กชายอายุราวเก้าขวบสวมชุดที่เธอซื้อให้ใหม่ ส่วนน้องสาวก็เดินตามมา สีหน้ากระเง้ากระงอดดูไม่ค่อยจะเต็มใจอยากมานัก
“แต่งตัวเสร็จแล้วเหรอลูก ไหนดูสิ เหมยก็สวย เหมาก็หล่อ”
“หนูไม่อยากไปบ้านคุณยาย” เหมยพูดออกมาในที่สุด เจียเฟิงมองไปยังพี่เลี้ยงด้วยสายตาดุๆ เรื่องไม่อบรมลูกสาวของเธอให้ดี แต่พี่เลี้ยงเด็กทั้งสองก็พูดมาว่า
“คงจะเห่อตุ๊กตาใหม่ค่ะ คุณเจียเฟิง บอกว่าจะอยู่บ้านเล่นตุ๊กตา” เจียเฟิงจับมือลูกสาวตัวน้อยไว้ เข้าใจอารมณ์ของลูกดี แต่อย่างไรก็ต้องไปเพราะยังไงวันนี้ก็เป็นวันสำคัญ เหมยเห็นดวงตาจริงจังของแม่ก็ได้แต่ส่งสายตาออดอ้อนไปแทน
“ก็หนูไม่อยากไปนี่คะ”
“แม่ให้เอาตุ๊กตาไปเล่นด้วยได้ แต่ยังไงก็ต้องไป ตกลงไหม”
“งั้นหนูไปเอาตุ๊กตา” ว่าแล้วเหมยก็วิ่งไปเอาตุ๊กตาที่ห้อง พี่เลี้ยงตามไปโดยจูงเหมาออกไปด้วย ภาพของลูกสาวและลูกชายทำให้เธอคิดถึงเมื่อครั้งตัวเองเป็นเด็กอายุสิบขวบ เธอวิ่งตามไล่ตามพี่ชายทั้งสองที่กำลังเล่นว่าวในสนามหลังบ้าน เหม่ยซิงกับเหม่ยอิงก็นั่งอยู่ที่พื้นหญ้า ส่วนแม่ของเธอก็นั่งเก้าอี้โดยมีสาวใช้อยู่ข้างๆ ทุกครั้งที่เธอหันกลับมามองที่แม่และอาปามักจะได้รับรอยยิ้มอ่อนโยนตอบกลับมาเสมอ เธอในตอนนั้นสามารถยิ้มและหัวเราะอย่างมีความสุขต่างจากตอนนี้นัก เจียเฟิงเผลอยิ้มออกมากับความสุขในวัยอ่อนเดียงสา จนกระทั่งเสียงของใครคนหนึ่งดังแว่วมา
“คุณหนูรอง”
เสียงนั้นทำให้เจียเฟิงตื่นจากห้วงภวังค์ ดวงตาคู่สวยมองมาที่มาของเสียงทันที รอยยิ้มจางๆ เผยออกเมื่อเห็นว่าเป็นผู้ใด หยางชุนทอดสายตาอ่อนโยนมายังภรรยาที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว
“แต่งตัวเสร็จแล้วหรือ” เขาถามภรรยา ในตอนนั้นเจียเฟิงก็วางรูปถ่ายในมือ แล้วจึงหันมาหาสามีพลางยิ้มจุดมุมปากเพียงนิดเดียว
“วันนี้วันหยุด ออกไปโรงสีทำไมแต่เช้าคะ” คำพูดนั้นของภรรยาทำให้หยางชุนคิดถึงเรื่องที่ได้ยินข่าวเรื่องหลงเหว่ยจะกลับมาที่บ้านมหามงคล ทำให้คนงานในบ้านตื่นเต้น อีกทั้งเหม่ยอิงก็กำชับให้จัดเตรียมห้องและเครื่องเรือนใหม่มาหลายวันแล้ว คนงานและบ่าวรับใช้ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันให้ขรม ไม่เว้นแม้แต่โรงสีกิจการใหญ่ของบ้านมหามงคล ที่คนงานก็พูดถึงเรื่องนี้ ไช้ คนสนิทนำความเรื่องนี้มาบอกกับหยางชุนพลางพูดว่า หากหลงเหว่ยกลับมาจริงๆ อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะไม่เป็นผลดีกับเขานัก แต่หยางชุนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ แต่ในใจก็อดคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้
“คุณคะ ที่โรงสีมีปัญหาอะไรรึเปล่า” เจียเฟิงถามซ้ำเมื่อเห็นสามีนิ่งเงียบ
“อ้อ…เครื่องจักรมีปัญหานิดหน่อย ต้องแวะไปดู ถ้าคุณหนูรองแต่งตัวเสร็จแล้ว เราไปกันเลยก็ได้” หยางชุนเอ่ยแต่ผู้เป็นภรรยามองเสื้อผ้าที่สามีใส่ แม้จะดูเรียบร้อยแต่ก็ดูธรรมดาเกินไป เธอคงจะให้สามีใส่ชุดนี้ไปที่บ้านใหญ่ไม่ได้ หญิงสาวเหลือบมองเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เตรียมไว้ให้เขาแล้วจึงเอ่ย
“ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อน ฉันเตรียมไว้ให้แล้ว” เจียเฟิงหยิบเสื้อผ้าที่เตรียมไว้มาส่งให้ หยางชุนมองชุดสูทหรูในมือภรรยาก็ยิ้มให้อย่างไม่เห็นด้วยนัก
“มันก็แค่งานกินเลี้ยงกันเองที่บ้าน ใส่ชุดนี้ไปก็ได้นี่” หญิงสาวเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ส่ายหน้าไปมา
“เกาหยางชุน คุณเป็นผู้จัดการใหญ่ของห้างหุ้นส่วนจำกัดมหามงคล และเป็นสามีของฉัน ฉันอยากให้คุณดูดีค่ะ”แม้มือจะรับเสื้อสูทมาจากภรรยาแต่เขาก็ยังอดเถียงยิ้มๆ ไม่ได้
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับคุณหลงเหว่ยนะครับ ยังไงผมก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว จะใส่ชุดอะไรไปก็คงเหมือนกัน” ถึงจะพูดอย่างนั้นเขาก็ยอมไปอาบน้ำแต่ตัวด้วยชุดใหม่ที่ภรรยาเตรียมไว้ให้ ในขณะที่เจียเฟิงก็หันไปมองรูปถ่ายเก่าที่เธอวางเอาไว้ มองรูปของหลงเหว่ยในวัยเด็ก ใบหน้าที่เคยยิ้มจางๆ เมื่อสักครู่ก็เงียบขรึมลง เพราะตกอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดของตนเอง
ณ บ้านมหามงคล
วันนี้เหม่ยอิงแต่งตัวด้วยชุดที่ดูสดใสกว่าทุกวัน แถมยังให้อาจูทำผมทรงใหม่ให้ด้วย ทุกครั้งที่มองเห็นเงาตัวเองในกระจกเธอก็นึกกังวลที่เห็นปอยผมขาวแซมออกมา จนอาจูบอกว่าโดยรวมแล้วเธอดูดีกว่าทุกวัน เหม่ยซิงเองก็บอกว่านั่นเป็นเพราะเธอเอาแต่ยุ่งกับการจัดข้าวของเพื่อต้อนรับหลงเหว่ย จนทำให้ไม่มีเวลาไปร้านเสริมสวยเพื่อทำผมทรงใหม่
“นี่กี่โมงแล้ว อาจู”
“ยังไม่ถึงเวลา” พอเห็นคนสนิททำหน้าทำตาเชิงล้อ เหม่ยอิงก็มองค้อนแล้วจึงเอ่ย
“แหม…ถามหน่อยก็ไม่ได้”
“ก็ได้ยินถามมาหลายหนแล้ว คุณนายนั่งก่อนนะ เดินไปเดินมานาฬิกามันก็ไม่หมุนเร็วขึ้นหรอกน่า”
“ก็ฉันอยากเจอลูกชายเร็วๆ นี่…นั่นเสียงรถยนต์ใช่ไหม” พูดไม่ทันขาดคำเหม่ยอิงก็เดินลิ่วนำหน้าบ่าวออกไปหน้าบ้าน โดยมีอาจูเดินตามไปด้วยไม่ห่างนัก เสียงคนงานที่อยู่ในบ้านตะโกนร้องเรียกกันบอกว่าใครมา หัวใจของแม่ที่เฝ้ารอคอยลูกก็เต้นรัว เมื่อรู้ว่ามีใครมาบ่าวไพร่ก็วิ่งออกมารอที่หน้าประตูใหญ่เพื่อรอต้อนรับ
รถคันหรูวิ่งมาจอดที่หน้าตึก ร่างสูงของหลงเหว่ยก้าวลงมาจากรถ เขาหันไปมองบ้านที่จากไปหลายปีด้วยความรู้สึกตื่นเต้น มองสนามหญ้าหน้าบ้านก็คิดถึงเจ้าสัว คิดถึงแม่และพี่น้องทุกคน แต่เมื่อคิดถึงเทียนอี้ดวงตาของชายหนุ่มก็มีแววตาเศร้าสลด ร่างบอบบางของเหม่ยอิงวิ่งออกมาจากตึกคนแรกโดยมีอาจูตามมาไม่ห่างกันนัก
“หลงเหว่ย”
“แม่”
สิ้นเสียงนั้น เหม่ยอิงโผเข้ากอดลูกชายด้วยความคิดถึง เธอยิ้มทั้งน้ำตาเมื่อได้กอดลูก ด้านหลงเหว่ยก็กอดแม่แน่น เพราะอ้อมกอดที่คุ้นเคยทำให้หวนคิดถึงตอนเป็นเด็ก
แม่โอบกอดเขาแบบนี้เสมอ…แค่มีอ้อมกอดของแม่…เขารู้สึกอบอุ่นปลอดภัยเหลือเกิน
“ลูกแม่กลับมาแล้ว กลับมาแล้วจริงๆ” เธอเอ่ยออกมาทั้งน้ำตา อาจูยืนดูแม่ลูกกอดกันก็กลั้นน้ำตาไม่อยู่ พอเห็นว่าคนรถขนกระเป๋าลงมา แต่อาจูรีบบอกว่า
“กระเป๋านั่นเอามาทางนี้” พอได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็หันไปหาต้นเสียงทันที เขาทักทายคนสนิทของแม่พลางยิ้ม
“อาจู สบายดีนะ”
“สบายดี เอ่อ…” อาจูอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าใช้คำต่อท้ายว่าอย่างไรดี
“ เรียกผมว่าคุณหนูเหมือนเดิมก็ได้” พอได้ยินอย่างนั้นอาจูก็ส่ายหน้าไปมา เธอมองรูปร่างสูงใหญ่ของหลงเหว่ย หากจะเรียกคุณหนูมันก็ดูน่าขันนัก ชายหนุ่มเห็นอาการนั้นก็ได้แต่ยิ้ม
“ไม่ได้หรอก ตอนนี้ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว คุณเป็นผู้ใหญ่จะเรียกคุณหนูได้ยังไง” พอได้ยินอย่างนั้นหลงเหว่ยก็ได้แต่ยิ้มขำ ที่จริงมันก็จริงอย่างอาจูว่า ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่อาจูจะมาเรียกว่าคุณหนูอีกแล้ว ท่าทางลังเลของอาจูและบ่าวไพร่คนอื่นๆ ทำให้เหม่ยอิงพูดออกมาว่า
“ท่านเจ้าสัวไม่อยู่แล้ว ตอนนี้หลงเหว่ยก็คือหัวหน้าครอบครัวคนใหม่…ต่อไปแม่จะให้ทุกคนเรียกลูกว่าเจ้าสัว เหมือนที่เคยเรียกอาปา” เหม่ยอิงพูดอย่างภูมิใจ มือสองข้างประคองใบหน้าคมคายของบุตรชาย ดวงตาคู่นี้ของหลงเหว่ยเหมือนเจ้าสัวหม่า แต่ที่ต่างคือมีแววอบอุ่นอ่อนโยนมากกว่านัก
และเมื่อทอดมายังเธอ ชายหนุ่มก็ยิ้มให้มารดา ก่อนจะจูงมือของท่านให้เดินตามตนเข้ามาในบ้าน เหม่ยอิงยิ้มกว้างตอบเขา นานแล้วเธอไม่ได้ยิ้มเช่นนี้ หลงเหว่ยเห็นบ้านที่เปลี่ยนเครื่องเรือนใหม่ แต่การตกแต่งโดยรวมยังเหมือนเดิม เห็นรูปครอบครัวที่วางอยู่บนโต๊ะ เห็นสีหน้ายิ้มแย้มของบ่าวรับใช้ โดยเฉพาะอาจูเธอยิ้มและสบตากับเขาแทบทุกครั้ง บ่าวผู้หญิงคนหนึ่งเอาผ้าชุบน้ำมาให้หลงเหว่ยเช็ดมือและเช็ดหน้าตา ก่อนจะเข้าไปที่ห้องบูชาป้ายบรรพบุรุษเพื่อบอกกล่าวถึงการมาของเขา ชายหนุ่มเช็ดมือแล้วจึงพาแม่เดินเข้าไปในห้องบูชาป้ายบรรพบุรุษ
บนแท่นบูชาในนั้นมีป้ายที่เขียนชื่อของคนที่ล่วงลับไปแล้ว นอกจากป้ายชื่อของบรรพบุรุษแล้ว ยังมีรูปของเจ้าสัวหม่าแขวนอยู่ด้วย เหม่ยอิงนำหลงเหว่ยมานั่งข้างหน้า ชายหนุ่มจ้องมองคนในรูปก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“ผมกลับมาแล้วนะครับ อาปา” เขาก้มลงคำนับโดยมีผู้เป็นแม่มองตามอย่างชื่นชม คิดอยู่ในใจว่าหากเจ้าสัวยังอยู่ เขาจะดีใจและรับการคำนับจากลูกหรือไม่ เธอหันมาสบตาลูกช้าๆ มือบางก็จับที่มือแกร่งของลูกพลางเอ่ย
“หลงเหว่ย แม่ดีใจมากที่ลูกกลับมา”
“แต่ผมก็เป็นลูกที่แย่มาก ที่ทิ้งแม่ไปเป็นยี่สิบปี ไม่เคยกลับมาดูแลแม่เลย”
“นั่นเป็นเพราะลูกทำตามที่อาปาสั่ง แม่เข้าใจ และไม่เคยคิดตำหนิเลย” เหม่ยอิงพูดน้ำเสียงสั่นเครือ นั่นก็เป็นอีกครั้งที่เธอปกป้องลูกไม่ได้ การที่หลงเหว่ยได้จากบ้านไปไกล ในฐานะแม่เธอก็น่าจะทำได้ดีกว่าการปล่อยให้ลูกไปเผชิญโลกภายนอกยาวนานถึงยี่สิบปี ดวงตาของหลงเหว่ยสลดลงเมื่อคิดถึงพ่อ
“อาปาส่งผมไปเรียนอเมริกา พอเรียนจบก็บังคับให้ผมทำงานที่ฮ่องกง อาปาทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ผมกลับมาที่บ้านนี้”
“เหลวไหล” ผู้เป็นแม่พูดไม่เต็มเสียงนัก เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นเธอรู้ดีทีเดียว ชายหนุ่มยิ้มเศร้าๆ แล้วจึงพูดต่อไปอีกว่า
“อาปาโกรธผม ขนาดจะตาย ยังไม่ยอมให้ผมกลับมาดูใจเลย ผมรู้ดีครับแม่” เหม่ยอิงส่ายหน้าไปมาราวกับจะปฏิเสธคำนั้นของลูก แต่ไม่รู้จะพูดอะไรเพราะที่ลูกพูดมาล้วนแต่เป็นความจริง
“แต่มาหลังๆ เป็นผมเองที่ไม่อยากกลับ นี่ถ้าไม่ห่วงเรื่องสงคราม ผมก็อาจจะยังไม่กลับมา”
“เอาน่ะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ยังไงลูกก็กลับมาแล้ว ตอนนี้ลูกเป็นลูกชายคนเดียวของอาปา อนาคตของตระกูลมหามงคลก็ต้องพึ่งพาลูกคนเดียวนะ หลงเหว่ย” คำพูดนั้นราวกับจะตัดบท เหม่ยอิงกุมมือหลงเหว่ย แล้วหยิบเอาด้ายมงคลสีแดงอันใหม่มาสวมให้
“อันเก่าอาจจะเปื่อยไป แต่แม่ถักอันใหม่ให้ลูกแล้ว ต่อไปก็อย่าคิดอะไรมากนะ อยู่ที่บ้านของเราอย่างมีความสุขเถิด” หลงเหว่ยยิ้มเมื่อเห็นด้ายมงคลอันใหม่อยู่บนข้อมือตัวเอง เมื่อได้สบตากับแม่ ได้ถูกท่านโอบกอดเขาได้แต่บอกตัวเองว่า อ้อมกอดนี้แหละที่เป็นบ้านที่อบอุ่นของหัวใจเขา
เพราะวันนี้เป็นวันที่หลงเหว่ยจะกลับมาที่บ้าน เหม่ยอิงจึงจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ในครอบครัวเพื่อให้ทุกคนมาเจอกันในรอบหลายปี แต่ยังไม่ทันที่จะเข้าไปในบ้าน เหม่ยฟางและชาญชัยสามีก็มาเจอครอบครัวของเจียเฟิงที่หน้าบ้านก่อนแล้ว ฝ่ายเจียเฟิงเมื่อเห็นว่าการแต่งตัวของน้องสาวต่างมารดาเป็นเรื่องสิ้นเปลือง ก็เอ่ยปากเตือนเรื่องการใช้เงินของเหม่ยฟางแถมยังพูดเรื่องที่ชาญชัยทำงานไม่ได้เรื่อง ทำให้ทั้งสองไม่พอใจที่โดนว่าอย่างนั้น และยิ่งมาโดนว่าต่อหน้าอาเหมากับอาเหมยซึ่งเป็นเด็ก เหม่ยฟางก็ยิ่งไม่พอใจมากขึ้น
“ถึงจะเป็นพี่ แต่ก็คนละแม่ กล้าดียังไงมาด่าฉันฉอดๆ ด่าต่อหน้าเด็กด้วย”
“พี่เจียเฟิงคงถือดีว่าเขาเป็นลูกเมียใหญ่” พอสามีพูดเช่นนั้นเหม่ยฟางก็เบ้ปากอย่างไม่พอใจ
“แม่ใหญ่เลี่ยงจินตายไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้แม่ฉันต่างหาก ที่เป็นคุณนายของบ้านมหามงคล”
“ที่เขาสองคนวางก้าม เพราะก่อนตาย อาปาของเธอดันยกกิจการให้เขาบริหารไง”
“ไม่ให้มันสองคนทำ ใครจะทำเล่า เธอเองก็ไม่เอาไหน พี่หลงเหว่ยก็อยู่เมืองนอก” พอได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของชาญชัยก็ลุกวาวราวกับคิดอะไรออก
“แต่ตอนนี้พี่หลงเหว่ยกลับมาแล้วนี่ เขาจะต้องมาบริหารกิจการแทนแน่ๆ…ทีนี้ละ คนเดิมๆ ได้ตกงานกันเป็นแถวแน่ เอาเถิดน่า เราน่าจะรอวันนั้น” เหม่ยฟางมองหน้าสามีอย่างรู้ใจ ทั้งคู่จูงมือกันเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ทันที เมื่อเหม่ยอิงและหลงเหว่ยเดินลงมาจากห้องชั้นบนมาที่ห้องโถง ทุกคนต่างมองที่หลงเหว่ยด้วยความรู้สึกต่างๆ กันไป เธอจูงมือลูกให้ไปหาทุกคนในครอบครัวพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงปีติ
“มานี่สิ หลงเหว่ย พี่น้องทุกคนรอลูกอยู่ จำเจียเฟิงได้ไหม” เมื่อแม่พูดจบหลงเหว่ยก็มองหน้าเจียเฟิง เขามีความรู้สึกละอายใจนิดๆ
“เจียเฟิง” ผู้ถูกเรียกก้มลงน้อยๆ เธอมองพี่ชายต่างมารดาด้วยสายตาเย็นชา แต่อาการนั้นถูกกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มแบบเสแสร้ง
“พี่หลงเหว่ย…นี่หยางชุน”
“ลูกชายหลงจู๊กิมน่ะ เขาแต่งงานกับเจียเฟิงตอนที่ลูกอยู่เมืองนอก” พอได้ฟังเช่นนั้นเจียเฟิงก็ไม่พอใจอยู่นิดๆ
“ตอนนี้เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ของมหามงคล เขาดูแลกิจการที่นี่ตอนที่พี่ไม่อยู่” เจียเฟิงพูดเน้นเสียงมองหน้าพี่ชายต่างแม่นิ่ง หลงเหว่ยได้ยินอย่างนั้นเขาก็เดาสิ่งที่เจียเฟิงอยากบอกออกมาตรงๆ ได้ ฝ่ายเหม่ยอิงก็ได้แต่มองตามแม้ไม่พอใจนัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ชายหนุ่มหันมายิ้มให้หยางชุนก่อนจะทักทายออกไปว่า
“พี่หยางชุน”
“อย่าเรียกพี่เลยครับ เรียกตามศักดิ์ดีกว่า” หยางชุนเอ่ยอย่างกังวล
“ได้ไง ก็พี่อายุมากกว่าผมนี่ เรียกพี่น่ะถูกแล้ว” หลงเหว่ยพูดแล้วจึงยิ้ม ก่อนจะก้มลงแล้วยิ้มให้หลานทั้งสอง
“เหมย เหมา เรียกคุณลุงสิลูก” เด็กๆ ได้ฟังอย่างนั้นก็พูดตามที่พ่อบอกอย่างว่าง่าย เหม่ยอิงหันมาทางบุตรสาวคนรอง เธอยิ้มรอพี่ชายอยู่ก่อนแล้ว
“แล้วนี่…”
“เหม่ยซิง” หลงเหว่ยพูดพลางยิ้มให้น้อง
“พี่หลงเหว่ย” เหม่ยซิงพูด เธอกะว่าจะถามอะไรบางอย่างต่อ แต่ทันใดนั้นเหม่ยฟางก็โผล่เข้ามาแทรกและเบียดเหม่ยซิงออกไปทันที หญิงสาวกางแขนออกกอดพี่ชาย ในขณะที่หลงเหว่ยทำท่างงๆ
“พี่หลงเหว่ย จำฉันได้ไหม” หลงเหว่ยไม่ตอบแต่จากสีหน้าเขาดูไม่แน่ใจนัก เมื่อเห็นลูกชายออกอาการนั้น เหม่ยอิงก็พูดอย่างขำๆ ว่า
“นี่เหม่ยฟาง น้องสาวคนเล็กของลูกไง นี่อาฟาง ตอนเธอเกิด หลงเหว่ยไม่อยู่เมืองไทยแล้ว เขาจำเธอได้ก็แปลกละ”
“จำได้ครับ คุณแม่ส่งรูปทุกคนทางนี้ให้ผมดู ผมจำได้ทุกคน…นี่ชาญชัยใช่ไหม ผมเคยเห็นรูปแต่งงานของคุณ” หลงเหว่ยหันมายิ้มให้สามีของน้องสาว ชาญชัยเข้ามาจับมือท่าทางยินดีเหลือเกิน
“พี่หลงเหว่ย ผมดีใจจริงๆ ครับ ที่พี่กลับมา”
เมื่อเห็นภาพนั้นเหม่ยอิงก็มีความสุขนัก เธอหวังจะเห็นภาพนี้เร็วกว่านี้ เห็นพี่น้องจับมือปรองดองกันแต่เมื่อหันมาสบตากับเจียเฟิง เธอก็ได้แต่นิ่งเงียบและยิ้มเจื่อนๆ ตอบกลับมา ภาพนั้นทำให้อาจูและบ่าวรับใช้คนอื่นๆ ยิ้มตามอย่างมีความสุขด้วย
เพราะว่าวันนี้เป็นวันแห่งความสุขเหม่ยซิงเลยตั้งใจจะแสดงฝีมือการทำอาหารให้ทุกคนได้ชิม แต่คนที่ดูมีความสุขมากกว่าใครก็น่าจะเป็นเหม่ยอิงที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ตลอดเวลา เมื่อทุกคนมาถึงที่ห้องกินข้าวก็เห็นอาหารรสเลิศหลายอย่างวางอยู่เต็มโต๊ะ ซึ่งส่วนมากเป็นอาหารที่หลงเหว่ยชอบทั้งนั้น เจียเฟิงมองอาหารหลายอย่างบนโต๊ะ ก่อนจะสบตากับน้องสาวต่างแม่ทั้งสอง เหม่ยซิงยิ้มน้อยๆ ส่วนเหม่ยฟางกลับแสดงสีหน้าต่างออกไป หลงเหว่ยเดินนำแม่มาที่หัวโต๊ะ ที่เป็นตำแหน่งประธานของบ้าน แต่เหม่ยอิงเลี่ยงที่จะนั่งตรงนั้น แล้วดันให้ลูกชายไปนั่งที่หัวโต๊ะแทน
“ลูกนั่งเถอะ ลูกเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว ลูกต้องนั่งตรงนี้” ว่าแล้วหลงเหว่ยก็นั่งลงตามที่แม่บอก ส่วนเหม่ยอิงนั่งลงข้างขวาของหลงเหว่ย ด้านเหม่ยซิงเมื่อเห็นพี่ชายได้นั่งตำแหน่งเดิมที่บิดาเคยนั่ง เธอก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาดเมื่อมองไปที่แม่และเหม่ยฟางต่างก็มีแววตาเช่นเดียวกัน หลงเหว่ยสบตากับเธอ หญิงสาวจึงตอบออกไปว่า
“จากนี้ไปหัวโต๊ะไม่ว่างแล้ว เพราะมีพี่มานั่งแทนที่อาปา” ผู้เป็นน้องกล่าวคำนั้นด้วยความจริงใจ แต่ทว่าในคำนั้นกลับสร้างความไม่พอใจให้เจียเฟิง เธอหันไปสบตากับสามีด้วยความขุ่นเคืองอยู่นิดๆ อาการนั้นเหม่ยฟางและสามีสังเกตเห็นก็ได้ยิ้มออกมาอย่างสะใจ ว่าแล้วชาญชัยก็ยกถ้วยชาขึ้นกล่าวคำอวยพร
“วันนี้ผมขอเป็นตัวแทนกล่าวแสดงความยินดี ที่พี่หลงเหว่ยกลับมาเมืองไทย ขอให้พี่สุขภาพแข็งแรง นำพาตระกูลมหามงคลของเราให้เจริญก้าวหน้าสืบไปครับ” ทุกคนยกถ้วยขึ้นดื่มด้วยความยินดีจากใจและเสแสร้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ชิมอาหารที่เหม่ยซิงตั้งใจทำอวด ก็มีเสียงประทัดดังอยู่หน้าบ้าน จนทุกคนตกใจไปตามๆ กัน
“อะไรกัน ใครมาจุดประทัดแถวนี้” เหม่ยอิงเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว อาจูใช้ให้เด็กออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เสียงประทัดและกลองเชิดสิงโตก็ดังขึ้น คราวนี้เหม่ยอิงถึงกับทนไม่ไหว เธอลุกขึ้นแล้วเดินนำทุกคนออกไปที่หน้าบ้าน เสียงม้าล่อดังสนั่นหวั่นไหว มีคนกำลังเชิดสิงโตอย่างสวยงามด้วยลีลาน่าทึ่ง หน้าขบวนมีคนใส่หน้ากากแป๊ะยิ้มเดินล่อสิงโตอยู่ ลูกสองคนของหยางชุนกระโดดโลดเต้นตามอย่างสนุกสนานตามประสาเด็ก
“เชิดสิงโต?” อาจูพูดขึ้นอย่างสงสัยพลางมองหน้านายสาว แต่เหม่ยอิงกลับมีสีหน้างุนงงเช่นกันจึงถามออกไปว่า
“ใครจ้างมา” ฝ่ายเจียเฟิงหันมามองหน้าชาญชัย ชายหนุ่มยักไหล่น้อยๆ ทำให้เธอถามต่อไปว่า
“นี่ลงทุนขนาดนี้เชียวเหรอ”
“ไม่ใช่ของผมหรอก พี่เจียเฟิง แต่แหม…น่าเสียดาย ผมน่าจะคิดได้อย่างที่พี่ว่านะ นี่หยุดก่อน ใครจ้างให้มาเนี่ย ห๊ะ” ชายหนุ่มถามออกไปเสียงดังลั่น เมื่อดนตรีหยุดลงแป๊ะยิ้มก็กวักมือเรียกชื่อหลงเหว่ยให้ไปหา แต่พอชายหนุ่มจะเดินออกไป เหม่ยอิงก็เข้ามาขวางไว้เสียก่อน
“ไหน บอกมาก่อนสิ นี่สิงโตของใคร ใครจ้างให้มา” แต่เมื่อแป๊ะยิ้มถอดหัวออก หลงเหว่ยก็เบิกตากว้าง ใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งสวยเฉี่ยวทอดรอยยิ้มมาให้ยังเขาเปี่ยมล้นไปด้วยประกายตาแห่งความรัก เมื่อเธอเอาชุดออกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับขยี้ตาแรงๆ ด้วยความแปลกใจ เพราะตอนนี้แป๊ะยิ้มอยู่หน้าขบวนเชิดสิงโตกลับเป็นหญิงสาวสวยแต่งตัวทันสมัยด้วยชุดเดรสสีแดง
“ซูซี่” หลงเหว่ยเอ่ยเบาๆ อย่างแปลกใจ เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือซูซี่ คนรักของเขานั่นเอง ว่าแต่ว่าเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ตอนที่เขาจะกลับ หญิงสาวไม่ยอมมาส่งเขาที่ท่าเรือด้วยซ้ำเพราะเธอเกลียดคำร่ำลา มีเพียงเดวิด เฉินเท่านั้นที่เป็นคนไปส่งเขาที่ท่าเรือ
“ซูซี่”
“ใช่ค่ะ ฉันเอง…หลงเหว่ย ฉันจ้างให้มาต้อนรับคุณกลับบ้านค่ะ” เหม่ยอิงเห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าไม่ค่อยจะพอใจนัก อย่างแรกเลยผู้หญิงคนนี้เป็นแปลกหน้าสำหรับเธอ กิริยายังไม่เรียบร้อยไม่ใช่แบบที่เธอชอบ ยิ่งมาเห็นท่าทางของลูกชายเธอก็ยิ่งไม่ชอบใจเข้าไปใหญ่ เหม่ยอิงจึงหันไปถามลูกชายทันที
“นี่หลงเหว่ย ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
“ฉันชื่อซูซี่ค่ะ คุณแม่ ฉันเป็นคนรักของหลงเหว่ย มาจากฮ่องกง” เหม่ยอิงอึ้ง และอึ้งหนักเมื่อซูซี่เดินมาคล้องแขนหลงเหว่ยอย่างสนิทสนม ทุกคนที่มุงอยู่ด้านหลังต่างตกตะลึง หลงเหว่ยมีคนรักตามมา ท่าทางเอาเรื่องไม่เบา คนที่ไม่พอใจที่สุดก็น่าจะเป็นเหม่ยอิงนั่นเอง
‘มังกรคู่หงส์ ถึงจะสมกับเป็นคุณนาย แล้วผู้หญิงที่คล้องแขนลูกตอนนี้เป็นนกสกุลใดกันเล่า’ เหม่ยอิงคิด
พอหญิงสาวคนนั้นจะเดินเข้ามาเหม่ยอิงกลับเดินหนีออกมาก่อนจนซูซี่หน้าเสีย ชายหนุ่มเห็นเช่นนั้นจึงกุมมือคนรักแน่น ว่าแล้วหลงเหว่ยก็เดินนำซูซี่มาที่มุมหนึ่งในบ้าน ซูซี่ไม่สนใคร ยังดูแจ่มใสร่าเริงและเมื่อได้เจอคนรักเธอยิ่งดูมีความสุขมากขึ้น ฝ่ายหลงเหว่ยแม้จะดีใจมากแต่ก็อดแปลกใจไม่ได้
“ซูซี่ ผมงงไปหมดแล้ว คุณมาที่นี่ทำไมเนี่ย”
“ก็ฉันบอกคุณแล้วไงคะ ฮันนี่ ว่าฉันไม่ชอบการร่ำลา”
“หมายความว่า…” หลงเหว่ยพูดไม่ทันจบซูซี่ก็กอดร่างเขาแน่นพลางยิ้มกว้าง นัยน์ตาเปี่ยมสุข
“ฉันจะมาอยู่ที่นี่กับคุณค่ะ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเหม่ยอิงก็รีบเดินปรี่เข้ามาหาคนทั้งสองทันที
“อะไรนะ! อยู่ดีๆ เธอจะหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับหลงเหว่ยได้ยังไง”
“ได้สิคะ กระเป๋าฉันใบเดียวเล็กๆ ไม่ยุ่งยากอะไร ส่วนหีบใบใหญ่ๆ อีกหกใบ คงจะตามมาถึงท่าเรืออาทิตย์หน้า”
“เธออยู่ที่นี่ไม่ได้!”
“แม่ครับใจเย็นๆ เดี๋ยวผมจัดการเองถ้าเขาไม่มีที่อยู่”
“ให้เขาไปอยู่ที่โรงแรม หรือที่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่” เหม่ยอิงพูดออกมาในที่สุด แต่ผู้หญิงของลูกกลับพูดโพล่งออกไปว่า
“ไม่ค่ะ ไม่ได้ ฉันต้องอยู่ที่นี่ค่ะ”
“นี่ เธอ!” เหม่ยอิงพูดเสียงดังลั่น ดวงตาก็จ้องมองมาที่หญิงสาวอย่างเหลืออด แต่ซูซี่กลับไม่ได้มีความเกรงกลัวในท่าทางนั้นแม้แต่น้อย ดวงตาสวยเฉี่ยวจ้องมองผู้สูงวัยกว่าพลางเอ่ยออกมา
“หยุดก่อนค่ะ แล้วฟัง…ที่ฉันอุตส่าห์ตามมาจากฮ่องกง เพราะฉันต้องการจะอยู่กับหลงเหว่ย เราต้องอยู่ด้วยกัน ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” สิ้นคำพูดนั้นหลงเหว่ยก็ได้แต่มองหน้าคนรักงงๆ ที่จริงเขาตั้งใจจะบอกกับแม่เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ซูซี่ก็ตามกลับมาเสียก่อน
“ซูซี่” หลงเหว่ยพูดออกมาเป็นเชิงปรามแต่ซูซี่ได้แต่ยกมือห้าม แล้วพูดกับเหม่ยอิงต่อ
“ฉันไม่ใช่คนรักของหลงเหว่ย แต่ฉันเป็น ‘ภรรยา’ ของเขา สามีอยู่ที่ไหน ภรรยาอยู่ที่นั่น คุณแม่จะแยกเราออกจากกันไม่ได้” ได้ฟังเช่นนั้นเหม่ยอิงก็ปากคอสั่นระริกด้วยความตกใจ
“เธอ…เธอเป็นเมีย” ทุกคนที่แอบเงี่ยหูฟังอยู่ที่ห้องโถงต่างตกใจ
“เมีย?” เหม่ยซิงพูดออกมาอย่างใจ ในขณะที่คนอื่นก็พูดว่าหลงเหว่ยมีเมียแล้วซ้ำไปซ้ำมา แต่เหม่ยอิงกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด เธอจึงหันมาหาลูกชายทันที
“หลงเหว่ย ที่เขาพูดมันจริงไหม ผู้หญิงคนนี้เป็นเมียของลูกเหรอ”
“ครับ จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ ซูซี่เป็นเมียผม”
หลงเหว่ยตอบ เมื่อได้ฟังคำนั้นทุกคนที่ได้ยินก็ตกตะลึง คนที่ตกตะลึงมากกว่าใครเพื่อนก็คือเหม่ยอิง เธอหันหลังทำท่าจะเดินหนี แต่หลงเหว่ยจูงซูซี่เข้าไปในห้องด้วยเพื่อต้องการอธิบายเรื่องราวทั้งหมด อาจูยิ่งเห็นคุณนายเงียบก็ใจไม่ดีเพราะรู้ดีว่า หากเงียบก็หมายถึงไม่พอใจอย่างที่สุด เหม่งซิงเดินตามแม่เข้าไปในห้องด้วยความเป็นห่วง ฝ่ายซูซี่ก็เดินคล้องแขนกับหลงเหว่ยอย่างสบายอารมณ์ ในขณะที่เจียเฟิงกลับมองภาพนั้นด้วยสายตาเยียบเย็น
“เรากลับบ้านได้รึยังคะแม่” เหมย ลูกสาวคนเล็กถาม เจียเฟิงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกสามีว่า
“กลับกันเถิดค่ะ งิ้วยังเล่นไม่ถึงตอนสนุก แต่ต่อไปสนุกแน่”
เจียเฟิงกล่าวเสียงเยียบเย็นแต่แฝงความหมายไว้ในนั้นทุกคำ หยางชุนไม่ได้พูดอะไรนอกจากเดินตามภรรยากลับบ้าน
ในห้องนั้นเหม่ยอิงนิ่งเงียบสีหน้าเงียบเฉย แต่ก็เดาอารมณ์ไม่ถูก แต่ก็ดูออกว่าเครียดมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้านเหม่ยซิงก็ได้แต่นั่งเฝ้าดูอยู่ห่างๆ ในความเงียบงันนั้นหลงเหว่ยเข้าไปนั่งใกล้ๆ แม่ มือเขาจับมือของแม่ไว้แต่เหม่ยอิงก็ได้แต่จ้องหน้าบุตรชายราวกับจะค้นหาคำตอบ
“แม่ฟังผมอธิบายก่อนได้ไหม”
“แต่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“แม่ครับ ผมกับซูซี่เรายังไม่ได้แต่งงานกัน แต่…เราสองคนรักกันมาหลายปี ผมกับซูซี่เรา…” เสียงนั้นขาดหาย เขาไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่แม่ผู้ที่ผ่านโลกมามากย่อมเดาออกว่าอะไรเป็นอะไรจึงพูดสวนออกไปว่า
“ไม่ได้ไหว้ฟ้าดิน เทวดาไม่รับรู้ ไม่ได้ไหว้พ่อแม่ พ่อแม่ไม่รับรู้ ไม่ถือว่าเป็นผัวเมียกัน!”
“แต่ผมรับปากไปแล้ว พ่อแม่ซูซี่ตายไปหมดแล้ว ผมรับปากกับคุณลุงของซูซี่ ว่าผมจะแต่งงานกับเธอ”
“แต่ตอนนี้ยังไม่ได้แต่ง จะมาอยู่ด้วยกันได้ยังไง น่าเกลียด” เมื่อเห็นอาการเช่นนั้นหลงเหว่ยจึงหันไปอธิบายกับซูซี่
“เอาอย่างนี้นะซูซี่ คุณกลับฮ่องกงไปก่อน ผมพร้อมเมื่อไหร่ จะรีบกลับไปจัดการเรื่องของเราทันที”
“ต้องจัดการเดี๋ยวนี้ค่ะ หลงเหว่ย ฉันรอไม่ได้ เราต้องแต่งงานกันเดี๋ยวนี้”
“นี่เธอ…” เหม่ยอิงทำท่าจะพูดแต่ซูซี่กลับสวนขึ้นมาก่อน
“ฉันกำลังตั้งท้องลูกของหลงเหว่ยค่ะ”
พอได้ยินคำว่าลูกคนที่ได้ยินก็ต้องตกใจอีกรอบ ฝ่ายหลงเหว่ยกลับหันมาหาคนรักพลางเอ่ยเสียงปีติ
“ลูก…ลูก เรากำลังจะมีลูกงั้นเหรอ ซูซี่”
“ค่ะ ใช่ค่ะ เรากำลังจะมีลูก” หลงเหว่ยลืมตัวจึงดึงซูซี่มากอดแน่นดีใจ แต่ช่างต่างจากเหม่ยอิงนัก เธอรู้สึกผิดหวังจะยืนก็ยืนไม่อยู่ ถ้าไม่ใช่เหม่ยซิงยื่นมือมาประคองไว้ก่อนเธอคงล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว
ข่าวเรื่องที่หลงเหว่ยมีภรรยาและแถมมีลูก ทำให้มีคนพูดไปต่างๆ นานา มีทั้งยินดีและกังวล แต่สำหรับเหม่ยอิงแล้วเธอได้แต่นิ่งเงียบและเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ หลายต่อหลายครั้งเธอเอาแต่คุกเข่าแล้วโขกศีรษะต่อหน้าป้ายวิญญาณบรรพชนแล้วก็คร่ำครวญตัดพ้อไปว่า ทุกอย่างเป็นเพราะโชคชะตา เป็นเวรกรรมของเธอ น้ำตาอาบนองเต็มสองแก้ม ส่วนหัวใจก็เจ็บปวดอย่างที่สุด
“กลับบ้านมายังไม่ถึงวัน อยู่กับแม่ไม่ถึงคืน แต่กลับทำเรื่องผิดต่อบรรพบุรุษเสียแล้ว สวรรค์ลงโทษฉันแล้ว สวรรค์ลงโทษฉันแล้ว!”
เหม่ยซิงเมื่อเห็นแม่เป็นเช่นนั้นจึงเข้ามาปลอบโยนอย่างกังวล
“แม่คะ แม่จะกลุ้มใจทำไม พี่หลงเหว่ยก็โตแล้ว สมควรจะมีครอบครัวได้แล้ว” สิ่งที่ลูกสาวพูดไม่ใช่ไม่ถูก แต่เธอก็ทำใจไม่ได้ การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต การจะหาคนมาร่วมสกุลต้องดูว่าคู่ควรกันไหม ยิ่งเห็นท่าทางของผู้หญิงคนนั้นที่ตามลูกมาเธอยิ่งเสียใจยิ่งนัก
“เป็นฉันที่เลี้ยงลูกไม่ดี หลงเหว่ยถึงได้พลาดไปคว้าเอาใครก็ไม่รู้มาเป็นเมีย เป็นผู้หญิงชั้นต่ำหรือไม่ก็ไม่รู้”
“เขาก็ดูดีออก เห็นว่าเป็นลูกพ่อค้า ท่าทางไม่ได้ยากจนแน่ๆ แล้วที่สำคัญ พี่หลงเหว่ยก็ดูรักเขามาก”
“รักเรอะ ฮึ” เหม่ยอิงแค่นยิ้มอย่างขมขื่น ผู้หญิงก๋ากั่นเช่นนั้นเธอจะไม่มีวันรับเป็นสะใภ้แน่ แต่เหม่ยซิงก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“แม่คะ ยังไงเขาก็มีลูกด้วยกันแล้ว ยังไงแม่ก็ต้องยอมให้เขาแต่งงานกัน” เหม่ยอิงมีท่าทีแม้อ่อนลงมากด้วยจำนนในข้อนี้ แต่เธอก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี เธอยอมออกมานอกห้องดวงตาก็ปรายไปยังห้องที่ลูกชายอยู่ตอนนี้ เสียงพูดของหลงเหว่ยที่บอกให้ภรรยาสบายใจกลับยิ่งบาดลึก นั่นทำให้เหม่ยอิงปล่อยวางเรื่องราวไม่ได้ อาจูมองตามผู้เป็นนายอย่างกังวลเธอเข้าไปรับใช้เหม่ยอิงตามปกติ ยิ่งเห็นนายสาวเงียบเธอก็ยิ่งใจไม่ดี
“เอาน่า คุณนายใหญ่ จะช้าจะเร็ว คุณหลงเหว่ยก็ต้องแต่งงาน”
“พ่อแม่ตายหมด ลูกเต้าเหล่าใครก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็หอบผ้าหอบผ่อนวิ่งตามผู้ชายมา แถมยังมีลูกติดท้องมาอีก… สะใภ้ใหญ่ของตระกูลมหามงคลท้องก่อนแต่ง ใครรู้เข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหน” พูดจบเสียงถอนหายใจก็ดังไล่หลังมา อาจูมองตาอย่างเป็นห่วง ยังไงๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว สิ่งที่เธออยากให้เหม่ยอิงทำก็คือปล่อยวางเรื่องทุกอย่างเสีย
“เรื่องท้องไส้นี่มันก็อยู่กับตัว เราไม่บอก ใครจะไปรู้ มองให้มันเป็นเรื่องดีนะคุณนาย ถ้าลูกในท้องเป็นลูกชาย ก็เท่ากับเราได้ทายาทสืบสกุล” พออาจูพูดเช่นนั้นเธอก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงสิ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เรื่องที่ซินแสเคยทำนายดวงชะตาหลงเหว่ยเอาไว้ มันก็จะไม่เป็นความจริง ถูกไหม”
เหม่ยอิงหลับตาลงช้าๆ คิดถึงคำทำนายของซินแสที่เคยทำนายไว้ และเป็นเรื่องที่เธอกังวลใจมาตลอด กลัวเหลือเกินว่ามันจะเป็นจริงตามคำทำนาย แต่แค่เพียงหลงเหว่ยจะมีลูกชาย แค่นี้ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า คำพูดของซินแสอาจจะมีข้อผิดพลาด
“มังกรสองตัวอยู่ด้วยกันไม่ได้
ตัวหนึ่งอยู่รอด…
ตัวหนึ่งต้องดับสูญ…
แต่ทว่า…ไร้แล้วซึ่งทายาทสืบสกุล!”