ดวงตามัจจุราช บทที่ 2 : ฆาตกรผู้ล่วงรู้อนาคต

ดวงตามัจจุราช บทที่ 2 : ฆาตกรผู้ล่วงรู้อนาคต

โดย : ตะวันยอ

Loading

ดวงตามัจจุราช โดย ตะวันยอ นวนิยายแนวเหนือจริงที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์…เมื่อตำรวจสาวผู้มากด้วยความสามารถต้องกลายมาเป็นคู่หูกับชายหนุ่มผู้มองเห็นความคิดและความทรงจำสุดท้ายของคนตาย การผจญภัยเสี่ยงชีวิตด้วยกันจึงเกิดขึ้น และแม้คดีมากมายจะจบลง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับไม่เป็นเช่นนั้น

*************************

– 2 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ในห้องประชุมของ OSCI ที่สารวัตรเริงเกียรติเรียกประชุมด่วน บนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ปรากฏภาพสเกตช์ของผู้ชายที่พานายกล่ำ ผู้ตายหลบหนี มีตำหนิรอยแผลเป็นสีดำขีดยาวพาดข้างแก้มซ้าย แผนผังคดีศพมัมมี่ ตามที่สื่อมวลชนขนานนาม ตอนนี้มีผู้ต้องสงสัยหลักในคดีฆาตกรรมเด็กชายตะวันและนายกล่ำ ชื่อบนสุดคือ ชายสวมผ้าคลุมสีดำ ที่ทาง OSCI ตั้งฉายาว่า ‘ปีศาจดำ’ ต่อด้วยชายสวมหน้ากากปีศาจสีขาว หรือฉายา ‘ปีศาจขาว’

“ผมค่อนข้างมั่นใจมากว่า ปีศาจดำเป็นคนบงการทุกอย่าง โดยมีปีศาจขาวเป็นลูกมือในคดีฆาตกรรมทั้งสองคดี”

ฉกาจรู้ดีว่าหลายคนในห้องประชุมได้ปรามาสและไม่เชื่อถือเขาด้วยภาพลักษณ์ที่เหมือนหนุ่มสำอาง ในขณะที่สายตาอีกหลายคนเต็มไปด้วยความชื่นชมจากผลงานที่ผ่านมาของเขา แต่ฉกาจไม่ใส่ใจทั้งคำสบประมาท คำสรรเสริญหรือเยินยอ ที่นี่ก็เหมือน ‘ครั้งแรก’ ของอีกหลายที่ที่เขาเคยพบประสบมา สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปต่างหากที่สำคัญกว่า

เขาสรุปหลังเล่ารายละเอียดทุกอย่างที่เห็น ทั้งจากความทรงจำของศพนายกล่ำ และเด็กชายตะวันให้ทุกคนในที่ประชุมฟัง เขายังให้รูปพรรณคนร้ายทั้งสอง ทั้งคู่สูงไล่เลี่ยกัน ประมาณ 170 เซนติเมตร ปีศาจดำไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ ส่วนปีศาจขาวนั้นมีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวคล้ำ และแข็งแรงมาก

สายตาหลายคู่ในห้องประชุมมองเขาอย่างคลางแคลงปนเปไปด้วยประหลาดใจ แม้จะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของดวงตามัจจุราชมาจากพรรคพวกเพื่อนฝูงตำรวจที่เคยใช้บริการเขาแล้วก็ตามที แต่เมื่อต้องมาร่วมงานด้วยในเคสประหลาดพิสดารพันลึกแบบนี้ น้อยคนจะเชื่อเขาได้สนิทใจ

แผนกนิติเวชรับหน้าที่ออกมาสรุปข้อมูลคดีฆาตกรรมทั้งสองคดีต่อจากฉกาจ โดยมีหมอฤทธีเป็นผู้แถลงในที่ประชุม

“สาเหตุการเสียชีวิตของทั้งศพแรก เด็กชายตะวัน และศพที่สอง นายกล่ำ คือหัวใจล้มเหลวเฉียบพลันบอกตรงๆ ว่าผมเองก็ยังงงอยู่ สภาพร่างกายของศพแห้งกรังและไม่มีเลือดเนื้อหลงเหลืออยู่เลย ทั้งที่เสียชีวิตได้เพียง 1-2 ชั่วโมง และในวันที่เสียชีวิต ในสถานที่ที่พบศพเราตรวจสอบแล้ว ไม่ได้มีอุณหภูมิสูงหรือแห้งเลย ซึ่งสองปัจจัยนี้จะทำให้ร่างกายมนุษย์แปรกลายสภาพเป็นมัมมี่ได้ แต่ศพทั้งสองกลับเหมือนมัมมี่และมีร่องรอยฝ่ามือสีดำที่หน้าอกด้านซ้ายเหมือน…ถ้าให้ผมสันนิษฐานนะครับ เหมือนการใช้ฝ่ามือดูดเลือดเนื้อและพลังงานจากศพไปจนหมดสิ้น”

คำพูดหมอฤทธีสร้างความตกตะลึงให้ที่ประชุม และยิ่งฮือฮาเซ็งแซ่ยิ่งขึ้นหลังฉกาจเสริมว่า “จากภาพความทรงจำสุดท้ายของนายกล่ำที่ผมเห็น ปีศาจดำเหมือนคนไร้พลังงาน แต่เมื่อได้ประกบฝ่ามือกับหน้าอกเหยื่อแล้ว เขากลับมีพลังงานเพิ่มขึ้น มันจะเป็นไปได้ไหมที่เขาจะดูดกลืนกินพลังงานมนุษย์ได้โดยผ่านฝ่ามือ” ฉกาจเลือกข้ามช่วงสุดท้ายที่วิญญาณผู้เสียชีวิตปรากฏตัวเพื่อพยายามบอกอะไรเขา แต่ถูกสิ่งเร้นลับกระชากหายไป เขากำลังสงสัยว่าเจ้าสิ่งนั้นคงไม่ได้คร่าเฉพาะชีวิต หากยังสามารถกักกันวิญญาณได้อีกด้วย แต่พูดไปก็ป่วยการ OSCI ไม่ใช่หน่วยช่วยเหลือวิญญาณ สิ่งที่พวกเขาพบเจอตอนนี้ก็สร้างความมึนงงให้มากพอแล้ว

เสียงหมอฤทธีกล่าวต่อถึงหลักฐานชิ้นสำคัญที่พบในมือศพ

“ผลการพิสูจน์ PVC ที่พบในมือของนายกล่ำบ่งบอกได้ว่าเป็น PVC ชนิดเดียวกับที่นำไปผลิตหน้ากากของเล่น รวมทั้งหน้ากากปีศาจขาวที่คุณฉกาจได้ให้ทีมสเกตช์ของเราวาดออกมา แล้วทีมงานได้ไปเสาะหามาจากท้องตลาด” เขาชูหน้ากากปีศาจขาว ซึ่งเป็นหน้ากากชนิดเดียวกับที่ปีศาจขาวสวมใส่ขึ้นมาโชว์ในที่ประชุม “ซึ่งหน้ากากชนิดนี้สามารถหาซื้อได้ทั่วไป”

ในที่ประชุมเต็มไปด้วยความตึงเครียดกับข้อมูลที่ได้จากนิติเวชและดวงตามัจจุราช พวกเขาบอกไม่ถูกว่าควรจะเชื่อหรือไม่เชื่อสิ่งที่ได้ยินในวันนี้ สารวัตรเริงเกียรติสัมผัสความรู้สึกนั้นได้ เขาเอ่ยขึ้นในที่ประชุมว่า

“ในการทำคดีเหนือธรรมชาติ ผมอยากให้พวกเรามองทุกอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้หรือเรื่องแปลกประหลาดที่เราคาดไม่ถึง นี่คือสาเหตุที่เราต้องแยกหน่วยงานออกมาเป็นเอกเทศ เพราะยังมีหลายคดีที่นิติวิทยาศาสตร์เองไม่สามารถให้คำอธิบายได้”

การนำดวงตามัจจุราชเข้ามาช่วยงานคดีแรกของ OSCI ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่คาดไม่ถึงที่สุด ดุจดาวแอบคิด เธอรู้ดีว่าเพื่อนร่วมงานหลายคนในห้องประชุมก็คิดเหมือนเธอ คดีแรกของ OSCI กับดวงตามัจจุราช…เธอยิ้มหยัน เงยหน้าขึ้นก็ประสานสายตาเข้ากับแววตาคมกล้าของฉกาจที่ทอดนิ่งมองตรงมา เขายักไหล่แบมือ เหมือนบอกเป็นนัยๆ ว่า ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับที่คุณต้องพึ่งผม…ดุจดาวขบริมฝีปากล่างแน่น แม้เธอเริ่มจะโอนเอนเชื่อในสิ่งที่เคยมองว่าแปลกประหลาด แต่หมอนี่…มีพี่เริงเป็นแบ็กให้ ไหนจะท่าทียียวนที่ก่อกวนอารมณ์ไม่เบา เธอประสานสายตากับฉกาจอย่างไม่ลดละ ทั้งที่รู้ว่าเขาอ่านความคิดเธอได้

“เป็นไปได้ไหมที่ฆาตกรทั้งสองน่าจะเป็นผู้เคร่งศาสนา และกระทำตัวเป็นศาลเตี้ย จัดการผู้ที่กระทำผิดศีล 5 อย่างศพแรก เด็กชายตะวัน ซึ่งเป็นเด็กกำพร้า อาศัยอยู่กับยาย จากการสืบสวนพยานพบว่าเขามักจะขโมยอาหารมาให้ยาย เช่นเดียวกับนายกล่ำ ศพที่สอง เป็นคนจรจัด เสพติดสุรา” ดาบป๊อกถามขึ้น

“ความเคร่งศาสนาน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่สาเหตุในการฆาตกรรม ยังไม่แน่ชัด ปกติความทรงจำสุดท้ายของศพมักจะไม่เล่าเหตุการณ์ทุกเรื่องในชีวิต แต่จะเล่าเฉพาะช่วงก่อนเสียชีวิตไม่นาน มันก็เลยเหมือนจิกซอว์ที่ยังขาดหายไป” ฉกาจให้ข้อมูลเพิ่มเติม เขาหันมาปะทะสายตาดุเดือดกับดุจดาวต่ออย่างอารมณ์ดี แถมยักคิ้วส่งไปให้อีก แม่คนขี้อิจฉา…ยัยเด็กหน้าห้อง เขาอดขำภาพที่เห็นในความทรงจำเธอไม่ได้ เด็กเรียนที่จองนั่งโต๊ะหน้าห้องเป็นประจำ ยกมือถามครูทุกวิชา…

“สถานที่สุดท้ายที่นายกล่ำวิ่งหนีออกมาคือที่ไหน นี่ก็เป็นสิ่งที่เราจะต้องค้นหาให้ได้” สารวัตรเริงเกียรติกล่าว

“ผมบอกไม่ได้แน่ชัดนัก มันเหมือนคอนโดมิเนียมแต่ความสูงแค่ 3 ชั้น พยายามมองหาสิ่งบ่งชี้ว่าคือที่ไหน แต่ไม่พบ ตัวนายกล่ำดูเหมือนคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนั้น เขาวิ่งออกมาแบบไม่ลังเล และรู้ทาง” ฉกาจพยายามบอกทุกรายละเอียดที่เขาเห็นผ่านความทรงจำของนายกล่ำ

“ดุจ แล้วจากที่สอบถามพยาน พอจะได้อะไรบ้างไหมเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้น” สารวัตรเริงเกียรติหันมาถามลูกน้อง

“นายกล่ำเป็นคนจรจัดที่ไม่มีญาติพี่น้อง ปกติเขาอาศัยอยู่บริเวณที่เสียชีวิต เรายังหาพยานไม่ได้ คนแถวนั้นไม่ทราบว่าเขาไปที่ไหนและทำอะไรบ้าง ตอนนี้กำลังตามหาพยาน โดยเฉพาะผู้ชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์พาเขาหลบหนี ซึ่งมีรูปพรรณสันฐานและรอยตำหนิตามที่คุณเก่งแจ้งมา คาดว่าน่าจะเป็นคนที่สามารถให้คำตอบเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นได้ ส่วนเด็กชายตะวัน กำพร้าพ่อแม่ จากการสอบถามยายของเขาก็ไม่เคยรู้ว่าหลานไปไหน ทำอะไรบ้าง ตอนนี้ดาบป๊อกกำลังตามสืบอยู่ค่ะ” ดุจดาวตอบ แล้วเอ่ยต่อว่า

“มีอีกเรื่องที่ดุจคิดว่ามันน่าสงสัยมาก ทำไมฆาตกรต้องใส่หน้ากากปีศาจขาว และอีกคนสวมผ้าคลุมสีดำ เหมือนต้องการปิดบังตัวตน”

“นี่คือประเด็นสำคัญ ผมมีข้อสันนิษฐานส่วนตัว ฆาตกรน่าจะต้องล่วงรู้ว่า OSCI จะต้องมาขอความร่วมมือจากผม สาเหตุที่เขาสวมใส่หน้ากากและผ้าคลุม ก็เพราะไม่ต้องการให้ผมเห็นหน้าตาว่าเขาทั้งคู่เป็นใคร ผมคิดว่าฆาตกรคนนี้จะต้องเป็นคนที่ล่วงรู้อนาคต”

เป็นอีกครั้งที่ฉกาจเรียกเสียงฮือฮาจากที่ประชุม OSCI

“คุณคิดว่าคนไหนที่ล่วงรู้อนาคตคะ” ดุจดาวยิงคำถามต่อ เธอติดใจสงสัยประเด็นนี้มากจนต้องยอมทิ้งอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจก่อนหน้า เพราะเธอเองหาคำตอบไม่ได้สักทีว่าทำไมทุกอย่างที่จะสาวไปถึงตัวฆาตกรจึงหาหลักฐานไม่ได้เลย เหมือนเป็นความจงใจ

“ผมคิดว่า ปีศาจดำ” ฉกาจตอบอย่างมั่นใจ

“แล้วคุณเก่งคิดว่าเขาฆ่าเพราะเสพติดการฆ่าหรือเปล่าครับ” เป็นคำถามจากดาบป๊อก

ฉกาจตอบข้อสงสัยว่า “ผมไม่แน่ใจครับ ขอเดาว่าเขาน่าจะต้องการพลังจากการฆ่า และอีกอย่างคือ เป็นการลงโทษคนที่ทำผิดศีล 5 อย่างที่ได้บอกไปแล้ว”

“จากที่คุณเห็นเขามีผู้สมรู้ร่วมคิดเพียงคนเดียวหรือครับ” ดาบป๊อกถามต่ออีกคำถาม

“เท่าที่ผมมองเห็นตอนนี้ มีคนเดียวครับ”

“แล้วเราสามารถเชื่อมโยงเหยื่อ 2 รายนี้ได้ไหมครับ” ตำรวจนายหนึ่งถามขึ้น

“ตอนนี้เรายังไม่สามารถหาความเชื่อมโยงเหยื่อแต่ละรายได้ แต่เรากำลังตามสืบอยู่ค่ะ” ผู้กองดุจดาวเป็นผู้ตอบคำถามนั้น

“ขอถามนอกเรื่องได้ไหมคะ” เจ้าหน้าที่นิติเวชหญิงคนหนึ่งยกมือขึ้น “คุณอ่านความทรงจำคนได้ทุกคนไหมคะ อย่างตอนนี้คุณเห็นความทรงจำพวกเราไหม” คำถามนี้เรียกเสียงหัวเราะในที่ประชุม

“ปกติผมไม่อ่านความทรงจำใคร มันเหนื่อยและหมดแรงโดยเปล่าประโยชน์” เขาตอบสั้นๆ เป็นคำตอบที่เขาเองก็รู้ว่าได้เพิ่มดีกรีความเหม็นขี้หน้าเขาในกลุ่มคนที่ไม่ชอบเขาอยู่แล้ว แต่เขาจะแคร์ทำไมในเมื่อมันคือความจริง เขาไม่เคยนำความสามารถพิเศษนี้ไปใช้แบบมั่วๆ ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญหรือคนที่สำคัญกับชีวิตเขา  “ผมสัมผัสได้ว่าหลายคนยังไม่เชื่อและมองว่าสิ่งที่ผมทำเป็นเรื่องงมงาย แล้วก็…เรื่องรูปร่างหน้าตาผมที่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการสืบคดี พวกคุณก็ยังอคติ” เขาส่งสายตามองไปรอบๆ ห้องอย่างเปิดเผย บางคนก้มหน้าหลบตา “ผมไม่ว่าอะไร มันเป็นเรื่องปกติ หลายที่ที่ผมเคยไปก็เป็นแบบนี้ ไม่ว่าคุณจะคิดยังไงก็ตาม ผมขออย่างเดียว ความร่วมมือ”

“ใครมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม” สารวัตรเริงเกียรติเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ถามอย่างเต็มที่ เมื่อไม่มีใครสงสัยอะไร สารวัตรเริงเกียรติจึงกล่าวปิดท้ายประชุมว่า

“ยุคนี้เรามีเทคโนโลยีก้าวรุดหน้าไปมาก แต่มันก็มีสิ่งที่เทคโนโลยีให้คำตอบเราไม่ได้ อย่างคดีแรกของทีม ผมเชื่อว่าต้องมีอะไรที่เหนือธรรมชาติแน่นอน ผมอยากให้ทีมงานทุกคนทำงานร่วมกันด้วยสติและความระมัดระวังตัวให้มากที่สุด ส่วนเรื่องดวงตามัจจุราช ผลงานเขาจะพิสูจน์ให้ทุกคนรู้เองเหมือนอย่างหลายคดีที่เขาเคยช่วยตำรวจไขสำเร็จมาแล้ว”

หลังเสร็จสิ้นการประชุม ดุจดาวรีบเดินแกมวิ่งตามหลังฉกาจไป เธอมีคำถามค้างคาใจที่อยากถามเขา แต่ก่อนที่เธอจะทันถึงตัวฉกาจ ก็ต้องรีบเบรกตัวโก่ง เมื่อเห็น 2 ตำรวจหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มเดินถือดอกกุหลาบคนละดอกเข้ามาหาฉกาจ

“เราเป็นแฟนคลับคุณ สู้ๆ นะคะ อย่าใส่ใจพวกอคตินะดวงตามัจจุราช เราเป็นกำลังใจให้คุณเสมอ”

ใน OSCI ก็มีกลุ่มแฟนคลับดวงตามัจจุราชด้วยเหรอ พวกอคติ หล่อนหมายถึงฉันหรือเปล่า ดุจดาวคิดอย่างหงุดหงิด

“นี่ถ้าไม่ติดว่าสารวัตรเริงเกียรติห้าม พวกเราจะขึ้นป้ายยินดีต้อนรับให้คุณเลย”

“เราตั้งกลุ่มแฟนคลับดวงตามัจจุราช FC แล้ว ตอนแรกคิดกันว่าจะไปซื้อป้ายโฆษณาต้อนรับคุณใน MRT สถานีที่จะมา OSCI…”

“แค่ดอกไม้สองดอกนี้ผมก็ขอบคุณมากแล้วครับ” ฉกาจกล่าวสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ดุจดาวเห็นสองสาวตำรวจมองฉกาจตาเคลิ้มฝัน เสียดายที่เธอยืนอยู่เบื้องหลังฉกาจ ใจนึกอยากเห็นหน้าเขา คงยิ้มหลีหญิงแก้มแทบปริ ชะเง้อมองเห็นเขาเสร็จจากให้ลายเซ็นแฟนคลับ ตั้งใจจะพุ่งดิ่งตรงเข้าไปหาเขา แต่ต้องเบรกตัวเซอีกรอบเมื่อตำรวจนายหนึ่งเดินนำผู้สูงอายุสองท่านเข้ามาหา เธอได้แต่หยุดรีรอด้วยความอยากรู้

“คุณฉกาจครับ มีคนมาขอพบ”

ฉกาจเอ่ยขอบคุณตำรวจนายนั้น แล้วทักทายยกมือไหว้ผู้สูงอายุ 2 ท่านที่เดินตามนายตำรวจเข้ามา

“สวัสดีครับ คุณลุงคุณป้า สบายดีไหมครับ เราไม่ได้เจอกันนานเลย”

“เราสบายดีค่ะคุณเก่ง ลุงกับป้าทราบข่าวว่าคุณเก่งเข้ามาช่วยทำคดีที่นี่วันแรก เลยแวะเอากระเช้าผลไม้มาแสดงความยินดีค่ะ”

ดุจดาวแสร้งทำเป็นเดินไปเดินมาคุยโทรศัพท์ แต่ลอบสังเกตเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ใกล้ๆ คอยเงี่ยหูฟังคำสนทนาต่างๆ ด้วยใจจดใจจ่อ

“กราบขอบพระคุณคุณลุงคุณป้าอย่างสูง” เขาพนมมือไหว้หลังรับกระเช้าผลไม้กระเช้าใหญ่มาด้วยท่าทางนอบน้อม

“ถ้าไม่ได้คุณเก่ง ลิลลี่ลูกสาวผมคงนอนตายตาไม่หลับ แค่รองเท้าส้นสูงข้างเดียว คุณยังช่วยสืบจนจับตัวฆาตกรได้” คุณลุงกล่าวกับฉกาจ เช็ดน้ำตาที่เริ่มซึมออกมา “กระเช้านี้ช่วยรับไว้ด้วยนะครับ นึกเสียว่าเป็นการขอบคุณในน้ำใจคุณเก่งที่ได้ช่วยจับฆาตกร ทำให้ลูกเราไปสู่สุคติ และไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย”

ดุจดาวซึ่งยืนแอบฟังอยู่ใกล้ๆ เคาะนิ้วเบาๆ บนขอบหน้าต่าง ภาพแฟนคลับมอบดอกไม้ ลุงป้ากับกระเช้าผลไม้…คืออะไร สร้างภาพหรือ

“ก็คงต้องตามดูผมต่อไป…” เสียงฉกาจดังขึ้นใกล้ตัว ทำให้เธอสะดุ้งตกใจ เธอแสร้งทำตาแป๋วกลบเกลื่อนความรู้สึก เขาหรี่ตามอง เห็นความไม่เชื่อมั่นในตัวเขา แถมแม่คุณยังกล่าวหาว่าเขายิ้มหลีหญิง! ใช้คุณลุงคุณป้ามาสร้างภาพอีก…ฉกาจจึงค้อมตัวลงมาหาร่างบาง จ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาเธอ

“คุณก็รู้ว่าถึงทำตาแป๋วไปก็ไร้ประโยชน์ สำหรับผม คุณปิดบังสิ่งที่คิดในใจไม่ได้หรอก” เขาทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกเธอมองเป็นผู้ชายชอบหว่านเสน่ห์ ซึ่งเขาเกลียดที่สุด หนุ่มหน้าตาดีอย่างเขาน่ะไม่จำเป็นต้องหว่านเสน่ห์หรอก…เขาคิดอย่างหงุดหงิด

ดุจดาวมองใบหน้าและใบหูที่แดงซ่านของเขาอย่างงงงวย เขาพยายามสลัดความรู้สึกนั้นทิ้งไป กัดฟันพูดเข้าประเด็น “จริงๆ แล้วมันมีความทรงจำหนึ่งของคุณที่ผมมองเห็นตั้งแต่แรก แต่ผมไม่ได้บอก กลัวจะช็อกไปเสียก่อน” เขายิ้มเยาะ “คุณเกิดที่โรงพยาบาลปางบุญ โรงพยาบาลประจำจังหวัดบ้านเกิด ตอนอายุได้ 7 วันเกิดไฟไหม้รุนแรงที่ห้องไอซียูเด็ก ดุจเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่พ่อคุณช่วยเอาไว้ได้ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต” แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ฉกาจไม่ยอมบอกเธอ…เขาคือทารกชายที่นอนอยู่เตียงข้างๆ นั่นแหละ

“อ้อ…แล้วที่คุณเหมารวมผมกับชีปะขาว เป็นพวกมนตร์ดำ ผมรู้คุณไม่ได้ตั้งใจแล้วก็รู้สึกผิดที่ทำให้หมอฤทธีกับดาบป๊อกเข้าใจผิด แต่คุณแค่หงุดหงิด หมั่นไส้ แล้วก็พาล ไม่อยากทำงานร่วมกับพ่อมดหมอผี เพราะไม่ได้ใช้ความสามารถตั้งแต่คดีแรก” สิ่งที่เขาเอ่ยทุกเรื่องตรงเผง แม่นเหมือนตาเห็น “แล้วคุณก็ยังหมั่นไส้ที่ไอ้พี่เริงมันเชื่อทุกอย่างที่ผมบอก”

เธอตกตะลึง ความจริงเธอเริ่มยอมรับความสามารถเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขามองเห็นพลาสติกสีขาวในมือศพ ไหนจะตอนที่เขาวิเคราะห์ฆาตกรในที่ประชุมอีก แต่เธอก็ยังไม่เชื่อสนิทใจ…ฉกาจส่ายหัวกับความรั้นไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ของเธอ

“เมื่อเช้าดุจทานแซนด์วิชไข่ 2 คู่ สลัด น้ำส้มคั้น แพนเค้กราดน้ำผึ้งต่อด้วยคอนเฟล็กใส่กล้วยหอมราดนมสด และตอนนี้ดุจกำลังคิดถึงผัดกะเพราหมูสับพิเศษไข่ดาวไม่สุก 2 ฟองของป้าแดงหน้าออฟฟิศ…” ผู้หญิงอะไรกินเก่งเป็นบ้า เขาอุทานในใจ

“ผมมองเห็นทุกอย่างผ่านความทรงจำของดุจ ที่จำต้องอ่านเพราะคุณเชื่อมั่นในตัวเองสูง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับคนเก่งอย่างคุณที่ฝ่าฟันมาได้ถึงวันนี้ แต่มันจะทำให้เราร่วมงานกันยาก ผมขี้เกียจมานั่งอธิบายทีหลัง ผมต้องยอมรับว่าประหลาดใจมากที่ดุจเข้ามาอยู่หน่วยงานนี้ ทั้งที่มีความคิดต่อต้านสิ่งเหนือธรรมชาติ”

ดุจดาวนิ่งอึ้งต่อไปอีกพักใหญ่ พอรวบรวมสติได้เธอถอนหายใจยาวแล้วพึมพำออกมาว่า “เรื่องที่ฉันรอดตายมันเกิดขึ้นตอนเด็กๆ ฉันจำอะไรไม่ได้หรอก แต่แม่เคยเล่าให้ฟัง ที่นายบอกมาถูกต้องทุกอย่าง…”

วินาทีนี้เธอยอมรับความสามารถของเขาอย่างไร้ข้อกังขาใดๆ ทั้งอดีตของเธอ ทั้งมื้ออาหาร เขาก็มีด้านดีในความยียวนที่แกล้งแสดงให้เห็นอยู่บ่อยๆ อย่างเรื่องที่เธอสำนึกผิด ฉกาจรู้ตั้งแต่แรกเจอ แต่ก็ไม่ได้เอามาฉีกหน้าเธอให้ได้อาย เขาช่วยเธอถนอมอีโก้ที่บางครั้งคนเราก็จำเป็นต้องมีไว้บ้าง ฉกาจกลั้นยิ้ม แสร้งทำหน้าเฉย นี่เธอลืมไปแล้วหรือว่าเขาอ่านทุกสิ่งที่เธอคิดได้

“พี่เริงเตือนแล้วเรื่องที่ต้องเปิดใจให้กว้าง ฉันจะพยายามปรับตัวเปิดใจยอมรับเรื่องเหนือธรรมชาติ ฉันเลือกมาที่หน่วยงานนี้เพราะคิดว่ามันแปลกและท้าทายความเชื่อของตัวเอง อีกอย่างหนึ่งพี่เริงเป็นไอดอลที่ฉันชื่นชมในฝีมือ พอได้เข้ามาสัมผัสงานแล้ว มันยังมีอะไรที่ฉันไม่รู้ ไม่เข้าใจและนอกเหนือการยอมรับอีกเยอะ แต่ฉันจะพยายามสืบสวน 2 คดีนี้ให้กระจ่างด้วยข้อเท็จจริง”

เขายอมรับว่าความมีเหตุผลของหญิงสาวตรงหน้านั้นน่าประทับใจ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ได้เจอกันที่หนุ่มสาวทั้งคู่รู้สึกได้ถึงมิตรภาพในฐานะเพื่อนร่วมงาน

“ฉันโตมากับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องอยู่กับโลกความจริง…ถึงฉันเปิดใจยอมรับได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติทุกเรื่อง”

ดุจดาวพูดออกไปแล้วอดนึกแปลกใจที่เรื่องส่วนตัวของเธอที่ไม่เคยเปิดเผยกับใคร พรั่งพรูออกมาง่ายๆ สบายๆ กับผู้ชายที่ก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง เธอกับเขายังฮึ่มฮั่มใส่กันอยู่เลย

“ฉันมีคำถามอยากถามนายอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุผลให้ฉันวิ่งตามมา ที่นายบอกในห้องประชุมว่าฆาตกรล่วงรู้อนาคตได้ เป็นเพราะเขาไม่ใช่มนุษย์หรือเปล่าคะ”

 “ตัวผมเองก็มองเห็นความทรงจำได้ แล้วผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ผมบอกไม่ได้ว่าเรากำลังเจอกับอะไร แต่ผมสังหรณ์ใจว่า เขาน่าจะลงมือฆ่าอีกเร็วๆ นี้แน่นอน”

 



Don`t copy text!