ดวงตามัจจุราช บทที่ 4 : ศพที่ 3 และศพที่ยังไม่พบ?
โดย : ตะวันยอ
ดวงตามัจจุราช โดย ตะวันยอ นวนิยายแนวเหนือจริงที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์…เมื่อตำรวจสาวผู้มากด้วยความสามารถต้องกลายมาเป็นคู่หูกับชายหนุ่มผู้มองเห็นความคิดและความทรงจำสุดท้ายของคนตาย การผจญภัยเสี่ยงชีวิตด้วยกันจึงเกิดขึ้น และแม้คดีมากมายจะจบลง แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
*************************
– 4 –
สภาพศพหญิงวัยกลางคนเปลือยกายล่อนจ้อน อวัยวะเพศถูกจ้วงแทงจนเละ หน้าอกทั้งสองถูกเฉือนทิ้งไว้ข้างศพ ฉกาจนั่งเพ่งมองใบหน้าศพที่ก่อนเสียชีวิตแสดงความทรมาน ดวงตาเหลือกถลน อ้าปากค้าง
และตอนนี้เจ้าตัวก็ได้มานั่งร้องไห้เสียงดังโหยหวนอยู่ข้างๆ เขา “โอยยยย ทรมาน ทรมานเหลือเกิน…” วิญญาณเอาแต่ร่ำร้องพูดคำคำนี้ซ้ำวนไปวนมา
“ใครฆ่าคุณ” ฉกาจร้องถาม พยายามใช้ความใจเย็นในการสื่อสาร วิญญาณส่ายหน้าน้ำตานอง “ทรมาน…ช่วยด้วย ช่วยที”
“แล้วจะให้ช่วยอะไรบ้างล่ะครับป้า” เขาปวดหัวตุบๆ ด้วยเสียงกรีดร้องแหลมบาดแก้วหูของวิญญาณ จนทนไม่ไหว ต้องยกมือขึ้นมาปิดหู ร้องตะโกนลั่น
“จะให้ช่วยอะไรก็บอกมา อย่าทำแบบนี้ ผมปวดหัว” มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมีมือหนึ่งเอื้อมมาจับตัวเขาเขย่า
“เก่งๆ นายเป็นอะไร” เขาลืมตาขึ้นเห็นผู้กองดุจดาวอยู่ข้างๆ กำลังมองเขาอย่างตื่นตระหนก
“ไม่มีอะไร” เขาลดมือทั้งสองข้างที่ปิดหูลง ตอบหน้าเฉย วิญญาณที่นั่งข้างเขาหายไปแล้ว แต่สายตาของดุจดาวยังมองเขาด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
“ผมไม่ได้บ้า!” เขากัดฟันกรอด โพล่งออกมาหลังมองเห็นความคิดของเธอ
“ฉันขอโทษ…เผลอคิดไป ไม่ได้ตั้งใจ” เธอกล่าวเสียงอ่อย อุตส่าห์ญาติดีกันได้แล้วแท้ๆ เหลือบมองเห็นใบหน้าเขานิ่งเฉยติดจะเย็นชาด้วยซ้ำ เธอไม่รู้ว่าในหัวเขาตอนนี้ครุ่นคิดหาคำตอบอย่างหนัก เขาสัมผัสวิญญาณได้ถึง 2 ครั้งหลังเข้ามาช่วยงาน OSCI ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยมีความสามารถพิเศษอะไรแบบนี้เลย มันคือสัญญาณบ่งบอกอะไรหรือเปล่า…สัญชาตญาณเขาบ่งบอกว่าคดีนี้ต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณร้าย!
ฉกาจมัวแต่ครุ่นคิดหาคำตอบ จนลืมหญิงสาวคนข้างๆ ไปเสียสนิท ความเงียบระหว่างกันสร้างความอึดอัดให้ดุจดาว เธอขยับตัวลุกขึ้น ฉกาจจึงรู้สึกตัว หันมามองแล้วตาโต อึ้งกับความอลังการของชุดราตรีสั้นผ้าชีฟองเนื้อดีสีฟ้าปักคริสตัลแพรวพราวที่ช่วงไหล่ และไข่มุกร้อยสายเล็กๆ รั้งบ่าไว้
“เสร็จจากนี่แล้ว ฉันต้องไปงานกาลาดินเนอร์กับคุณแม่ตอน 6 โมงเย็น” เธอรีบอธิบายเมื่อเห็นแววตานั้น “ขี้เกียจแวะเปลี่ยนชุดที่ไหน”
“ชุดไม่เข้ากะหน้าผม ควรปล่อยผม และแต่งหน้าโทนเข้มกว่านี้” เขาอดวิจารณ์ไม่ได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ยังเมินเฉยเย็นชาเป็นน้ำแข็งขั้วโลกกับเธออยู่เลย ดุจดาวอดขำไม่ได้ ผู้ชายคนนี้เป็นไบโพลาร์หรือเปล่าเนี่ยะ เธอเผลอคิดแล้วนึกขึ้นได้ ตกใจตาโตหันขวับมาเจอสายตาเขาที่จ้องมองเขม็ง
“ขอโทษ…อีกที เผลอคิดอีกแล้ว ใครมันจะห้ามความคิดตัวเองได้ล่ะ แล้วคุณว่าที่ฉันคิดมันจริงไหม” เธอทำปากกล้า ใจดีสู้เสือ ฉกาจแค่นยิ้มออกมาอย่างลำบาก
“ผมไม่ได้เป็นไบโพลาร์หรอก แต่กำลังพยายามทำให้บรรยากาศในการทำงานร่วมกันมันดีขึ้นไง ไม่เหมือนใครบางคน…ที่ช่างขยันทำให้อะไรๆ มันแย่ลง”
“แขวะเก่งเหมือนกันนะนาย” ดุจดาวปรายตามองริมฝีปากแดงๆ นั่นอย่างหมั่นไส้ “แต่ฉันอยากถาม เมื่อกี้นายคุยกะใคร” นี่เธอยังไม่ยอมหยุดสงสัยอีกเหรอ ฉกาจมองเธอด้วยแววตาคมกริบ
“อยากรู้จริงๆ ใช่ไหม” เขาถาม เธอพยักหน้าหงึกๆ มองเขาตาแป๋ว “ผมเห็นวิญญาณป้าคนนี้ไง” เขาชี้ไปที่ศพรายล่าสุดในคดีของ OSCI คราวนี้ดุจดาวตาโตพูดไม่ออก ได้แต่ยืนตัวแข็ง
“แล้วนี่ป๊อกกี้ไม่ได้มาด้วยเหรอ” เขาแสร้งทำเป็นไม่เห็นอาการนิ่งอึ้งตะลึงงันของเธอ แล้วถามถึงผู้ช่วยที่ปกติจะเป็นเงาตามตัวผู้กองดุจดาว
“ดาบป๊อกไปตามสืบพยานคดีเด็กชายตะวันกับลุงกล่ำค่ะ” ดุจดาวตอบเหมือนหุ่นยนต์ แล้วทรุดนั่งลงข้างๆ เขา “คุณเห็นวิญญาณจริงๆ เหรอ”
เขาพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก แต่พอได้ยินความคิดเธอเข้าจากที่ตั้งใจจะเงียบก็อดรนทนไม่ได้ต้องดุเธอออกมาว่า “ถ้าไม่อยากเชื่ออะไรที่คิดว่ามันค้านกับความเชื่อของตัวเอง ก็ไม่ต้องเชื่อ ไม่ต้องนั่งเถียงกันในหัวตัวเองให้วุ่นวาย ผมปวดหัว”
“ก็ใครใช้ให้มาอ่านความคิดฉันล่ะ นายนี่มันขี้หงุดหงิดตัวพ่อเลยนะ” เธอเถียงกลับบ้าง แต่พอเห็นเขาอึ้งๆ ไป ปากแดงๆ นั้นเม้มเป็นเส้นตรง เธอก็เริ่มรู้สึกตัว
“ความจริงเป็นดวงตามัจจุราชนี่ไม่ง่ายเลยเนอะ” เธอเริ่มสัมผัสได้ว่าอาการเหวี่ยงของเขาจะต้องเกิดจากปมอะไรบางอย่าง จึงชวนคุยหวังให้บรรยากาศระหว่างกันดีขึ้น เอาเถอะ…ช่วยๆ กันงานจะได้เดินหน้า “เจอทั้งผีเจอทั้งความคิดคนวุ่นวายไปหมด ฉันไม่ได้ตัดสินอะไรนายนะ เพราะว่าฉันไม่ได้เป็นนาย ถึงไม่เข้าใจทุกเรื่อง แต่ฉันยอมรับได้ เราพักศึกกันก่อนดีกว่าเนอะ”
เขาเองก็มองเห็นว่าเธอมีเจตนาดี จึงยอมลดการ์ดป้องกันตัวเองที่ติดเป็นนิสัยลง เอ่ยเสียงอ่อนลงว่า “ระวังรองเท้าลูบูแตงคุณจะเปื้อนเอานะ”
“อะ…รู้จักรองเท้าผู้หญิงด้วยเหรอ ฉันประหลาดใจนะ” เธอชวนคุยต่อ เพราะรู้สึกประหลาดใจจริงๆ
เขายิ้มน้อยๆ รวมกับผมที่ปรกหน้าทำให้ดูอ่อนเยาว์ลงไปมากเหมือนเด็กหนุ่มวัยมหา’ลัย “ผมเคยเห็นในความทรงจำผู้หญิงคนหนึ่ง รองเท้าส้นสูงพื้นแดงในตำนาน มันช่วยไขคดีของเธอด้วย”
“ใช่คุณลิลลี่ที่คุณพ่อคุณแม่เธอมามอบกระเช้าผลไม้ให้คุณหรือเปล่าคะ”
ฉกาจอมยิ้มแทนคำตอบ ความจำเธอแม่นมาก แล้วก็ยังหลุดพูดออกมาโดยไม่ทันคิดว่า เธอยืนแอบฟังสิ่งที่เขาและคุณลุงคุณป้าคุยกันอีกด้วย
“ยังไงคะ” เธอถามต่อด้วยความอยากรู้
“รอยส้นเข็มที่เธอจงใจเจาะที่เท้าฆาตกรเต็มแรงก่อนสิ้นใจ นำไปสู่การจับกุมฆาตกรได้”
ระหว่างที่ฟังเขาเล่า ดวงตากลมโตคู่นั้นก็แอบไล่สำรวจเสื้อเชิ้ตคอจีนสีขาวลายทางสีเทา พับแขนลวกๆ ยีนส์สีซีด และสนีกเกอร์สีเทาของเขาอย่างนึกนิยม รสนิยมใช้ได้ มิน่า วิจารณ์หน้าผมเธอ ปกติคงเป็นคอมเมนเตเตอร์ให้แฟนละสิ แต่ดูๆ ไป เขาเป็นผู้ชายหุ่นดีที่ใส่เสื้อผ้าแนวนี้แล้วชวนมองไม่อยากถอนสายตาเลย อ้อ…วันนี้นอกจากจะไม่ฮิปฮอปแล้ว ยังไม่เคี้ยวหมากฝรั่งด้วย
เขากลั้นยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชม ผมยังโสด จะพยายามมองผ่านว่าดุจกำลังแทะโลมผมทางสายตาอยู่ ชุดฮิปฮอปนั่นของรักธรรม ลูกชาย ผอ.คุณ ผมไปค้างบ้านเขา ไม่ได้เตรียมชุดไป ส่วนหมากฝรั่ง ไอ้ ผอ.จับยัดปากผม เพราะผมบ่นมันที่ลากผมมายุ่งกับ 2 คดี อ้อ ตอนนี้กลายเป็น 3 แล้วสิ”
ดุจดาวอึ้ง…เผลอลืมตัวอีกแล้วว่าเขาอ่านใจได้ รู้สึกเหมือนกำลังถูกละเมิดสิทธิทางความคิด
“แทะโลม?” เธอขึ้นเสียงสูงปรี๊ด คนอย่างดุจดาวไม่มีทางเสียละที่จะแทะโลมผู้ชายไม่ว่าจะหน้าไหนก็ตาม เธอฉุนกึก โบกไม้โบกมือวุ่นวาย “เอาละๆ ฉันยอมรับว่าฉันแอบมองการแต่งตัวของนาย แต่สาบานเลยว่าไม่ได้แทะโลม แค่รู้สึกว่าเสื้อผ้าแนวนี้นายใส่แล้วดูดีกว่าชุดฮิปฮอป…นี่ไม่ต้องอ่านฉันทุกเรื่องก็ได้ เอาเฉพาะเรื่องงาน”
เธอตวัดเสียงอย่างโกรธๆ ไม่รู้ว่าจะโกรธใครดีระหว่างตัวเองที่ทำไมชอบคิดซอกแซกเรื่องเขาอยู่ได้ หรือเขาที่ดันมาล่วงรู้ความคิดน่าอายของเธอ
ฉกาจยิ้มอย่างเป็นต่อ แม่คุณ…สิ่งที่เธอแอบทำน่ะ เขาเรียกว่าแทะโลมทางสายตา แต่เอาละ ไม่อยากให้เธอรู้สึกอับอายไปมากกว่านี้ จึงยอมยุติประเด็นนี้ไปโดยปริยาย แต่ก็อดรู้สึกดีไม่ได้นะที่โดนเธอแทะโลม เขาคิดขำๆ อยู่คนเดียว
“ผมรู้ด้วยว่าดุจเพิ่งกินอะไรมา…อื้อหือ…มื้อใหญ่เชียว แต่ผมจะไม่พูดให้ขายหน้า” เขาอวดเหมือนเด็กเพิ่งได้ของเล่นชิ้นใหม่ ดวงตาเป็นประกายด้วยความขบขัน ช่างต่างกับชายหนุ่มที่เย็นชาเป็นน้ำแข็งก่อนหน้านี้
“ขอบคุณนะคะที่ไม่พูด!” ดุจดาวลงเสียงหนักคำท้ายแล้วอดค้อนไม่ได้
“ก็ทีหลังมีอะไรดุจก็ถามผมตรงๆ อย่ามัวแต่คิดสิ”
ฉกาจตอบกลั้วหัวเราะที่แหย่เธอได้สำเร็จ อดงงตัวเองไม่ได้ว่า ช่วงระยะเวลาไม่กี่นาทีที่อยู่กับเธอ อารมณ์เขาหลากหลาย เหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทั้งที่เขาไม่เคยเป็นแบบนี้กับใครมาก่อน ฝั่งดุจดาวได้ยินแล้วตีหน้าขรึม ก่อนจะถามเรื่องงานที่อยู่ตรงหน้า เธอหันไปสำรวจรอบตัวเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ฉกาจมองกิริยานั้นอย่างเข้าใจ สารวัตรเริงเกียรติย้ำกับลูกน้องทุกคนให้ระมัดระวังการแอบติดตามของนักข่าว โดยเฉพาะเพจตามส่อง OSCI
“ไม่มีใครอยู่แถวนี้หรอก”
“นายเห็นอะไร…ใช่ไหม วิญญาณป้าแกยังอยู่แถวนี้ไหม”
เขาส่ายหน้าปฏิเสธแล้วพูดอย่างเป็นการเป็นงาน “จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ในท้องที่ ศพนี้ชื่อ นางละม้าย อายุ 40 ปี ที่ผมเห็นจากความทรงจำสุดท้ายของเธอ เธอถูกปีศาจดำและปีศาจขาวฆ่า”
ภาพความหวาดกลัวจากความทรงจำสุดท้ายของนางละม้ายฉายชัด เสียงท่อง “กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี สิกขา ปะทัง สมาทิยามิ” ของปีศาจดำยังดังก้องติดหูเขา ขณะที่ปีศาจขาว สมุนคู่ใจจับตัวเหยื่อมัด วาระสุดท้ายเธอดิ้นรนกรีดร้องสุดชีวิต ฉกาจเบือนหน้าหนีเมื่อปีศาจดำคว้าหอกจ้วงทิ่มแทงอวัยวะเพศสุดแรง จนเหยื่อกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก่อนจะแน่นิ่งไป แล้วใช้มีดเฉือนหน้าอกทั้งสองข้างของเธออย่างโหดเหี้ยม ใช้กรรมวิธีเดิมที่เคยใช้กับ 2 ศพที่แล้ว…แนบมือกับหน้าอกข้างซ้าย มันโหดเหี้ยมมากที่เลือกทรมานเหยื่อก่อนจะจบชีวิตเธอ ฉกาจถ่ายทอดให้เธอฟัง มิน่า วิญญาณป้าละม้ายจึงทุกข์ทรมานมาก
“ย้อนแย้งเหลือเกิน ลงโทษคนผิดศีลข้อสามด้วยการทำผิดศีลข้อแรก” เธอกล่าวอย่างฉุนเฉียว ก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่ดังระรัว “พี่หมอฤทธิ์เหรอคะ…ดุจเพิ่งถึง…”
ขณะที่ดุจดาวกำลังติดพันสายหมอฤทธี ฉกาจก็ลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ดวงตาอันว่องไวของเขาเหลือบเห็นผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มไทยมุงที่ดูคุ้นๆ เขาจึงหันไปมองเต็มตา จำได้ทันทีว่า นั่นคือผู้ชายที่ขี่มอเตอร์ไซค์พานายกล่ำหนี ยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นรอยแผลเป็นที่แก้มซ้าย ชายคนนั้นเมื่อเห็นฉกาจมองมา รีบแทรกตัวออกมาจากกลุ่มไทยมุง เดินแกมวิ่งผละไป ฉกาจออกวิ่งตามไปทันที โดยมีดุจดาว ซึ่งเขาเห็นนั่งคุยโทรศัพท์อยู่แหม็บๆ ก็ไวทายาด ปากสั่งให้หมอฤทธีแจ้งทีมแบ็กอัปตามไปในทิศทางที่ฉกาจวิ่งไป ก่อนจะวิ่งไล่ตามเขามาติดๆ
“เกิดอะไรขึ้น!”
“ผมเห็นผู้ชายที่พานายกล่ำหนีอยู่ในกลุ่มคนทางโน้น…ระวังเท้าจะพลิกเอานะดุจ” เขาวิ่งแล้วหันมาเตือน ขณะที่ดุจดาวบนลูบูแตงหัวแหลมสูงปรี๊ดกลับเร่งสปีดแซงหน้าเขาไปได้ เธอหันมาตะโกนว่า
“ตอนฝึก ฉันฝึกวิ่งบนส้นสูงด้วย”
เขานึกถึงหน้าไอ้เพื่อนรุ่นพี่ เริงเกียรติ มันคงจะทำหน้าทะเล้นแล้วร้องว่า เซอร์ไพรส์! เอออ เพิ่งรู้ว่า OSCI มีให้ฝึกวิ่งบนส้นสูงด้วย…แล้วผู้หญิงที่เพิ่งกินมื้อยักษ์มาเมื่อกี้กำลังวิ่งกวดสุดชีวิตอยู่ตรงหน้าเขา จะไม่จุกเอาหรือไง…เขาส่ายหัว เห็นหน้าหวานๆ ใช้แต่ของแพงๆ ดูเป็นคุณหนูไฮโซ ที่ไหนได้…ฉายา ‘สวยประหาร’ ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแน่ๆ เขาวิ่งจี้ตามไปเมื่อเห็นร่างเธอในชุดราตรีสั้นสับขารัวบนส้นสูง 5 นิ้วอย่างว่องไว อวดช่วงขาเรียวสวยให้มองเพลิน และทิ้งห่างเขาไปหลายช่วงตัวแล้ว
ทั้งคู่วิ่งไล่หลังชายแปลกหน้าเข้ามาในตรอกเปลี่ยวตันแห่งหนึ่ง หลังพากันยืนหอบอยู่อึดใจ กำลังมองหาเส้นทางหลบหนีที่น่าจะเป็นไปได้ ชายคนนั้นก็ปรากฏตัวออกมาจากซอกตึกบริเวณนั้น
“ขอโทษด้วยที่ต้องพามาไกลขนาดนี้ ผมต้องการความช่วยเหลือจากพวกคุณ”
“คุณเป็นใคร ต้องการอะไร” ดุจดาวถามชายแปลกหน้า มือซ้ายเธอกันฉกาจไว้ ส่วนมือขวาเธอเตรียมแตะต้นขา พร้อมที่จะคว้าปืนพกคู่ใจที่ซ่อนอยู่บริเวณนั้นออกมาทุกเมื่อ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล
“ผม…เทพา ผมเป็นคนสุดท้ายที่ได้เจอลุงกล่ำ และผมรู้ว่าคุณอ่านความทรงจำผมหมดแล้ว”
ฉกาจแตะแขนดุจดาวเบาๆ เขามองเธอส่งสัญญาณว่า ชายคนนี้ไม่มีอาวุธ ดุจดาวจึงลดมือลง แต่ยังไม่วายระแวดระวังตัวอยู่ในที
“ผมกำลังตามหาพ่อ พวกมันรู้ว่าลุงกล่ำบอกความลับผมเลยตามมาฆ่าปิดปาก แต่พ่อช่วยถ่วงเวลาให้ผมหนีเอาตัวรอด จนป่านนี้ผมยังติดต่อพ่อไม่ได้”
“คุณวางใจได้ เราจะช่วยคุณตามหาพ่อ”
ฉกาจรับปากเทพา ยังไม่ทันได้คุยต่อ ทั้งสามก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงกลุ่มฝีเท้าที่ดังเข้ามาใกล้ เทพาหันมามองหน้าฉกาจเหมือนกำลังรอคอยการตอบรับสัญญาที่มีเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้ ฉกาจพยักหน้ารับ
“แล้วผมจะติดต่อไปอีกที”
เทพาหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ไร้ร่องรอยเหมือนขามา เสียงฝีเท้านั้นวิ่งใกล้เข้ามาทุกที ฉกาจรีบฉุดแขนดุจดาวหลบเข้าซ่อนตัวในซอกตึก ทำเอาดุจดาวที่กำลังอ้าปากบอกให้เขาหลบหลังเธอเงียบไปอึดใจ ด้วยไม่เคยชินกับการได้รับความคุ้มครองจากเพศตรงข้าม ปกติตั้งแต่สมัยเรียนมาแล้ว ยังจะตอนทำงานอีก หลายครั้งเธอเป็นผู้คุ้มครองแทนการได้รับการปกป้อง ฉกาจใช้ร่างที่สูงใหญ่ของตัวเองต่างโล่กำบังให้เธอ พยายามไม่เอาเปรียบเธอด้วยการเข้าใกล้มากเกินไป รออึดใจ เห็นชัดว่าผู้มาใหม่เป็นหมอฤทธีและตำรวจอีก 2-3 นาย เขาจึงคว้าแขนเธอพาออกจากที่ซ่อน
“พวกคุณปลอดภัยดีไหม” หมอฤทธีที่เพิ่งหยุดวิ่ง ยืนหอบก่อนรีบถาม
“ปลอดภัยค่ะพี่หมอฤทธิ์ แหม…อีกนิดเดียวก็จะได้ความจากพยานคนสำคัญแล้วเชียว”
ดุจดาวปรับสีหน้า หงุดหงิดตัวเอง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่ามีคนคอยคุ้มครองแล้วรู้สึกอุ่นใจ ไม่น่ารำคาญเหมือนคราวก่อนๆ ที่เคยมีหนุ่มๆ หลายคนเคยพยายามมาแล้ว เธอหันไปส่งสัญญาณให้ตำรวจที่ตามมารีบกลับไปยังที่เกิดเหตุฆาตกรรม
“แม่เจ้าว้อยยย!” หมอฤทธีเพิ่งได้เห็นดุจดาวในชุดราตรีสั้น อุทานออกมา “นี่ไม่ได้ตั้งใจแต่งมาให้ใครเขามองใช่ไหม” เขาเย้าแล้วมองดุจดาวและฉกาจสลับกันไปอย่างมีเลศนัย
“บ้าน่ะสิ!”
ถึงไม่ใช่ความจริง แต่ก็อดหน้าร้อนขึ้นมาไม่ได้ เธอหันมาหาฉกาจที่ดูขรึมไปเหมือนไม่ได้ยินที่หมอฤทธีหยอกเย้า
“นายเห็นความทรงจำนายเทพาใช่ไหม”
เขาพยักหน้าอย่างใจลอย เธอรีบกล่าวต่อด้วยความอยากรู้ใจแทบขาดว่า
“นายเห็นอะไรบ้าง เล่าให้ฉันฟังหน่อย”
ฉกาจเสยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “นี่ใกล้จะ 6 โมงเย็นแล้ว ไหนดุจบอกต้องไปงานกาลานี่” ท้ายเสียงเขาอ่อนโยนจนตัวเองก็รู้สึก
“ตายแล้ว!” เธอยกนาฬิกาขึ้นมองอย่างตกใจ “งั้นฉันขอตัวไปก่อนนะ ไว้ค่อยคุยรายละเอียดกัน”
เขามองไล่หลังเธอที่กำลังวิ่งกลับไปเส้นทางเดิม แล้วถอนใจยาว หันมาเจอหมอฤทธีที่กำลังจ้องมองอย่างสงสัยในอากัปกิริยา และกำลังตั้งท่าจะถามเรื่องนายเทพา ฉกาจจึงเอ่ยปากว่า
“ผมยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์นัก แต่ผมหาความเชื่อมโยงของคดีฆาตกรรมทั้ง 3 คดีได้แล้ว มันอาจจะเกี่ยวข้องกับองค์กรที่มีชื่อว่า Reborn ซึ่งแม่ของดุจดาวเป็นผู้อำนวยการ”
ทั้งคู่ไม่ทันเห็นร่างเล็กๆ ที่แอบวิ่งตามหมอฤทธีมาตั้งแต่แรก พรรณรายหลบซ่อนตัวตามซอกตึกเพื่อไม่ให้ใครจับได้ เธอได้ยินคำพูดของฉกาจที่บอกกับหมอฤทธี เธอยิ้มกว้าง แววตามุ่งมั่น ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจะต้องตามสืบเรื่ององค์กร Reborn