เกมอาชา บทที่ 2 : นายหิน!
โดย : ภัสรสา
——————————————————-
เหลือม้าอีกเพียงสิบกว่าตัวให้เธอทำงานด้วย แต่สุมิตราไม่ซีเรียสเลยเพราะรู้ว่าแสงฉานกับฟุ้งฟ้าจะกลับมาวันนี้ อีกทั้งไม่ได้เก็บเงินกับเพื่อนไม่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบหลัก เธอจึงทำงานไปเรื่อยๆ หนักไปทางเล่นกับม้ามากกว่า แต่ในตอนที่ทำงานกับม้าตัวที่ห้า ก็ได้ยินเสียงวินิทราเอ่ยอาสา
“ให้วินจดผลตรวจให้ไหมคะ”
วินิทรารู้อยู่แล้วว่าการตรวจม้าของสุมิตรานั้นมีตั้งแต่การวัดลำตัวเพื่อให้รู้น้ำหนักม้า การให้คะแนนสุขภาพผิว ตา หู ปาก อุจจาระ การให้อาหารทั้งอาหารหยาบและอาหารข้นรวมไปถึงน้ำ นอกเหนือจากนั้นแล้วยังมีการตรวจสอบความสะอาดของที่นอนม้า ช่องการให้คะแนนต่างๆ ก็จำได้เป็นอย่างดี ดังนั้น หน้าที่นี้ไม่หนักหนา และเป็นการแบ่งเบาภาระของสุมิตราด้วย พอเห็นสุมิตราดูเกรงใจ จึงสำทับไป “ดีกว่าอยู่เฉยๆ ค่ะ”
ดังนั้น สุมิตราจึงยื่นส่งเอกสารที่ต้องบันทึกให้วินิทรา อดบอกไม่ได้ “ถ่ายพยาธิให้ม้าที่นี่ทีไร คิดถึงวีวิลวินมากค่ะ”
เพราะม้าที่วีวิลวินจะยืนนิ่ง ยอมให้ตรวจแต่โดยดี ไม่มีการโยกตัวหนี เล่นบ้าง แกล้งหยอกบ้าง บางตัวก็ต่อต้านไม่ให้เข้าใกล้ ส่วนยาถ่ายพยาธิ ม้าของวีวิลวินยอมกินง่ายมาก ไม่มีการส่ายหน้าหนี ไม่มีการเชิดคอสูงเพื่อให้ป้อนยาก ไม่มีการบ้วนทิ้ง แบบที่คาเสะทำอยู่นี่
“นังคาเสะ แกรู้ไหมว่ายาที่แกบ้วนทิ้งมันช็อตละเท่าไร พ่อแกไม่ว่าอะไร แต่เห็นใจคนหาเงินหน่อยไหม”
“โชคดีแค่ไหนแล้วที่พี่เข้มกินยาง่าย” ชนัญญูพูดขณะพยายามจับคาเสะให้อยู่นิ่งๆ เพื่อสุมิตราจะได้สอดกระบอกฉีดยาถ่ายพยาธิเข้าปากคาเสะได้ง่าย ใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะสำเร็จ
สุมิตราถึงกับถอนใจเฮือก ผลักหน้าคาเสะเบาๆ อย่างหมั่นไส้ ก่อนหันมาหาชนัญญู “ถ้าพี่เข้มกินยายาก เรื่องอะไรต้องไปเสี่ยงให้เขางับนิ้วฉันเล่น ก็ให้พ่อมันป้อนเอง”
วินิทราเงียบนิ่ง ไม่มีส่วนร่วมในการสนทนา กระทั่งตรวจม้าไปได้สักสิบกว่าตัว จึงเปิดประเด็นเอง “ม้าที่นี่นิสัยเสียเป็นส่วนใหญ่เลยนะคะ”
ชนัญญูอมยิ้ม ไม่พูดอะไร ขณะสุมิตราหัวเราะร่วน เป็นคนตอบวินิทรา
“ก็นิสัยเสียเหมือนพ่อมันแหละค่ะ”
วินิทรามองหน้าชนัญญู ซึ่งรีบบอกทันที
“แซมหมายถึงซันครับ ไม่ใช่พี่”
“ร้อนตัวเหรอ” สุมิตราได้โอกาส ‘แซะ’ เพื่อนทันที ยิ่งพอเห็นชนัญญูหันมองด้วยหน้าตาเหมือนอยากเถียงแต่เถียงไม่ได้แล้ว ยิ่งขำจนหัวเราะคิกคักอย่างไม่ไว้หน้า ก่อนยอมกู้หน้าให้เพื่อนด้วยการบอกวินิทรา “พี่หมายถึงซันจริงๆ ซันค่อนข้างสปอยล์ม้า แต่ยังไม่เท่าอีกคอกนะคะ”
ชนัญญูเดาได้ทันที “คอกลุงเฮงสินะ”
สุมิตราหัวเราะ ขยายความให้วินิทราฟัง “คอกลุงเฮงนี่ เป็นแหล่งรวมม้าอินดี้ค่ะ พี่เข้าไปทีไรได้ขำตลอด”
วินิทรายิ้มรับ เดินตามสุมิตรากับชนัญญูไปอีกคอกหนึ่ง ได้ยินเสียงสุมิตราบอก
“ฉันทำลูฟตัวสุดท้ายนะช้าง จะไปหาลุงเฮง เห็นว่ามีม้าใหม่เข้าคอก” สุมิตราบอกแล้วทำงานต่อ จนกระทั่งเข้าคอกลูฟจึงได้ยินเสียงวินิทรา
“ตัวนี้น่ารักเชียวค่ะ”
สุมิตราจึงหันมาให้ข้อมูล แต่ไม่วายหันไปส่งสายตาหมั่นไส้ให้เพื่อน “ตัวนี้ที่รักของช้าง ชื่อลูฟค่ะ ช้างเป็นคนฝึก”
ชนัญญูหันไปยิ้มกับวินิทรา “โชคดีว่าเคยเลี้ยงเด็กดื้อมาก่อน เลี้ยงม้ากลายเป็นงานเบาๆ ไปเลย”
วินิทราพยายามวางหน้าเฉย แต่ไม่สำเร็จเท่าไร มันเลยกลายเป็นว่าเธอกำลังทำหน้าบึ้ง สุมิตราเห็นดังนั้น จึงพยายามแก้ไขบรรยากาศด้วยการชวนคุยต่อ
“นอกจากลูฟ ตอนนี้การะเกดก็มาแรงค่ะ เป็นเด็กดี ขี้อ้อนมาก” จากนั้นหันมาทางชนัญญู “ก็เหมือนคนฝึกเขาแหละเนอะ”
ชนัญญูพยักหน้ารับ ก่อนพยักพเยิดไปอีกทาง “โน่นไง มาพอดี” ชายหนุ่มหันไปทางวินิทรา “ซันมาแล้วครับ”
วินิทราหันไปมอง เห็นว่ามีรถคันหนึ่งมาจอดหน้าคลับเฮาส์ แต่ก็แปลกใจ ทำไมเดี๋ยวบอกว่าคนชื่อซันทำม้านิสัยเสีย แล้วเมื่อกี้ก็บอกว่าการะเกดเป็นเด็กดี ขี้อ้อนเหมือนคนฝึก
“คุณซันเป็นคนฝึกการะเกดหรือเปล่าคะ”
สุมิตราส่ายหน้าระรัว “ถ้าซันฝึกนี่ การะเกดแสบตามคาเสะไปติดๆ แน่ค่ะ คนฝึกการะเกดเป็นภรรยาซันค่ะ”
พูดเสร็จก็เก็บของทุกอย่างให้เข้าที่ เพื่อให้คนที่จะมาทำต่อทำงานได้ง่ายขึ้น “ฉันไปแล้ว ที่เหลือให้ซันมาทำต่อแล้วกัน พี่ไปก่อนนะน้องวิน”
สุมิตรารับไหว้วินิทรา หันไปพยักหน้ากับชนัญญูตอนเพื่อนบอก
“ขับรถดีๆ ล่ะ”
สุมิตราเดินออกจากกลุ่ม โบกมือให้แสงฉานกับฟุ้งฟ้าเมื่อทั้งคู่หันมอง ส่งเสียงบอกเมื่อเข้าใกล้พอ “ฉันไปหาลุงเฮงก่อนนะ”
แสงฉานเอ่ยชวน “กินข้าวกันก่อนสิ”
สุมิตราส่ายหน้าทันที “ไม่ ลุงเฮงทำสเต๊กเผื่อแล้ว”
เท่านั้นแสงฉานก็ทำหน้าเหม็นเบื่อให้เห็น รู้ว่าคงทั้งหมั่นไส้ที่เธอทิ้งเพื่อนไปกินสเต๊ก ทั้งอิจฉาเพราะสเต๊กของเฮงอร่อยระดับห้าดาว เลยทำหน้า ‘เหนือ’ ใส่แสงฉาน ก่อนหันไปยิ้มขำกับฟุ้งฟ้าแล้วเดินเลยไปยังคลับเฮาส์ เข้าไปสวัสดีนภากับปุยฝ้ายแล้วออกเดินทางไปบ้านของเฮง
สุมิตรารักม้า อยากมีคอกม้าเป็นของตัวเองแต่คงต้องรอหลังจากเกษียณแล้ว เพราะด้วยหน้าที่การงานตอนนี้ทำให้เธอไม่เหมาะที่จะเลี้ยงสัตว์ ไม่ต้องพูดถึงม้าที่รายละเอียดเยอะมาก แค่หมาหรือแมวก็ไม่ควร เพราะไม่ว่าสัตว์ชนิดไหนก็ต้องการความรักและความใส่ใจ ขืนเธอมีสัตว์เลี้ยงขึ้นมาคงไม่ได้ตะลอนๆ ดูแลม้าทั่วราชอาณาจักรแบบนี้อีกแน่ เลยต้องอาศัยฟัดม้าคนอื่นไปเรื่อยแบบนี้ก่อน และสองที่ที่ทำให้เธอฟัดม้าได้แบบสบายใจประหนึ่งเป็นม้าของตัวเอง
นอกจากซันแอนด์สกายแล้ว ก็มีคอกทริปเปิ้ลเอช ที่มาจาก ‘เฮง ฮอร์ส เฮาส์’ อีกคอกนี่แหละ ที่สำคัญที่นี่มีม้ารักของเธอ อาชาชัยเป็นม้าตัวแรกที่เธอใช้แข่งขันในสนามจริงเป็นครั้งแรกตอนอายุสิบสามปี ตอนนั้นอาชาชัยเพิ่งได้ห้าขวบ สามปีก่อนอาชาชัยกลายเป็นม้าปลดเพราะพยาธิขึ้นตาจนต้องเสียตาไปข้างหนึ่ง สุมิตราอยากเป็นคนดูแลแต่ก็ติดเรื่องภาระหน้าที่ของตน เฮงรู้เรื่องจึงแอบไปประมูลและพามาเลี้ยงที่คอกให้ นั่นทำให้สุมิตรายิ่งรักและนับถือเฮงเหมือนพ่อมากขึ้นไปอีกจากที่รักและนับถือมากอยู่แล้ว การได้มาอยู่คอกเฮงทำให้สุมิตราเบาใจว่าอาชาชัยจะมีความสุขที่สุด อาจจะมีความสุขมากกว่าที่เคยมีมาทั้งชีวิตด้วยซ้ำ
และสุมิตราตั้งใจว่าจะอยู่ฟัดอาชาชัยให้หนำใจก่อนค่อยดูอีกทีว่าจะไปไหนต่อ อาจจะกลับไปอยู่ลำพังที่บ้านตัวเองสักพักต่อด้วยทริปล่าแสงเหนือ ไปเที่ยวนครวัดนครธมซึ่งอยากไปมานานแล้ว ไปหาปลาดิบอร่อยๆ ที่ญี่ปุ่น ไปอาบแดดที่มัลดีฟส์ สุมิตราเคยโดนคนไม่สนิทถามกึ่งกระแนะกระแหนว่าทำไมต้องไปเที่ยวต่างประเทศตลอด เมืองไทยไม่น่าเที่ยวหรือ หรือเงินเหลือเก็บเยอะไป ซึ่งนั่นไม่ใช่เหตุผลเลย เหตุผลคือถ้าเธอยังอยู่ในไทย อย่างไรก็ไม่ได้เที่ยว ต้องมีงานเข้าตลอด ถ้าอยากพักจริงๆ ต้องหนีออกต่างประเทศและทำตัวติดต่อไม่ได้ ทว่าคำตอบของเธอที่ตอบกลับไปกระชับและได้ใจความกว่านั้น…
‘เรื่องของเรา’
ถ้ากล้ามาแซะเธอแล้วคิดว่าจะเธอจะไม่โต้ตอบ ก็ยังถือว่ารู้จักสุมิตราน้อยไป ถ้ารู้จักกันน้อยไปก็ไม่มีอะไรต้องเกรงใจกัน นั่นคือหลักการของสุมิตรา!
ซื้อเกมอาชาฉบับรวมเล่มที่ www.naiin.com
เพื่อสนับสนุน ‘ภัสรสา’ และเว็บไซต์อ่านเอา
เฮงมีกิจการรีสอร์ตซึ่งอยู่ด้านหน้าของบริเวณที่ดิน กั้นกลางด้วยสนามหญ้าขนาดใหญ่เป็นเนินสูงต่ำสลับกันไป คอกม้าจะอยู่ทางด้านหลัง แขกของรีสอร์ตสามารถเห็นได้ แต่คนภายนอกที่ผ่านไปมาจะไม่มีโอกาสเห็นเลย ถัดจากคอกม้าไปจึงเป็นส่วนของบ้านพักอาศัยส่วนตัวของเฮง ซึ่งอยู่บนเนินสูงและมีทิวทัศน์ที่สวยงาม เพราะเมื่อเปิดประตูออกมาจะเห็นทั้งบริเวณคอกม้าและรีสอร์ตได้ชัดเจน
ก่อนหน้านี้เมื่อสุมิตรามาทำงานที่นี่ เฮงจะเปิดห้องในรีสอร์ตให้นอน แต่ปีที่แล้วเฮงเพิ่งปรับปรุงบ้านใหม่ จากบ้านหลักหลังเดียว เฮงสร้างบ้านหลังเล็กขนาดหนึ่งห้องนอนเพิ่มอีกสามหลังโดยมีทางเชื่อมเชื่อมทางด้านข้างเข้ากับระเบียงรอบตัวบ้านยาวแขนละห้าเมตร ซึ่งทำให้บ้านทุกหลังเชื่อมถึงกันหมดเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ตรงกลางเป็นลานที่เฮงหมายมาดว่าจะเอาไว้ย่างสเต๊กกินด้วยกันยามมีโอกาสรวมพล บ้านใหม่ทั้งสามหลังนั้นมีหนึ่งหลังเป็นของลูกชายเฮง ที่เหลือเป็นของเธอกับแสงฉานคนละหลัง ส่วนทางเข้าก็มีแยกไปอีกทางเข้าถึงบ้านได้เลย ไม่ต้องเข้าปะปนกับแขกของรีสอร์ต สุมิตราชอบแบบนี้มากกว่าเพราะมันใกล้คอกม้ามากกว่าชนิดเดินไปได้ ไม่ต้องขับรถนั่งไฟฟ้าหรือขี่ม้าไปแบบตอนพักที่รีสอร์ต
ลงจากรถเอาของเก็บเรียบร้อย สุมิตราก็ดิ่งตรงไปหาอาชาชัย ซึ่งส่งเสียงทักโยกตัวไปมาทันทีที่เห็น พอเธอเปิดประตูคอกเข้าไป อาชาชัยก็เข้ามากอด สุมิตราเองก็กอดอาชาชัยแน่น ตบบ่าเสียงดังก่อนเริ่มเกาเนื้อเกาตัวให้อย่างเอาอกเอาใจ จูบคอที่พาดอยู่บนไหล่เธอไปหลายฟอดก่อนบอก “คิดถึงเหมือนกัน”
หลังฟัดอาชาชัยอยู่สักพัก โทรศัพท์มือถือเธอก็สั่นครืด พอเห็นว่าเฮงโทรมาจึงรีบรับสาย “ฮะ ลุงเฮง”
“สเต๊กพร้อมแล้วนะ วันนี้กินที่ห้องมะลิกัน”
ห้องอาหารและห้องจัดเลี้ยงของเฮงจะตั้งชื่อเป็นดอกไม้ไทย ซึ่งสุมิตรารู้มาว่าเป็นเพราะน้ำหอม ภรรยาของเฮงที่เสียชีวิตไปนั้นชื่นชอบดอกไม้ไทยมาก บริเวณบ้านและรีสอร์ตของเฮงก็ปลูกไว้เยอะ สุมิตราแปลกใจนิดหน่อยเพราะห้องมะลิถือเป็นห้องใหญ่ จุคนได้ราวๆ สิบคน กระนั้นก็ตอบรับ “ได้ฮะ แซมถึงแล้วแหละ มัวแต่มาเล่นกับอาชาชัย เดี๋ยวรีบไป”
เฮงตอบรับและวางสายไปแล้ว สุมิตราจึงผละออกมาจูบจมูกอาชาชัยอีกสามทีติด เดินไปยังโรงรถนั่งไฟฟ้าที่จอดอยู่อีกทางเพื่อขับไปยังส่วนของรีสอร์ต มุ่งหน้าไปยังห้องมะลิ เคาะประตูสองทีก็เปิดออก แปลกใจนิดหน่อยที่เห็นคนอื่นอยู่ในห้องด้วย แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็เริ่มไม่แปลกใจ เพราะเป็นคนที่เธอมักเจอบ่อยๆ ถ้ามาที่นี่ สุมิตราไหว้เฮงก่อนส่งยิ้มทักทายบุษบัณ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการซักรีดขนาดใหญ่ในตัวจังหวัด เฮงใช้บริการของร้านซักรีดบุษบัณเช่นกัน เพราะนอกจากทำงานดีมีคุณภาพแล้ว พ่อของบุษบัณยังเป็นรุ่นพี่ที่เฮงเคารพนับถือด้วย จริงๆ แล้วบุษบัณอายุมากกว่าเธอสี่ปี ปีนี้สุมิตราสามสิบเอ็ด บุษบัณสามสิบห้า ทว่าอีกฝ่ายเป็นคนบอกว่าไม่ต้องไหว้สุมิตราเลยทำตามที่รุ่นพี่สบายใจ
คิดไปแล้วสุมิตราก็อดขำอยู่ในใจไม่ได้ นี่เธอสนิทกับเฮงขนาดรู้ตื้นลึกหนาบางในครอบครัว แถมสนิทกับคนรอบตัวเขาขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ
“มาตรวจม้าเหรอคะหมอแซม” บุษบัณเอ่ยถามหลังสุมิตรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว แต่สุมิตรายังไม่ทันได้ตอบ เฮงกลับเป็นคนตอบให้ “อามีม้าใหม่เข้าคอกน่ะ เลยต้องให้แซมมาดู”
บุษบัณหันไปยิ้มกับเฮง “เดี๋ยวกินเสร็จแล้วจะไปดูกันเลยหรือเปล่าคะคุณอา”
เฮงส่ายหน้า “ว่าจะให้แซมพักก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
“ถ้างั้นพรุ่งนี้หนูบุษมาดูหมอแซมตรวจม้าด้วยคนได้ไหมคะ”
“เอาสิ แซมจะได้มีเพื่อนคุยด้วย” พูดจบเฮงก็หันไปมองสุมิตรา ซึ่งส่งยิ้มและรีบบอกทันที “ค่ะ มาเลย”
บุษบัณคุ้นกับม้า และเท่าที่เคยพบเจอหญิงสาวไม่ทำอะไรที่ ‘เกะกะ’ การทำงานของสุมิตรา ถ้าแบบนี้สุมิตราไม่มีปัญหาแน่นอน!
สุมิตรากำลังนอนดูดาวตรงระเบียงหน้าบ้าน แม้ไฟรอบบริเวณจะค่อนข้างสว่างทว่าการได้เห็นแม้เพียงดาวหลักๆ ไม่กี่ดวงก็ทำให้สุมิตราสบายใจขึ้น เพราะมันหมายถึงเธอกำลังได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ปกติช่วงทำงานสุมิตรามักยุ่งจนไม่มีโอกาสได้มองฟ้ามองดาวนัก
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้สุมิตราหันไปมอง เห็นเป็นเฮงจึงลุกขึ้นนั่ง เอ่ยถาม “ยังไม่นอนเหรอ”
เฮงเดินมานั่งบนเก้าอี้ตัวข้างๆ สุมิตรา ก่อนตอบ “รอหินโทรหาอยู่ เห็นแซมเลยเดินออกมาดูก่อน”
หิน หิรัณย์ ลูกชายคนแรกและคนเดียวของเฮง เป็นแก้วตาดวงใจ เป็นลูกหัวแก้วหัวแหวน อะไรก็ตามที่จะทำให้เห็นภาพว่าเฮงรักลูกชายคนนี้มาก มากกว่าชีวิตตัวเอง สุมิตราจะยกให้หมดเลย หิรัณย์ถือเป็นของล้ำค่าชิ้นสุดท้ายที่ภรรยาของเฮงมอบให้ ก่อนจากไปพร้อมลูกคนที่สองซึ่งยังอยู่ในท้องตอนหิรัณย์ครบสามขวบ สุมิตรารู้ว่าหลังจากนั้นเฮงไม่เคยให้ผู้หญิงคนใดเข้ามาแทนที่ภรรยา ไม่เคยยอมให้หิรัณย์มีแม่เลี้ยง แน่นอน การเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวของเฮงส่งผล… นายหินนั่นกลายเป็นเด็กสปอยล์ขั้นสุด เย่อหยิ่ง หัวสูง เอาแต่ใจตัวเอง ไม่เห็นหัวใคร ก่อนหิรัณย์ไปเรียนขี่ม้าที่ฝรั่งเศส เธอมีโอกาสได้พบเจอพูดคุยกับเขาอยู่บ้าง และบางครั้งก็อยากจับหัวเขาโขกคอกม้าหนักๆ อยู่เหมือนกัน
โอเค ไม่ใช่แค่บางครั้งหรอก บ่อยครั้งเลยแหละ!
“ตกลงช่วงพักงาน แซมมาอยู่ที่นี่นะ”
สุมิตรายิ้มประจบใส่เฮง ก่อนสารภาพ “ก่อนออกมานั่งดูดาวนี่ แซมจองตั๋วเครื่องบินไปเที่ยวเรียบร้อย บินอาทิตย์หน้า”
เฮงถึงกับทำหน้าเสียดายอย่างไม่ปิดบัง แต่ถามต่ออย่างมีความหวัง “แล้วกลับเมื่อไร”
สุมิตราเลยยิ่งรู้สึกผิด “แซมกะเที่ยวสักสามเดือน แล้วจะไปอยู่กับร็อบที่อเมริกายาวเลยค่ะ”
เฮงรู้จักร็อบ หรือโรเบิร์ต ถึงแม้จะไม่เคยเจอหน้ากัน โรเบิร์ตเป็นเพื่อนสนิทของพ่อสุมิตรา เป็นพ่อทูนหัวของสุมิตราด้วย ตอนสุมิตราเสียพ่อใหม่ๆ โรเบิร์ตทิ้งงานของตนที่อเมริกามาอยู่กับสุมิตราร่วมเดือน ทั้งคู่ยังติดต่อพูดคุยกันสม่ำเสมอจนถึงปัจจุบัน การไปอยู่กับโรเบิร์ตนั้นถ้ามองในแง่ดีคือสุมิตราต้องเก่งขึ้นอีก เพราะโรเบิร์ตเองก็รักม้าและเลี้ยงม้ามาเกือบตลอดชีวิตของตัวเอง มีภูมิความรู้ที่พร้อมส่งมอบให้สุมิตรามากโข แต่เฮงก็ผิดหวัง จึงถอนใจยาว พูดคล้ายจะบ่น “ลุงนึกว่าจะมีเพื่อนอยู่ก่อนหินจะกลับ”
สุมิตรากำลังจะถามกำหนดการกลับบ้านของหิรัณย์ จะได้รู้ว่าตนควรเลี่ยงเข้ามาที่นี่ช่วงไหน แต่โทรศัพท์ของเฮงดังขึ้นเสียก่อน เห็นสีหน้าชุ่มชื่นแล้วเดาได้ว่าคงเป็นหิรัณย์โทรมา เฮงกดรับสายก่อนภาพของหิรัณย์จะปรากฏบนหน้าจอ สุมิตรามองหน้านิ่งๆ ของเขาแวบเดียวก็หงุดหงิดแล้ว จึงเงยหน้ามองดาวหาสุนทรียภาพให้ตัวเองต่อ
ส่วนเฮงก็ส่งเสียงทักลูก “เป็นไงลูกหิน”
“เรื่อยๆ… พ่อไม่ได้อยู่ในห้องนี่”
“อ๋อ พ่อออกมานั่งคุยกับหมอแซม”
“อ้อ… สวัสดีหมอแซม”
สุมิตราถึงกับเลิกคิ้ว ไม่คาดว่าเขาจะส่งเสียงทัก เอนตัวเข้าหาเฮงซึ่งก็เบี่ยงโทรศัพท์มา มองหน้าหิรัณย์ แล้วกระตุกมุมปากให้ดูหนึ่งที “สวัสดีค่ะ สบายดีนะคะ”
หิรัณย์ยกมุมปากน้อยกว่าที่สุมิตราทำให้ดู “ถามตามมารยาทก็ต้องตอบตามมารยาทว่าสบายดี”
ดู… เขา… สิ… สุมิตราหันมองหน้าเฮง ซึ่งก็หัวเราะ บอกลูกด้วยน้ำเสียงเอ็นดูอย่างที่สุมิตราได้แต่กลอกตา ตะโกนลั่นอยู่ในใจ ลูกลุงไม่น่าเอ็นดูสักนิด!
“ไม่เอาหิน ก็อย่าไปกวนหมอแบบนั้น เดี๋ยวกลับมาก็ต้องให้หมอแซมช่วยหลายเรื่องนะ”
สุมิตราขมวดคิ้ว เอ่ยถามทันที “ช่วยเรื่องอะไรคะ”
“ถามทำไม เดี๋ยวตอนผมกลับก็รู้”
อ้าว… นี่ว่าเธอเผือกสินะ สุมิตราหัวเราะหึ “อยากจะมีเวลาคุยกันตามลำพังจังเลยค่ะคุณหิน”
นั่นทำให้เฮงหัวเราะร่วน รู้ว่าถ้าตนไม่นั่งตรงนี้ลูกชายคงโดนหมอม้าสายโหดอย่างสุมิตราวีนแตกไปแล้ว เขาเป็นพ่อ เห็นลูกชายทำหน้านิ่งๆ สายตานิ่งๆ ใส่อย่างไรก็ยังรัก แต่คนอื่นคงไม่ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่หิรัณย์โดนเพื่อนๆ หรือครูหมั่นไส้ ไม่ชอบหน้า ในสมุดพกมีเขียนประจำว่าเป็นคนไม่มีมนุษยสัมพันธ์ ไม่ยิ้มแย้ม เฮงจะเห็นลูกยิ้มมากหน่อยก็ตอนอยู่กับม้า พอจับทางได้ว่าลูกรักม้า รักการขี่ม้าเฮงจึงพลอยรักม้าไปด้วย
แต่ดูเหมือนหิรัณย์จะไม่สนใจกับประโยคที่บอกว่าสุมิตราเริ่มหงุดหงิดนั้น “ไว้ผมจะหาเวลาให้ แต่ตอนนี้ผมขอคุยตามลำพังกับพ่อผมก่อน”
ใครเขาอยากไปคุยตามลำพังกับนายจริงๆ ก๊านนน นายหินนนน! สุมิตราผุดลุกขึ้นยืน หมดอารมณ์ดูดาวในบัดดล พูดกับเฮง
“แซมนอนดีกว่า”
แล้วเดินเข้าห้องไป ส่วนเฮงก็ถึงกับส่ายหน้า เดินกลับไปยังบ้านตน เข้าห้องแล้วจึงพูดกับลูก
“กวนประสาทหมอแซมอยู่เรื่อย เดี๋ยวเขาก็เกลียดขี้หน้าเอาหรอก”
หิรัณย์ยักไหล่นิดๆ แทนการบอกว่าไม่สน ก่อนเข้าเรื่องที่ตนอยากพูดกับพ่อ “ผมอยากพูดกับพ่อเรื่องม้า”
“เอาสิ จะเอาม้ากลับมากี่ตัวนะ ตกลง”
“หก”
“อาราเบียนหมดเลยไหม”
“หมดเลย”
ซึ่งเฮงไม่แปลกใจ หิรัณย์เป็นนักกีฬาขี่ม้าเอ็นดูแรนซ์ หรือหลายคนเรียกว่าการแข่งม้ามาราธอน ผู้แข่งขันต้องขี่ม้าเป็นระยะทางไกล มีตั้งแต่ยี่สิบ สี่สิบ และแปดสิบกิโลเมตรขึ้นไปจนสูงสุดที่ร้อยหกสิบกิโลเมตร ซึ่งม้าที่เหมาะกับการแข่งขัน คือม้าสายพันธ์ุอาราเบียนเท่านั้น เพราะสามารถเก็บเกลือแร่ไว้ในตัวได้เยอะกว่าม้าสายพันธุ์อื่น “เดี๋ยวพ่อบอกหมอแซมให้”
“อีกเรื่อง… พอกลับไป ผมกับเพื่อนๆ จะแข่งเอ็นดูแรนซ์กันเล่นๆ”
เฮงนิ่วหน้านิดหน่อย “จะแข่งที่ไหนล่ะ”
“ที่ที่ผมให้พ่อซื้อ น่าจะเหมาะเลย”
ที่ดินผืนใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ยังมีสภาพรกร้างเพราะเฮงยังไม่มีเวลาดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง แต่ซื้อไว้เพราะจู่ๆ หิรัณย์ก็ส่งภาพที่ผืนหนึ่งมาให้พร้อมกับคำว่า ‘อยากได้’ แค่นั้นเฮงก็แล่นลิ่วไปติดต่อเจรจาจนได้มาไว้ในครอบครอง เพราะปกติหิรัณย์ไม่เคยขออะไรเลย ของเล่นสักชิ้นยังไม่เคยออกปาก การบอกว่าอยากได้ที่ผืนนี้ทำให้เฮงรู้สึกว่าลูกต้องอยากได้มากจริงๆ “เดี๋ยวว่างๆ พ่อไปดูให้”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมกลับไปดูเอง… หมอแซมจะช่วยเรื่องจัดการแข่งขันได้ไหม”
เฮงพยักหน้า “ถ้าพ่อพูดแซมทำให้อยู่แล้ว… หินนี่ก็น้า ต้องง้อเขาหลายเรื่องก็ยังไปกวนประสาทเขา”
“ก็ผมหมั่นไส้”
เฮงยิ่งงงไปกันใหญ่ “หมั่นไส้อะไรเขา พ่อไม่เคยเห็นแซมทำอะไรให้ มีแต่หินแหละหาเรื่องเขาก่อน”
หิรัณย์นิ่งไป แล้วเลี่ยงเรื่องนั้นไปเลย “ไว้ผมได้ตั๋วเครื่องบินเมื่อไร ผมบอกพ่ออีกที น่าจะอีกหลายเดือนเหมือนกัน”
แต่เท่านั้นเฮงก็ดีใจเหลือเกินแล้ว แต่แรกเฮงนึกว่าลูกจะอยู่ต่างประเทศนานกว่านี้เพราะลูกดูมีความสุขและสนุกเหลือเกินกับการแข่งเอ็นดูแรนซ์หลายรายการที่จัดขึ้นในต่างประเทศ การได้รู้ว่าลูกกำลังจะกลับบ้านทำให้เฮงถึงกับปรับปรุงบ้านรอเลยทีเดียว และพอลูกบอกลา เฮงก็พูดประโยคที่พูดเสมอ “ดูแลตัวเองนะหิน”
หลังประโยคนั้นก็ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าหิรัณย์ ก่อนเขาวางสายไป ทิ้งให้เฮงกลับมาคิดเล่นๆ ว่าจริงๆ แล้วสิ่งที่ดึงหิรัณย์กลับมาคือที่ผืนนั้น เพราะพอซื้อไม่นานหิรัณย์ก็มีแผนกลับบ้าน มีแผนจะใช้ที่ผืนนั้นจัดการแข่งขัน
เฮงลองส่งข้อความเข้ากลุ่มสนทนาออนไลน์ที่มีสุมิตรา แสงฉาน ชนัญญูอยู่รวมกัน
‘ทำเอ็นดูแรนซ์กันดีไหม’
ชนัญญูตอบกลับมาก่อนตามเคย ‘เหนื่อยกว่าเดรสสาจ (เชิงอรรถ – Dressage เป็นการแข่งขันขี่ม้าประเภทหนึ่ง เรียกว่าศิลปะในการบังคับม้า ผู้ขี่กับม้าต้องฝึกซ้อมเพื่อทำตามโจทย์ที่กรรมการให้ไว้ล่วงหน้า โดยกรรมการจะเป็นผู้ให้คะแนนตามเกณฑ์การตัดสิน บางครั้งเรียกการแข่งขันชนิดนี้ว่าบัลเลต์ม้า) มากนะครับ’
ตามด้วยแสงฉาน ‘ถ้าจะทำต้องตรวจม้าตรวจเส้นทางดีๆ เลย ไม่งั้นจะกลายเป็นทรมานม้าแน่ๆ’
ทว่าเพียงสุมิตราตอบกลับคำเดียว กลับหยุดการสนทนาเรื่องได้อย่างดี
‘ไม่!!!’
เฮงไม่แปลกใจ เพราะรู้มาตลอดว่าสุมิตราไม่ชอบเกี่ยวข้องกับการแข่งขันนี้นักทั้งที่ตัวเองก็เคยเป็นนักกีฬาประเภทนี้ เหนื่อยมากก็เรื่องหนึ่ง การต้องเห็นม้าเจ็บต่อหน้าต่อตาก็อีกเรื่อง เวลาสุมิตราไปงานแข่งเอ็นดูแรนซ์ทีไรมีเรื่องกลับมาบ่นให้เขาฟังได้ตลอด เฮงไล่หาตัวการ์ตูนแลบลิ้นส่งเข้ากลุ่มสนทนาไป ตัดสินใจว่าจะเงียบไว้ก่อน ถึงเวลาจริงๆ ถ้าเขาทำสุมิตราก็ต้องช่วยอยู่ดี เฮงแน่ใจ
วันพรุ่งนี้สุมิตราจะบินแล้ว วันนี้เธอจึงนัดหมายกับวิศรุตกับกมนนุชเพื่อกินอาหารด้วยกัน ซึ่งจะมีร้านประจำอยู่ใกล้ๆ บ้านของสุมิตรา และวิศรุตกับกมนนุชเดินทางมาสะดวกด้วย
เพราะบ้านใกล้ สุมิตราจึงมาถึงก่อน หญิงสาวสั่งอาหารที่วิศรุตกับกมนนุชส่งข้อความมาสั่งล่วงหน้า เลือกเครื่องดื่มและอาหารว่างให้ตัวเองมีอะไรกินระหว่างรอ ของว่างหมดไปครึ่งจาน ก็เห็นรถวิศรุตเข้ามาจอด ไม่แปลกใจที่เห็นกมุนนุชลงมาจากรถด้วย เพราะถ้ามาร้านนี้วิศรุตจะไปรับกมนนุชเพราะบ้านเจ้าหล่อนเป็นทางผ่านพอดี
สุมิตราโบกมือให้วิศรุต พอดีกับที่เสียงโทรศัพท์กรีดดังขึ้น จึงกดรับสาย
“หมอแซมใช่ไหมครับ”
“ค่ะ” สุมิตราตอบรับ ไม่แปลกใจเพราะเบอร์นี้เป็นเบอร์ที่เอาไว้ใช้รับเคส มักมีเบอร์ใหม่ๆ โทรมาเรื่อยๆ อยู่แล้ว “จากไหนคะ”
“เนี่ยครับ ผมเลี้ยงม้าอยู่สองตัวครับ ว่าจะโทรมาปรึกษาหมอหน่อย”
“ค่ะ” ตอบแล้วก็ชี้โทรศัพท์ทำหน้าหนึ่งให้วิศรุตที่เดินมาถึงโต๊ะรู้ว่ากำลังคุยกับเคส
“ม้าผมมันไม่ฉี่ครับ ไม่กิน แล้วก็นอนดิ้นไปดิ้นมาด้วย หมอมียาแนะนำไหมครับ”
สุมิตราขมวดคิ้ว เธอเจอมาแล้วหลายคนเหมือนกัน ที่ติดต่อเข้ามาเพราะอยากให้เธอแนะนำยาให้เฉยๆ ซึ่งเธอไม่สามารถทำแบบนั้นได้ เพราะการจะให้ยานั้นต้องมีการวินิจฉัยก่อน และเธอไม่เก่งกาจพอจะนั่งทางในวินิจฉัยม้าที่ไม่เจอตัวได้ “ฟังจากอาการเหมือนม้าเสียดนะคะ ให้หมอเข้าไปดูไหมคะ”
“ไม่เป็นไรครับหมอ ขอแค่ชื่อยาก็ได้ ผมให้ยาได้ ถ้าเป็นยาฉีดก็ฉีดเป็นอยู่”
“เป็นสัตวแพทย์เหรอคะ” ถามไปแล้วได้ยินปลายสายหัวเราะ ก่อนตอบให้รู้ “เปล่าหรอกครับ แต่มีหมอเคยสอน”
โอเค… “จะให้ยาก็ต้องรู้น้ำหนักม้าค่ะ ม้าน้ำหนักเท่าไรคะ”
เธอถามไปไม่ใช่ว่าจะถามเพื่อให้ยาหรอก แต่ถามเพราะรู้ว่าถ้ามาแนวนี้เจ้าของไม่มีทางรู้น้ำหนักม้าตัวเองแน่นอน และจริง คราวนี้ปลายสายเริ่มอ้ำอึ้ง สุมิตราจึงบอกเพิ่ม “บางทีม้ามีอาการแปลกๆ ก็อาจไม่ต้องให้ยานะคะ แต่หมอคงแนะนำอะไรมากไม่ได้ ถ้าจะให้แน่ใจก็ต้องเข้าไปดูค่ะ หมอจะได้เข้าไปตรวจวินิจฉัย”
“หมอเข้ามาก็จะแพงน่ะสิ ม้าผมมันม้าบ้านๆ นะครับ”
สุมิตราลอบถอนใจ ย้อนกลับไปเสียงซื่อ “ม้าบ้านๆ เป็นยังไงเหรอคะ เท่าที่หมอเรียนและเจอมา ม้าก็คือม้าค่ะ ไม่ได้มีแยกเป็นม้าวัด ม้ารีสอร์ต ม้าบ้านหรือว่าม้าคฤหาสน์ ไม่ว่าม้าไหนก็เหมือนกัน”
ปลายสายถึงกับเงียบ ก่อนตอบกลับมาเสียงอ่อย “ผมล้อเล่นนะหมอ”
อืม… เราสนิทกันเร็วเนอะ สุมิตราหน้าเซ็ง ตอบกลับไป “ค่ะ หมอก็ล้อเล่นค่ะ แต่ม้ายังไงก็คือม้า ป่วยก็ต้องรักษาค่ะ ม้าอยู่แถวไหนคะ”
“ลำพูนครับ”
“ถ้าลำพูน ลองติดต่อหมออีกคนนะคะ จะใกล้กว่า… ถ้าอยากให้หมอเข้าไปตรวจนะคะ จดเบอร์ค่ะ”
พออีกฝ่ายส่งเสียงบอกว่าพร้อมจดแล้ว สุมิตราจึงรับโทรศัพท์วิศรุตมาจากมือเจ้าของ เพราะเพื่อนรู้งานดีหาเบอร์ไว้ให้อยู่แล้ว บอกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็วางสาย ไม่รู้จะขำดีไหมตอนเพื่อนบอก
“เราน่าจะทำโปรแกรมเพิ่มเนอะ รักษาม้าบ้านๆ รักษาม้าวัด รักษาม้ารีสอร์ต งี้”
พอกมนนุชเห็นหน้าเซ็งๆ ของสุมิตรา ก็แอบสะกิดวิศรุตใต้โต๊ะ ซึ่งอีกฝ่ายก็หาได้สนใจไม่ หันไปพูด
“จะแอบสะกิดทำไม ทำอย่างกับแซมจะไม่เห็น”
สุมิตราหัวเราะได้ หันไปบอกกมนนุชซึ่งยังไม่สนิทกับเธอเท่าวิศรุต จึงยังไม่แยกไม่ออกระหว่างอารมณ์ไม่ดีจริงๆ กับอารมณ์ไม่ดีแบบขำๆ เพราะเจอสิ่งที่ทำให้อารมณ์ดีซึ่งพอเจอเยอะเข้าเธอก็ต้องทำใจจนกลายเป็นขำไปแล้ว หันไปบอกรุ่นน้อง “ม่อนทำใจเลยนะ ระหว่างพี่ไม่อยู่ม่อนคงต้องเจออะไรแบบนี้เยอะขึ้น พี่บอกได้แค่ว่า ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ยังไงส่วนอื่นก็ต้องให้เจ้าของม้าตัดสินใจ อย่างเคสนี้พี่จะขอเข้าไปตรวจเองก็ใช่ที่ ถูกไหม”
กมนนุชพยักหน้า ตอบรับเสียงอ่อย “ค่ะ ม่อนจะพยายามนะคะ พี่แซมไปปีหนึ่งเลยเหรอคะ”
“จ้ะ พี่หาคอร์สไว้แล้วด้วย ไปอบรมเก็บแต้มหน่อย” เพราะการเป็นสัตวแพทย์นั้นไม่ใช่จบแค่การเรียนในหกปี จะต้องมีการอบรมสัมนาเพื่อเก็บคะแนนสะสมเอาไว้ยื่นกับสัตวแพทยสภาเพื่อต่อใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ด้วย
“เออ มีคอร์สไหนน่าสนใจส่งมาให้ด้วยนะ” วิศรุตซึ่งเป็นสัตวแพทย์เหมือนกันเอ่ยมา ไม่ใช่เพื่อต่ออายุใบประกอบโรคเพียงอย่างเดียว แต่เพราะเขายังต้องการหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับม้า เพื่อให้การรักษาม้าของตนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นด้วย
“เผื่อม่อนด้วยนะคะ ม่อนก็อยากอบรมเพิ่มค่ะ”
“ได้ๆ เดี๋ยวดูให้ หรือถ้าอยากรู้ด้านไหนก็ส่งข่าวนะ จะหาให้… เดี๋ยวรอบนี้ไปอยู่กับร็อบ ว่าจะไปศึกษาเรื่องนูทริชั่นเพิ่มเติมด้วย จะชวนลุงเฮงกับซันทำอาหารม้า”
วิศรุตส่งเสียงสนับสนุน เพราะปัจจุบันอาหารม้าในเมืองไทยมีน้อยเจ้า ที่ราคาถูกก็ของไม่ดี ที่ของดีก็ราคาแพง เธออยากทำของดีในราคาไม่แพงเพื่อให้เจ้าของม้ายอมจ่าย และม้าได้กินของดีด้วย ไม่ใช่พอเห็นว่าอาหารม้าแพงก็ไปซื้ออาหารวัว… บ้าจริง! แค่คิดก็หงุดหงิดแล้ว