หัวใจมังกร บทที่ 2 : ตระกูลฟู่

หัวใจมังกร บทที่ 2 : ตระกูลฟู่

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

แสงอาทิตย์ยามเช้าทอแสงสีส้มสดทั่วท้องฟ้า กระทบผิวน้ำจนเปลี่ยนสี ต้นไม้ใหญ่ซุกซ่อนอยู่หลังกำแพงรั้วบ้านพยายามชูกิ่งก้านสาขาเป็นร่มเงาให้คนภายในและเอื้อเฟื้อถึงภายนอก กำแพงรั้วขนาดใหญ่ประดับด้วยลายเส้นสายน้ำ ต้นไม้ ดอกไม้ และภูเขาแบบจีนเน้นความพลิ้วไหวและหนักแน่น อย่างดอกไม้ที่ประดับอยู่บนกำแพงบัดนี้มีใบไม้ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาคล้ายเหมือนว่าภาพนั้นมีชีวิต ข้างบานประตูไม้สีแดงสดยังมีภาพลายมังกรลายนกที่บินอยู่อีกข้างหนึ่ง ด้านบนมีตัวอักษรภาษาจีนสีทอง 富 (ฟู่*) เสียงประตูบานคู่สีแดง มือจับประตูหัวมังกรสีทองอร่าม ถูกผลักเข้าไปคล้ายเปิดให้ความร่ำรวย มั่งคั่ง อำนาจ และบารมีเข้ามาในบ้าน

สระน้ำใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเรือน ชางเดินผ่านเรือนตนเองไปจนถึงเรือนใหญ่ของ เฉิง หรือ ฟู่เฉิง ประดับไปด้วยโคมไฟเต็งลั้งสีแดงทองอยู่หน้าเรือน ยามค่ำแสงไฟจากเต็งลั้งจะทำให้เรือนสว่างไสวคล้ายมีงานเทศกาลก็ไม่ปาน หน้าเรือนมีเฉลียงยกพื้นเป็นแนวยาวตลอดทั้งตัวเรือนเพื่อเป็นที่รับแขก ชางก้าวขาหนักๆ ลงมาจากห้องนอน เพียงไม่กี่ก้าว เขาหยุดโค้งคำนับที่ตั้งป้ายบูชาบรรพบุรุษ รวมทั้งเทพเจ้าประจำตระกูล ทุกคนในตระกูลทำแบบนี้เช่นเดียวกันทุกครั้งเมื่อก้าวเข้าเรือนใหญ่

“โต้วคุ่งอาโบ่ย”

คำถามที่ชางจะได้ยินทุกวัน ‘หิวข้าวไหม’ ความเป็นห่วงเป็นใยมาพร้อมกับรอยยิ้มสดใสของม้าอย่าง ซูลี่ หรือ ฟู่ ซูลี่ เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ชางหายเหนื่อยจากชีวิตนอกบ้าน ม้าของเขาสวยสะพร่างไม่สร่าง อยู่ในชุดกี่เพ้าสีเหลืองนวล มีดิ้นทองทอเป็นรูปนกยูงสวยงาม ใบหน้าตกแต่งด้วยเครื่องประทินผิวที่ช่วยเติมแต่งสร้างสีสันบนใบหน้าให้ดูงดงามอยู่ตลอดเวลา เดินเข้ามาต้อนรับลูกชายคนโต ชางเข้าไปสวมกอดอาม้า

“ผมยังไม่ค่อยหิวครับม้า” ชางจับพุงน้อยๆ ที่จุกจากการโดนถีบมาเมื่อคืน

“ไม่หิวก็ต้องกิน ม้าของลื้อทำกับข้าวไว้ให้ กินให้มันพร้อมหน้าพร้อมตากันทีเดียว”

เฉิงที่เพิ่งกลับมาจากไหว้เทพเจ้าที่ศาลเจ้าส่งเสียงมาก่อนตัว ซูลี่ลูบหัวชางก่อนจะเดินไปต้อนรับ พร้อมกับช่วยถือของไปเก็บให้เข้าที่เข้าทาง เฉิงถอดหมวกแขวนไว้กับราวไม้ข้างๆ ทางเข้า

“งานที่ให้ไปทำ ถึงไหนแล้วล่ะ”

ชางหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าข้างวางลงบนโต๊ะให้ผู้เป็นพ่อ เฉิงมองเงินตรงหน้าในจังหวะเดียวกันกับที่หันไปหาชาง เขาหัวเราะเสียงดังอย่างพึงพอใจ ตบไหล่ทั้งสองข้างของลูกชายคนโตอย่างภาคภูมิใจ ยิ้มให้กับตนเองอย่างมีความสุข โดยไม่ได้สนใจชางที่ยืนเบื่อหน่ายอยู่ข้างๆ ซูลี่เห็นลูกชายของเขาก็อดสงสารไม่ได้ รอยยิ้มที่เปรอะเปื้อนไปทั่วเรือนหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น

“ตื่นแล้วครับ”

*หมายเหตุ : ฟู่” อ่านออกเสียงตามภาษาจีนกลาง สำเนียงแต้จิ๋วจะอ่านออกเสียงว่า “ปู่”

 

เสื้อกี่เพ้าสีแดง รังดุมสีทอง ตัดกับเสื้อสีขาวสะอาดด้านใน กางเกงขาม้าผ้าแพรสีดำลื่นเข้ากับรองเท้าสีดำที่ดูเลอะเทอะส่งเสียงมาก่อนตัว ใบหน้าขาวนวล เรียว คิ้วเรียงสวยแม้จะไม่เข้มเท่าพี่ชาย แต่ลงตัวพอดีกับใบหน้าสะอาดสะอ้านของ ชุน หรือ ฟู่ ชุน ลูกชายคนเล็กของตระกูลฟู่

“ทำไมแกไม่คำนับเทพเจ้าและบรรพบุรุษ บ่โลยเหมา”

เสียงตะคอกเข้มดังคำรามขึ้นทั่วเรือน ทุกคนในเรือนต่างหยุดชะงัก ทั้งแม่บ้านและเหล่าสมุนทั้งหลายต่างก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเอง ชางรีบเดินตัวตรงเข้าไปหาน้องชาย จับตัวให้หันกลับไป พร้อมกับดึงเสื้อให้ชุนโค้งคำนับให้เรียบร้อย ก่อนที่จะทำให้อาป๊าอารมณ์เสียไปมากกว่านี้

“โห่ เฮียลืมสักวันบรรพบุรุษจำไม่ได้หรอก” ชุนกระซิบเบาๆ

“ป๊าด่าไม่มีมารยาท ไปลืมวันที่ป๊าไม่อยู่ได้ไหม” ชางกระทุ้งศอกใส่น้องชาย

โต๊ะหินอ่อนทรงกลมสีครีมตัดกับขาโต๊ะไม้สักแดงขนาดใหญ่ เก้าอี้ไม้เข้าชุดล้อมรอบโต๊ะหินอ่อนอยู่หลายตัว แสงแดดส่องผ่านโคมไฟเต็งลั้งสีแดงทว่ากลับให้แสงสีนวลชวนมองเล็ดลอดผ่านหน้าต่างทรงกลมที่เผยให้เห็นสระน้ำขนาดใหญ่กลางเรือน ชามกระเบื้องสีขาวตัดน้ำเงิน เครื่องชามลายมังกร ลายนกยูง หรือสัญลักษณ์ภาษาจีน ถูกบรรจุด้วยอาหารนานาชนิด เป็ดแช่ซีอิ๊วตัวกำลังดีถูกหั่นจัดเรียงอยู่บนจานสวยงาม ผักใบเขียวแข่งกันส่งกลิ่นและควันหอมแตะจมูก หนำเลี้ยบหมูสับของโปรดชางเลื่อนมาวางไว้ตรงกลาง ซุปเยื่อไผ่เห็ดหอมของโปรดชุนทยอยวางตรงหน้า ซูลี่คอยจัดแจงเหล่าแม่บ้านเพื่อความเป็นระเบียบ ข้าวต้มร้อนๆ ถูกตักใส่ถ้วยทั้ง 4 ใบ

“ทานละนะครับ” เสียงชุนสดใสก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา

“หยุดเลยเจ้าชุน รอม้าของลื้อมานั่งให้เรียบร้อยจะได้กินกันพร้อมหน้า” เฉิงเหนื่อยใจกับความไม่รู้จักกาลเทศะของชุน หัวหนักๆ ของเขาส่ายไปมาอย่างเอือมระอา ผิดกับชางที่นั่งนิ่งๆ อยู่ข้างเขา ทันทีที่ซูลี่เดินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหาร รอยยิ้มของชุนก็ทำให้ซูลี่หายเหนื่อย

“ทานเลยจ้ะ หิวแล้วสิเรา” ซูลี่หันไปลูบหัวชุน ชุนซุกตัวเข้าไปอ้อนอาม้าของเขา

“เมื่อไหร่จะโตสักทีนะเจ้าชุนปีนี้ก็ 23 เข้าไปละ ผู้หญิงที่ไหนจะมาเอา บ่หนั่งไอ่” เฉิงพูดพลางบ่นๆ ส่ายหัวเอือมระอา มือหนาหยิบตะเกียบกำลังจะคีบอาหาร ตะเกียบของซูลี่คีบเนื้อเป็ดขนาดพอดีคำมาวางบนข้าวต้มร้อนๆ ก่อนที่เฉิงจะตักเข้าปากโดยไม่พูดอะไร

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบสนิท ต่างคนต่างคีบอาหารตรงหน้าเพื่อเพิ่มพละกำลังให้มีแรงไปทำงาน ชางมองอาม้าของเขาที่แม้จะยิ้มให้อาป๊า หัวเราะให้กับลูกๆ แต่เขารู้มาตลอดว่าอาม้าของเขาไม่ได้รักอาป๊าของเขาอย่างที่ชายหนุ่มรักหญิงสาว หรือแม้แต่การแสดงออกถึงความรักของทั้งสองก็แทบจะไม่เคยเห็น เขาเติบโตขึ้นมากับภาระและหน้าที่ เมื่อเขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลฟู่ อาป๊าของเขาเป็นหัวหน้าสมาคมจีนในแถบตะลัคเกียะ มีสมุนลูกน้องเป็นร้อยๆ กิจการค้าฝิ่น พนัน นำเข้าส่งออกของตระกูลสร้างให้ตระกูลฟู่ร่ำรวย ตั้งแต่เล็กจนโตเขาเห็นอาป๊าที่มีคุณธรรมและความยุติธรรม มีสมุนคอยก้มหัวทำตามคำสั่งและความเด็ดขาด ทำให้ชางเคารพเฉิงเป็นอย่างมาก

จนกระทั่งน้องชายของเขาเกิดตระกูลฟู่และชีวิตของเขาระหกระเหิน จากที่ค้าฝิ่นได้อย่างเสรี เปิดบ่อนได้โดยไม่ต้องเสียอากร ในขวบปีนั้นรัฐบาลสยามประกาศให้ฝิ่นเป็นสินค้าผูกขาด การพนันเป็นสิ่งมอมเมาผิดกฎหมาย อาป๊าของเขาต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่ยังโชคดีที่มีคนติดฝิ่นอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งอาป๊าของเขายังมีพี่น้องร่วมสาบานและน้องชายแท้ๆ มาช่วยกันกอบกู้ตระกูลฟู่

เสียงลงเท้าหนักๆ ของบุรุษเดินนำ พร้อมกับเสียงเดินอย่างหวั่นเกรงตามหลัง และมีเสียงเท้าเดินเข้ามามากกว่าคนหรือสองคน สมุนที่คอยคุมเรือนอย่าง ซิงอี รีบวิ่งหน้าตั้งมาบอกเฉิง

“เถ้าแก่ เฮียจ้านมา” ซิงอีเป็นเด็กในเรือน เฉิงรับเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ เพราะพ่อแม่ทิ้งหนีกลับเมืองจีนด้วยคำว่าไม่มีปัญญาเลี้ยง เด็กหลายๆ คนในบ้านต่างมีที่มาคล้ายๆ กัน เฉิงเป็นคนคอยอุปถัมภ์เด็กเหล่านั้น แถมให้ที่พักอาศัย ให้เงิน ให้อาชีพ สมุนทุกคนในเรือนจึงต่างเคารพเฉิงและตายแทนได้

“โถ่ เฮียกินข้าวไม่รอน้องชายเลยนะ”

 

เสียงลงส้นเท้าหนักๆ กับร้องเท้าผ้ามีส้นสีดำสไตล์คนจีนที่มีฐานะ เดินนำหน้ามาพร้อมกับเสื้อกล้ามสีขาวมีรอยน้ำตาลปนอยู่บนเสื้อกับเสื้อคุมสีดำคอปกเล็กรังดุมสาน กางเกงดำผ้าแพรสวยงามเอ่ยปากทักทายพี่ชายของเขาเสียงดังนำมาแต่ไกล

“บ้านอั๊วกินเสร็จแล้ว บ้านลื้อจะกินต่อที่เหลือก็ได้” เฉิงพูดอย่างคนไม่ได้คิดอะไร

“โถ่ เฮียกินเหลืออะไรเราก็แบ่งกันกินมาตลอด”

แววตา น้ำเสียงของ จ้าน หรือ ฟู่จ้าน แฝงความเย้ยหยัน แม้คนฟังไม่ได้มองหน้าก็ยังรู้สึกได้ถึงความประชดประชัน ดูถูกเหยียดหยามอยู่ในคำพูด หลี่จิ้งยืนนอบน้อมอยู่หลังสามี ชุดกี่เพ้าสีขาวนวลประดับดิ้นทองเป็นลวดลายเล็กๆ เผยให้เห็นถึงนิสัยใจคอผู้สวมใส ที่ไม่อยากให้ตนเองเป็นจุดสนใจ หลี่จิ้งคนอ่อนหวาน พูดจาไพเราะ อีกทั้งเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แตกต่างกับจ้านอย่างสิ้นเชิง

ใบหน้าเปื้อนยิ้มของหลี่จิ้งยกมือไหว้เฉิงและซูลี่เป็นการให้เกียรติ ซึ่งลึกๆ ในใจของเธอการไหว้นี้เป็นเหมือนทั้งการสวัสดีและการขอโทษกับคำพูดของสามีไปในตัว แววตาของเธอเศร้าโศกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองรับไหว้ ชางและชุนลุกขึ้นไหว้อาเจ็กของพวกเขา

“สวัสดีครับเจ็กจ้าน ลมอะไรพัดมาถึงนี่ครับ” ชุนพยายามสร้างบรรยากาศไม่ให้ตึงเครียดจนเกินไป จ้านเหมือนไม่ได้สนใจกับการทักทายของทั้งสองหนุ่ม เขาเบือนหน้าและมองไปทางอื่น

“อ้าว เหลียงทำไมไม่ทักทายแปะเฉิง” จ้านกอดคอลูกชายตนเองมาอยู่ข้างๆ ไหล่ของเขากระแทกใส่ชางคล้ายผลักให้ชางหลบ ชายหนุ่มตระกูลฟู่ทั้งสองมองหน้าไม่พอใจเหลียง สายตาเจ้าเล่ห์ของเหลียงกับรอยยิ้มที่มีลักยิ้มเล็กๆ ข้างหนึ่งที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลและความไม่น่าไว้วางใจ

เหลียงยกมือไหว้เฉิงตามคำสั่ง ไหว้เร็วจนคนรับไหว้ยกมือรับไม่ทัน เฉิงไม่คิดจะติดใจเอาความอะไรหลานชาย เขารู้ว่าลูกไม้อย่างเหลียงตกไม่ไกลต้นพ่อเป็นแน่ ด้วยบุคลิกท่าทางที่ยิ่งยโสโอหังมาตั้งแต่เล็ก จ้านคอยให้ท้ายอยู่เนืองๆ มักถูกสั่งสอนจากผิดเป็นถูกอยู่เสมอ เฉิงเคยห้ามปรามสั่งสอนอยู่หลายครั้งเมื่อคราวเหลียงเล็กๆ ที่คอยมาเล่นกับชางและชุน ทว่าจ้านก็กลับเป็นเห็นด้วยที่ลูกตนทำผิดทุกครั้งไป

 

ประดับโคมไฟเต็งลั้งห้อยระย้าอยู่ตามมุมหลังคา พื้นไม้หน้าเรือนใหญ่ ประดับตกแต่งด้วยเก้าอี้ไม้สลักลวดลายหัวเสือไว้ที่วางแขน เป็นไม้สักเข้าชุดกัน 4 ตัว พร้อมกับโต๊ะขาสิงห์ฝังหินอ่อนลายนกยูง สวยงามเข้ากันอยู่ตรงกลาง ถูกจัดเข้ามุมเรือนอย่างสวยงามลงตัว จอกเหล้าเล็กๆ สีขาวถูกยกมาวางไว้เบื้องหน้าชายวัยกลางคนทั้งสอง จ้านกระดกเหล้าในจอกหมดอย่างรวดเร็ว ซิงอีที่อยู่ไม่ไกลคอยรับใช้อยู่ไม่ห่าง

“เด็กบ้านเฮียว่าง่ายกันดีนะ” จ้านส่งสายตามองซิงอีอย่างไม่ชอบหน้า

“มาถึงนี่มีอะไรก็ว่ามา” เฉิงตัดบทรำคาญ

“ก็เจ้าลูกชายตัวดีของเฮียน่ะสิ เอากรรไกรมาปาดหน้าคนของอั๊ว ทำอะไรให้เกียรติกันบ้างสิ เฮียก็รู้ตรงนั้นอั๊วให้เจ้าเหลียงดูแล เจ้าชางข้ามหน้าข้ามตามาทำแบบนี้ คนก็หมดศรัทธาอั๊วกับลูกพอดี”

“อั๊วสั่งให้ชางไปจัดการเอง และอั๊วก็เห็นด้วยกับสิ่งที่ชางทำ” น้ำเสียงนิ่งเรียบ ไม่สะทกสะท้านของเฉิงทำเอาจ้านยิ่งไม่พอใจ เขากระเถิบตัวขึ้นมานั่งปลายเก้าอี้มองหน้าเฉิงอย่างไม่พอใจ

“เฮียทำอย่างนี้ไม่ถูก มีอะไรต้องบอกอั๊วก่อนสิ ข้ามหน้าข้ามตากันได้ไง” คิ้วจ้านขมวด

“ใช่ มีอะไรต้องบอกก่อน ลื้อเคยบอกอั๊วด้วยเหรอว่าลื้อยักยอกเงินกงสีไปกี่บาทกี่สตางค์”

จ้านเริ่มลุกลี้ลุกลน สายตาล่อกแล่ก เส้นเลือดสีดำปูดโปนตามแขนด้วยแรงกำมือที่ข่มอารมณ์ไว้

“ค่าภาษีฝิ่น บ่อนพนัน กำไรที่เหมือง ถึงกงสีของตระกูลไม่กี่บาท ขัดกับรายรับที่จางหย่งดูแล อย่าคิดว่าไม่มีใครรู้”

“โถ่ เฮียก็เชื่อแต่ไอ้หย่ง มันเป่าหูเฮียมาหลายปีเฮียยังไว้ใจมันอีกเหรอ”

“อาจ้าน” เฉิงหมดความอดทน “อั๊วนี่แหละที่สั่งจางหย่งไปทำ อั๊วเองนี่แหละที่คอยตามดูพฤติกรรมลื้ออาจ้าน วันก่อนฝิ่นเข้ามาในโกดัง เงินที่รับตรงโปเส็งหายไปไหน อั๊วใจดีกับลื้อเพราะเห็นลื้อเป็นน้อง อะไรนิดหน่อยที่อั๊วมองข้ามได้ อั๊วก็ข้าม อั้วโท่ยลื้อสีอาตี๋กับอาซุง อั้วถึงบ่โก้ยก่า” เฉิงตวาดจ้านเสียงดังสนั่น จ้านหน้าซีดแต่ยังไม่ยอมแพ้ คนในบ้านต่างได้ยินเสียงเฉิงก็พอจะเข้าใจได้ เพราะทั้งสองมีปากเสียงกันเป็นประจำ

“ทำไมไม่บอกว่าเห็นแก่เมียอั๊วด้วยล่ะ” จุดอ่อนของเฉิงที่จ้านใช้เป็นเครื่องมืออยู่ประจำ มือหนากระชากคอเสื้อสีขาวเข้าหาตัว สายตาของจ้านมองพี่ชายตรงหน้าอย่างไม่แยแส ความก้าวร้าวในสายตาประจักษ์ต่อคนจ้องตา เฉิงมองหน้าน้องชายอย่างหมดคำพูด

20 กว่าปีน้องชายของเขาก็ยังเหมือนเดิม

 

 



Don`t copy text!