หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน

หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน

โดย : กันต์พิชญ์

Loading

หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา

ไศเวศ ผู้นำในการประกอบพิธี ก้าวขึ้นไปตามสะพานนาคราชศิลาแลงที่แล่นจากตีนเขาฝั่งทิศตะวันออกไล่เรื่อยขึ้นไปจดยอดเขาด้านทิศตะวันตก

ทางดำเนินอาบไล้ด้วยแสงแดดยามอรุณรุ่ง กระนั้นยามนี้กลับมีแต่สายลมเย็นเยียบพัดกรูเกรียวเปิดผืนเกาปีน ผ้าเตี่ยวไร้ค่า อันเป็นเครื่องหมายของนักบวชสันยาสีผู้สละโลกและพรหมจารี ไม่มีสมบัติพัสถานใด แม้แต่เครื่องแต่งกายก็มีไว้เพียงเพื่อปกปิดความอุจาดเท่านั้น

ภูเขาไฟที่มอดดับลูกนี้ทำให้นักบวชรู้สึกสดชื่น มันก้าวขาพลางหรี่ตามองความเขียวชอุ่มโดยรอบที่มียอดเขาปลูกเทวาลัยอยู่เบื้องบน

“เมาความสูงฤๅ”

ไศเวศผินหน้าไปถามพราหมณ์รุ่นเยาว์ผู้เดินถือน้ำนมสด เนย และน้ำมันงาไว้ในมือ เพื่อใช้ในพิธีอภิเษกซึ่งเป็นกระบวนการแรกของศิวบูชา พิธีบูชาศิวลึงค์ กระทำวันละสามครั้ง เช้า กลางวัน และเย็น

พราหมณ์ผู้เยาว์ลูบท้อง “พะอืดพะอมพิลึก”

ไศเวศพยักหน้า “ดีที่สถูลไศลมิได้สูงอะไรมากมาย”

พราหมณ์น้อยผงกศีรษะแกนๆ ทำใจให้ยอมรับว่าตนเองนั้นโชคดี

“ครั้งหนึ่งเกิดปรากฏการณ์มหัศจรรย์ มีเสามหึมาผุดขึ้นจากใต้พื้นโลกพร้อมด้วยเปลวเพลิงร้อนแรงพวยพุ่งออกมารอบเสา ยอดเสานั้นสูงเสียดฟ้ากระทั่งมองไม่เห็นส่วนปลาย แม้แต่พระวิษณุกับพระพรหมต่างสงสัยว่าเสานั้นคืออะไร มีจุดเริ่มต้นและจุดจบอยู่ที่ใด ต้นกำเนิดศิวลึงค์นี้ปรากฏใน…” ไศเวศหันเหความสนใจของอีกฝ่าย

“ไศวปุราณะ”

“ดี” ไศเวศยิ้ม “แล้วเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าชายอรชุนแห่งวงศ์ปาณฑปได้ทำพิธีบูชาขอพรจากศิวลึงค์ให้ประทานศรธนูศักดิ์สิทธิ์เพื่อนำไปต่อสู้กับอสูรร้ายเล่า”

“มหาภารตะ” พราหมณ์ผู้เยาว์ตอบทันควัน แหงนหน้าดูสิ่งปลูกสร้างเบื้องหน้าหลังจากไต่กระไดศิลาแลงสูงชันขึ้นมาเกือบหกสิบขั้น “หากศิวลึงค์คือต้นกำเนิดของชีวิตแลความอุดมสมบูรณ์ ชีพิตทุกชีพิตในโลกดำรงอยู่ได้เนื่องจากผลของการสอดประสานระหว่างสาระสังขารของบุรุษแลอิตถี แล้วชีพิตที่ปฏิบัติแผกต่างจากนั้นเล่า”

“สิ่งสำคัญคืออาตมัน หาใช่วิถีสอดประสานระหว่างชีพิตกับชีพิต”

“อาตมัน?”

“อาตมันคืออัตตา…ดวงวิญญาณ ทางฮินดูถือว่าเป็น ‘สิ่งเที่ยงแท้ถาวร’ ทุกสิ่งในจักรวาลล้วนเกิดดับสาบสูญ ทั้งคนแลสัตว์เมื่อตายแล้ว มีเพียงสังขารเท่านั้นทรุดโทรมผุพัง ไร้ความจีรังยั่งยืน อาตมันเท่านั้นเป็นธรรมชาติอันมิสูญ ย่อมถือปฏิสนธิในกำเนิดอื่นสืบไป”

“หมายความว่าสาระสังขารอันเป็นบุรุษสตรีมิสำคัญ เนื้อแท้เบื้องในเท่านั้นที่มีคุณค่า?”

“มิเสียแรงที่ข้าเคี่ยวกรำเอ็งมากับมือ” แววตาของไศเวศเต็มไปด้วยความเอ็นดู

“แล้วเหตุใดมหาบรรพตจึ่งเรียกขานวนํรุง”

แม้อายุสิบกว่าแล้ว แต่พราหมณ์น้อยยังคงติดนิสัยช่างซักช่างถาม

“วนํรุง” ไศเวศขานชื่อสถานที่ประทับของเทพเจ้า “‘วนํ’ หรือ ‘ภนุม’ คือมหาบรรพต ส่วน ‘รุง’ หมายถึงความกว้างใหญ่ คล้ายเขาไกรลาสอันเป็นที่ประทับแห่งองค์ศิวะ”

ไศเวศย่ำขึ้นไปตามกระไดหินสูงชั้นด้วยความระมัดระวัง ทว่าครานี้พราหมณ์น้อยกลับชะงัก ไร้ซึ่งคำขานไข ไศเวศจึงละสายตาจากการตรวจตราพวงมัลลิกา มาลตี และจำปาในมือ ผินหน้าจ้องนัยน์ตาที่เบิกโพลงของพราหมณ์ผู้เยาว์ จากนั้นจึงมองไปยังทิศทางที่อีกฝ่ายกำลังจดจ้อง

“โอ…”

ไศเวศถึงกับผงะ ซวนเซด้วยความตื่นตระหนก

แม้ภายนอกของบุรุษผู้ถูกตรึงในวงกบโลหะอยู่เบื้องหน้าปราสาทประธานผู้นี้จะดูใจดี ทว่าเนื้อแท้ของมันนั้นเต็มไปด้วยความร้ายกาจ โหดเหี้ยมและเผด็จการ เป็นนายส่วยสาอากรมากเล่ห์เหลี่ยมไร้ความปรานี

“นั่นนายจำกอบมิใช่ฤๅ”

ไศเวศไม่ได้ขานคำเรียกชื่อบุคคล แต่เป็นการหลุดปากเรียกด้วยตำแหน่งขุนนางผู้มีหน้าที่เรียกเก็บภาษีจากการชักส่วนสินค้า

“โอม นมัส ศิวายะ…” พราหมณ์น้อยเผลออ้อนวอนแด่องค์เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้นสยดสยองเหลือคณานับ

นายจำกอบถูกตรึงอยู่ในท่าศิวนาฏราช การร่ายรำด้วยจังหวะรุนแรงแห่งความพิโรธ มีแผ่นแก้วโป่งนูนขนาดใหญ่แขวนอยู่กึ่งกลางซุ้มประตูโคปุระ

สิ่งนี้เองที่ทำหน้าที่รวมแสงดวงอาทิตย์ที่ทะลวงทวารของปราสาททั้งสิบห้าให้จดจ่อเป็นจุดเดียวบนร่างชายวัยกลางคน เมื่อความร้อนรวมกันที่จุดใดจุดหนึ่งนานเข้า เพลิงโลกันตร์จึงตามมาอย่างยากจะเลี่ยง

เปลวไฟเริ่มลามเลียไล่จากเส้นเชือกที่รัดรึงอยู่ทั่วร่างอันชุ่มโชกด้วยของเหลววาววับของนายจำกอบ

พราหมณ์ทั้งสองเห็นใบหน้าไร้สติสัมปชัญญะนั้นชัดเจน ก่อนเตโชธาตุจะโหมกำลังปกคลุมทั่วร่าง ก่อควันไฟหนาทึบหมุนวนเป็นกลุ่มก้อนอยู่หลังช่องประตูหิน

 

ห่างออกไปหลายโยชน์ ชายผู้หนึ่งกำลังลัดเลาะฝ่าฝูงชนบนทางเท้าจอแจเต็มไปด้วยน้ำขังในย่านแคร่แผงลอยและแบกะดิน

บุรุษผู้นี้มีเรือนร่างกำยำทรงพลัง ผิวเข้มคล้ำแข็งแกร่ง ปราดเปรียวว่องไวขัดกับรูปร่าง ชีพจรใต้ผิวหนังยังคงเต้นถี่จากความตื่นเต้นในการนัดพบเมื่อครู่ที่ผ่านมา

มันคุ้นเคยกับครอบครัวนี้ดี ครอบครัวของประโคนผู้รั้งตำแหน่งนายจำกอบจอมเบียดบังยักยอกภาษีจำกอบ กลับโบ้ยความผิดทั้งหมดมาให้มันอย่างหน้าด้านๆ ไอ้ประโคนผู้นำหายนะมาสู่ตัวมันจนรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น

ทั้งสูญสิ้นตำแหน่ง ถูกริบทรัพย์ และถูกเฆี่ยนด้วยหวายแช่น้ำแสบ เจ็บปวดทั้งกายและใจ

โปญผู้ครองสรุก (1) มิได้ตรัสใช้ให้ไปราชการใดแต่ไปด้วยตนเองก็ดี ฤๅมิได้ตรัสใช้แต่อ้างว่าทรงใช้ก็ดี แลไปกระทำการรุกราษฎร์ ข่มเหงไพร่ฟ้า เก็บเอาทรัพย์สินสิ่งของใด ผู้นั้นมีความผิดฐานรุกราษฎร์เกินเลย ให้ลงโทษแปดสถาน

มีพระราชโองการแลพระราชบัญญัติใช้ให้กระทำราชการแลเพทุบายเอาแต่เงินทองทรัพย์ เข้าของ เหย้าเรือนลูกเมียข้าคนเขามาเป็นประโยชน์แห่งตนก็ดี แลนายพระธำมรงค์นายมหาดไทย นายคดีผู้ไปเรียกหากมิส่งคนให้พิจารณาโดยกระทรวงคดีก็ดี แลมิทำตามพระราชนิยมกรมอันท่านอายัตไว้โดยตระทรวงการนั้นก็ดี ท่านใช้ให้ไปสืบเอากิจจานุกิจแลมิไปเอาราชกิจตามท่านใช้ก็ดี ท่านว่ามี โทษหกสถาน

โขลญ (2) คลางตลาดเก็บเอาเบี้ยแก่ลูกตลาดเกินพิกัดอัตรา ให้ทวนด้วยหวายสิบห้าที แล้วเอาประจานรอบตลาด กลับมาให้จำขื่อสามวันกับให้คืนเสียที่เก็บให้แก่ลูกตลาด

ขณะที่มันนึกถึงบทลงโทษจากบัญญัติพระอัยการอาญาหลวงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน สถานที่นัดพบซึ่งเป็นคูหาในอาคารก่อสร้างด้วยหินทึบทึมก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

‘สิคาล…’ หญิงวัยสามสิบสามที่เป็นผู้นัดกล่าว นั่งอยู่ในเงามืดจนมันมองเข้าไปไม่เห็น ‘ทำสำเร็จฤๅไม่’

‘แน่นอน’ ร่างทะมึนตอบ ถ้อยคำของอดีตโขลญคลางแข็งกระด้างดุจผาหิน ‘ทุกอย่างเรียบร้อยดี’

‘ได้ประกาศออกไปอย่างชัดแจ้งฤๅไม่ว่า นายจำกอบผู้นั้นจำเป็นต้องถูกกระทำต่างเครื่องยัญญะด้วยเหตุใด’

‘ชัดเสียยิ่งกว่าชัด’ สิคาลพยักหน้า ‘ด้วยท่วงท่าตาณฑวะ กดฝ่าเท้าสะเทือนปฐพี ร่ายรำรุนแรงท่ามกลางภูติผีทั้งหลายในป่าช้า’

‘ดี’ สตรีวิปลาสหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ ‘เอ็งได้สิ่งที่ข้าขอไว้ฤๅไม่’

ครานี้สิคาลกลับส่ายหน้า นัยน์ตาดำดั่งน้ำมันดิบของมันไร้ซึ่งประกายวับวาว ‘มีคนชิงขนออกไปจากขนอนก่อนแล้ว’

หญิงวิกลจริตถอนหายใจ บ่งชัดว่าผิดหวังที่อีกฝ่ายพลาดในภารกิจที่สอง

‘ผลึกอันเกิดจากลมหายใจของนาคเศษะ เผาผลาญบาดาลแลปฐวีป่นปี้เป็นธุลี เกลียวอัคคีลุกโหมภุวรโลก ลามเลียกระทั่งสวรรคโลก’

นางขยับริมฝีปากเปล่งวาจาคล้องจองคล้ายภาษิตผญาแฝงนัยลึกซึ้งของผู้คนในท้องถิ่นทิศอีสาน

‘หมายความว่าอย่างไร’ บางครั้งบุรุษอย่างมันก็ไม่อาจเข้าใจภาษาสำบัดสำนวนของสตรี สิคาลจึงลองทายความหมาย ‘ภุวรโลกคงหมายถึงอากาศกระมัง’

‘เมื่อใดที่พระจันทร์สีโลหิตเต็มดวงเวียนมาบรรจบกับปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ส่องลอดทวารประตูสิบห้าช่อง เมื่อนั้นโทษทัณฑ์จากรุทรจักตามติดคิดบัญชีพวกอัปรีย์ชั่วช้า’ หญิงวิกลจริตหวัวร่อคิกคักในลำคอ

‘ปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์ส่องลอดประตูสิบห้าช่อง?’

ประโยคนี้ทำให้สิคาลไพล่นึกถึงคำกล่าวของผู้เฒ่าผู้แก่นับแต่การก่อสร้างประสาทหินวนํรุง

ผลึกเศษะ…พิษร้ายของอนันตนาคราช หนึ่งในหายนะล้างโลกที่ก่อกำเนิดไฟประลัยกัลป์!

‘ว่าแต่โรงอากรขนอนหลวงมีผลึกพิษในตำนานอยู่ในมือมากน้อยเพียงใด’

หญิงเสียจริตถามย้ำถึงการตรวจสอบขนอน คลังเก็บจำกอบอากรของสรุก นางคุ้นเคยกับขนอนแห่งนั้นดี ด้วยบิดาผู้รั้งตำแหน่งนายจำกอบมีหน้าที่นำส่วยสาอากรที่เก็บได้ ไปให้สิคาลเก็บงำไว้ที่นั่นเป็นกิจวัตร

‘เพียงกลักเล็กๆ เท่านั้น’ น้ำเสียงสิคาลหนักแน่น เพราะมันคุ้นเคยกับคลังสมบัติหลวงของสรุกทุกซอกมุม ‘เชื่อถือข้าได้ ตำแหน่งโขลญคลางที่ข้าเคยรั้งตำแหน่งมา หาใช่เพราะโชคช่วย’

‘จักว่าไป ฝีมือในการจัดการเครื่องยัญญะดีสมคำคุยโว’ น้ำเสียงจากเงามืดมีทีท่าพึงใจ ‘งานขั้นต่อไปกำลังจะเริ่มต้น จงพักผ่อนให้เต็มอิ่ม อีกไม่นานพวกดัดจริตรู้เองเป็นเองจักได้รู้ซึ้งถึงบาปที่ติดแน่นอยู่ในดวงจิตของพวกมัน’

‘การได้ร่วมงานกับเอ็งนับเป็นเกียรติยิ่ง’ สิคาลประจบ

‘เชิญดื่มอำนวยอวยชัยแก่ชัยชำนะของหมู่เรา’

บุตรสาวนายจำกอบยื่นนิ้วมือเรียวยาวออกจากที่มืดพร้อมจอกสาโทอวลกลิ่นชวนกระดก

“ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี” มันพึมพำกับตนเองพลางแลบลิ้นเลียรสสาโทที่ยังติดอยู่ที่ริมฝีปากตั้งแต่เมื่อครู่

อดีตโขลญคลางผู้นี้พยายามสลัดบทสนทนากับหญิงบ้าออกจากห้วงความคิด ขณะเบี่ยงกายหลบผู้คนที่เดินสวนไปมาในตลาด

สิคาลยินดียิ่งที่จะร่วมมือกับผู้หญิงที่มีวิถีทางเพศเช่นเดียวกับมันฆ่านายจำกอบให้ตายอย่างทุกทรมาน แม้งานนี้จะไม่ทำให้มันได้เหรียญเงินศรีวัตสะ (2) เป็นกอบเป็นกำต่างตอบแทน หรือได้ตำแหน่งข้าราชการคืนมาก็ตาม

ขณะสิคาลกำลังหักซ้ายเลี้ยวขวา เข้าออกตรอกซอยหลายต่อหลายสาย นัยน์ตาสีนิลก็วาวโรจน์ด้วยรู้สึกว่าตนสามารถมองแผนการลูกสาวของนายจำกอบผู้นี้ออก ดูแล้วหญิงบ้าผัวติดคุกผู้นี้คงเตรียมการมานานเนิ่น สืบค้นข้อมูลส่วนกำลังราบที่นิยมเรียกขานกันว่า ‘หน่วยสมิง’ ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ไม่แน่…ยายเฒ่าลงผีผู้รอดชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่ารุ้งพรายอาจช่วยนางปรุงน้ำมันพิเศษสำหรับจุดไฟนายจำกอบเป็นการเฉพาะ

มันไม่เชื่อว่าสตรีร่างบางจะสามารถวางแผนซับซ้อนได้เพียงลำพัง

ไม่แปลก เพราะผัวของมันที่ถูกหน่วยสาลิกาจับไปคุมขังรอโทษประหารตั้งแต่สามปีก่อนก็เป็นมหาเสนาปติ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของหน่วยสมิง

ฉลาดวางแผนจริง สิคาลนึกภูมิใจในตัวของบานเมือง…นางวิปลาส…ลูกสาวโทนของนายจำกอบ

แม้ชื่อเสียงด้านสติปัญญาของมันอาจจะเป็นรองผู้อื่น ทว่ากิตติศัพท์ด้านการใช้กำลังของสิคาลนั้นไม่เป็นสองรองใคร

บัดนี้มันได้เป็นส่วนหนึ่งในงานใหญ่ของสตรีผู้นี้แล้วอย่างเต็มตัว และมันก็ได้จัดพิธีบูชายัญให้แล้วตามที่ขอ

ขณะที่สิคาลเดินดุ่มครุ่นคิด ก็ไพล่จินตนาการว่าเผ่ารุ้งพรายที่ถูกมหาเสนาปติบุกเข้าเข่นฆ่าล้างโคตรเมื่อสามปีก่อนคงกำลังส่งยิ้มให้มันจากปรโลก

ขษณะนี้มันกำลังก้าวเข้าสู่สมรภูมิแห่งการก่อการร้ายอันเกิดจากลัทธิผู้แข็งแกร่งเป็นเจ้า บ่มเพาะความหวาดผวา คอยตอกย้ำให้เหล่ารุ้งพรายตาบอดพึงสำเหนียกว่าพวกมันสมควรถูกโลกใบนี้ทอดทิ้งซ้ำแล้วซ้ำเล่าควรลุกฮือขึ้นมาเพื่อเอาคืนเสียที

น่าเสียดายที่ไม่มีชาวรุ้งพรายอีกต่อไปแล้ว

“ฤๅธรรมชาติกำลังคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุด ดีที่สุด ให้ลุกขึ้นกระทำย่ำยีผู้ที่ผิดแผกแตกต่างและมีจำนวนน้อยกว่าตน”

มันชะงักฝีเท้า ตั้งคำถามที่ไม่มีวันได้คำตอบ

“ฤๅธรรมชาติมีเจตจำนงแลมองเห็นล่วงหน้าว่าจะเลือกสิ่งใดไปสู่อะไรที่วิวัฒน์”

สมรภูมินี้มีมาเนิ่นนานมากแล้วตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ที่บรรพบุรุษต่างเหล่าต่างกอได้ต่อสู้กันมาแล้วหลายยุคหลายสมัย

เท่าที่สิคาลจำได้ก็มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ไอ้พระหา ผู้บังคับบัญชากองกำลังแห่งสรุกศกุนตะคนก่อน เกิดวิตกจริตกระทั่งคิดไปว่าพวกอมนุษย์ชอบเสพเมถุนหญิงหญิงชายชายนัยน์ตาสีรุ้ง กำลังพยายามแทรกซึมกระทั่งบ่อนทำลายชาวศกุนตะให้ล่มสลาย เมื่อสิบแปดปีก่อนมันจึงขออนุญาตโปญผู้ครองสรุกคนก่อนลักลอบพากองกำลังเข้ารุกรานปล้นสะดมเผ่ารุ้งพรายแถวตะเข็บชายแดน เกณฑ์มาใช้แรงงานในเหมืองแถวตีนเขาวนํรุง โดยอ้างว่าผู้ที่มีขนบและความเชื่อแตกต่างจากพวกศกุนตะนั้นเป็นพวกด่างพร้อยไม่บริสุทธิ์

ท้ายที่สุดก็เกิดเหตุการณ์ขบถเหมืองเศร้าสลด

พระหาถูกฆ่าตาย เผ่ารุ้งพรายถูกกักให้อยู่ตีนเขาภนุมฎองแรก คอยส่งส่วยสาบรรณาการแด่สรุกศกุนตะทุกปี เพื่อสำนึกและสำเหนียกในบุญคุณที่โปญคนนี้ไม่เอาชีวิตพวกมัน

ฝีเท้าสิคาลเร่งความเร็วขึ้นเมื่อก้าวเข้าไปในตรอกแคบและเปลี่ยวร้าง

‘งานขั้นต่อไปกำลังจะเริ่มต้น จงพักผ่อนให้เต็มอิ่ม’ คำแนะนำสุดท้ายจากบานเมืองยังคงสะท้อนก้องอยู่ในโสต

นัยน์ตาดำร่ายระริก ขณะจวนจะถึงที่หมาย

“พักผ่อนงั้นฤๅ” สิคาลแค่นเสียงหัวเราะขึ้นจมูก

มันเป็นพวกออกหากินยามค่ำคืน จึงไม่แปลกที่การหลับใหลคือสิ่งสุดท้ายที่มันจะนึกถึง

การปิดเปลือกตาพักผ่อนเป็นกิจกรรมของผู้อ่อนแอ และมันก็ได้ชื่อว่าหมาป่าเฉกเช่นบรรพบุรุษก่อนหน้า ซึ่งคนอย่างมันย่อมไม่อาจข่มตาลงได้เมื่อการสู้รบเริ่มต้น

“ข้ามีวิธีรื่นรมย์ที่ดีกว่าการนอนมากทีเดียว…”

อาการกระหายความรื่นรมย์ทางโลกีย์เป็นสิ่งสืบทอดมาในองคาพยพของมนุษย์ทุกตัวตน บุพการีของมันอาจปล่อยตัวปล่อยใจให้เป็นสุขด้วยเพศตรงข้าม ทว่าสิคาลพึงใจในรสสัมผัสในอีกรูปแบบหนึ่งมากกว่า

มันภาคภูมิใจในเรือนร่างกำยำของตน มัดกล้ามไม่มากไม่น้อยจากการฝึกฝนดุจอาวุธปลิดชีพที่ถูกปรับแต่งไว้อย่างดี สิคาลจึงไม่ใคร่ลิ้มลองเห็ดเมาและหญ้าเสพติด มันได้ปรับตัวให้เสพความหฤหรรษ์ที่ช่วยผ่อนคลายร่างกายมากกว่าพืชสวะเหล่านั้นนับแต่แตกเนื้อหนุ่ม…

ด้วยเครื่องผ่อนคลายที่น่าพึงใจและดีต่อสุขภาพมากกว่านัก

เพียงคิด อวัยวะของมันก็เริ่มตื่นตัว อาการหวิวไหวที่เคยคุ้นเอ่อท้นไปทั่วร่าง

สิคาลรีบจ้ำ เคลื่อนกายมาถึงหอสังคีตแถวชายป่า

สถานที่แห่งนี้เป็นคูหาชั้นเดียวแต่เชื่อมต่อกันยาวเหยียดล้อมกรอบเป็นหกเหลี่ยม เว้นที่ว่างตรงจุดกึ่งกลางสำหรับแต่งสวนและยกแท่นให้เหล่านาฏกะออกมาร่ายรำ อาคารหลังนี้ก่อด้วยอิฐเพราะเก็บเสียงได้ดีกว่าการกรุไผ่ขัดแตะอย่างเรือนชาวบ้านทั่วไป ยิ่งกว่านั้นเจ้าของยังกั้นซอยคูหาออกเป็นห้องๆ เพื่อรองรับผู้มาใช้บริการมากหน้าหลายตา

ไม่จำเป็นที่มันต้องร้องเรียก ประตูบานบางก็ถูกแง้มออก ผู้อยู่ข้างในลอบมองประเมินมันแวบหนึ่งก่อนเปิดอ้า

“สวัสติ” แม่เล้าทักทายเสียงหวาน ก่อนเดินนำมันเข้าไปในคูหาสลัวรางสำหรับให้ผู้มาอุดหนุนนั่งเล่น

สิ่งปลูกสร้างทำขึ้นอย่างง่าย เบื้องหน้าสิคาลมีห้องเรียงรายต่อกันลึกเข้าไปภายใน มวลอากาศอวลด้วยกลิ่นน้ำมันหอมระคนชะมดเช็ดชวนเคลิบเคลิ้ม

“ตามสบาย มิต้องรีบร้อน”

แม่เล้าผายมือไปยังประดาเด็กหนุ่มผู้มีหน้าที่ ‘เล่นสวาท’ และเด็กสาวสำหรับ ‘เล่นเพื่อน’ โดยจำเพาะ

โรงเรือนแห่งนี้ทำให้นางภาคภูมินักหนาว่าสถานปรนนิบัติวัตถากแห่งนี้ไม่ใช่ของเถื่อน ด้วยนางก็เป็นผู้หนึ่งที่คอยส่งอากรเสียเงินถวาย อีกประการที่หล่อนสามารถเอ่ยได้อย่างเต็มปากคือ ประดาทาสไพร่ทั้งโฆ ทาสชาย และไต ทาสหญิง ล้วนมีอิสระไปไหนมาไหนได้เต็มที่ ไม่มีความเก็บกดทางเพศอย่างเจ้าขุนมูลนาย เพราะคนเหล่านั้นล้วนเป็นพวกต่อหน้ามะพลับลับหลังตะโกทั้งสิ้น

สิคาลยิ้ม นั่งลงหลังตั่งเตี้ย

แม้คนอย่างมันไม่เคยได้รับสิ่งของแสดงไมตรีจากใคร มันกลับจินตนาการได้ว่านับแต่เวลานี้คงไม่ต่างกับความรู้สึกของเด็กน้อยที่เห็นพ่อแม่กำลังจะซื้อก้อนน้ำตาลอ้อยให้

อาการหื่นกระหายรุมเร้าขณะที่มันกวาดตามองเด็กหนุ่มหน้าแสล้มที่ยืนเรียงรายอยู่เบื้องหน้า จังหวะหนึ่งสายตาของมันคล้ายเหลือบไปเห็นเฉดรุ้งที่วาบวับ คล้ายมีแสงตะคันตกกระไอน้ำที่ฉาบอยู่บนนัยน์ตาของหนุ่มน้อยที่ยืนอยู่เกือบริมสุด

สิคาลพิจารณาอยู่สองรอบก่อนตัดสินใจเลือก

หลังจากที่มันเคาะปลายนิ้วลงผิวตั่ง แม้เล้าก็เยี่ยมหน้าออกมาจากซอกหลืบอีกครั้ง

“ตามมา” แม้เล้าเชิญสิคาลเมื่อได้ยินลูกค้าบอกความประสงค์ “ตาแหลมจริง เลือกแต่ของแพงทั้งนั้น”

“ก็สมควรแล้ว” สิคาลหัวเราะ “ก็ข้าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบุรุษเพศ”

มันเร่งเคลื่อนกายไปตามความยาวของช่องทางเดินประหนึ่งหมาป่าหิวโซ

“รางวัลอันโอชะของข้า”

มันผลักประตูเข้าไปภายใน เลียริมฝีปากเพื่อลิ้มรสหวานปะแล่มจากสาโทของบานเมืองอีกครั้ง รั้งรอค่าตอบแทนสำหรับการที่มันเพิ่งฆ่าคนไปหยกๆ

โดยหารู้ไม่ว่าภาพหนุ่มน้อยที่มันพิถีพิถันเลือกมาจะเป็นภาพสุดท้ายในชีวิตที่มันจะได้เห็น

 

เชิงอรรถ :

(1) หน่วยการปกครองขนาดเล็กกว่าปุระ เป็นคำเรียกเมืองขนาดย่อม

(2) ทหารส่วนกำลังราบ (ในทำเนียบข้าราชการ คำว่า ‘โขลญ’ นอกจากใช้เรียกทหารแล้ว ยังใช้เรียกผู้พิพากษา (โขลญภูตาศะ) ฝ่ายราชโกษฐหรือท้องพระคลัง เช่น หัวหน้าคลัง (โขลญคลาง))

(3) เหรียญรูปพระอาทิตย์และศรีวัตสะ เป็นสัญลักษณ์มงคลที่ได้รับอิทธิพลจากคติความเชื่อของชาวอินเดีย ผู้คนที่อาศัยอยู่ในดินแดนอุษาคเนย์จึงนำสัญลักษณ์ดังกล่าวมาใช้บนเหรียญเงินโบราณ เช่น สัญลักษณ์รูปพระอาทิตย์ ศรีวัตสะ สังข์ และวัวมีโหนก



Don`t copy text!