หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
มวลอากาศทั่วสรุกใต้ผืนฟ้ายามรัตติเย็นลง อินทรธนูสะท้านหนาวจนตัวสั่นขณะย่ำเท้ากลับมาถึงเรือนเครื่องผูกหลังเล็กที่ทำพออาศัยอยู่ได้ไม่คงทนถาวรนัก ชายหนุ่มก้มตัวลงไปลากถุงผ้าดิบออกมาจากใต้แคร่ สิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นสมบัติทั้งหมดที่มันมี
‘มิแน่ว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้คือชาวรุ้งพรายที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์สลดในครานั้น…’
ชายหนุ่มกำลังรื้อหาปี่ของพวกภูไท เพราะคำพูดเมื่อเช้าของมนตรีที่เอ่ยถึงความเป็นไปได้ที่ว่า บุรุษคู่ชีพิตของอินทรธนูน่าจะยังมีชีวิตรอด
ถ้อยคำเหล่านั้นคงสะท้อนก้องอยู่ในโสต เป็นวาจาที่นำความหวังชโลมไล้หัวใจอันแห้งผากให้ชุ่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ปี่เลานี้ทำจากไม้กู่แคนอันเป็นคำเรียกไผ่ซาง ศศิน ลูกชายนางเดือนหัวหน้าเผ่า ได้เครื่องเป่าชาวภูไทมาจากตลาดแถวคอกร้างสองเลา เลาหนึ่งมันเก็บไว้กับตัว อีกเลายื่นให้อินทรธนู
ทันทีที่รู้ว่าศศินหายสาบสูญ อินทรธนูจินตนาการถึงปรโลกนับครั้งไม่ถ้วน ชายหนุ่มเทียวเข้าบรรณาลัยหาอ่านตำนานและเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกหลังความตายหลากหลายเรื่องราว บ้างว่าเมื่อสิ้นลมเนื้อแท้ของมนุษย์จะลอยเคว้งคว้างในความเวิ้งว้าง แม้สังขารถูกเผาเป็นเถ้าธุลี มีเพียงเนื้อแท้ภายในที่ยังคงอยู่
ชายหนุ่มเผ่ารุ้งพรายผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ฝืนทำใจยอมรับกับความคิดนี้ เพราะอย่างไรการกระเสือกกระสนให้มีชีวิตสืบต่อไปก็ไร้ซึ่งความหวัง
อินทรธนูถอนใจไล่ความคิดอันหนักอึ้ง พลางควานมือผ่านผืนผ้าฝ้าย ป้ายเฉลาญ์ และลูกต้นเหียงแห้ง จู่ๆ ปลายนิ้วก็สัมผัสเข้ากับโลหะเย็นเฉียบ เมื่อล้วงออกมาดู เห็นแผ่นกังสดาลครึ่งซีกกำลังล้อแสงไต้กาบหมาก
อินทรธนูใช้ปลายนิ้วค่อยๆ ไล้ไปตามลายนาคนูนต่ำที่ล้อมกรอบแผ่นสำริด ก่อนพลิกอ่านข้อความที่หลงเหลือเพียงครึ่งหนึ่งซึ่งถูกสลักเสลาไว้ด้านหลัง
‘รักชั่วนิรันดร์’
มันทำให้ชายหนุ่มนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้า
ศศินเป็นคนสอนให้อินทรธนูเรียนรู้ว่าวิถีเสรีเยี่ยงสัตว์ป่าเป็นเช่นไร เด็กหนุ่มเผ่ารุ้งพรายทั้งสองพากันเที่ยวท่องไปตามพนาดงและทิวเขาภนุมฎองแรกได้อย่างอิสระ หาอาหารหากรู้วิธีหา
ป่า…เป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวที่ศศินกับอินทรธนูสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
“ศิน เตยังมีลมหายใจอยู่ใช่ไหม”
อินทรธนูกระซิบถามตัวเอง พลางพยายามทำใจให้เชื่อตามคำปลอบขวัญของศศิน ‘วันพรุ่งชีวิตของผู้มีวิถีเช่นเราต้องดีกว่าเดิม’
“อัญยังคิดอยู่เสมอว่าจักได้เห็นวันนั้นด้วยกันกับเต…ศิน”
อินทรธนูกดแผ่นกังสดาลครึ่งซีกลงแนบอกซ้าย ราวกับว่ากำลังกกกอดความหวังที่แสนน้อยนิดว่าจะพยายามมีลมหายใจต่อไปเพื่อรอวันที่มนุษย์สามารถครองคู่กับมนุษย์ได้
ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็ตาม
“…ธชีมิไว้ใจด้วยเคหา เก่าคร่ำคร่าซวนโซเซ อ่อนโอ้เอ้เอียงโอนเอน กลัวว่าจะคว่ำเครนครืนโครมลง โย้ให้ตรงกรานไม้ยัน ค้ำจดจันจุนจ้องไว้ เกลากลอนใส่ซีกครุคระ มุงจะจะจากปรุโปร่ง แลตะละโล่งลอดเห็นฟ้า ขึ้นหลังคาครอบจากหลบ โก้งโค้งกบกดซีกกรอบ ผ่าไม้ครอบคร่อมอกไก่ ไม้ข้างควายแขวะเป็นรู สอดเสียบหนูแน่นขันขัด ปั้นลมดัดเดาะหักห้อย กบทูย้อยแยกแครกคราก จั่วจุจากจัดห่างห่าง ฝาหน้าต่างแต่งให้มิด ล่องหลวงปิดปกซี่ฟาก ตงรอดครากเครียดรารัด ตอม่อขัดค้ำขึงขัง…”
“นี่เอ็งถึงกับเอ่ยร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดกให้ข้าฟัง?”
อินทรธนูรู้ได้แทบจะในทันทีว่านั่นคือเสียงของผู้ใด มันจึงปรับสีหน้า กล้ำกลืนหยาดน้ำตาลงกระเพาะ ก่อนเบือนหน้าองศาแคบไปตามทิศทางของเสียง เห็นปูรณิมยืนอยู่ตรงกระไดดังคาด
นัยน์ตาอีกฝ่ายสีเข้มดุจพลอยนิลสีดำฉ่ำชุ่ม ใบหน้าเรียวหล่อเหล่ามีเสน่ห์แบบชายหนุ่มที่ราบสูงซึ่งเต็มไปด้วยทรายละเอียด สันจมูกคมสูงโด่ง ริมฝีปากกระจับคล้ายรูปทรงทุ่งกุลาร้องไห้ ให้ความรู้สึกหนักแน่นแต่อ่อนโยน
“เวลาข้าย่ำขาขึ้นกระไดเรือนของเอ็งทีไร กลัวว่าจะคว่ำเครนครืนโครมลงเสียให้ได้ นึกว่ากระท่อมของชูชก”
“พูดมาก” อินทรธนูกลอกตา “หากกลัวกระท่อมน้อยแสนอบอุ่นของข้ายวบทับกบาลเอ็งนักละก็ ไสหัวออกไปให้เร็วเลย”
“คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง กลัวจะหัวหมุนจนหิวตาย เลยหิ้วข้าวต้มโค้นมาฝาก เอ้า เจ้านี้อร่อยใช้ได้ ต้มจริงสมชื่อ มิใช่นึ่งอย่างเจ้าอื่น” ปูรณิมทำปากยื่น “เห็นวิ่งรอกสืบข่าวพรานโจรที่ว่าทางโน้นทีทางนี้ทีผ่านพวกปาสคะเมา นี่เอ็งคงไม่คิดใช่ไหมว่าพรานโจรที่ว่าคือศศิน”
“ขอบใจ” ผู้ถูกถามเอื้อมมือรับพวงข้าวต้มโค้น จังหวะนั้นสายตาเหลือบไปเห็นป้ายเฉลาญ์ที่หลุดออกจากถุงผ้าดิบ หล่นอยู่ที่พื้น
ป้ายประจำตำแหน่งนี้มีการแกะสลักป้ายชื่อ ลงเคลือบเงาไว้สามชั้น จากนั้นห่อด้วยดินเปียก แล้วนำไปจี่ไว้ในกองไฟ จี่เสร็จก็ใช้ผงชาดผสมกับยางต้นน้ำเกลี้ยงทาทับ
“เอ็งว่า…” อินทรธนูเปรยถึงสิ่งที่ศศินเคยเอ่ยไว้ “คนเราเกิดมาล้วนมีอิสระและเท่าเทียมไหม”
“หมายถึงเจตจำนง?” ปูรณิมยกหัวคิ้ว
“กระมัง” อินทรธนูระบายลมหายใจ
“มิใช่ว่าสรรพสิ่งถูกลิขิตไว้ด้วยกฎเกณฑ์ที่ตายตัวดอกฤๅ จิตจึงไม่อาจมีเจตนารมณ์อิสระ มีอำนาจเพียงตอบสนองสิ่งเร้าจากภายนอกเท่านั้น ทันทีที่มนุษย์ผู้หนึ่งเกิดมาจักมีครอบครัว สังคม วัฒนธรรม สังกัด แลเชื้อชาติทันที หล่อหลอมความรู้สึกนึกคิดให้เป็นไปตามบรรทัดฐาน ฉะนั้นคนเราจึงไม่มีเสรีในเจตจำนง”
“หากเรามุ่งเน้นเฉพาะสภาวะทางใจเล่า คนเรามิอาจเลือกในสิ่งที่ตนรักได้เลยฤๅ” อินทรธนูโน้มตัวลงหยิบป้ายเฉลาญ์มากำไว้ในมือแน่น “คนผู้หนึ่งจำยอมต้องถูกหล่อหลอมโดยผู้อื่น เพราะมันไม่มีทางเลือกมิใช่ฤๅ”
ซึ่งนั่นเป็นการปกป้องตัวเองอย่างหนึ่ง
มันคือการป้องกันตัวโดยการปฏิเสธเสรีภาพ ยอมจำนนทั้งที่ส่วนลึกในหัวใจไร้ซึ่งความสุขในชีวิต
แต่เผ่ารุ้งพรายไม่ได้คิดเช่นนั้น รุ้งพรายเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยปฏิเสธความสามารถในการเลือก ชาวรุ้งพรายเลือกได้มิว่าจะสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม นั่นทำให้ชนเผ่ารุ้งพรายเป็นบุคคลที่สามารถชื่นชมตนเอง รู้สึกว่าชีวิตตัวเองมีค่า และเป็นคนที่มีความสุขที่สุด
มนุษย์จึงมีเสรีภาพโดยปกติอยู่แล้ว…ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะยอมเป็นไม้ในกระถาง ยอมถูกไฟลนจนร้อน แล้วค่อยยอมให้ผู้อื่นมาดัดซ้ายทีขวาทีหรือไม่
“อาจเป็นอย่างเอ็งว่า” ปูรณิมตอบ
ชายหนุ่มศกุนตะขมวดคิ้วส่ายศีรษะเมื่อเห็นว่าข้าวต้มโค้นพวงนั้นยังคงค้างเติ่งอยู่ที่มือของอินทรธนู จึงฉวยขนมมาแกะ บิป้อนใส่ปากอีกฝ่ายคำหนึ่ง ก่อนจะถาม
“ยังนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนอยู่อีก?”
“อือ” แท้จริงแล้วอินทรธนูนึกถึงศศิน
“เข้าหน่วยสาลิกามาสองปีกว่า ยามนี้เอ็งมีเหรียญเงินมากมายแล้วกระมัง”
“ก็ประมาณหนึ่ง”
“เอ็งวิ่งรอกทั้งวันอย่างนี้คงเบื่อแล้ว ข้าว่าเอ็งเลิกรั้งตำแหน่งเฉลาญ์ดีไหม” ปูรณิมแนะอ้อมๆ
ยิ่งฟัง อินทรธนูยิ่งพิศวง เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังโน้มน้าวให้ลาออกจากหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์พร้อมกันกับมัน
“แล้วเอ็งอยากชวนข้าไปทำสิ่งใด ค้าขายกระนั้น?”
“มิใช่ข้าที่อยากออกจากตำแหน่ง ที่พูดเพราะอยากให้เอ็งวางมือจากสิ่งที่ทำอยู่เสีย แล้วกลับบ้านไปใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ” ปูรณิมตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“เหตุใดจึงเอ่ยเช่นนั้น” อินทรธนูงุนงง ปากเอ่ยถามขณะละเลียดข้าวต้มโค้นในปากเชื่องช้า
“ข้ากลัวว่า…เอ็งจักมีอันตราย ไม่รู้ซี ข้าสังหรณ์ว่าภารกิจครานี้อาจสาหัสสากรรจ์กว่าที่ผ่านมานัก หลังทุกอย่างสงบ ข้าจักไปปลูกเรือนเครื่องผูกโย้เย้ข้างกันกับเอ็ง…”
“กลับบ้าน?” สีหน้าชายหนุ่มรุ้งพรายฉายความเจ็บปวด ขอบตาแดงเรื่อ “บ้านของผู้ใดกัน”
ปูรณิมชะงักเรียวนิ้วจากข้าวต้มมัด นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายบ้านแตกสาแหรกขาดเพราะหน่วยสมิงของมหาเสนาปติเข้าเข่นฆ่าล้างโคตรด้วยความเกลียดชังตั้งแต่สามปีก่อน แม้นอินทรธนูยอมวางมือจากหน่วยสาลิกาตามคำแนะของมัน บัดนี้หมู่บ้านเผ่ารุ้งพรายก็เหลือเพียงซากเสียแล้ว
ไร้ ‘บ้าน’ ให้กลับอย่างที่มันเสนอ
“ขอโทษ” หนุ่มศกุนตะพูดอ้อมแอ้ม
“ไม่เป็นไร เอ็งอย่าคิดมากเลย” อินทรธนูพยายามปั้นยิ้มให้อีกฝ่าย แต่เปลวไฟไหววูบจากไต้ซึ่งติดอยู่ข้างฝาเรือนสาดส่องความขมขื่นในดวงตาที่เหม่อลอยอย่างชัดเจน “ข้ารู้ว่าเอ็งเป็นห่วง”
ช่วงแรกนับแต่ชายหนุ่มฟื้นคืนสัมปชัญญะจากยาหมดสติของปูรณิม อินทรธนูนึกอยากปลิดชีวิตตน ปล่อยให้อาตมันอันเป็นเนื้อแท้ลอยล่องตามดวงวิญญาณของเผ่ารุ้งพรายที่เสียชีวิตไปยังโลกหน้า
เมื่อความตายอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งจึงจัดว่าเท่าเทียม
ในเมื่อรุ้งพรายเกิดมาแล้วเลือกไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังตัดสินใจได้ว่าจะอยู่ต่อหรือลาลับไปจากโลกใบนี้
นั่นคือการตัดสินใจให้เห็นถึงเสรีภาพและความเท่าเทียมรูปแบบหนึ่ง
ปูรณิมชำเลืองดูอินทรธนูแวบหนึ่ง ก่อนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อทำลายบรรยากาศอลักเอลื่อ “แล้วเรื่องการล่อซื้อสารพิษจากพรานโจรเป็นอย่างไร”
“เพราะมีสายและบรรดานกต่อของท่านมนตรีแฝงอยู่ทุกอาศรม (1) ต้องยอมรับว่าการเจรจาหลอกล่อของสายลับเหล่านี้มีลูกล่อลูกชนมิต่างกับเพนียดนกเขา ฝึกขันยั่วยุอยู่ในกับดัก เมื่อพรานโจรเลือดร้อนได้ยินเสียงย่อมต้องโต้ตอบ ผลสุดท้ายมันก็โผล่หัว เผลอกระโดดเหยียบไม้เกาะในเพนียด ดึงกลไกให้ฝาจะดีดกลับครอบโจรป่าติดอยู่หน้าชาน”
“มิแน่ว่าเอ็งจงใจปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อตกปลาตัวใหญ่?”
ความหมายของปูรณิมคือการสาวไปให้ถึงผู้อยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายที่อาจจะเกิด ด้วยสายข่าวต่างรายงานเข้ามาทั่วสารทิศว่าพรานโจรหันไปเข้ากับพวกปาสคะเมาขบถดำ รวบรวมดินดำและผงพิษนานาชนิดเข้าสรุกศกุนตะ ณ เพลานี้จึงต้องขุดกลุ่มโจรอาชญากรรมนี้ให้ลึกถึงปลายรากแก้ว
“อีกไม่กี่วันข้าคงได้ปะหน้ากับมัน แถวกุฏิฤๅษีร้าง”
“งานนี้ต้องลงมือรวดเร็ว เล่นงานทันทีมิให้อีกฝ่ายได้ทันตั้งตัว”
“เพราะการโยนเหยื่อลงไปหลอกล่อใช้ได้เพียงประเดี๋ยวประด๋าวเท่านั้น ไม่นานพรานโจรก็รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม เบาะแสจักเลือนหายตลอดกาล” สายตาอินทรธนูหยุดอยู่ที่แผ่นกังสดาลครึ่งซีก
“ข้าดีใจที่เอ็งเห็นเหมือนกัน” ปูรณิมพูด
“การฆ่าฟันกันเองมิได้ทำให้สิ่งใดดีขึ้น สุดท้ายจักไม่เหลือเผ่าพันธุ์ใด” น้ำเสียงอินทรธนูฟังดูเหนื่อยล้า “หากมนุษย์ไม่ยอมวางอาวุธ อนาคตอันใกล้ทุกอย่างจักถึงกาลอวสาน”
สิ่งที่สะท้อนอยู่เบื้องหลังถ้อยวาจาเหล่านั้นคือคำว่าคนทรยศและปลิ้นปล้อน หนุ่มเผ่ารุ้งพรายรู้ดีอยู่แก่ใจ
แล้วทางออกที่ดีที่สุดเล่าคือทางใด
“เผ่ารุ้งพรายเหลือเพียงข้าแต่ผู้เดียวที่ยังไม่ตาย” อินทรธนูกระซิบ ยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้า สัมผัสกับรอยน้ำตาเย็นเยียบ “ทั้งที่ยังมีลมหายใจ ข้ากลับทรยศเผ่าพันธุ์”
จากนั้นครู่ใหญ่ ปูรณิมตัดสินใจเอื้อมมือไปโอบไหล่ชายหนุ่ม รั้งร่างอีกฝ่ายให้หันซบเข้าแผงอกตน
ความทรงจำแสนโหดร้ายผุดวาบขึ้นหลังม่านน้ำตา
ภาพเผ่ารุ้งพรายถูกสังหารหมู่ ภาพเพิงกระท่อมถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน พวกมันไร้พันธมิตรให้บ่ายหน้าไปขอความช่วยเหลือ ท้ายที่สุดเหลือเพียงฝุ่นธุลีแห่งหายนะที่ติดแน่นตามเนื้อตัว
หากพรานโจรคือศศินที่ยังรอดชีวิตจริง มันย่อมต้องเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเอง เปลี่ยนจากปุถุชนผู้รักสงบเป็นปิศาจ สร้างกองกำลังใหม่โดยการรวบรวมผู้ที่อยู่ห่างไกลจากสังคม และเปิดสงครามกับศกุนตะ
“พวกขบถคงใช้เวลานานพอควรกว่าจักถึงเวลาสำแดงตน” ปูรณิมพูด
“ไม่ง่ายเลย…”
“ใช่ เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย ไม่ว่ามองในแง่ไหน พวกมันต้องสร้างฐานขบถในศกุนตะ จัดกองกำลังใต้ดิน จากนั้นก็ต้องมีใครสักคนเป็นผู้นำการขับเคลื่อน…”
“และคนคนนั้นก็คือศศิน”
เตยังคิดถึงอัญอยู่ไหม รู้ฤๅไม่ว่าอัญยังมีลมหายใจอยู่
อินทรธนูคิดขณะย่อตัวลง มะงุมมะงาหราเก็บลูกต้นเหียงแห้งใส่ถุงผ้าดิบ
“ข้าและชาวศกุนตะหลายคนไม่เคยเห็นด้วยกับวิธีของมหาเสนาปติ ความรักระหว่างสตรีกับสตรี บุรุษกับบุรุษ หาใช่จิตวิปลาส มิใช่อาการป่วยไข้ที่ต้องการการรักษา หากข้าสามารถจับไอ้พวกที่หลงคิดว่าความเป็นชายของอยู่สูงเกินเอื้อม กระทั่งหลงคิดไปว่าตนมีอำนาจเข่นฆ่าผู้อื่น เข้าคุกได้ทั้งหมดละก็ ข้าทำไปนานแล้ว ลงมืออย่างไม่ลังเลด้วย” ปูรณิมดึงถุงผ้าจากมืออินทรธนู แล้วหยิบลูกเหียงสีน้ำตาลอมแดงใส่
“ขอบใจ” อินทรธนูกล่าว
คำพูดของชายหนุ่มกลับมิใช่การแสดงความรู้สึกที่ปูรณิมช่วยเก็บกวาดข้าวของเกลื่อนพื้น แต่เพราะบุรุษชาวศกุนตะแสดงจุดยืนสนับสนุนผู้มีวิถีชีวิตเช่นเผ่ารุ้งพรายต่างหาก
“แล้วเอ็งจักทำอย่างไรต่อไป” ปูรณิมเก็บของชิ้นสุดท้ายใส่ถุง
นั่นเป็นคำถามที่กวนใจอินทรธนูตลอดมา และคำตอบนั้นมีเพียงหนึ่งเดียว
“ความพยาบาททำให้หัวใจศศินมืดบอด แต่มิได้หมายความว่ามันจักไร้แสงสว่างไปชั่วกัลป์ ไม่แน่ว่า…ข้าอาจดึงความดีที่ซ่อนอยู่ในหัวใจมันคืนมาได้”
ปูรณิมฝืนยิ้มให้กับความมุ่งมั่นของอินทรธนู ลึกๆ หัวใจข้างในของมันกลับขมขื่น
เพราะมิรู้ว่าวันใดมันจะได้รับความรู้สึกมุ่งมั่นเช่นนั้นจากอินทรธนูบ้าง
“วันพรุ่งข้าต้องเร่งเดินทางลงใต้ มิได้อยู่คอยดูแลเอ็งหลายวัน เอ็งก็อย่าดื้ออย่าซน” ใบหน้างามคมของปูรณิมพลันประดับด้วยรอยยิ้ม
“รู้แล้วละน่า” อินทรธนูบีบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “เดินทางปลอดภัย ขอให้รู้ไว้ว่าข้าจักรอเอ็งอยู่ตรงนี้เสมอ”
นั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับปูรณิม
เชิงอรรถ :
(1) ผู้คนที่มารวมกลุ่มกันเป็นชุมนุมย่อย และเป็นอิสระจากกัน