หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
โดย : กันต์พิชญ์
หริณจันทร์กังสดาล นวนิยายจาก กันต์พิชญ์ นักเขียนจากช่องวันอ่านเอาปี 1 ที่เปิดตัวด้วยผลงานสุดระทึกวางไม่ลง ‘ม่อนเมิงมาง’ ตามด้วย ‘วายัง’ และ ‘สีตคีตา’ ที่ประดาผู้อ่านกล่าวขานว่างานเขียนของกันต์พิชญ์นั้นช่างโดดเด่นและแตกต่าง และวันนี้เขามากับผลงานเรื่องนี้ที่อ่านเอานำมาให้คุณได้อ่านบนเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา
คันฉ่องเนื้อสำริดขนาดใหญ่ข้างตู้ไม้สักทองถูกขัดจนขึ้นเงาวาววับ ยามนี้มันกำลังสะท้อนดวงตาอันขุ่นมัวอย่างยากจะอธิบายของหญิงสาว ผิดกับรัตนาวลีฝังพลอยน้ำงามส่องประกายระยับบนลำคอนวลผ่องที่ได้รับการขัดสีฉวีวรรณเป็นอย่างดี
เรือนหลังนี้เป็นของไอ้หาญ มันจัดการให้บานเมืองเข้าพำนักในห้องโอ่โถงกว้างใหญ่ มอบอำนาจให้เธอได้เลือกข้ารับใช้คอยดูแลความต้องการของเธอด้วยตนเอง แต่กระนั้นหญิงสาวก็ยังดูปราศจากความสุข
‘เอ็งรู้ฤๅไม่ว่าข้ารักเอ็งเพียงใด’
ไอ้หาญกระซิบบอกบานเมืองหลังจากการร่วมรักขณะที่มันนอนหอบอยู่ข้างเธอ ศีรษะหนุนทรวงอกของหญิงสาวต่างหมอน ความเป็นชายปวดปร่าด้วยความรวดร้าวแสนหวาน
บานเมืองไม่ปริปากพูดอะไร เว้นแต่นัยน์ตากระจ่างใสคู่นั้น
ชายชาติทหารอย่างไอ้หาญพอจะมองออกว่าคำพร่ำพลอดที่มันสำรอกออกมาจากใจ ไม่ใช่สิ่งที่หญิงสาวอยากได้ยิน
บานเมืองละสายตาจากคันฉ่องแม้ความคิดยังคงวนเวียนในห้วงภวังค์
นางเสมองปุยฝุ่นลอยเอื่อยในอากาศท่ามกลางลำแสงที่สาดส่องจากภายนอก ราวกับว่ามันไม่จำเป็นต้องยี่หระต่อสิ่งใด เต็มไปด้วยอิสระ และไม่อินังขังขอบกับอะไรทั้งสิ้น ฝุ่นลอยละล่องพัดพลิ้วไปในสายลม ก่อนหมุนคว้างลงสู่ไม้กระดาน
บ่อยครั้งบานเมืองก็จินตนาการว่าตนเป็นเหมือนฝุ่นสีเทา สายลม หรือไม่ก็สายหมอก เพราะพวกมันเป็นธาตุที่ปราศจากความรู้สึก สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องใส่ใจ ไม่ต้องเจ็บปวด
แล้วนางจะเป็นอิสระ
“อิสระเสรีอย่างเผ่ารุ้งพรายนั้นเป็นเช่นไรหนอ…” หญิงวัยสามสิบสามกระซิบ
ความแวววาวจากเหลี่ยมอัญมณีทำให้บานเมืองนึกถึงถ้อยคำของชาวรุ้งพราย ชนเผ่าที่เต็มไปด้วยสีสันอย่างเฉดรุ้งที่สะท้อนแสงในเพชรล้ำค่า
แม้ยามนี้ลมหายใจยังมั่นคงสม่ำเสมอ ทว่านางกลับรู้สึกคล้ายหัวใจได้แตกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวแล้วหล่นหายในที่ใดที่หนึ่งเสียแล้ว
โลกช่างแตกต่างกันเหลือเกิน
โลกที่อยู่ตรงนั้นกับเดือนเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจและความผูกพัน ระยะเวลาไม่กี่วันและช่วงเวลาอันน้อยนิด หลังจากนั้นเด็กสาวก็ถูกย้ายมายังโลกที่เต็มไปด้วยผู้ชาย โลกซึ่งแตกต่างไปจากโลกที่นางเคยพบเห็นมาอย่างสิ้นเชิง
“เดือน…มิรู้ว่ายามนี้เธอจักสุขกายสุขใจดีฤๅไม่ ขึ้นไปอยู่เมืองสรวงคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนข้ากระมัง”
หยาดน้ำตาของบานเมืองโปรยปรายอยู่ในทรวง ก่อนจับตัวเป็นน้ำค้างแข็งเหนือขั้วหัวใจซีกหนึ่ง ส่วนอีกซีกกำลังโหมไหม้เป็นไฟกัลป์ ด้านที่แข็งยะเยือกคือช่วงเวลาทั้งหมดนับแต่ที่นางต้องใช้ชีวิตอยู่ในตรุแห่งนี้เพียงลำพัง ส่วนอีกด้านที่แผดเผาคือช่วงเวลาที่นางต้องกัดฟันทนอยู่ร่วมใต้ชายคากับผู้ชายสามานย์
“เธอยังมีลมหายใจอยู่ที่เมืองแถนแมนสรวงใช่ฤๅไม่”
บานเมืองทอดถอนใจ สะท้านเยือกอยู่ในอกทุกครั้งที่นึกถึง
หญิงสาวรู้ว่า ‘ข้างนอก’ คือความน่าประหวั่นพรั่นพรึงที่สุดของชีวิต ความน่ากลัวของการก้าวขาออกจากเรือนสำหรับสตรีปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งในศกุนตะ ชายและหญิงชาวศกุนตะหลายคนที่มีใจใคร่อยากเป็นอย่างเผ่ารุ้งพราย มักถูกพ่อแม่ไร้หัวใจขับไล่เลือดเนื้อเชื้อไขของตนให้ต้องออกไปอยู่ ‘ข้างนอก’
แม้แต่บานเมืองเองก็ไม่มีข้อยกเว้น
ความแตกต่างระหว่างการถูกไล่ออกจากเรือนกับการถูกตะเพิดให้ไปอยู่ ‘ข้างนอก’ นั้นต่างกัน
หากถูกไล่ออกจากเรือน บานเมืองก็แค่เปลี่ยนจากสถานที่ที่อยู่ใต้ตีนมนุษย์เพศผู้คนหนึ่ง ไปอยู่ในกำมือของมนุษย์เพศผู้อีกคนก็เท่านั้น แต่หากถูกตะเพิดให้ไปอยู่ ‘ข้างนอก’ นั่นหมายความว่านางไม่มีที่ใดให้ไปอีกแล้ว
ข้างนอกเป็นจุดจบของสัตว์สังคม เป็นข้อเท็จจริงทางกายภาพอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ บานเมืองถูกบิดาและชาวศกุนตะขับออกไปให้เป็นชนกลุ่มน้อยทั้งในแง่ชนชั้นและวรรณะ ไม่ต่างอันใดกับเดือน คนรักเพียงคนเดียวของนาง
หญิงวัยสามสิบสามพยายามรักษาลมหายใจตนให้เคลื่อนขยับอยู่ตามชายขอบของชีวิต ขวนขวายหาทางขจัดความอ่อนแอ ฝึกปรือจิตใจให้แข็งแกร่ง เกาะติดคืบคลานเข้าสู่รอยพับใหญ่ในผืนอาภรณ์แห่งชีวิตที่มีแต่กระทาชายเป็นผู้บงการ
สิบแปดปีแล้วนับแต่เหตุการณ์ขบถเหมือง
ยามนั้นบานเมืองอายุเพียงสิบห้า บิดาผู้รั้งตำแหน่งนายจำกอบบังคับให้เด็กสาวแอบขยักแร่รัตนชาติที่พวกรุ้งพรายร่อนได้
ดวงชาตากลับนำพาสตรีที่เพิ่งแตกเนื้อสาวไปพบเดือน อิตถีเผ่ารุ้งพรายผู้สามารถกุมหัวใจบานเมืองไว้ได้ทั้งดวง
ทั้งบานเมืองและเดือนได้ทำสิ่งใดผิดกระนั้นหรือ
บานเมืองได้แต่นึกย้อนถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาของตนเอง สามเดือนแรกหลังถูกบิดาตบหน้ากลางเหมือง ช่างเป็นห้วงเวลาแห่งความทุกข์ทรมานดุจขุมนรกโลกันตร์
ประโคน บิดาของบานเมืองจับเธอมาขังไว้ในห้องนี้ ทิ้งลูกในไส้ให้เป็นของเล่นไอ้หาญ ลูกชายไอ้พระหาที่เคยเกณฑ์เผ่ารุ้งพรายมาใช้แรงงานในเหมือง ประโคนคงหวังว่าเมื่อบานเมืองได้ลำลึงค์มาชำแรกแทรกกาย ลูกสาวคงหายขาดจากอาการวิกลจริตลักเพศที่ติดมาจากอีเดือนเผ่ารุ้งพราย
ทุกเสี้ยวขณะจิตของบานเมืองมีแต่ความเจ็บปวด
การรุกล้ำและสอดแทงทำให้ความรู้สึกนึกคิดและประสาทสัมผัสของเด็กสาววัยสิบห้าในยามนั้นถูกฉีกทึ้งออกจากกัน
แม้ไอ้หาญจะตรึงร่างหล่อนเอาไว้ได้ด้วยเรี่ยวแรงวัยกำดัดของมัน แต่จิตใจของบานเมืองไม่อาจยอมได้
เด็กสาวคิดว่าตนเองตายแล้ว และตื่นขึ้นมาในโลกที่ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงหนาทะมึน
ขณะยันกายลุกขึ้นนั่งบนพื้นเรือนแข็งกระด้างทุกเมื่อเชื่อวัน บานเมืองรู้สึกแสบร้อนจากภายในประหนึ่งถูกใครสักคนป่นเกล็ดม่วงกันบาดทะยักโรยใส่แผลสดที่กรีดลึกลงบนร่างของเธอ
บานเมืองลอบถอนหายใจเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าลากมาตามพื้นกระดาน จากนั้นบานประตูที่เคยคุมขังเธอก็เปิดออก
“ทุกสิ่งเสร็จเรียบร้อยแล้วฤๅ” ยายเฒ่าลงผีถาม
“สิคาลเผามันบูชายัญเรียบร้อยแล้ว” บานเมืองพยักหน้าให้หญิงชรา “แต่พวกเฉลาญ์หน่วยสาลิกาชิงผลึกเศษะหนีลงไปยังยโศธรปุระเสียแล้ว”
ยายเฒ่าลงผีเบิกตาโพลง ทว่าสามารถกลบเกลื่อนอาการตื่นตะลึงลงได้อย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นข้าคงต้องรีบแจ้งศศินให้เร่งเดินทางไปจัดการ”
บานเมืองผงกศีรษะอีกครั้ง ก่อนเบือนสายตาจับจ้องคันฉ่องสำริด
ภาพสะท้อนทำให้บานเมืองหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ไอ้หาญได้ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นคนของนาง
คันฉ่องบานนี้ยังเคยสะท้อนภาพชายหนุ่มผู้หนึ่งที่มักเดินเข้ามาทางด้านหลัง ท่อนแขนเรียวยาวของมันดูรับกันดีกับช่วงไหล่ที่กว้างและผึ่งผาย
‘งามเหลือเกิน’ ชายหนุ่มซุกใบหน้าลงบนเรือนผมของบานเมืองพร้อมกระซิบที่ข้างหู
มันเอื้อมมือมายังหัวไหล่ของบานเมืองจากเบื้องหลัง โอบข้ามผิวสีน้ำผึ้งเนียนบริเวณปลายบ่าที่เปิดเปลือย ก่อนเคลื่อนมือลงทาบสัมผัสลงบนหน้าอกกลมกลึงแผ่วเบา
บานเมืองสะดุ้งเฮือก เผลอขบริมฝีปากพลางจิกปลายเล็บลงบนฝ่ามือจนห้อเลือด ไม่ยอมให้ความเกลียดชังหรือความพยศเผยออกมาในแววตาของตน บานเมืองแค่หลุบตาลงเล็กน้อย และนางยังมีอีกหลายวิธีในการทำตัวเข้มแข็ง ซึ่งเป็นบทเรียนที่เธอเรียนรู้ด้วยตัวเอง แม้ล่วงเลยมากว่าสิบห้าปีแล้ว แต่เจตจำนงของบานเมืองไม่ใช่สิ่งจำเป็นต้องแปรเปลี่ยน
ไอ้หาญคำรามในลำคอเบาๆ แล้วเงื้อมือฟาดลงบนแก้มก้นหญิงสาว ยามนี้มันคงรู้ทุกส่วนสัดของร่างกายบานเมืองมากกว่าเจ้าตัวเป็นแน่ และคงรู้จักกลยุทธ์ที่ใช้สำหรับการเหยียบย่ำแย่งชิงความเป็นมนุษย์ทั้งหมดไปจากนางเป็นอย่างดี
‘อย่า…’
ผิวกายของหญิงสาวแสบร้อนด้วยความเจ็บปวด นางกัดฟันทนรับการลงโทษอย่างเงียบงัน มันก็แค่รอยฟกช้ำอีกรอย บานเมืองเข้มแข็งพอที่จะรับมือ ดังที่เคยทำเช่นนี้มาเนิ่นนานมากแล้ว
‘หุบปาก!’ ไอ้หาญตะคอกขณะคืบคลานปลายนิ้วราวกับแมลง
บานเมืองพยายามขัดขืนและหลบหนีนับครั้งไม่ถ้วน ทว่าท้ายที่สุดมักจบลงด้วยการถูกเฆี่ยนตีและล่ามโซ่
หญิงสาวกัดฟัน นัยน์ตาเบิกกว้าง ขณะที่มันกำลังสอดแทรกเข้ามาในกายเธอจากด้านหลัง
ครอบงำ นี่คือการครอบงำ
บานเมืองจำเป็นต้องหนีไปจากการครอบงำนี้โดยเร็วที่สุด ทิ้งอาณาเขตของผู้ชายเหล่านี้ไปใช้ชีวิตในป่าเขากับชนเผ่ารุ้งพราย วิถีชีวิตที่แตกต่างกับอาณาจักรนี้อย่างสิ้นเชิง ไปอยู่ในที่ที่ไม่มีทั้งความหนาวเหน็บและเปลวเพลิง
ทรยศ!
แน่นอนว่าการละทิ้งสรุกศกุนตะเป็นการประทุษร้ายต่ออาณาจักร
‘เดือน…ช่วยฉันด้วย…’ บานเมืองเพรียกหาคนรัก เสียงนั้นเลือนหายไปในท่วงทำนองกระบวนแห่บรรณาการของเผ่ารุ้งพรายที่แว่วอยู่ไกลๆ
ไอ้หาญยกฝ่ามืออุดริมฝีปากเด็กสาวไม่ให้เปล่งเสียง ‘กูจะรักษาอาการป่วยไข้ของมึงเอง’
ไม่ว่าบานเมืองจะพยายามประกอบเศษเสี้ยวของหัวใจที่แตกสลายขึ้นมาใหม่สักกี่ครั้ง ก็รังแต่จะทำให้มันเหยียบย่ำทำลายลงไปใหม่บ่อยขึ้นเท่านั้น
บานเมืองจ้องสตรีผู้มีนัยน์ตาว่างเปล่าในคันฉ่องสำริดเขม็ง แผดเผาภาพไอ้หาญในความทรงจำให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน
แก้แค้น!
การกู่ตะโกนถ้อยคำนี้อยู่ในใจเปรียบเสมือนการกรีดลงไปบนปากแผลที่ติดเชื้อ เธอรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที ประหนึ่งยกภูเขาออกจากอกในที่สุด ถ้อยคำนี้คล้ายหีบที่บานเมืองเอาความเจ็บปวดรวดร้าวทั้งหลายใส่ลงไปเก็บงำ รอเวลาเยียวยาให้แผลกลัดหนองหายดี แล้วเธอจะยิ่งแข็งแกร่ง
แน่นอนว่าเส้นทางชีวิตที่บานเมืองเลือกนับแต่ได้รู้ว่าไอ้หาญนำหน่วยสมิงเข้าเข่นฆ่าเผ่ารุ้งพรายเมื่อสามปีก่อน เป็นหนทางที่ราดด้วยโลหิต
ด้วยต่อให้ต้องแลกด้วยความตาย…
เธอต้องผลาญชีวิตผู้ชายพรรค์นี้ให้หมดสิ้น!
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 16 : โหมกูณฑ์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 15 : ความหวัง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 14 : เชื้อไข้
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 13 : รุ้งพราย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 12 : พรานโจร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 11 : หอสังคีต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 10 : ผลึกเศษะ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 9 : จตุรงค์
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 8 : ป้อมแดง
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 7 : เฒ่าเกิบ
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 6 : จันทบเพชร
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 5 : ประลัย
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 4 : ข้างนอก
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 3 : คู่ชีพิต
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 2 : สาลิกา
- READ หริณจันทร์กังสดาล บทที่ 1 : อาตมัน
- READ หริณจันทร์กังสดาล : อาทิบรรพ