ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด

ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

“จงระวังให้ดีว่าเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วได้ทั้งหมด ทุกสิ่งล้วนส่งผลต่อกาลภายหน้า จงเลือกให้ดี”

ราวเสียงขององค์ทิพย์สุคนธาที่บัดนี้ดังก้องภายในใจ สุวรรณนเรศทำได้เพียงนั่งเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายภายในเขตพลังของมหามนตร์ย้อนกาล

ดวงตาแดงก่ำบัดนี้น้ำตาไหลอาบสองแก้ม เพราะถึงแม้ไม่อาจกลับไปเป็นปัทเนตรได้หากแต่ความรู้สึกนึกคิดและภาพเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับปัทเนตรนั้นกลับหลั่งไหลผ่านสุวรรณนเรศอย่างไม่อาจควบคุม

แม้ความรู้สึกจะถูกซ่อนเร้นในจิตใจของปัทเนตร…สุวรรณนเรศยังสามารถรับรู้ได้ราวกับเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้นด้วยตนเอง

“กักขังข้าเช่นนี้เพื่อสิ่งใดมหามนตร์ ยังต้องให้ข้ารับรู้ความรู้สึกของนางด้วยฤๅ โหดร้ายยิ่งนัก…”

สุวรรณนเรศพึมพำ หากแม้รู้ดีแก่ใจว่าเป็นเพียงอดีตที่ผันผ่านไปแล้ว แต่บทลงโทษของมหามนตร์ย้อนกาลที่นางได้ละเมิดอย่างไม่ตั้งใจนั้นช่างแสนโหดร้ายแสนสาหัส การยืนมองความเป็นไปของใครผู้หนึ่งโดยรับรู้ทุกสิ่งหากแต่ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้

จิตใจที่สงบลงบ้างแล้วหากแต่ยังคงเศร้าหมองด้วยความรู้สึกของปัทเนตรพลันส่งผลให้ธิดาแห่งพญาสุบรรณกลับรู้สึกเข้าใจว่า ผู้ที่ทนมองการสูญเสียผู้ที่ตนรักและผูกพันนั้นเจ็บปวดเพียงใด

สงครามนี้…จะจบลง ณ ที่ใด

“มณีนาคาสูงค่ายิ่ง ไหนเลยเพียงสัตย์สาบานเจ้าจักให้เขามิได้…”

สุวรรณนเรศเรศกล่าวด้วยเข้าใจปัทเนตรเป็นอย่างดีหากแต่นางมิใช่ปัทเนตร ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดสุวรรณนเรศตั้งมั่นเพียงเพื่อการนี้เท่านั้น

“ต้องขออภัยเจ้าแล้วปัทเนตร…”

 

แว่วเสียงหยดน้ำกระทบหินกังวานก้องทั่วผืนถ้ำเป็นจังหวะหยดแล้วหยดเล่า ดวงหน้างามที่บัดนี้ดวงตายังคงปิดสนิทด้วยบาดเจ็บสาหัสจากการที่ต้องสูญเสียมณีนาคาอันเป็นดวงแก้วประจำกายสำคัญของเหล่าพญานาคราช

ปัทเนตรยังคงหอบหายใจด้วยทั่วร่างนั้นเจ็บปวดไปหมดเมื่อยามขยับเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เสียงถอนหายใจที่ดังขึ้นครั้งหนึ่งนั้นด้วยความหนักใจอย่างที่สุด ชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ข้างตั่งทองพลางมองไปยังน้องสาวของตนที่บัดนี้ใบหน้างามมีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นที่กลางหน้าผากและหว่างคิ้วที่ขมวดเป็นปมอยู่เป็นระยะ แสดงให้รู้ได้ชัดเจนว่ากำลังเจ็บปวดเพียงใด

“ปัทเนตรเจ้าหนาเจ้า…”

ผู้เป็นพี่ชายทำได้เพียงค่อยๆ เดินไปยังสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักที่บริเวณด้านหน้าของตั่งที่ปัทเนตรอยู่ พลันปรากฏสระบัวสีทองหลายสิบดอกที่บัดนี้ชูช่อ บางดอกพึ่งโผล่พ้นน้ำเมื่อไม่นาน บางดอกยังพึ่งเริมผลิบานและบางดอกเบ่งบานเต็มทีโดยมีละอองสีทองลอยละล่องอยู่เหนือดอกอย่างงดงาม

เพียงผายมือไปยังด้านหน้าเท่านั้นดอกบัวดอกหนึ่งจึงล่องลอยมาที่เขาอย่างง่ายดาย ก่อนมันจะค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีทองหมุนวนอยู่บนฝ่ามือนั้นของเขา

ชายหนุ่มเดินกลับเข้ามาในห้องช้าๆ ก่อนจะส่งละอองแสงสีทองนั้นไปยังปัทเนตรที่นอนนิ่งอยู่ ละอองแสงระยับระยับโอบล้อมร่างของหญิงสาวอย่างรวดเร็วก่อนค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปทั่วร่างในทันที จากนั้นสีหน้าของปัทเนตรจึงไม่แสดงถึงความเจ็บปวดเท่าใดนัก

“เจ้าชื่อเสียงเรียงนามใด เหตุใดข้าจึงมิเคยพบ…”

เมื่อรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของใครผู้หนึ่ง สุรเสียงเข้มจึงกล่าว พลันเจ้าของร่างเล็กๆ จึงเผยตัวออกมาจากซอกหินของถ้ำในทันที จากงูสีเขียวขนาดไม่ใหญ่นักจึงกลับกลายร่างเป็นเด็กชายตัวอ้วนกลมผิวขาวแก้มยุ้ยคนหนึ่ง

“ข้าแต่องค์ภัทรเนตร ข้านามว่าภุมโม”

“ถ้ำแห่งนี้เป็นที่บำเพ็ญเพียรของปัทเนตรน้องเรา ที่แม้แต่เราผู้เป็นเชษฐายังนับครั้งเข้ามาได้ เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่แห่งนี้”

เขากล่าวถามอย่างประหลาดใจด้วยเมื่อยามปัทเนตรเข้ามาบำเพ็ญเพียรนั้น นับครั้งที่จะให้ผู้ใดเข้ามาพบนาง ณ ที่แห่งนี้ จึงเปรียบดังสถานที่หวงห้ามที่เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ชาวบาดาลโดยเฉพาะในศรีวาสุบาดาลนคร

“เขาเป็นสหายข้าท่านพี่…”

เสียงของปัทเนตรดังขึ้น ก่อนพยายามจะพยุงร่างกายอันอ่อนล้านั้นลุกขึ้นนั่ง เมื่อภัทรเนตรเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปช่วยพยุงทันที

“อย่าพึ่งขยับตัว เจ้าพึ่งสูญเสียมณีนาคาประจำกายไป หากบาดเจ็บหยั่งรากลึกไปถึงดวงจิตอาจเป็นอันตรายได้”

เขามองผู้เป็นน้องด้วยความเป็นห่วงหากแต่ยังไม่กล้าถามถึงต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้น ภุมโมขยับเข้ามาคุกเข่าอยู่ที่ด้านล่างตั่งทองข้างๆ กายปัทเนตรก่อนจะจับมือของนางไว้แน่น ดวงตาสองข้างแดงก่ำ

“ข้าไม่เป็นกระไรภุมโม”

ปัทเนตรกล่าวหากแต่ลูบศีรษะของภุมโมอย่างเอ็นดู ภัทรเนตรที่สีหน้าราวกับกำลังใช้ความคิดอยู่ตลอดเวลานั้นพลางลูบศีรษะของผู้เป็นน้องสาวอย่างทะนุถนอม

“ข้าหลับไปนานเพียงใด”

“สามวัน เจ้าหลับไปสามวัน”

สายตาที่มองสังเกตไปมารอบถ้ำคล้ายกำลังตามหาบางสิ่ง ภาพสุดท้ายที่นางจดจำได้นั้นคือลานหินกว้างและภุมโมน้อยที่วิ่งเข้ามา เด็กน้อยนำร่างอันไร้สติของทั้งปัทเนตรและอุรกาฬกลับมายังถ้ำแห่งนี้หากแต่ไร้เงาร่างของอีกฝ่าย

“อุรกาฬเล่าเป็นเช่นไร”

ภัทรเนตรหลบสายตาของปัทเนตรพลันมองไปที่พื้นทันที ด้วยท่าทางเช่นนี้ต้องเกิดเรื่องไม่ดีเป็นแน่

“สิ้นแล้วฤๅ…”

น้ำเสียงนั้นพยายามควบคุมไม่ให้สั่นเครือและสันกรามที่ขบแน่น ด้วยกลัวคำตอบที่ภัทรเนตรจะตอบ

“อุรกาฬกลับไปแจ้งพี่ที่ศรีวาสุแล้วว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ พี่จึงรีบมา…”

“เช่นนั้นฤๅ” ปัทเนตรพึมพำ

“เจ้าพักเสียเถิด”

ภัทรเนตรกล่าวพลางพยุงปัทเนตรให้เอนกายลงนอนก่อนจะใช้พระเวทเพื่อให้นางล่องลอยสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ เมื่อปัทเนตรหลับไปแล้วนั้นเขาพลางมองสำรวจตามร่างกายของน้องสาวว่าไร้บาดแผลใด อีกทั้งอาการบาดเจ็บยังทุเลาลงบ้างแล้วหากแต่พลังแห่งนาคินีไม่เหมือนดังเดิม

“ภุมโมเจ้าเฝ้านางให้ดี หากเริ่มมีสีหน้าเจ็บปวดอีกจงใช้นาคะบงกชที่อยู่ในสระนั้น…”

เด็กชายมองตามปลายนิ้วที่ชี้ไปยังสระน้อยที่หน้าห้องก่อนจะค่อยๆ หันกลับมามองภัทรเนตรแล้วเอียงคอถามด้วยความสงสัย

“นาคะบงกชขององค์ปัทเนตรเกิดจากพลังเมื่อยามบำเพ็ญเพียร สำเร็จขั้นหนึ่งจึงจักเกิดเป็นบัวทองดอกหนึ่ง หากมิใช่องค์ปัทเนตรเห็นทีมีแต่องค์ท่านที่สามารถเก็บขึ้นมาได้ ภุมโมจะเก็บได้อย่างไร”

ภัทรเนตรไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่เอื้อมมือไปลูบศีรษะเด็กชายอย่างเอ็นดู

“เจ้าเก็บได้ เราให้สิทธิ์นั้นแก่เจ้าภุมโม ฝากเจ้าดูแลน้องสาวเราด้วยหนา เรามีกิจที่ต้องไปจัดการที่นคร”

เมื่อภัทรเนตรจากไปแล้วนั้นภุมโมจึงลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก พลางเดินเข้ามาใกล้ตั่งเตียงทองที่บัดนี้ปัทเนตรยังคงหลับตานิ่งสนิท

“ภุมโม…”

เสียงเรียกดังขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุย ภุมโมสะดุ้งเสียจนตัวโยนพลางพลางคุกเข่าลงก่อนจะมองไปยังปัทเนตรใกล้ๆ

“ช่วยพยุงเราไปที่สระนาคะบงกช เร็วเข้า!”

 

ละอองแสงสีทองทอประกายงามเมื่อยามยินเสียงคำรามลั่นของพญานาคห้าเศียรแผ่พังพาน ราวม่านกั้นของสายน้ำหมุนวนอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงเผยให้เห็นทางเข้าสู่มหาปราสาทตระกาลตา

ภัทรเนตรกลับคืนสู่ร่างของมาณพหนุ่มรูปงามอีกครั้ง อาภรณ์สีสุวรรณบัดนี้พลิ้วไหวตามแต่ละก้าวเดินที่เร่งรีบกว่าปกติเมื่อพบว่าบัดนี้ทหารนาคจำนวนหนึ่งแต่งกายผิดแผกจากชาวศรีวาสุวาดาลออกไป ชายหนุ่มรูปร่างสันทัดสังเกตเห็นว่าบัดนี้ภัทรเนตรกลับมาแล้วนั้นจึงเร่งเดินเข้าไปหาเขาในทันที

“อุรกาฬเล่าอยู่ที่ใด ศินรินทร์”

“ข้ากักไว้มิให้ออกมาเจ้าค่ะ อยู่ที่ตำหนักองค์ท่าน”

อารักษ์นาคนามศินรินทร์ผู้เป็นอารักษ์ประจำกายของภัทรเนตรรายงานในทันที หากแต่สีหน้าหนักใจราวกับว่าเรื่องราวยังไม่จบเพียงเท่านั้น

“มีเหตุอันใดเร่งว่าไป เจ้าอย่ามัวอ้ำอึ้ง”

“เหตุว่าทางฉิมพลีแจ้งเรื่องมาเมื่อยามอรุณรุ่งว่า…” ศินรินทร์กล่าวพลางก้มหน้ามองพื้นในทันที

“ว่าอย่างไร เร่งพูดเข้า” ภัทรเนตรเสียงแข็งหากยังคงไม่ผ่อนฝีเท้าลงแม้แต่น้อย

“ให้ส่งนาคที่สังหารครุฑที่มารับบรรณาการเมื่อสามวันก่อนไปเป็นบรรณาการภายในเจ็ดวันเจ้าค่ะ!”

เพียงสิ้นคำของอารักษ์หนุ่ม ร่างของภัทรเนตรราวถูกสายฟ้าผ่าลงร้าวชาไปทั่วร่าง ฝีเท้าที่เคยก้าวเดินอย่างเร่งรีบพลางหยุดชะงักลงในทันที พลันสองมือกำแน่นด้วยสาเหตุที่ว่าเหตุใดปัทเนตรจึงได้สละมณีนาคาให้แก่อุรกาฬก็กระจ่างชัดในบัดดล

“ภัทรเนตรเจ้าเร่งเข้ามาบัดเดี๋ยวนี้!”

ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใดกับศินรินทร์ สุรเสียงคุ้นชินก็ดังกังวานขึ้นหากแต่ทรงอำนาจกว่าทุกครั้งเมื่อยามนี้ผู้ประทับอยู่ ณ ห้องโถงบัลลังก์แห่งศรีวาสุนครคือพญาอนันตนาคราชผู้เป็นบิดาแห่งตนและปัทเนตร

“องค์พ่อออกจากบำเพ็ญเมื่อใด”

“องค์พญาวาสุกรีไปทูลเชิญเมื่อเช้าเจ้าค่ะ เมื่อได้ทราบเรื่องจากฉิมพลี”

ศินรินทร์เมื่อมองใบหน้าถอดสีของผู้เป็นนายก็รู้สึกใจหายอย่างประหลาด ด้วยน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นสีหน้าหนักใจเช่นนี้ของจอมนาคราช

“เจ้ากลับไปคอยที่ตำหนักเรา เฝ้าอุรกาฬให้ดีห้ามผู้ใดเข้าไปจนกว่าเราจะกลับไป เข้าใจฤๅไม่” ศินรินทร์โค้งศีรษะครั้งหนึ่งก่อนจะแยกตัวออกไปในทันที

ภัทรเนตรมองนิ่งไปที่เบื้องหน้าซุ้มประตูสูงก่อนจะยืนตัวตรงแล้วจึงเดินอย่างสง่างามเข้าไปยังโถงบัลลังก์ในทันที เมื่อผ่านเขตธรณีประตูเข้ามานั้นจึงตื่นตะลึงยิ่งกว่าเดิมเมื่อเบื้องหน้าของตนนั้นนอกเหนือจากจอมนาคาธิบดีทั้งสอง ยังมีองค์มุจลินทร์นาคราชและองค์ภุชงค์นาคราชที่บัดนี้นั่งนิ่งอยู่บนอาสนะ

เหนือสิ่งอื่นใดคือร่างของใครผู้หนึ่งมอบราบอยู่ที่พื้นเบื้องหน้ามหาราชทั้งสี่พระองค์ อาภรณ์สีดำรัดกุมที่บัดนี้ใบหน้าและแววตาเศร้าหมองยิ่งนัก สหายผู้เติบโตมาด้วยกันเพียงมองปราดเดียวก็จดจำแผ่นหลังได้ในทันที

นามนั้นคือ นาคาอุรกาฬ อารักษ์นาคแห่งปัทเนตร!

แม้ความคิดแสนหลักแหลมของภัทรเนตรจะเฉียบแหลมเช่นใด หากแต่ยังช้ากว่าอุรกาฬและศินรินทร์ผู้ถูกฝึกฝนมาอย่างหนักเสมอ แม้คิดว่ารอบคอบเพียงใดหากแต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่งอีกครั้ง

ภัทรเนตรไม่รู้จักแก้สถานการณ์เช่นไรจึงทำได้เพียงเร่งก้าวเข้าไปเบื้องหน้าเหล่านาคาธิบดีเช่นกัน ร่างมาณพหนุ่มรูปงามพลางคุกเข่าก่อนถวายความเคารพอย่างเช่นผู้ถูกฝึกฝนพิธีการมาอย่างหนักก่อนจะลอบถอนหายใจ แล้วจึงมองไปยังอุรกาฬที่บัดนี้ไม่แม้แต่จะกล้าสบตาเขา

“เจ้าคงรู้เรื่องที่ฉิมพลีส่งสาส์นมาแล้วเมื่อเช้าตรู่ หากแต่ได้ตัวผู้สังหารแล้วพ่อจึงมิได้เรียกเจ้า เมื่ออารักษ์แห่งเจ้าบอกว่าเจ้าไปยังถ้ำบำเพ็ญของปัทเนตรตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง”

ภัทรเนตรที่ได้ฟังเช่นนั้นก็อยากเอาฝ่ามือทุบไปยังศินริทร์ยิ่งนัก แม้จะไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดหากแต่รายละเอียดว่าเขาไปที่ใดมานั้นช่างชัดเจน

‘กลับไปข้าจะให้มันกักตนเจ็ดวันเจ็ดคืน’

ภัทรเนตรได้แต่หมายหัวอารักษ์ของตนในใจ ถึงแม้จะรู้นิสัยของศินรินทร์เป็นอย่างดีว่ามิอยากมุสาแต่ก็มิต้องทูลความจริงทั้งหมดก็น่าจะได้

“อารักษ์ผู้นี้เป็นอารักษ์ของขนิษฐาเจ้า ไหนเลยปัทเนตรจึงมิมาด้วยกัน…”

องค์อนันตนาคราชผู้เป็นบิดากล่าวถามด้วยคาดหวังซึ่งบางสิ่ง อาการอึกอักของบุตรชายนั้นชัดเจนเกินกว่าจะต้องการคำตอบอื่นใดก่อนพระองค์จะทอดถอนหายใจออกมาเสียงดัง

ภัทรเนตรไม่ได้คิดถึงว่าสถานการณ์จะบานปลายเช่นนี้ ที่ให้ศินรินทร์กักตัวของอุรกาฬไว้นั้นด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นนั้นคือศิรกัลป์ที่ยอมรับผิดทุกประการ…หากแต่ไม่ทันการเสียแล้ว

“เช่นนั้นเมื่อได้ข้อสรุปกันแล้วไซร้ ก็จงนำอารักษ์อุรกาฬผู้นี้ไปเป็นบรรณาการตามที่ทางฉิมพลีเสนอมาเถิด…”

“ท่านพ่อจะกระทำเช่นนั้นหาได้ไม่!”

ชั่วอึดใจที่บรรยากาศคุกรุ่นไปด้วยความอึดอัด เสียงราวม่านของเขตอาคมธรณีประตูจึงดังขึ้นอีกครั้ง เกศายาวที่บัดนี้มวยต่ำประดับด้วยบงกชสีทองสุวรรณคล้ายปิ่นปัก ร่างบางสวมทับด้วยอาภรณ์สีทองสุวรรณเรืองรองรัศมีดั่งเดียวกัน

ใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดฉายชัดว่าบัดนี้นางโรยแรงเพียงใด ริมฝีปากที่ปกตินั้นงามระเรื่อสีแดงราวกลีบของบุพชาติหากแต่บัดนี้กลับไร้สีแห้งแตกอย่างชัดเจน

อุรกาฬที่เพียงได้ยินเสียงของปัทเนตรสองมือก็กำแน่นในทันที…ดวงตายิ่งแดงก่ำเมื่อหันหลังไปพบว่านางอยู่ในสภาพเช่นไร

ปัทเนตรที่เดินเข้ามาภายในห้องโถงบัลลังก์นั้นเงียบสงัดไม่มองแม้อุรกาฬที่ในสายตามีเพียงนางเท่านั้น

ใบหน้าเย็นชาหากแต่เหงื่อเม็ดใหญ่ยังคงผุดเต็มใบหน้างามระหง นางหยุดอยู่ข้างอุรกาฬที่ยังคงหมอบอยู่ที่พื้นอย่างองอาจ มือข้างหนึ่งกำชายผ้านุ่งไว้แน่นเพียงเพื่อเตือนสติไม่ให้ตนมองไปยังอุรกาฬ

“พวกท่านกระทำเช่นนั้นหาได้ไม่ เมื่อข้าเองคือผู้สังหารพญาครุฑผู้นั้น!”

 



Don`t copy text!