ห้วงนทีกาล บทที่ 12 : ผลิบาลยามต้องแสงอรุณ

ห้วงนทีกาล บทที่ 12 : ผลิบาลยามต้องแสงอรุณ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

 ภายในห้องโถงใหญ่ที่กึ่งกลางห้องนั้นคือแผนที่สมรภูมิยุทธศาสตร์ในการรบทัพจับศึก ม่านขาวถูกตรึงขึงโดยรอบเป็นชั้นสลับไปมา เงาร่างของใครผู้หนึ่งยังคงนั่งหลับตาสนิทเข้าฌานเพื่อที่อย่างน้อยความเดือดเนื้อร้อนใจอย่างที่มิอาจหาหนทางออกจักได้เบาบางลงชั่วขณะหนึ่ง

พงศ์สุบรรณ สัมปาตี โอรสองค์โตในพญาสุบรรณแห่งฉิมพลีนคร บัดนี้คิ้วคมพลันผูกเป็นปมด้วยปัญหาต่างๆ ราวถาโถมอย่างรอบด้าน ดวงเนตรคมกะพริบถี่พลันเปลือกตาจึงค่อยๆ เปิดออกช้าๆ

สัมปาตีเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าอย่างไร้จุดหมายด้วยไม่อาจเข้าฌานได้อย่างสงบใจนัก เพียงเสียงทอดถอนหายใจที่ดังขึ้นครั้งหนึ่งจากที่ไม่ไกลกันนักคือองค์สดายุที่บัดนี้กำลังเพ่งสมาธิอยู่เช่นกัน

“ไยพี่ท่านทอดถอนหายใจเสียงดังเช่นไหน ผู้ใดเลยจักเข้าฌานได้สงบจิตสงบใจ” สดายุกล่าวทั้งที่ดวงตายังปิดสนิทหากแต่บัดนี้ริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มออกมา

ใบหน้าคมสันแม้ยามอยู่กับเหล่าพี่น้องนั้นบางครั้งกลับระคนไปด้วยความขี้เล่น หากแต่เมื่อใดยืนท่ามกลางทหารหาญแห่งฉิมพลีแล้วไซร้ราวกับว่าเป็นคนละคนก็ไม่ปาน

“เจ้าว่าน้องจะเป็นอย่างไรบ้าง…”

สัมปาตีแม้ในยามปกติทั่วไปนั้นเขามักวางมาดของพี่ชายคนโตที่จะต้องเข้มงวดและเข้มแข็งอยู่บ้างหากแต่ภายในใจนั้นล้วนมีเพียงความหวังดีและห่วงใยผู้เป็นน้องทั้งสองเท่านั้น สดายุที่ได้ฟังถึงกับต้องลืมตาขึ้นในทันทีด้วยตนนั้นก็ไม่อาจสงบใจได้แล้วเช่นกัน

“พี่ท่าน ท่านวางใจเถิด นางเป็นน้องสาวเรา” สดายุกล่าวขึ้น แม้แววตาจักหวาดหวั่นไม่แพ้กันหากแต่สิ่งเดียวที่กระทำได้นั้นคือเชื่อมั่นในสุวรรณนเรศเท่านั้น

“จริงอย่างเจ้าว่า อีกทั้งเจ้าว่าองค์พ่อขึ้นไปไวกูณฐ์ครานี้เหตุใดเนิ่นนานนัก อีกทั้งฝ่ายท่านลุงเวชไชยยันต์ยังยืนยันกับข้าเองว่าท่านกลับลงมา ณ ฉิมพลีแล้วเป็นแน่น”

“พ่อท่านคงมีเหตุผล หากแต่ข้าใช้พลังทิพยติดตามแล้ว…มณีองค์พ่อยังคงส่องสว่าง”

“ดูทีครั้งนี้ พงศ์สุบรรณแห่งเราคงรับศึกหนักเป็นแน่สดายุ” พญาสัมปาตีพึมพำ

พลันเมื่ออรุณจับแสงที่ปลายขอบอีกครั้งหนึ่งวันที่สุวรรณนเรศยังมิกลับมานั้น แสงสว่างสีส้มแดงลอดผ่านแนวผ้าม่านกั้นเนื้อละเอียดสีขาว สายลมเย็นสายหนึ่งราวพัดผ่านมาโดยบังเอิญหากแต่รุนแรงเสียจนทั้งสององค์ที่นั่งอยู่ภายในสะดุ้งเล็กๆ

ทั้งสัมปาตีและสดายุที่บัดนี้ถูกสายลมสายหนึ่งพัดเข้าหาเสียจนม่านสีขาวที่กั้นขว้างอยู่นั้นโบกสะบัดไปคนละทิศทาง ทั้งสองมองหน้ากันในทันทีพลันลุกขึ้นจากอาสนะ

ณ มวลอากาศที่เบื้องหน้าของทั้งสองจึงปรากฏข้อความหนึ่งส่องแสงสว่างสีทองก่อนจะค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองระยิบระยับพัดหายไปในอากาศ สัมปาตีราวกับว่าถูกรุกล้ำด้วยเขตพระเวทของค่ายฉิมพลีนั้นตนเป็นผู้กำกับขีดเส้นด้วยตนเอง

“เป็นผู้ใดกัน เหตุใดจึงผ่านพระเวทเขตแดนของฉิมพลีเข้ามาได้!”

 

แม้แววตายังคงเหม่อลอยด้วยยังมีอีกหลายเรื่องที่ไม่อาจปล่อยวางได้ ความคิดบัดนี้มีเพียงใบหน้าของคนผู้หนึ่ง อุรกาฬไม่กล้าแม้กล่าวสิ่งใดกับปัทเนตร…เขาทำได้เพียงนิ่งมองนางเท่านั้น

ไม่แม้แต่กล้าจะเอ่ยคำลา…

สองแขนที่กอดไว้หลวมๆ ที่อกราวกับกำลังกอดกระชับร่างกายของตน เขาเพียงยิ้มบางๆ ให้กับโชคชะตาของตนที่แม้มีโอกาสได้พบผู้ซึ่งเป็นดังทุกสิ่งในชีวิตแต่มิอาจอยู่ร่วมกันได้

เดิมทีเขาแม้มีกำลังมากพอจะพาปัทเนตรหนีไปให้ไกล หากแต่รู้แน่แก่ใจว่าองค์อนันตนาคราชนั้นมีเมตตาเพียงใด ไม่ใช่เพียงจะไม่กล่าวโทษทั้งสองหากแต่ท่านเองก็รู้ใจธิดาเป็นที่สุดเช่นกัน

แต่หากกระทำเช่นนั้นจะเป็นการเห็นแก่ตนเองและยังจะไม่คำนึงถึงเกียรติของปัทเนตรอีกด้วย

“หากรักของท่านแลข้าแลกด้วยชีวิตของผู้อื่นอีกมิอาจนับ ก็คงไม่ต่างกับตาย…” เขาพึมพำเพียงผู้เดียวหากแต่กลับรู้สึกได้ถึงใครผู้หนึ่ง

“ไยยืนหยุดอยู่ในมุมมืดเช่นนั้น ท่านเข้ามาเถิด”

น้ำเสียงเจือด้วยความดีใจไร้ความโกรธเคืองแม้แต่น้อย ภัทรเนตรที่บัดนี้สีหน้าทุกข์ใจไม่ต่างกับผู้อื่น เขาไม่กล้าแม้แต่มองหน้าอุรกาฬโดยตรง ทำได้เพียงมองต่ำไปที่พื้นเท่านั้น

“ข้ามิมีหน้าไปพบเจ้ากับปัทเนตร ในฐานะเหนือเกศปกเกล้าคำขอนั้นมากเกินไปหากแต่ในฐานะสหายข้านั้นยิ่งมิคู่ควร” ภัทรเนตรกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือหากแต่เป็นอุรกาฬที่ยังคงยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ

“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย แม้ไม่ใช่ข้าที่เป็นอารักษ์แห่งปัทเนตรแต่อย่างไรข้าก็ไม่อาจนิ่งมองนางเป็นบรรณาการได้เด็ดขาด ทุกสรรพสิ่งล้วนเดินอยู่บนเส้นทางแห่งชะตาที่ลิขิตไว้แล้ว เจ้าอย่าได้อาลัยด้วยชีวิตของผู้ที่จะจากไปเลยภัทรเนตร”

อุรกาฬกล่าวพลางยิ้มอย่างจริงใจให้แก่ภัทรเนตร

“เจ้าแต่ไหนแต่ไรใจแข็งเช่นไรก็เป็นเช่นนั้น น้องข้าแต่ไหนแต่ไรนิสัยเช่นไรเจ้าแลข้ารู้ดีเป็นที่สุด…นางต้องมิยอมนิ่งดูดายมองเจ้าเป็นบรรณาการเช่นกัน”

“ดังเจ้าว่า ข้าเองก็รู้จักนางเป็นอย่างดี ไม่อาจให้นางได้เห็นข้าเป็นบรรณาการได้เช่นกัน…”

 

ณ ลานหินกว้างที่โอบล้อมไปด้วยมหานทีสีคราม แสงระยิบระยับของหมู่ดาวบัดนี้ส่องสะท้อนที่ผืนน้ำราวกับกระจกใสไร้ซึ่งห้วงนภาและมหาสมุทรถูกถักทอเป็นพื้นผ้าเดียวกันในยามราตรี

แสงจันทร์ยามกระทบเทียบที่พื้นน้ำนั้นแวววาว แม้งดงามเพียงใดหากแต่ไม่อาจส่องลงไปถึงดวงใจที่เศร้าหมองของปัทเนตรได้แม้แต่น้อย

นางมิชอบแสงจันทร์แต่ไรมา ยิ่งในราตรีสุดท้ายเช่นนี้นางยิ่งมิอยากหันมองแม้แต่น้อย

ภัทรเนตรหยุดยืนนิ่งมองไปยังปัทเนตรที่บัดนี้เหม่อมองไปที่ห้วงนทีอย่างเงียบงัน สายลมราวกำลังกระซิบถามคำถามที่ยากจะหาคำตอบ ว่าเหตุใดโชคชะตาที่แสนโหดร้ายนี้จึงต้องประสบแด่น้องสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ

เมื่อถูกกักมิให้ออกจากเขตของศรีวาสุบาดาลหากแต่ภัทรเนตรยังคงอยากให้โอกาสในการกล่าวลาของทั้งสองคน จึงได้ขอให้นำอุรกาฬมายังลานบรรณาการก่อนวันถวายบรรณาการหนึ่งวัน

เรื่องราวแสนเศร้า…ราวกับว่ากำลังเฝ้ารอความตายที่คืบคลานเข้ามาทีละก้าว หากแต่เป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่ปัทเนตรจะได้พบกับอุรกาฬอีกครั้ง

เพียงภัทรเนตรโบกมือเบาๆ ครั้งหนึ่งจึงปรากฏอาณาเขตของพระเวทอันกักขังอุรกาฬเอาไว้ด้านใน ร่างบางของปัทเนตรบัดนี้หยัดยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางไม่กล่าวสิ่งใดหากยังคงอยากพินิจจดจำแผ่นหลังนั้นไว้ให้ขึ้นใจ

ดวงหน้าหวานยังเจือไปด้วยความเศร้าหมองเช่นเดิม พลางสูดลมหายใจเข้าครั้งหนึ่งแล้วจึงเดินเข้าไปยังอาณาเขตของพระเวทนั้น เมื่อฝ่ามือของนางสัมผัสเบาๆ ที่เขตพระเวทนั้นจึงบังเกิดละอองแสงสีทองลอยละล่องไปทั่วในมวลอากาศ

คล้ายดารานับพันที่ล่องลอยอยู่รอบกายของทั้งสอง ภัทรเนตรจึงค่อยๆ หายองค์ในทันทีด้วยปล่อยให้ช่วงเวลาสุดท้ายนี้มีเพียงปัทเนตรและอุรกาฬเท่านั้น

ระยิบระยับเกินกว่าดาราและแสงสว่างใด ดวงหน้าที่งดงามของปัทเนตรนั้นยังคงเป็นดั่งแสงส่องสว่างนำทางในชีวิตเสมอมา หากแต่บัดนี้ดวงเนตรที่เฝ้ามองมาที่เขานั้นกลับเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา

อุรกาฬไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้นางอย่างทะนุถนอม

“ไม่คิดว่าองค์พี่จะใจดีกับข้าเช่นนี้ ฤๅไม่ก็คงเวทนาในโชคชะตาเรา” นางตัดพ้อเสียงสั่น

“ดาราเต็มฟ้าบัดนี้ไร้สิ่งใดบดบัง”

เขาพูดพลางย่อตัวนั่งลงช้าๆ เช่นเดียวกับปัทเนตรที่นั่งลงข้างๆ อุรกาฬเช่นกัน ราวกับว่าเวลาหยุดหมุนลงอีกครั้งเหนือมหานทีกว้าง

“เศร้าไปไย ข้ายังคงสถิตอยู่ที่ท่านเสมอ เพียงมองย้อนไปจะยังมีข้าอยู่เคียงข้างท่าน”

แม้ไม่อาจลืมเลือนได้ว่าบัดนี้เขาจำต้องต้องเดินทางไปไกลแสนไกล ร่างบางของปัทเนตรค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งที่ข้างอุรกาฬนั้นนิ่งงันไม่กล่าวสิ่งใด

“เห็นที ภัทรเนตรกระทำเช่นนี้บาดาลคงแตกเป็นแน่…”

ปัทเนตรพึมพำคล้ายติดตลกหากแต่สามารถเรียกรอยยิ้มบางๆ ของอุรกาฬได้จริง อุรกาฬนิ่งไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ยังคงจ้องมองไปยังใบหน้าของปัทเนตรเท่านั้น

“เจ้าจ้องข้าราวกับว่าข้าจะหายไป…” ปัทเนตรกล่าวหากแต่ไม่กล้าแม้หันมองไปยังอุรกาฬแม้แต่น้อย

“ข้าจ้องท่านเพียงเพราะอาจไม่ได้จ้องท่านอีก…”

น้ำเสียงที่ยังคงเจือไปด้วยความเศร้านั้นหากแต่อุรกาฬยังคงแย้มยิ้มบางๆ เขาดีใจเหลือเกินที่อย่างน้อยค่ำคืนสุดท้ายของชีวิตยังคงมีโอกาสได้นั่งมองดวงดาวที่ลานกว้างกับปัทเนตรเพียงสองคน

“ท่านดีใจนักหรือแม้ยามนี้รู้แล้วว่าคือค่ำคืนสุดท้ายของชีวิต”

ปัทเนตรกล่าวพลางหันมองไปที่อุรกาฬ เป็นครั้งแรกพลันใบหน้าที่เปื้อนยิ้มนั้นก็แห้งเหือดหายไปในทันที ดวงใจแสนเจ็บปวดที่อยู่ภายในนั้นส่องสะท้อนออกมาทางแววตาของทั้งสองที่ร้าวรานแสนสาหัส!

น้ำตาหลั่งไหลออกมาในทันทีเมื่อยามสบตากันนั้น หากแต่เป็นครั้งแรกที่อุรกาฬคว้าร่างของปัทเนตรแล้วกอดไว้แน่น ปัทเนตรตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ เพื่อซึมซับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น

“ราวข้ากำลังฝันอยู่…” ปัทเนตรหลับตานิ่งพลางพึมพำแสนเบาด้วยความปีติในใจที่อย่างน้อยอุรกาฬที่เฝ้าปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อนางมาโดยตลอด บัดนี้กำลังกอดนางไว้แน่นเช่นกัน

“ราวฝันที่ไม่อยากตื่นเช่นท่านว่า หากแต่ปัทเนตรอย่างไรก็เป็นเพียงฝัน…”

สุวรรณนเรศที่กำลังนั่งมองไปยังภาพตรงหน้านั้นกลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของปัทเนตรที่บัดนี้เศร้าเพียงใด สองเข่าที่ชันขึ้นมานั้นพลันสองแขนกอดกระชับไว้แน่น…ความรู้สึกแม้ในจุดที่เล็กที่สุดยังคงหลั่งไหลเข้ามาจนมิอาจเก็บซ่อนสีหน้านั้นได้

เนิ่นนานไม่อาจนับได้เมื่อปล่อยให้เวลาไหลไปจนคล้ายกับว่ามีแสงสว่างจับที่ขอบฟ้าอีกครั้ง เสียงควบของม้าดังกุบกับเป็นจังหวะ…คล้ายกับว่าเสียงนั้นปลุกให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์ช้าๆ ก่อนปัทเนตรจะค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอดนั้น

“อาทิตย์ขึ้นแล้วอุรกาฬ…”

ปัทเนตรกล่าว หากแต่เป็นครั้งแรกที่เขาและนางดูอาทิตย์ขึ้นด้วยกันแล้วรู้สึกเศร้าสร้อยเช่นนี้

“ข้าจะดูอาทิตย์ขึ้นเป็นเพื่อนท่าน ตามสัญญา…”

รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของทั้งสองอีกครั้งหากแต่ดวงตาแดงก่ำไปหมด สุวรรณนเรศที่ไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปจึงค่อยๆ ซุกหน้าลงที่เข่าในทันที ราวกับว่ากรงขังสีทองของมหาพระเวทนั้นรับรู้ได้ถึงความเห็นอกเห็นใจของนาง ไม่ใช่ในฐานะของพญาครุฑหากแต่ในฐานะคนผู้หนึ่งเท่านั้น

ภาพของกรงขังและความว่างเปล่าสุดลูกหูลูกตาจากที่เคยถูกขังอยู่ในร่างของปัทเนตร บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยภาพของอุรกาฬที่อยู่ต่อหน้าและแสงอาทิตย์สีส้มแดงที่สาดแสงเข้ามาแทนที่

มีเพียงช่วงเวลาในช่วงอาทิตย์ขึ้นเท่านั้นที่มหามนตร์ย้อนกาลสามารถคลายออกได้

สุวรรณนเรศมองไปยังภาพตรงหน้าก่อนจะกล่าวขอโทษปัทเนตรในใจครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยราวกับว่านางขโมยเอาช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้อยู่ด้วยกันของทั้งสองไปเสียแล้ว

“แสงจากดวงอาทิตย์ดั่งเช่นความหวังในยามเช้า อาทิตย์ขึ้นไยเศร้าปานนี้ได้…”

อุรกาฬกล่าวเสียงเรียบอีกครั้ง หากแต่สุวรรณนเรศกลับเห็นจริงในความเศร้านั้น

‘แม้เศร้าเพียงใดหากแต่ข้าไม่ปรารถนาช่วงชิงห้วงเวลาของผู้ใด’     

นางร้องขอต่อมนตร์มหากาลภายในใจเงียบๆ  พลันมือบางก็ค่อยๆ ถูกเกาะกุมไปด้วยมือของอุรกาฬในทันที ความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลเข้ามานั้นช่างแสนคุ้นชินอย่างไม่อาจอธิบาย

“แม้แสงแรกของยามอรุณรุ่งจะงดงามเพียงใด หากแต่ยามใดที่ท้องนภาถูกโอบล้อมด้วยแสงสีทองสุดท้ายข้ากลับนึกถึงเพียงเจ้า…”

สุวรรณนเรศมองไปยังดวงตานั้นพลางหลับตาลงช้าๆ ดวงใจสัมผัสได้เพียงใครผู้หนึ่งและคำพูดนั้นฟังคล้ายเคยได้ยินที่ใด

สุวรรณนเรศพลันลืมตาตื่นอย่างรวดเร็ว…แต่แล้วแสงสีทองกลับสว่างจ้าขึ้นอีกครั้งก่อนจะได้กล่าวสิ่งใด ทุกสรรพสิ่งก็อันตรธานหายไปเสียแล้ว หลงเหลือไว้เพียงปัทเนตรและอุรกาฬเท่านั้น

ปัทเนตรมองไปยังอุรกาฬที่อยู่ใกล้เพียงเอื้อมมืออีกครั้ง หากแต่เป็นนางเองที่ค่อยๆ คว้าใบหน้านั้นเข้ามาใกล้ก่อนจะประทับริมฝีปากลงที่ริมฝีปากของอุรกาฬอย่างแผ่วเบา

 



Don`t copy text!