
ห้วงนทีกาล บทที่ 13 : สิ้นพันธะแห่งกาล
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
“นาคราช!”
ยามเมื่อกะพริบตาครั้งหนึ่งภาพของห้วงนทีและท้องนภายามรุ่งอรุณก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง หากแต่บัดนี้ไม่ใช่เพียงสุวรรณนเรศผู้เดียวท่ามกลางความว่างเปล่าอีกต่อไป
ศิรกัลป์เองกำลังนั่งในท่าขัดสมาธิภายในกรงขังของมหาเวทแห่งกาลเช่นกัน พลันเมื่อได้ยินเสียงร้องทักของสุวรรณนเรศจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ
“ศิรกัลป์ จำชื่อข้ามิได้ฤๅ…”
คำก็นาคราช สองคำก็นาคราช…เขาพูดทวนชื่อของตนอีกครั้งหากแต่สุวรรณนเรศกลับทำหน้าทำตาไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องที่เขาพูด
“ใครอยากจำชื่อเจ้ากัน!”
สุวรรณนเรศพลันหลับตาลงช้าๆ ทำทีไม่สนใจการมีอยู่ของศิรกัลป์ ชายหนุ่มทำได้เพียงมองนิ่งไปที่นาง เมื่อนั้นดวงเนตรกลมโตจึงค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ แต่ศิรกัลป์กลับไม่คิดหลบตาสุวรรณนเรศแม้แต่น้อย
“เหตุใดต้องจ้องข้า…” สุวรรณนเรศถามเสียงเข้ม
“ข้าจ้องเจ้าเพียงเพราะอาจไม่ได้จ้องเจ้าอีก…” ศิรกัลป์ตอบเสียงเรียบ
สุวรรณนเรศที่สงสัยอยู่น่านเมื่อยามที่ตนสับเปลี่ยนเข้าไปอยู่ในร่างของปัทเนตรเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็ไขกระจ่างข้อสงสัยได้ในทันที
ด้วยศิรกัลป์เองก็สับเปลี่ยนกับอุรกาฬเช่นกัน…
เมื่อทุกครั้งที่สรรพนามเปลี่ยนไปเป็นเจ้าและข้า หาใช่อย่างที่อุรกาฬใช้แทนตัวเขาและปัทเนตรว่าข้ากับท่าน
“แท้จริงก็เป็นท่านสินะ…”
สุวรรณนเรศกล่าวสั้นๆ หากแต่หลับตาลงตั้งสมาธิช้าๆ ด้วยรู้แน่แล้วว่าเหตุการณ์ในวันถวายบรรณาการกำลังจะมาถึง
“แม้ท่านจะช่วยข้าเมื่อครานั้น บุญคุณที่ช่วยก็เรื่องหนึ่งส่วนที่ท่านคือผู้สังหารตรัสวินและอนิละ ข้าไม่อาจอภัยให้เด็ดขาดนาคราช”
สุวรรณนเรศกล่าวขณะหลับตานิ่งและสีหน้าเรียบเฉย ร่างบางไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
“เรื่องหนึ่งไม่อาจลบล้างเรื่องหนึ่ง ข้ามิเคยขอให้เจ้าอภัย…สุวรรณนเรศ” ศิรกัลป์กล่าวเสียงสั่นพลันค่อยๆ หลับตาลงเช่นกัน
กรามที่ขบแน่นเข้าหากันของสุวรรณนเรศที่ไม่ว่าครั้งใดได้ยินชื่อตนลอดผ่านริมฝีปากของอีกฝ่ายนั้นกลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกสั่นไหวประหลาดภายในใจที่เกิดขึ้น แม้นางไม่อาจจดจำใบหน้าหรือสิ่งใดของเขาได้เลย หากแต่เมื่อยามใดได้ยินเสียงกลับใจสั่นทุกครั้งไป
เสียงหัวใจที่ดังก้องนั้นราวรบเร้าให้นางลอบลืมตาขึ้นมอง…หากไม่ยึดถือว่าเขาคือศิรกัลป์นาคราชว่าที่นาคาธิบดีผู้ทรงฤทธิ์ ชายที่อยู่เบื้องหน้าตนในที่แห่งนี้นั้นคือผู้ที่ช่วยเหลือนางจากมหามนตร์ย้อนกาลแม้ไม่อาจแน่ใจในจุดประสงค์ที่แท้จริง
หากศิรกัลป์เองก็หารู้ไม่ว่าพระเวทที่นางใช้อันตรายเพียงไหน…เขายังยินยอมเข้าช่วยเหลือสุวรรณนเรศอย่างไม่ฉุกคิดแม้แต่น้อย ไม่แน่ว่าอาจเพราะชีวิตที่ผูกติดราวกับคนคนเดียวกัน…คิดได้เพียงเท่านั้นสุวรรณนเรศจึงสะบัดหน้าไปมาเล็กๆ เมื่อเรียกคืนสติที่คิดฟุ้งซ่านไปไกล
การกระทำที่ไม่ว่ามองจากมุมใดก็แสนขัดแย้ง…
“เจ้าจ้องข้าอีกแล้วหนา สุวรรณนเรศ!”
คนถูกจับพิรุธได้สะดุ้งจนสุดตัว…ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร น้ำเสียงของศิรกัลป์ฟังคล้ายยียวนก่อนเขาจะลืมตาขึ้นแล้วเอียงคอมองมาที่สุวรรณนเรศราวกับกำลังหยอกล้อนางอยู่
รอยยิ้มพราวที่ฉายชัดบนใบหน้าหล่อเหล่าได้รูปนั้นยิ่งส่งเสริมให้ดวงตาที่เป็นประกายสีเข้มของเขาราวกับกำลังร่ายมนตร์สะกดบางอย่าง สุวรรณนเรศเผลอมองนิ่งไปที่เขาอย่างไม่อาจละสายตาเสียจนคนถูกจ้องได้แต่หัวเราะเสียงดัง
“พงศ์สุบรรณหนา…พงศ์สุบรรณ…”
เป็นศิรกัลป์เสียเองที่พ่ายแพ้ให้กับการแข่งขันจ้องตาในครั้งนี้ ก่อนเขาจะหลับตาลงอีกครั้งราวกับสุวรรณนเรศได้สติกลับมา…นางจึงทำได้เพียงใช้สองมือปิดหน้าตนเองในทันที
ฉับพลันอาภรณ์สีเงินและรัศมีสีดังเดียวกันก็ส่องสว่างขึ้น หากแต่คิ้วคมที่เริ่มผูกเข้าหากันของนาคราชหนุ่มเสียจนคนที่ปิดหน้าอยู่นั้นอดไม่ได้ที่จะมองลอดผ่านร่องนิ้วมือเรียวงาม
ภาพที่เห็นตรงหน้าช่างแสนสะพรึงชวนพิศวงยิ่งนักเมื่อรอบๆ กายของศิรกัลป์นาคราชบัดนี้กลับปรากฏรัศมีบางอย่างคล้ายไอพลังสีดำอยู่ครู่หนึ่งก่อนมันจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
ศิรกัลป์พลันถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะคล้ายปมที่คิ้วออกช้าๆ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาในทันที ยิ่งทำให้สุวรรณนเรศรู้สึกราวกับว่าใจตกลงไปในหุบเหวอันไร้ก้นบึ้งก็ไม่ปาน
สุวรรณนเรศพลันสะบัดหน้าไปมาเพื่อไล่ความรู้สึกฟุ้งซ่านที่มีภายในใจก่อนจะค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ
นคราใต้มหานที ณ ศรีวาสุบาดาลบัดนี้ดูราวไร้ชีวิตชีวา เมื่อร่างอันบอบบางของปัทเนตรที่บัดนี้กำลังแอบอิงกายของตนที่ขอบหน้าต่างกว้างหากแต่ที่อยู่ไม่ห่างนั้นคือ ศินรินทร์ที่ภัทรเนตรไหว้วานให้เขาพาตัวปัทเนตรกลับมายังศรีวาสุด้วยมิประสงค์ให้นางได้เห็นพิธีถวายบรรณาการในครั้งนี้
ศินรินทร์มองไปยังใบหน้าที่นิ่งเฉยและดวงตาไร้แววประกายดั่งเช่นเมื่อเก่าก่อน หากแต่ดวงตายังคงแดงก่ำตลอดเวลาของนางด้วยความเศร้าใจ ความเจ็บปวดที่แม้แต่รอบข้างยังสามารถรู้สึกได้นั้นทำให้สหายที่เติบโตมาด้วยกันอย่างเช่นเขานั้นก็อดไม่ได้ที่จะมีน้ำตา
ด้วยปลงตกแล้วในความเป็นไปของโลกใบนี้…
“ข้าไม่ชอบสงคราม เพียงอยากฟังพวกท่านเล่นดนตรี เข้าฌานสมาธิบ้างก็เท่านั้น”
ศินรินทร์พึมพำพลางทิ้งกายลงไม่ห่างจากปัทเนตรนักแต่กลับไร้ซึ่งคำตอบใด มีเพียงน้ำตาที่ไหลออกมาอาบแก้มนวลเท่านั้นแทนคำตอบ
ณ ลานพิธีถวายบรรณาการ
สิ้นฟ้าดาราหลับใหลมีเพียงแสงจ้าของดวงตะวันที่บัดนี้ส่องสว่างอยู่กลางฟ้า อุรกาฬที่บัดนี้ถูกมัดตรึงไว้กลางลานหินกว้างเหม่อมองไปยังห้วงมหานทีที่บัดนี้มีลมพัดเอื่อยและคลื่นลมเบาบางหาใช่พายุโหมกระหน่ำ
หลังจากจัดการเรื่องที่ส่งปัทเนตรกลับศรีวาสุบาดาล หากแต่ภัทรเนตรยังคงรีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนอุรกาฬสหายของตน
“ข้าส่งปัทเนตรกลับศรีวาสุแล้ว เจ้ามิต้องกังวลใจ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว ขอบคุณท่านมาก…”
อุรกาฬกล่าวเสียงเรียบหากแต่ทำได้เพียงกดตาลงมองต่ำไปที่พื้นเท่านั้น
“ท่านเองก็กลับศรีวาสุไปเถิด ไม่รู้เมื่อใดเหล่าครุฑจักมารับบรรณาการ…”
อุรกาฬพูดทั้งใบหน้าที่ยังคงยิ้มให้ภัทรเนตรอย่างจริงใจ เขาไม่อยากให้ผู้ใดต้องมาเจ็บปวดกับการเห็นตนถูกฉีกทึ้งจิกกินมันเหลวแม้เพียงคนเดียว
ภัทรเนตรไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ทรุดตัวนั่งลงที่พื้นเช่นเดียวกับเขา ไม่หลงเหลือมาดของโอรสแห่งองค์อนันตนาคราชแม้แต่น้อย มีเพียงสหายคนหนึ่งเท่านั้น
“จะไปอย่างไร เดิมข้านั้นไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าและปัทเนตรได้เลย นางเองดั่งดวงใจแลเจ้าก็คือสหายที่จริงใจหากไม่มีสงครามนี้ ไม่มีบาปแห่งบรรพชนเราอาจไม่ต้องสูญเสีย…ไม่ต้องเจ็บปวด”
ภัทรพูดทั้งๆ ที่ดวงตาแดงก่ำไปหมดหากแต่อุรกาฬกลับค่อยๆ จับไปที่ไหล่ของเขาอย่างเบามือ
“ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้น อดีตล้วนแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เรามีหน้าที่เพียงมองไปเบื้องหน้าเท่านั้น…”
ใบหน้าแม้เศร้าหมองเพียงใดแต่ยังไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ภายในใจของอรุกาฬบัดนี้หนึกอึ้งราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ หากแต่เมื่อยามจำต้องจากไป…เขาที่ไม่เพียงจะไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไปห่วงแค่เพียงผู้ที่จะอยู่ต่อไปภายหน้าเท่านั้น
ว่าจะสามารถปล่อยวางได้เพียงใด…
“ทุกสิ่งล้วนเกิดจากการกระทำในการที่ข้าตัดสินใจ ไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจอีก…ท่านอย่างได้โทษตัวท่านเองเลย!”
“หากชาติหน้าเจ้าขอได้ เจ้าปรารถนาสิ่งใดฤๅ”
เมื่อได้ยินคำถามพลันอุรกาฬกลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คิ้วที่ขมวดเป็นปมนั้นกลับมองไปยังภัทรเนตรด้วยสายตามุ่งมั่น
“ข้าปรารถนาเพียงหลุดพ้นจากสิ่งที่ข้าเป็น หลุดพ้นจากสงครามอันแสนยาวนานนี่เสียที…คิดมากไปไยใช่สิ่งที่ข้าเลือกได้ไม่”
ยังไม่ทันจะสิ้นคำของอุรกาฬจู่ๆ ท้องนภาที่เคยสดใสบัดนี้กลับมีเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สายฝนโปรยปรายลงมาอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้กลับรุนแรงเสียจนสัมผัสได้เมื่อยามตกกระทบลงบนร่างกาย ภัทรเนตรมองไปยังอุรกาฬอีกครั้งก่อนเขาพยักหน้าให้ภัทรเนตรครั้งหนึ่ง
หากไม่เป็นดังเช่นทุกครั้งด้วยภัทรเนตรยังคงยืนยันจะไม่หลบออกไปจากลานบรรณาการ เมื่อรู้ดังนั้นอุรกาฬจึงร่ายพระเวทก่อนจะดีดสะท้อนร่างของพญานาคราชให้หลบออกไปในทันที
“อุรกาฬ!”
ร่างของพญานาคราชภัทรเนตรที่พยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการนั้นพลันรู้สึกได้ถึงบางสิ่ง สีหน้าตกใจอย่างสุดขีดพลางมองไปยังร่างของมาณพหนุ่มที่ค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างของพญานาคสีนิลสนิท
เสียงร้องราวสกุณานับพันก้องฟ้าพร้อมๆ กับสายลมที่พัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง ร่างของพญาปักษีสีขาวบริสุทธิ์ระยิบระยับจับตายามอาบสะท้อนไปด้วยแสงตะวัน ปีกใหญ่โอบคลุมผืนฟ้าในทันทีพลันเมื่อเห็นร่างของพญานาคราชสีนิลที่พื้นลานหินจึงโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว
ภัทรเนตรพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการของพระเวทอย่างสุดแรง หากแต่ทำได้เพียงมองกรงเล็บแหลมคมของพญาปักษีลากผ่านลำตัวของนาคสีนิลอย่างรุนแรง
เสียงแผดร้องอย่างเจ็บปวดของพญานาคนั้นดังกึกก้อง เลือดสีสดสาดกระเซ็นชุ่มโชกลานหินในทันที…ไม่เพียงเท่านั้นเมื่อกรงเล็บแหลมจากอุ้งเท้ากลับจิกลึกลงไปที่ลำตัวก่อนจะลากนำร่างอันใหญ่โตของนาคาสีนิลขึ้นไปสู่ท้องนภา
ภัทรเนตรกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงหากแต่ไม่อาจหลุดพ้นจากพระเวทพันธนาการได้เลย
“เจ้าสังหารพี่ชายเรา นาคา!”
พญาครุฑาโฉบบินขึ้นที่สูงอย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยให้ร่างของพญานาคที่บาดเจ็บนั้นกระทบลงที่พื้นหินอย่างรุนแรง เสียงสะเทือนยามตกกระทบพื้นหินนั้นดังสนั่น ร่างของนาคาสีนิลบัดนี้บอบช้ำไปหมดก่อนจะกระอักโลหิตสีเข้มออกมาอย่างหนัก
ฝุ่นหินตลบอบอวลหากแต่สติที่ใกล้สิ้นของนาคาบนลานหินนั้นแสนเลือนรางเต็มที ภัทรเนตรไม่อาจดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการเวทได้โดยง่ายดั่งใจนึกและไม่อาจกลายร่างเป็นพญานาคราชได้เช่นกัน
“ไม่จริง พลังนี้หาใช่ของอุรกาฬ!”
ลมพายุกระหน่ำพัดนำฝุ่นผงของลานบรรณาการออกไปจนหมดสิ้น ละอองแสงสีทองบัดนี้ล่องลอยกระจัดกระจายไปทั่ว ร่างของพญานาคสีดำสนิทเมื่อครู่นั้นกลับค่อยๆ สลายหายไปพลันแปรเปลี่ยนเป็นนาคราชสีทองสุวรรณนอนแน่นิ่งอยู่ ณ ลานหินกว้าง!
ภัทรเนตรกรีดร้องราวกับคนเสียสติ แต่ไม่อาจดิ้นให้หลุดจากพระเวทของผู้เป็นน้องสาว
“พี่ให้เจ้าตายไม่ได้”
“แล้วผู้ใดสมควรตายกันท่านพี่…”
เขาพลันนึกถึงคำพูดของผู้เป็นน้องสาวเมื่อยามมายังลานหินเมื่อเช้าได้ขึ้นใจ หากแต่เมื่อยามกลับออกไปนั้นปัทเนตรกลับไม่กล่าวสิ่งใดแต่กลับยินยอมเดินไปอย่างง่ายดาย
ปัทเนตรนอนนิ่งมองไปยังพี่ชายของตนที่ยังคงกรีดร้องอยู่ที่พื้นหินด้วยดวงใจที่เจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลฉกรรจ์ตามร่างกาย แต่ตนนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยสิ่งใดได้แล้วเช่นกัน
เมื่อริมฝีปากบรรจงสัมผัสริมฝีปากของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาหากแต่อุรกาฬที่พยายามร่ายพระเวทเพื่อให้นางราวถูกสะกดนั้น ปัทเนตรรู้แน่แล้วตั้งแต่ที่เขากอดนางไว้แน่นหากแต่ราวกับมีพลังสายหนึ่งพุ่งผ่านร่างนางจึงได้สติอีกครั้ง
พลันเมื่อสบโอกาสนางจึงใช้พระเวทของตนในฐานะพญานาคินีอีกครั้งทำให้อุรกาฬค่อยๆ หมดสติลงก่อนร่างนั้นจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนางอย่างสมบูรณ์
ปัทเนตรมองไปยังอุรกาฬในรูปกายของตนพลันใช้พลังปลุกเขาให้ลุกขึ้นก่อนตนจะค่อยๆ แปลงกายเป็นอุรกาฬเช่นกัน
“บอกแล้วอย่างไร ข้าไม่ให้เจ้าตาย!”
สิ้นเสียงนั้นมณีนาคาที่เหลือของนางทั้งหมดจึงนำไปใส่ไว้ในร่างของอุรกาฬอีกสองดวง หลงเหลือไว้ที่นางอีกเพียงดวงหนึ่งเท่านั้นเผื่อว่าอย่างน้อยหากภัทรเนตรสัมผัสมณีนาคาของนางก็จะยังคงอยู่ครบถ้วนรวมกับของเดิมที่อุรกาฬมี
ละอองแสงสีทองจู่ๆ ก็ลอยละล่องกระจัดกระจายไปทั่วห้อง ศินริทร์ที่บัดนี้สะดุ้งจนสุดตัวพลางมองไปรอบๆ หากแต่ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เพียงชั่วอึดใจร่างของปัทเนตรที่อยู่เบื้องหน้าตนกลับส่องสว่างขึ้นอย่างเจิดจ้าเมื่อแสงสว่างจางหายไปนั้นจึงปรากฏร่างของอุรกาฬเข้ามาแทนที่
อุรกาฬที่หลุดออกจากพระเวทของปัทเนตรได้แล้วนั้นหากแต่ไม่ทันได้กล่าวสิ่งใดจึงกระโจนออกนอกหน้าต่างแล้วจึงกลายร่างเป็นพญานาคสีนิลในทันที มุ่งสู่ลานบรรณาการ
“นางกำลังจะตาย!”
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 17 : นาคะบงกช
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 16 : ห้วงคะนึงที่ขาดหาย
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 15 : หวนคืนสู่สมรภูมิ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 14 : สิ้นพันธะแห่งกาล 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 13 : สิ้นพันธะแห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 12 : ผลิบาลยามต้องแสงอรุณ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 11 : บางสิ่งมิอาจเปลี่ยนแปลง
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
- READ ห้วงนทีกาล : บทนำ