ห้วงนทีกาล บทที่ 14 : สิ้นพันธะแห่งกาล 2

ห้วงนทีกาล บทที่ 14 : สิ้นพันธะแห่งกาล 2

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

แม้ลมหายใจรวยรินเพียงใด ไม่ใช่เพียงอาการบาดเจ็บเท่านั้นหากแต่ด้วยเพราะสูญเสียมณีนาคาที่มีแทบหมดสิ้น ปัทเนตรไม่อาลัยแล้วซึ่งชีวิตเพียงมองไปยังพี่ชายของตนที่ยังคงดิ้นรนให้หลุดจากพระเวท…นางจึงพยายามรั้งสติที่มีน้อยนิดเอาไว้

พญาครุฑสีขาวที่บัดนี้สยายปีกกว้างอยู่เหนือเมฆาเบื้องบนนั้น เพียงนึกถึงร่างอันไร้ลมหายใจของผู้เป็นพี่ชาย พลันหยดน้ำตาจึงหลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย

พญาปักษีเมื่อความเคียดแค้นเข้าครอบงำก็ดั่งเช่นขาดสติไปแล้วกึ่งหนึ่ง ร่างงามสง่าบัดนี้กางปีกกว้างก่อนจะร่อนลงมายังลานหินอีกครั้งด้วยความรวดเร็วหมายเพียงจะสังหารพญานาคที่ลานหินเท่านั้น

แม้ไร้ร่างของนาคาสีนิลที่บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยร่างของพญานาคินีสีสุวรรณ พญาปักษีที่ไร้ซึ่งสตินั้นหาได้สนใจไม่ ความแค้นเคืองที่มีราวไฟสุ่มในอกด้วยเขานั้นก็คือโอปปาติกะครุฑเช่นกัน ไยจะไม่ทราบว่าพี่ชายของตนถูกสังหารด้วยผู้ใด!

ปัทเนตรไม่อาจขยับไปที่ใด หากแต่ทำได้เพียงมองไปยังชะตากรรมที่อยู่เบื้องหน้า

“ดีเพียงใดที่ไม่ต้องให้ท่านทนเห็นข้าเป็นบรรณาการ…”

สิ้นคำเพียงเท่านั้นสายตาของภัทรเนตรที่มองเห็นรอบด้านก็มืดดับลงในที่สุด พลังสุดท้ายที่ปัทเนตรสามารถรวบรวมสติได้นั้นคือการปิดการมองเห็นพี่ชายผู้เป็นที่รักของนาง ไม่ต้องให้เขาทนเห็นนางโดนฉีกทึ้งร่าง

“ปัทเนตร!” ภัทรเนตรตะโกนก้องหากแต่ร่ำไห้ออกมาอย่างบ้าคลั่ง

แม้โลกมืดดับลง เขากลับเห็นเพียงหยาดน้ำตานองหน้าของผู้เป็นน้องสาว

เสียงของพญาปักษาบัดนี้ใกล้เข้ามาทุกขณะ ปัทเนตรหลับตาลงช้าๆ เพื่อรับความเจ็บปวดที่จะได้รับกลับกันเมื่อความรู้สึกที่ได้รับนั้นคือร่างของใครผู้หนึ่งที่กอดรัดนางไว้

เสียงของกรงเล็บที่จิกลงไปยังเนื้อหนังยามกระทบกับเกล็ดนั้นเมื่อลืมตาขึ้นจึงพบว่าเบื้องหน้าของตนคือร่างของนาคราชสีนิลที่แสนคุ้นตา

ร่างของพญานาคสีดำและสีทองนั้นกอดรัดกันก่อนจะไถลไปตามพื้นอย่างรุนแรงตามแรงเหวี่ยงของกรงเล็บอันทรงพลังขององค์พญาครุฑ หากแต่ไม่สมใจเพียงเท่านั้นเมื่อบัดนี้ครุฑาหนุ่มที่เดินเข้ามาด้วยความโกรธกลับค่อยๆ ใช้สองแขนฉีกกระฉากร่างของทั้งสองที่รัดผูกกันไว้นั้นออกจนสุดแรง

สองแขนที่ถือพญานาคราชไว้ในมือทั้งสองข้าง ข้างหนึ่งเป็นร่างสีทองของปัทเนตรหากแต่อีกข้างเป็นนาคราชสีดำคืออุรกาฬ ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงร่างอันบอบช้ำนั้นไปกระทบหินอีกครั้งเสียงดังสนั่น

ท่ามกลางฝุ่นตลบอบอวลในอากาศ…อุรกาฬที่ได้สติกลับมาก่อนจึงค่อยๆ เลื้อยเข้าไปช้อนร่างบางของปัทเนตรคล้ายกับกำลังกอดนางไว้ก็ไม่ปาน

กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งและแผ่นหินที่ย้อมเข้มไปด้วยหยาดโลหิตที่ไหลซึมออกมา ร่างที่เคยรัดพันกันแน่นของอุรกาฬและปัทเนตรจึงนั้นค่อยๆ คลายออกจากกันช้าๆ

สติที่ใกล้เลือนรางของปัทเนตรจึงทลายกรงขังมหามนตร์แห่งกาลลงในที่สุด สุวรรณนเรศปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมด้วยไม่อาจทำใจกับสภาพอันน่าสังเวชของทั้งสองได้

“ไยโหดร้ายเช่นนี้ ตรัสวิน!” นางตะโกนก้องพลันทรุดลงไปร้องไห้ที่พื้นก่อนแสงสว่างจะเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ

ศิรกัลป์ที่เห็นดังนั้นแต่ไม่อาจกระทำสิ่งใด เมื่อยามนี้ไม่เหมือนเช่นทุกครั้งด้วยกรงขังแห่งตนมิสลายไปเช่นกัน

“สุวรรณนเรศ!” เขาร้องเรียกนางซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อความรู้สึกเจ็บปวดที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่อาจปิดกั้น

บัดนี้สุวรรณนเรศในร่างของปัทเนตรลมหายใจรวยรินเต็มที นางไม่มีแม้แต่แรงที่จะขยับไหวหากความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นเทียบไม่ได้เลยกับทั้งชีวิตที่เคยประสบ เบื้องหน้าเป็นเสียงคำรามต่ำๆ ในลำคอของอุรกาฬที่พยายามใช้หงอนของตนสะกิดเบาๆ ที่เศียรของปัทเนตร

“ใจข้าจิตข้า บัดนี้ไม่ว่ากี่ภพชาติจะขอตามติด ชดใช้ให้เพียงท่านตลอดไป…”

เสียงอธิษฐานในจิตของอุรกาฬที่บัดนี้ดังขึ้นชัดเจนจนสุวรรณนเรศที่อยู่ในร่างของปัทเนตรนั้นร่ำไห้ออกมาไม่หยุด…

หยาดน้ำตาปนเปกับหยาดโลหิตสาดซัดไหลลงมหานที!

“เช่นนั้นใจข้าจิตข้าก็จักตามติดเพียงท่านเช่นกัน…”

สุวรรณนเรศที่รู้ดีแก่ใจว่าปัทเนตรต้องการจะพูดสิ่งใด หากแต่บัดนี้นางไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้

“ข้าผิดต่อพวกเจ้า…หากแต่ข้าไม่อาจกระทำเช่นนั้นได้ หากสัตย์สาบานนี้ผูกติดตามเจ้าแลข้าไปอุรกาฬ ภายหน้าจักสูญเสียชีวิตขุนพลครุฑแลนาคามากมายเพียงใดไม่อาจนับ…”

 สุวรรณนเรศรวบรวมพลังสุดท้ายที่มีจากมณีนาคาของปัทเนตรก่อนจะใช้พลังสุดท้ายนั้นทำลายมณีประจำกายทิ้งในทันที ทั้งปัทเนตรและอุรกาฬจึงแยกจากกันตามแรงของพลังทำลายอันเกิดจากมณีนาคาตลอดกาล!

คลื่นพลังนั้นกระแทกร่างของพญานาคินีอย่างแรงก่อนจะกระทบพื้นน้ำเสียงดังสนั่น อุรกาฬมอง

ร่างของปัทเนตรค่อยๆ จมลงสู่ห้วงนทีช้าๆ เขามองไปยังมณีนาคาอีกสองดวงของปัทเนตรที่ยังคงลอยอยู่เหนือร่างของตนในอากาศก่อนมันจะค่อยๆ สลายหายเข้าไปยังดวงจิตของเขาในทันที

“มณีนาคาอะไร มีค่าเพียงไหน ก็ไม่อาจเทียบท่านได้แม้เพียงนิด…”

สิ้นคำนั้นของอุรกาฬด้วยร่างกายที่บอบช้ำจนถึงขีดสุด แม้มีมณีนาคาของปัทเนตรหากแต่ไม่อาจช่วยยื้อชีวิตเขาไว้ได้เช่นกัน

ณ ห้วงนทีอันเงียบสงัด ร่างของปัทเนตรทอดกายนิ่งราวกับกำลังจมดิ่งสู่ก้นบึ้งอันไร้ขอบเขต ละอองแสงสีทองแห่งมนตร์มหากาลโอบอุ้มนำดวงจิตของสุวรรณนเรศออกจากห้วงเวลาแห่งปัทเนตรในทันที

ราวฝืนฟ้าทลายลงอย่างรวดเร็ว ศิรกัลป์รับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนนั้นก่อนทุกสรรพสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าจะทลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจายในห้วงแห่งความทรงจำ

ไม่ไกลนักเขาจึงพบร่างของสุวรรณนเรศที่ลอยเคว้งอยู่ นางไม่อาจสลัดทิ้งซึ่งความรู้สึกของปัทเนตรได้หากแต่จำต้องกำหนดจิตเพื่อออกจากห้วงเวลาแห่งนี้ให้เร็วที่สุด

เพียงชั่วอึดใจที่ราวกับว่าเบื้องหน้าของนางปรากฏซึ่งภาพความทรงจำมากมายอีกครั้ง มีทั้งที่จดจำได้และไม่คุ้นตาเอาเสียเลย ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นคือห้วงเวลาที่ผ่านเลยไปในชีวิตของสุวรรณนเรศอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้มีความทรงจำหนึ่งที่ไม่คุ้นตาแม้เพียงนิด

หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวที่บัดนี้ผมประดับด้วยปิ่นที่ทำจากดอกบัวสีเงินส่องประกายละอองสีเงินยวงงดงามกำลังนั่งมองชมสระบัวประหลาดที่ทุกดอกล้วนเป็นสีเงินยวง ดั่งเดียวกับปิ่นบนผมและมีดอกหนึ่งสีทองอำไพแต่ยังไม่เบ่งบาน

“ข้าฤๅ…”

สุวรรณนเรศพึมพำอย่างนึกสงสัยก่อนจะพบว่าตนเองที่อยู่ภายในความทรงจำนั้นค่อยๆ เอื้อมมือกำลังจะไปแตะที่ดอกปทุมา เพียงเสี้ยววินาทีกลับมีมือของคนผู้หนึ่งเอื้อมมาจับไว้

“ท่าน!”

นางกล่าวอย่างตกใจเมื่อผู้ที่เอื้อมมือมาจับมือของตนไว้นั้นคือศิรกัลป์นาคราช ก่อนตนเองในความทรงจำนั้นจะหันไปสวมกอดเขาในทันที

“ไม่จริง…”

สุวรรณเรศพึมพำพลันน้ำตาไหลออกมาอีกครั้งด้วยความรู้สึกสับสนและเหนือสิ่งอื่นใดคือความรู้สึกเศร้าอย่างไม่อาจอธิบาย มือหนึ่งพลันเอื้อมหวังจับคว้าความทรงจำนั้นไว้

และเช่นเดิม…กลับมีมือหนึ่งคว้ามือของนางไว้

สุวรรณนเรศหันไปยังทิศทางของมือนั้นช้าๆ และพบว่าบัดนี้นาคราชนามศิรกัลป์กำลังจับมือของนางไว้ เขาไม่กล่าวสิ่งใดแต่กลับส่ายหน้าไปมาเบาๆ เป็นคำตอบ พลันดวงตาสองจึงข้างแดงก่ำขึ้น…คล้ายว่าดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาเอ่อออกมาช้าๆ หากแต่ไม่อาจให้ไหลออกมา

“ศิรกัลป์…”

เสียงนั้นฟังคล้ายกำลังอ้อนวอนและเป็นครั้งแรกที่สุวรรณนเรศเรียกชื่อของเขาออกมาจากใจอย่างแท้จริง!

ราวชะงักงันไปครู่หนึ่ง เขาค่อยๆ หันกลับไปมองใบหน้าของนางอีกครั้ง พบว่าบัดนี้แววตาที่แสนอ้อนวอนนั้นและดวงเนตรทั้งสองข้างมีน้ำตาเกาะพราวอยู่กำลังมองมาที่ตน

เขาไม่กล่าวสิ่งใด หากแต่พาร่างของสุวรรณนเรศลอยเข้าไปใกล้ห้วงเวลาแห่งความทรงจำหนึ่งก่อนจะส่งร่างของทั้งเขาและนางให้ทะลุเข้าไปในความทรงจำ ณ ห้วงเวลานั้นในทันที

“ข้าจักคืน ตรัสวินให้แก่เจ้า!”

 



Don`t copy text!