ห้วงนทีกาล บทที่ 15 : หวนคืนสู่สมรภูมิ

ห้วงนทีกาล บทที่ 15 : หวนคืนสู่สมรภูมิ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

แววเสียงพายุคลั่งและสายฝนที่ยังคงโหมกระหน่ำ เหนือมหานทีเมื่อครั้งนั้นราวกะพริบตาครั้งหนึ่งเมื่อศิรกัลป์พาร่างของนางทะลุเข้ามาในห้วงกาลหนึ่ง ลานหินกว้างที่โอบล้อมไปด้วยเสียงคลื่นที่ยังคงสาดซัด

“องค์ท่านเป็นอะไรฤๅไม่”

เสียงของอนิละที่ดังขึ้นที่เบื้องหลังนั้นทำให้สุวรรณนเรศสะดุ้งตกใจอย่างแรง หากแต่มองไปยังอารักษ์ของตนที่บัดนี้อยู่เบื้องหลังกำลังมองหน้านางด้วยสีหน้าร้อนใจ

“อนิละ!”

สุวรรณนเรศกล่าวขึ้นอย่างดีใจก่อนจะก้มลงมองที่ฝ่ามือของตน จึงพบว่าบัดนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าดิบสีขาวหากแต่โชกชุ่มด้วยหยาดโลหิต

เสียงคำรามลั่นของเหล่าสกุณานับพันเมื่อยามใครผู้หนึ่งทะยานปีกบินออกไปยังศัตรูเบื้องหน้า ปีกใหญ่สีขาวบัดนี้ยามต้องกระทบแสงสว่างไสวงดงามจับตา

“ตรัสวิน!”

สุวรรณนเรศตะโกนสุดเสียงหากแต่ทำให้จอมทัพหนุ่มชะงักนิ่งมองมาที่นางด้วยความแปลกใจ นางไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ทะยานร่างที่บาดเจ็บของตนไปอยู่เบื้องหน้าตรัสวิน พลันฝ่ามือบางจึงสัมผัสไปที่ใบหน้าของเขาในทันทีก่อนจะโผเข้ากอดด้วยความดีใจ

ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด หากแต่บัดนี้ท้องฟ้าเบื้องบนลานถวายบรรณาการนั้นกลับแปรปรวนอย่างรุนแรง ฝ่ายของศิรกัลป์มองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้โผเข้ากอดตรัสวิน…แม้ยังคงยิ้มอย่างยินดีแต่กลับรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่หมุนวนภายในกาย

พลันความรู้สึกร้อนวูบวาบราวปะทุขึ้นที่ข้อมืออย่างรุนแรง กำไลขนปักษาบัดนี้เรืองแสงสีทองออกมาอย่างเจิดจ้าราวกับว่ามันรับรู้ได้ถึงอันตรายบางสิ่ง เสียงคำรามลั่นของท้องฟ้าเบื้องบนนั้นหากแต่บัดนี้รอบกายของศิรกัลป์กลับปรากฏไอสีดำบางอย่างขึ้น

มหานทีคลั่ง ท้องนภาสั่นไหวสะเทือนเลื่อนลั่นราวกับว่าจะทลายลงมา ไอประหลาดที่หมุนวนรอบๆ ร่างของศิรกัลป์คล้ายค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น นาคราชหนุ่มพยายามใช้พลังของตนเข้ายับยั้งกลับไม่เป็นผลแม้แต่น้อย

คันศรที่อยู่ในมือของศิรกัลป์มีนามว่าสหัสนาคา ราวกับมีพลังบางอย่างทำให้ศรนั้นหนักจนไม่อาจยกขึ้น ก่อนมันจะกดให้ร่างของศิรกัลป์คุกเข่าลงไปที่พื้นหินด้วยไม่อาจต้านทานน้ำหนักอันมหาศาลได้

“คำสัตย์สุดท้ายมลายแล้ว!”

เมื่อบัดนี้สิ้นแล้วซึ่งคำสัตย์สุดท้ายแห่งอุรกาฬและปัทเนตร ทำให้ทั้งศิรกัลป์และสุวรรณนเรศมิได้ผูกกันด้วยคำสัตย์สัญญาเหมือนดั่งเดิม

ศิรกัลป์จึงมิอาจควบคุมศรสหัสนาคาได้อีก!

ไอสีดำมหาศาลทะลักออกมาจากคันศรอย่างมหาศาล ไอประหลาดอันเกิดจากจิตสุดท้ายของเหล่านาคราชที่ดับสิ้นบนพิธีถวายบรรณาการ แรงอาฆาตสุดท้ายของดวงจิตที่มิอาจปล่อยวางนั้นมากมายจนมิอาจนับ

ศิรกัลป์พยายามใช้พลังของตนเข้าสกัดกั้น หากเพราะขาดพลังของพญาครุฑของสุวรรณนเรศที่คอยใช้สะกดเหล่าจิตอาฆาตบัดนี้ไร้ซึ่งพลังของนาง ทำให้จิตอาฆาตมากมายไหลทะลักออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

“จิตอาฆาตพวกนั้น…”

นางพึมพำหากแต่บัดนี้ทะยานร่างเข้าไปยังเบื้องหน้าของตนในทันที พลันเมื่อเข้าไปใกล้ร่างศิรกัลป์ที่โอบล้อมไปด้วยจิตอาฆาตสุดท้ายก็ไม่ทันการเสียแล้ว ร่างกำยำของบุรุษบัดนี้กลับมาถือศรสหัสนาคาได้อีกครั้งหากก่อนจะใช้คันศรดีดสะท้อนพลังไปที่หญิงสาวที่ทะยานเข้ามาอย่างรุนแรง

ร่างของสุวรรณนเรศถูกสะท้อนด้วยพลังจากศรที่ศิรกัลป์ถือก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นตั้งหลักหากแต่กลับปรากฏร่องรอยคล้ายถูกบาดด้วยของมีคมตามร่างกายจนมีเลือดไหลซึมออกมาตามบาดแผล เสื้อผ้าขาดวิ่นเป็นจุดๆ

ศิรกัลป์ที่บัดนี้ยังคงกำคันศรไว้ในมืออย่างมั่นคง จ้องมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้มองมาที่ตนด้วยความตื่นตะลึง

ดวงเนตรที่เคยวาววับไปด้วยรัศมีทิพยสีเงินบัดนี้เต็มไปด้วยไอสีดำสนิทดั่งเดียวกับที่ทะลักออกมาจากคันศร รัศมีรอบกายโอบล้อมไปด้วยจิตอาฆาตมากมายอย่างหนาแน่นห่มทับราวอาภรณ์ที่ไม่อาจสลัดออกได้โดยง่าย

ก่อนรัศมีนั้นจะคล้ายแพร่กระจายออกเป็นวงกว้าง แล้วจึงกดทับร่างของเหล่าทหารครุฑและนาคไม่แบ่งแยกฝ่ายใด พลังนั้นรุนแรงคมกริบฉีกกระชากร่างของเหล่าทหารที่พลังทิพยะไม่มากนักก่อนจะสังหารในทันที

“หลบออกมาสุวรรณนเรศ!”

ตรัสวินตะโกนก้อง แม้ไม่อาจขยับร่างไปยังจุดที่นางอยู่ได้ ด้วยเพราะไม่อาจต้านทานพลังของจิตอาฆาตได้เช่นกัน

สุวรรณนเรศมองไปยังศิรกัลป์ด้วยบัดนี้ไม่อาจควบคุมตนเองได้อีกต่อไป นางหันมองไปรอบกายอีกครั้งด้วยบัดนี้ทหารน้อยใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียชีวิตไปแล้วไม่อาจนับจากพลังแห่งคันศรสหัสนาคา

ท้องนภาแดงฉาน…ห้วงนทีถูกย้อมไปด้วยสีเข้มของหยาดโลหิต…

สุวรรณนเรศพลันตัดสินใจอย่างตั้งมั่นหยัดยืนขึ้นในทันที ร่างบางแม้สั่นไหวหากแต่ไม่อาจทนเห็นภาพในอดีตฉายซ้ำได้อีก

เหนือศีรษะของสุวรรณนเรศพลันปรากฏอัญมณีสีดังเดียวกับรัศมีเปล่งประกายสีทองสุวรรณ ร่างบางหยัดยืนขึ้นอย่างมั่นคงมองไปยังเบื้องหน้าที่บัดนี้ร่างของศิรกัลป์ยังคงไม่อาจควบคุมไอรัศมีสีดำที่เข้าห่อหุ้มร่างกายอย่างต่อเนื่อง

รัศมีสีทองโอบล้อมขึ้นสูงจรดฟ้าและแผ่นน้ำแบ่งแยกอาณาเขตฟ้าจรดดินในทันที มหาเวทไตรทิพย์ถูกร่ายอีกครั้งก่อนร่างบางของสุวรรณนเรศจะล่องลอยขึ้นสู่ใจกลางมหาพระเวทช้าๆ

พลังครั้งนี้มหาศาลเสียจนกดทับร่างของเหล่านาคราชชั้นสูงและพญาครุฑด้วยเช่นกันจนไม่อาจขยับ ตรัสวินกำลังดิ้นรนจนสุดแรงรวมถึงอนิละที่พยายามทะยานขึ้นบิน ด้วยหวังหยุดไม่ให้สุวรรณนเรศร่ายพระเวทสำเร็จ

ไม่เช่นนั้น…สุวรรณนเรศอาจดับสูญด้วยไม่อาจทานทนต่อมหามนตร์ไตรทิพย์!

เสียงคำรามลั่นของจิตสังหารถูกรัศมีพลังของสุวรรณเรศชำระล้างให้บริสุทธิ์ หากแต่พวกมันก็ไม่อาจยินยอมถูกสังหารได้โดยง่าย ศิรกัลป์บัดนี้กลับกลายร่างคืนสู่ร่างของพญานาคราชเจ็ดเศียรอีกครั้ง นาคราชสีเงินยวงงามระยับหากแต่บัดนี้ดวงตาทั้งสองกลับเต็มไปด้วยสีดำสนิท มองไปยังเจ้าของร่างที่ล่องลอยอยู่ใจกลางมหามนตร์ด้วยความอาฆาตแค้นเคือง

“เช่นนั้นก็จงตายตกไปตามกัน!”

ร่างของพญานาคทะยานเข้าหาสุวรรณนเรศในทันที แม้ไม่อาจผ่านแรงต้านของมหาพระเวทไตรทิพย์เข้ามาได้ สุวรรณนเรศมองไปยังรอบกายโดยหวังให้พระเวทไตรทิพย์ชำระล้างจิตอาฆาตให้หมดสิ้น

ทุกส่วนในร่างกายร้าวรานเจ็บปวดราวกับกำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อยามอัญมณีประจำกายที่อยู่เหนือศีรษะค่อยๆ แตกออกช้าๆ กระจัดกระจายสังเวยให้แด่พลังมหาศาลของมหามนตร์

ริมฝีปากไม่อาจขยับขบแน่นด้วยกรามทั้งสองข้าง เพราะต้องกัดฟันทนความเจ็บปวดที่ราวกับฉีกร่างกายออกเป็นพันชิ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดรัศมีไตรทิพย์ก็แผ่กระจายออกจนขีดสุดโอบล้อมอาณาเขตปกป้องครุฑและนาคในรัศมีที่ถูกจิตอาฆาตสังหารได้สำเร็จ สุวรรณนเรศกรีดร้องออกมาจนสุดเสียงก่อนจะทรุดลงไปแล้วค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาที่เบื้องล่างในทันที

ตรัสวินที่ทะยานหวังเข้าไปรับร่างอันบอบช้ำของสุวรรณนเรศไว้ หากแต่ราวภาพฉายชัดอีกครั้ง

“ข้าจะไม่ยินยอมให้เป็นดั่งเดิม!”

นางตะโกนก้องพร้อมๆ กันกับที่พญานาคราชเจ็ดเศียรทะยานเข้ามาหมายจะสังหารพวกเขาเช่นกัน สุวรรณนเรศค่อยๆ คืนร่างเป็นพญาครุฑอีกครั้งด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มี

นางคว้าจับแขนของตรัสวินไว้แน่นก่อนนางจะฝืนยิ้มทั้งที่ดวงตาส่องข้างเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แล้วจึงออกแรงเหวี่ยงตรัสวินไปด้านหลังอย่างสุดแรง หากแต่ร่างของตนนั้นพุ่งตรงเข้าหานาคราชศิรกัลป์ในทันที

ร่างของพญานาคราชเจ็ดเศียรบัดนี้โอบล้อมไปด้วยจิตอาฆาตของนาคราชนับพัน ดวงเนตรทั้งสองเป็นสีดำสนิทพลันใช้หางของตนตวัดเกี่ยวร่างของพญาครุฑสุวรรณนเรศไว้ในแน่น

เสียงร้องคำรามลั่นพลันเขี้ยวคมของศิรกัลป์จึงฝังลึกลงที่ต้นคอของสุวรรณนเรศในทันที

ราวไฟกัลป์แผดเผาจากรอยเขี้ยว…พิษมหาศาลของพญานาคราชจึงหลั่งไหลไปทั่วร่างของสุวรรณนเรศที่บัดนี้บอบช้ำเกินกว่าจะทานทนได้อีกต่อไป

“พอเท่านี้เถิด”

แต่ละคำเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก สุวรรณนเรศมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้มนั้น

“ความแค้นทั้งหมดของนาคแลครุฑ ข้าเองจะชดใช้ให้ท่านด้วยชีวิต”

ราวกับได้สตินึกรู้กลับมาในทันทีพลันรัศมีสีเงินแห่งศิรกัลป์ก็กลับเจิดจ้าสว่างไสว ดวงตาที่เคยมืดดำสนิทกลับค่อยๆ เปล่งรัศมีสีเงินยวงและสีสุวรรณระยิบระยับหมุนวนรอบกายของทั้งสองในทันที

กำไลขนปักษาบัดนี้เรืองแสงทิพยออกมาอย่างเจิดจ้า จึงกำจัดไอสังหารจากจิตอาฆาตจนหมดสิ้นเมื่อยามสุวรรณนเรศสัมผัสที่เศียรของศิรกัลป์!

ร่างของพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศพลันค่อยๆ ตกลงสู่ห้วงนทีอันไร้ขอบเขต ปีกบัดนี้ไร้เรี่ยวแรงในการสยายบินอีกต่อไป ละอองรัศมีสีทองสุวรรณค่อยๆ เรืองรองขึ้นลอยละล่องในห้วงนภาราวดวงดาวระยิบระยับมากมาย ร่างของพญาครุฑบัดนี้ค่อยๆ สูญสลายหลงเหลือไว้เพียงร่างบางของหญิงสาวผู้หนึ่งเท่านั้น

ตรัสวินที่เห็นดังนั้นจึงทะยานเข้าไปหวังจะรับร่างของสุวรรณนเรศเอาไว้ หากแต่ช้าเกินไป!

อาภรณ์สีเงินบัดนี้โบกสะบัดอยู่เบื้องหน้าของตรัสวินห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว มือและแขนแกร่งช้อนอุ้มร่างบางของเจ้าของอาภรณ์สีสุวรรณไว้อย่างมั่นคง ตรัสวินราวชะงักงันเมื่อได้มองเห็นใบหน้าของนาคราชนามศิรกัลป์อย่างชัดเจนอีกครั้ง

ก่อนร่างของทั้งสองจะจมดึงลงสู่ห้วงมหานทีอีกครา…

ศิรกัลป์กอดสุวรรณนเรศไว้แน่นด้วยลมหายใจสุดท้ายของสุวรรณนเรศนั้นใกล้หมดลงเต็มที เขาพินิจที่ใบหน้างามนั้นด้วยดวงตาที่แสนเจ็บปวด

“ด้วยคำสัตย์ที่เจ้าเคยกล่าวไว้กับข้าสุวรรณนเรศ ข้าไม่ให้เจ้าตาย!”

บัดนั้นมณีนาคาของศิรกัลป์และกำไลขนปักษาของสุวรรณนเรศจึงเรืองรองขึ้นอีกครั้ง ริมฝีปากของศิรกัลป์จึงค่อยๆ ประกบลงที่ริมฝีปากของสุวรรณนเรศช้าๆ ก่อนที่รัศมีทิพย์สีเงินและสีทองจะสว่างไสวท่ามกลางพื้นน้ำแห่งโลหิตของเหล่าครุฑและนาค



Don`t copy text!