ห้วงนทีกาล บทที่ 16 : ห้วงคะนึงที่ขาดหาย

ห้วงนทีกาล บทที่ 16 : ห้วงคะนึงที่ขาดหาย

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

ใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดรวมถึงริมฝีปากที่แห้งผาก เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นที่กลางหน้าผากหากแต่สีหน้าที่แสนเจ็บปวดของสุวรรณนเรศนั้นทำให้ศิรกัลป์ที่กำลังดึงเลือดสีคล้ำออกจากบาดแผลที่ต้นคอของสุวรรณนเรศมีสีหน้าที่เจ็บปวดไม่ต่างกัน

เสียงอู้อี้คล้ายกำลังเจ็บปวดเคล้าคลออยู่ในลำคอเบาๆ หากแต่สีหน้าเจ็บปวดอย่างไม่อาจปิดบังได้ และสตินึกรู้ที่แสนเลือนรางมีเพียงความเจ็บปวดที่ชัดเจน

เลือดสีคล้ำนั้นยากแท้ให้กำจัดทิ้งไปได้เนื่องจากเกิดจากพิษของพญานาคราชผสมเข้ากับเลือดครุฑาในกายของสุวรรณนเรศทำให้เกิดเป็นพิษร้ายแรง หากปล่อยให้หลุดออกไปเกรงว่าจะทำให้สรรพชีวิตน้อยใหญ่ภายในห้วงนทีแห่งนี้เป็นอันตรายได้ ศิรกัลป์จึงจำต้องดึงพิษเหล่านั้นเข้าสู่ร่างของตนเช่นเดิม

ภายในถ้ำลึกเหนือสะดือแห่งห้วงสมุทรเดิมทีเคยเป็นของใครผู้หนึ่ง หากแต่เขาพึ่งได้จริงในเรื่องนี้เองว่าต้องเป็นของปัทเนตรเป็นแน่

ศิรกัลป์ต้องทนรับความเจ็บปวดจากโลหิตพิษด้วยต้องใช้เวลาอีกมากในการกำจัดออกจนหมดสิ้นสีหน้าจึงไม่ค่อยสู้ดี มือแกร่งจับไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่นอนอยู่เบื้องหน้าอย่างเบามือก่อนจะบรรจงซับเหงื่อที่เกาะพราวอยู่ทั่วใบหน้าให้นาง

เมื่อร่างกายของสุวรรณนเรศไม่อาจทานทนได้ไหวอีกต่อไปด้วยการดึงโลหิตออกมานั้นทำให้ร่างกายบาดเจ็บเพิ่มมากขึ้น ศิรกัลป์จึงหยุดไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะค่อยๆ พยุงร่างของนางลงที่เบาะนุ่มสีอ่อน

นาคราชหนุ่มบัดนี้ค่อยๆ ลุกขึ้นจากตั่งทองหากแต่สายตาจับจ้องไปยังร่างของสุวรรณนเรศที่นอนแน่นิ่งด้วยแววตารู้สึกผิด

“ข้าไม่อาจปกป้องเจ้าได้…”

สิ้นเสียงพึมพำนั้นภาพเบื้องหน้าคล้ายกับว่าค่อยๆ เลือนรางลงด้วยพิษที่ตนได้รับ พื้นถ้ำกลับค่อยๆ หมุนวนกลับซ้ายสูงต่ำไปมาก่อนร่างของมาณพหนุ่มจะค่อยๆ หมดสติลงข้างๆ สุวรรณนเรศที่นอนอยู่ในทันที

เพียงชั่วอึดใจที่เสียงเลื่อนลั่นของแผ่นหินหน้าปากถ้ำดังขึ้น ร่างของทั้งสองผู้เข้ามาภายในถ้ำจึงตรงเข้าไปตรวจดูอาการของทั้งศิรกัลป์และสุวรรณนเรศในทันที

ภัทรเนตรมีสีหน้าร้อนใจอย่างมากเมื่อมองไปยังสุวรรณนเรศที่นอนนิ่งอยู่ ราวกับดวงใจตกลงไปที่หุบเหวกว้างด้วยใบหน้าของน้องสาวที่ไม่เห็นมาเป็นเวลานาน บัดนี้อยู่ต่อหน้าตนอีกครั้ง

“ทำอย่างไรดี!” ภุมโมกล่าวอย่างร้อนใจ

“นาคะบงกชของศิรกัลป์เหตุใดไม่มีแม้เพียงดอกเดียว เขามองไปยังบ่อน้ำภายในถ้ำที่ว่างเปล่าหากแต่มีเพียงบัวทองดอกหนึ่งขึ้นที่กลางสระเท่านั้น”

ภุมโมอ้ำอึ้งไม่รู้จะกล่าวเช่นใด หากแต่สีหน้าของทั้งศิรกัลป์และสุวรรณนเรศกลับแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด

“ใช้เมื่อครั้งสร้างศรสหัสนาคไปหมดแล้วเจ้าค่ะ ภุมโมห้ามแล้วมิฟัง…”

เสียงถอนหายใจของภัทรเนตรดังขึ้นในทันที ด้วยรู้แน่แล้วว่าไม่ใช่เพียงพระเวทอย่างที่ศิรกัลป์บอกตนหากแต่เป็นคำสัตย์สุดท้ายที่เขาและน้องสาวของตนเมื่อชาติปางก่อนเคยให้ไว้แก่กัน

“ไอ้เจ้าคนเสียสติผู้นี้ดึงพิษของนาคที่ผสมเข้ากับโลหิตของพญาครุฑเข้าไปในกาย ไม่กลัวตายฤๅอย่างไร”

ภัทรเนตรใช้พลังของตนตรวจดูที่ทั้งสองจึงพบว่าแม้จะยังคงหลงเหลือพิษนาคในร่างของสุวรรณนเรศหากแต่ที่บาดเจ็บหนักยิ่งกว่ากลับเป็นดวงมณีประจำกาย ส่วนศิรกัลป์นั้นแม้รับพิษเข้าไปมากหากแต่ส่วนหนึ่งยังเป็นพิษของตนเอง อาจอ่อนเพลียจากการฝืนช่วยเหลือสุวรรณนเรศทั้งวันทั้งคืนด้วยร่างกายที่บาดเจ็บ

“เจ้าไปเก็บนาคะบงกชของปัทเนตรมาเถิด นาคะบงกชไม่อาจเบ่งบานหากมิใช่เจ้าของ…ข้าเองสังหรณ์ใจตั้งแต่ครั้งที่จู่ๆ ศิรกัลป์นำร่างของธิดาพญาสุบรรณลงมาสู่ถ้ำแห่งนี้แล้วสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีบงกชของนางแต่มิอาจเข้ามาเห็นได้ด้วยตาตนเอง”

เขากล่าวพลางนึกถึงเมื่อครั้งเจอศิรกัลป์ครั้งแรกเมื่อถือกำเนิด ณ ภุชราชบาดาล รัศมีพลังเรืองรองเปล่งประกายสว่างไสว ไม่ใช่เพียงรัศมีพลังเท่านั้นยังมีมณีนาคาวิเศษล้ำค่าที่ติดกายมาถึงสี่ดวง นับว่าบารมีสูงมากในหมู่โอปปาติกะนาคด้วยกัน

เมื่อสัมผัสกับพลังแห่งมณีนาคาเหล่านั้น เขาก็จดจำได้ในทันทีว่าเป็นของปัทเนตรไม่ผิดแน่ ดังนั้นนาคาที่ถือกำเนิดแบบโอปปาติกะนาคองค์นี้จึงต้องเป็นอุรกาฬ สหายของตนกลับชาติมาเกิดเป็นแน่

เหนือสิ่งอื่นใดที่ยืนยันได้เป็นอย่างดีนั้นคือ เขาคือผู้เดียวที่สามารถหาถ้ำบำเพ็ญแห่งนี้จนพบ

จึงไร้ข้อกังขาใดว่าเหตุใดถ้ำแสนหวงแหนแห่งนี้ภัทรเนตรจึงยกให้ศิรกัลป์โดยง่าย อีกทั้งยังคอยช่วยเหลือเขาในทุกๆ เรื่อง

“มิอาจเก็บได้ บงกชดอกนั้นยังมีอีกสิ่ง…” ภุมโมมีสีหน้าอึกอักหากแต่ไม่อาจขัดคำสั่งของศิรกัลป์ที่เคยสั่งห้ามเกี่ยวกับนาคะบงกชดอกนี้ได้

“สิ่งใด! ยังมีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของสุวรรณนเรศและศิรกัลป์ได้เจ้าจงตรองดู…”

ภุมโมที่ได้ยินดังนั้นจึงค่อยๆ เดินไปหยุดที่สระนาคาบงกชในทันที มือน้อยๆ ค่อยเอื้อมไปที่ดอกบัวสีทองดอกใหญ่ที่กึ่งกลางสระนั้น หากแต่นึกถึงคำพูดของศิรกัลป์เมื่อครั้งฝังบางสิ่งลงในสระบัว

“ภุมโม เจ้าต้องคอยพิทักษ์นาคะบงกชดอกนี้ให้ดี ไม่ใช่เพียงมันคือบงกชดอกสุดท้ายที่เกิดจากพลังของปัทเนตร หากแต่ยังคงบรรจุไว้ซึ่งสิ่งสำคัญของข้าและนาง”

เขากล่าวพลางมองไปยังร่างของสุวรรณนเรศที่หมดสติอยู่บนตั่งทองภายในห้อง หากแต่ภุมโมที่ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจเท่าใดนัก

“แม้แต่องค์สุวรรณนเรศก็มิได้ฤๅ…”

ศิรกัลป์ที่ได้ยินดังนั้นจึงหันกลับมาแล้วยิ้มให้ภุมโมอย่างเอ็นดู พลางใช้ฝ่ามือใหญ่ลูบไปที่ศีรษะของเขาเบาๆ

“บางครั้งความจริงที่เกิดขึ้นก็น่าเศร้าเกินกว่าจะรับไหว บางสิ่งหลงลืมไปนั้นดีมากแล้ว…ข้าไม่ปรารถนาให้นางเจ็บปวดอีก เดิมข้าเป็นนาคราช…นางเป็นครุฑ โชคชะตานี้มิอาจบรรจบตั้งแต่เริ่มต้น…”

ภุมโมที่เพียงนึกถึงคำพูดนั้นของศิรกัลป์…ดวงตาก็แดงก่ำไปหมด เขาพลันเอื้อมมือออกไปที่ดอกบัวนั้นก่อนจะตั้งจิตอธิษฐานขึ้น

“ข้าไม่เชื่อว่าโชคชะตาจะโหดร้ายเพียงนั้น…”

สิ้นคำอธิษฐานนั้น นาคะบงกชแห่งปัทเนตรจึงเรืองรองไปด้วยรัศมีสีทองอีกครั้ง ระยิบระยับราวยกนำดวงดาราบนฟากฟ้าลงมานับหมื่นพัน ส่องสว่างเป็นประกายงดงามในวันที่มืดดับสิ้นหนทางที่สุด เมื่อนั้นดอกบัวก็ค่อยๆ สลายหายไปเป็นกลุ่มละอองสีทองแล้วจึงตรงเข้าไปโอบอุ้มร่างของทั้งสองให้ล่องลอยขึ้น

ภัทรเนตรมองไปยังร่างของนองสาวที่บัดนี้แม้สีหน้าจะดีขึ้นด้วยนาคะบงกชสามารถชำระล้างพิษที่เหลือของนาคาได้ หากแต่มณีประจำกายของนางยังคงเสียหายอยู่มาก มีเพียงสัมปาตีและสดายุเท่านั้นจึงสามารถช่วยเหลือนางได้

“ไปกันเถิดภุมโม ยังต้องใช้เวลาอีกมากกว่านาคะบงกชจะหมดฤทธิ์ ถึงเมื่อนั้นแล้วเราค่อยกลับมา…ให้เวลาพวกเขาสักชั่วครู่เถิด…”

ชั่วพริบตาที่ละอองแห่งความทรงจำที่ขาดหายกลับคืนสู่เจ้าของอีกครั้งราวกับมณีที่เคยปริแตกได้รับพลังที่สูญหายไปแม้ไม่อาจเติมเต็มได้ทั้งหมด หากแต่สีหน้าของสุวรรณนเรศกลับดีขึ้นอย่างชัดเจน แม้ไม่อาจลืมตาตื่นหากแต่ราวกับนางนั้นได้ท่องเที่ยวไปในความทรงจำของตนอีกครั้ง

 

ไร้สุรเสียงใดยามเมื่อร่ายพระเวทอันสามารถซ่อนเร้นซึ่งพลังทิพย์และร่างของพญาครุฑา ปีกทองสุวรรณสยายกว้างยามต้องลมโผบินสู่ห้วงนภากว้าง

สุวรรณนเรศในวัยยามแรกกำเนิดได้ไม่นานนั้น ทุกสรรพสิ่งล้วนตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด ร่างบางบินข้ามผ่านมหานทีกว้างได้อย่างง่ายดายด้วยพลังแห่งเผ่าพงศ์สุบรรณอันสูงส่ง หากแต่รั้งรออยู่เหนือลานบรรณาการเพื่อหวังชมพิธีถวายบรรณาการสักครั้ง

ด้วยความซุกซน…หากได้เคยได้ฟังเพียงคำบอกเล่าจากเหล่าทหารใต้บัญชาของสัมปาตีและสดายุเท่านั้น ด้วยความอยากรู้จึงแอบหนีออกจากมหาวิมานฉิมพลีแล้วลอบบินภายใต้พระเวทอำพรางมาอยู่เหนือลานบรรณาการ

“ตรัสวินหนาตรัสวิน ผนึกเนตรทิพย์ข้าแล้วจะเห็นได้อย่างไร…”

เมื่อมองอย่างไรก็ไม่ชัดเสียทีด้วยถูกองค์ตรัสวินลงโทษผนึกดวงตาทิพย์ที่โดยปกติสามารถมองได้เห็นไกลหลายร้อยโยชน์ ราวชั่งใจครู่หนึ่งหากแต่นางมาไกลเกินกว่าจะถอยกลับได้แล้ว

สุวรรณนเรศทะยานลงสู่เบื้องล่างในทันที หากแต่เมื่อยามเท้าสัมผัส ณ ลานหินกว้างครั้งแรกราวกับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางอย่างในทันใด

พลังสีดำสายหนึ่งเข้าจู่โจมไปยังร่างของสุวรรณนเรศในทันที รูปร่างคล้ายกับนาคราชสีดำหากแต่รุนแรงและว่องไวเสียจนนางที่สูญเสียพลังเนตรไม่อาจมองตามได้ทัน

“ระวัง!”

เสียงแหลมเล็กเสียงหนึ่งดังขึ้นในจังหวะเดียวกันกับที่พลังสีดำคล้ายนาคราชนั้นพุ่งโจมตีไปยังสุวรรณนเรศอย่างรวดเร็ว หากแต่มีร่างหนึ่งกระโจนเข้ามาขวางเอาไว้ได้ทัน

ร่างเล็กราวเด็กคนหนึ่งหากแต่อ้วนท้วนสมบูรณ์กางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อปกป้องสุวรรณนเรศไม่ให้ได้รับอันตรายจากพลังของดวงจิตสุดท้ายของนาคที่เป็นบรรณาการในวันนั้น ร่างเด็กชายพลันทรุดลงในทันทีหากแต่สุวรรณนเรศรับไว้ได้ทัน

“เจ้าเป็นอย่างไร!”

นางถามขึ้นอย่างร้อนใจด้วยไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน หากแต่เด็กคนนี้กลับช่วยนางเอาไว้ ดวงตาที่เลือนรางของเด็กชายมองไปยังใบหน้าของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า แต่ต้องแปลกใจเป็นอย่างมากเมื่อสัมผัสพลังของคนที่อยู่ตรงหน้าหาใช่นาคาอย่างตน

“ท่านมิใช่…”

พูดได้เพียงเท่านั้นราวกับว่าลมหายใจเกิดติดขัดขึ้นอย่างประหลาด ที่บริเวณใบหน้าของเด็กชายจึงค่อยๆ ปรากฏลักษณะคล้ายเส้นเลือดสีดำขึ้นที่ใบหน้าก่อนจะค่อยๆ ชอนไชมาที่ดวงตาทั้งข้างอย่างรวดเร็ว

เด็กชายกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ด้วยร่างของเขามิใช่นาคราชอย่างเช่นผู้อื่น มิอาจทานทนพลังที่มากมายถึงเพียงนี้ได้

“เจ้าตัวเล็ก!”

สุวรรณนเรศตะโกนสุดเสียงด้วยไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ร่างของเด็กชายบัดนี้ค่อยๆ กลับกลายเป็นงูใหญ่สีเขียวมรกตช้าๆ เริ่มจากลำตัวส่วนล่างก่อนจะกระอักเลือดสีเข้มออกมาอย่างมากมาย

สุวรรณนเรศเองเร่งมองไปรอบกายหากแต่ไม่พบผู้ใดแม้เพียงผู้เดียว นางตะโกนร้องขอความช่วยเหลือด้วยตนนั้นก็เพียงครุฑาโอปปาติกะที่แรกกำเนิดได้ไม่นาน พระเวทที่มีน้อยนิดนักไม่อาจรู้ได้ว่าจักช่วยเหลือเด็กน้อยผู้นี้อย่างไร

สองเนตรแดงก่ำไปด้วยน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย ด้วยเด็กชายผู้นั้นร้องออกมาอย่างเจ็บปวดหากแต่นางไม่อาจกระทำสิ่งใดได้เลย

“ท่านได้โปรดสังหารข้าเถิด เจ็บปวดเหลือเกิน!”

เด็กชายอ้อนวอนร้องขอให้นางสังหารเขา หากแต่ยังคงดิ้นทุรนทุรายภายในอ้อมแขนของสุวรรณนเรศเช่นเดิม สุวรรณนเรศยังคงกอดร่างของเขาไว้แน่นไม่ยอมปล่อยหากแต่คำพูดหนึ่งของผู้เป็นพี่ชายดังขึ้นภายในความคิด

เพียงชั่วอึดใจนั้นนางไม่อาลัยแม้แต่สละพลังชีวิตบริสุทธิ์ของตนให้กับผู้ที่ช่วยชีวิตนางแม้แต่น้อย เหนือศีรษะพลันปรากฏอัญมณีสีสุวรรณขึ้นก่อนจะค่อยๆ ส่งผ่านไปยังร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนในทันที

“ภุมโม!”

ชายผู้หนึ่งปรากฏขึ้น พลันพบว่าบัดนี้ภุมโมถูกจิตสุดท้ายของนาคเข้าแทรกภายในกาย แต่ที่ทำให้เขาตกใจหาใช่เพียงเท่านั้นเมื่อบัดนี้เบื้องหน้าของตนคืออัญมณีสีทองที่กำลังเปล่งประกายสว่างไสว อีกทั้งยังใช้พลังชีวิตของตนเพียงเพื่อช่วยเหลืองูบริวารตนหนึ่งเท่านั้น

ชายหนุ่มที่เห็นดังนั้นจึงเร่งใช้พลังของตนเพื่อดึงนำจิตสุดท้ายที่อยู่ในร่างภุมโมออกมาในทันทีก่อนที่อัญมณีแห่งครุฑาของหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าตนจะเกิดร่องรอยร้าวขึ้นเล็กๆ ด้วยพลังทิพยยังไม่แข็งแกร่งพอ

รัศมีสีเงินยวงระยิบระยับจับตาโอบล้อมร่างของทั้งสามไว้ในทันที แสงสว่างนั้นทำให้ทหารนาคราชที่อยู่ในบริเวณนั้นสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดาย

หากแต่เมื่อยามรัศมีสีเงินของชายหนุ่มสงบลงแล้วนั้น ทั้งภุมโมและหญิงสาวก็สิ้นสติลงไปที่พื้นลานหินในทันที

“องค์ศิรกัลป์ฤๅเจ้าค่ะ!”

เสียงร้องทักที่ดังขึ้นนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่นาคราชหนุ่มร่ายพระเวทกำบัง ทำให้ทหารที่วิ่งตรงเข้ามานั้นไม่เห็นเหตุการณ์ที่ผิดปกติแม้แต่น้อย

“เรามาส่งดวงจิตของเครื่องบรรณาการ…” ศิรกัลป์ตอบเสียงเรียบ

“เช่นนั้นไม่รบกวนองค์ท่าน…”

เมื่อเหล่าทหารจากไปแล้วนั้น เพียงสะบัดมือเบาครั้งหนึ่งร่างของหญิงสาวและเด็กชายจึงปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าตนอีกครั้ง ศิรกัลป์ย่อตัวลงชันเข่าที่ข้างๆ ร่างของสุวรรณนเรศที่บัดนี้ยังคงไม่ได้สติ

“มณีประจำกายสีสุวรรณเช่นนั้น เหตุใดพงศ์สุบรรณจึงมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้!”

 



Don`t copy text!