
ห้วงนทีกาล บทที่ 20 : พงศ์เวชไชยยันต์ ตรัสวิน
โดย : สิปัณฑ์
 
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

สิ้นแสงสว่างของบงกชสีสุวรรณที่ยังคงโอบล้อมร่างของศิรกัลป์และปัทเนตรที่ยังคงนิ่งหลับตาสนิทเคียงข้างกันอยู่บทตั่งเตียง ดวงตาคู่หนึ่งพลันค่อยๆ กะพริบถี่ก่อนจะพยุงร่างของตนลุกขึ้นนั่งช้าๆ
ดวงหน้าหวานยังคงไม่ได้สติหากแต่สีหน้าไม่เจ็บปวดเท่าใดนัก ศิรกัลป์เอื้อมมือไปซับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นกลางหน้าผากอย่างเบามือก่อนจะค่อยๆ ปัดเส้นผมที่ปรกลงมาปิดบังใบหน้าทัดไว้ที่ข้างใบหู
รอยยิ้มคลี่ออกโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะใช้พลังสำรวจพิษของตนที่อาจหลงเหลืออยู่ภายในร่างของสุวรรณนเรศ
“พิษหมดไปแล้วศิรกัลป์ หากแต่มณีนางไม่อาจซ่อมแซมได้หากนางมิได้สติเช่นนี้”
ด้วยอาการอ่อนแรงและพิษจากเลือดของครุฑที่ผสมปนเปกับพิษของนาคายังคงอยู่ ศิรกัลป์จึงพึ่งรับรู้ได้ถึงภัทรเนตรก่อนจะมองไปยังทิศทางของต้นเสียงในทันที
“เหล่าครุฑแม้เป็นครุฑโอปปาติกะไม่อาจกำจัดพิษร้ายแรงนี้ได้หมด เราจำต้องคืนนางสู่ฉิมพลี”
เสียงถอนหายใจของภัทรเนตรดังขึ้นครั้งหนึ่ง หากแต่มองไปยังสุวรรณนเรศกับศิรกัลป์ที่อยู่เบื้องหน้าคล้ายเงาร่างของปัทเนตรและอุรกาฬฉายชัดทับซ้อนร่างของทั้งสองในทันทีหากแต่ไร้คำพูดใด
ศิรกัลป์ที่ไม่กล้าแม้จะสบตาภัทรเนตรโดยตรง ทำได้เพียงมองไปที่พื้นเท่านั้น ด้วยรู้แก่ใจว่าภัทรเนตรได้ล่วงรู้ทุกเรื่องที่เขาปิดบังแล้วเช่นกัน
“เรื่องอื่นเอาไว้ก่อนเถิด เจ้านำตัวนางลงมาที่ถ้ำท่ามกลางสายตาหลายคู่ บัดนี้พญาตรัสวินพงศ์เวชไชยยันต์ยกพลลาดตระเวนไปทั่วอาณาเขตปะทะกันแล้วหลายครั้ง ด้วยสัมผัสได้ถึงมณีในกายสุวรรณนเรศหากแต่ไม่สามารถแหวกน้ำลงมาได้”
“ตายมากเท่าใด…”
ภัทรเนตรที่ได้ยินดังนั้นก็หลบตาของศิรกัลป์ในทันที ก่อนจะใช้มือจับไปที่ไหล่ของสหาย
สงครามใหญ่ใกล้อุบัติเต็มทีด้วย ณ ลานบรรณาการนั้นไม่ใช่เพียงนาคาที่ตายตกไปตามกันหากแต่ทหารแห่งฉิมพลีที่ตามติดอนิละและตรัสวินมาช่วยสุวรรณนเรศนั้นเองก็ดับสิ้นด้วยศรสหัสนาคไปมากมาย
ศิรกัลป์ไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ค่อยๆ ลุกขึ้นพลันช้อนอุ้มร่างของสุวรรณนเรศไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง รัศมีสีเงินส่องสว่างก่อนร่างของทั้งสองจะค่อยๆ สลายหายไปจากถ้ำ ภัทรเนตรมองไปยังรัศมีทิพยของศิรกัลป์ที่สลายไปช้าๆ หากแต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใด
เสียงร้องของเหล่าปักษาเป็นฉากหลังเสียงคลื่นกระทบแผ่นพื้นหินกว้างดังชัดในห้วงคำนึง ราวภาพเหตุการณ์ฉายชัดอีกครั้ง ศิรกัลป์พลันมองไปยังดวงหน้าในอ้อมแขนตนอีกครั้งพลันจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากสุวรรณนเรศ
แผ่วเบาหากแต่เนิ่นนานราวเวลาหยุดหมุนลงชั่วขณะหนึ่ง…
ร่างบางล่องลอยสู่ผืนมหานทีกว้างอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้ไม่มีแม้พระเวทอำพรางใด ศิรกัลป์มองไปยังร่างของสุวรรณนเรศที่ห่างออกไปช้าๆ แขนหนึ่งพยายามเอื้อมคว้าบางสิ่งหากแต่ในโลกนี้ไม่ใช่ทุกสิ่งที่สามารถคว้าเอาไว้ได้
ร่างของพญาตรัสวินทะยานลงสู่ห้วงนทีในทันทีก่อนจะช้อนอุ้มร่างของสุวรรณนเรศพลันบินหายไปต่อหน้าขององค์ศิรกัลป์อีกครั้ง หากแต่เป็นทุกครั้งที่เขายังคงยิ้มส่งนางด้วยความเต็มใจ
สายลมโบกพัดอ่อนหอบนำกลิ่นหอมของหมู่มวลผกาในอุทยานหลวงให้ฟุ้งไปทั่วบริเวณ ผ้าม่านสีขาวพัดพลิ้วไปตามจังหวะแลเสียงกระดิ่งที่ขับขานราวกับเสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อม ภายในห้องของตำหนักของมหาอุปราชสัมปาตีที่ถูกสร้างอาณาเขตพระเวทขึ้นโดยด่วนเนื่องจากมณีประจำกายของสุวรรณนเรศได้รับความเสียหายอย่างหนัก
ตรัสวินที่บัดนี้นั่งกุมมือสุวรรณนเรศอยู่ไม่ห่าง ดวงเนตรแดงก่ำด้วยจนบัดนี้ผ่านไปสามวันสามคืนนางยังไม่มีทีท่าว่าจะได้สติแม้แต่น้อย จากเหตุการณ์ที่สุวรรณนเรศหายไปนั้นสายตาทุกคู่ต่างเห็นว่าบัดนั้นนางถูกคมเคี้ยวของพญานาคราชแล้วสิ้นสติตกลงไป ณ กลางมหานทีกว้าง
ทุกคนเฝ้าติดตามหาสุวรรณนเรศทั้งกลางวันและกลางคืนมิได้พัก ด้วยทั้งสัมปาตีและสดายุต่างยังรับรู้ได้ถึงมณีประจำกายของสุวรรณนเรศว่ายังคงไม่แตกดับหากแต่อ่อนแรงแล้วเต็มที
ตรัสวินตรวจดูตามร่างกายของสุวรรณนเรศพบว่าไร้ร่องรอยบาดแผลใด อีกทั้งพิษนาคราชในกายยังถอนออกแล้วจนหมดสิ้น ชายหนุ่มยังคงจับมือสุวรรณนเรศไว้แน่น…พลันใบหน้าของใครผู้หนึ่งที่ยังคงยิ้มส่งมองมาที่เขาและนางเสมอก็ชัดเจนคิดในห้วงความคิด…
“เป็นเขาไม่ผิดแน่…” ตรัสวินพึมพำพลันนึกถึงเหตุการณ์เมื่อสามร้อยปีก่อนเมื่อครั้งสุวรรณนเรศหายไป ณ ลานถวายบรรณาการ
สายตาแหลมของของทิพยเนตรแห่งพงศ์เวชไชยยันต์ที่บัดนี้บินวนไปมาด้วยความร้อนใจ เมื่ออนิละอารักษ์ประจำกายของสุวรรณนเรศบอกว่าบัดนี้นางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ตรัสวินที่ลงโทษนางด้วยไม่อยากให้นางนั้นเห็นว่าพิธีถวายบรรณาการเป็นเช่นไร หากแต่ไม่คิดว่าบัดนี้ธิดาน้อยจะบินมาไกลถึงที่แห่งนี้
เขาตามร่องรอยพลังของสุวรรณนเรศมาถึง ณ ลานถวายบรรณาการหากแต่ไร้ร่องรอยแม้แต่เงาร่างของสุวรรณนเรศ
“เจ้าอยู่ที่ใดสุวรรณนเรศ…”
จอมทัพร้อนใจเป็นอย่างมาก หากแต่สดายุยังคงสัมผัสได้ถึงมณีประจำกายของสุวรรณนเรศอย่างชัดเจน
“น้องจะไปอยู่ที่ใดได้ ข้ายังสัมผัสได้ถึงมณีของนาง…”
สดายุกล่าวอย่างหัวเสียด้วยสุวรรณนเรศพึ่งจุติได้เข้าปีที่สองร้อยเท่านั้น พระเวทใดล้วนไม่เชี่ยวชาญ
“เป็นความผิดของข้าองค์ท่านที่ดูแลองค์สุวรรณนเรศไม่ดี” อนิละกล่าวพลางคุกเข่าลงก่อนสัมปาตีและสดายุจะมีสีหน้าเย็นลงบ้าง
“ตอนนี้ยังมิมีอันตรายถึงชีวิต เจ้าไปลาดตระเวนผลัดเปลี่ยนองค์ตรัสวินเถิด” สัมปาตีกล่าวเสียงเรียบ
ตลอดแรมเดือนที่สุวรรณนเรศหายไปนั้นไม่ใช่เพียงความร้อนใจที่ผู้เป็นน้องหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หากแต่เป็นสถานะทางสงครามของสองเผ่าพงศ์ที่คุกรุ่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การปะทะของครุฑและนาครุนแรงขึ้นจนเริ่มมีผู้บาดเจ็บล้มตายไม่เว้นวัน
ตรัสวินทบินเหนือมหานทีสีทันดรเสียจนเรี่ยวแรงจวนเจียนจะหมดลง แต่ไม่อาจหยุดได้เมื่อยังหาสุวรรณนเรศไม่พบ
แม้เหนื่อยราวแทบขาดใจ หากแต่เพียงนึกถึงวันแรกที่พบนางเขาก็แย้มยิ้มออกมาได้อีกครั้ง
จอมทัพที่ชีวิตแสนเบื่อหน่าย…ร่างของมาณพหนุ่มบัดนี้ทอดกายไปกับพื้นหญ้าอ่อนนุ่มที่อุทยานหลวงแห่งฉิมพลีนคร พลันมองไปยังห้วงนภากว้างที่มีเพียงสีขาวซีดของเมฆาที่ล่องลอยไปตามสายลม
“เบื่อหน่ายอะไรเช่นนี้…”
ตรัสวินพึมพำ แม้สายตาจะจับจ้องท้องนภากว้างหากแต่ภายในใจกลับนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งตนไปรับบรรณาการแทนการจากไปของผู้เป็นพี่ชาย
สงครามก็เป็นเช่นนี้…มีฝ่ายปราชัยและฝ่ายได้ชัย หากแต่ชัยชนะที่ว่าแท้จริงฤๅไม่เหตุใดตนยังคงรู้สึกติดค้างในใจเช่นนี้ ตรัสวินพลันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยอาจบรรเทาอาการหนักอกหนักใจให้ทุเลาลงได้บ้าง
เพียงชั่วอึดใจที่จู่ๆ ท้องนภาที่แสนธรรมดาในทุกวันนั้นบังเกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้นในทันที!
ท้องนภาบัดนี้ราวถูกทาทับด้วยรัศมีพลังบางอย่าง…รัศมีสีทองสุวรรณราวแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก่อนอัสดงนั้นส่องสว่างไปทั่วท้องนภา
ตรัสวินที่ตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าพลันลุกขึ้นนั่งในทันที ก่อนจะพบว่าบัดนี้กำเนิดแรงลมมหาศาลพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง ก่อนที่ต้นกำเนิดแห่งรัศมีพลังสีทองนั้นจะทะยานขึ้นไปกลางฟ้าเหนือมหานครฉิมพลี
พญาครุฑสีสุวรรณทั่วทั้งวรกายบัดนี้ปรากฏกายอยู่ท่ามกลางแสงสีทองนั้นก่อนจะค่อยๆ คืนร่างกลับเป็นอิสตรีรูปร่างบางอรชรนางหนึ่ง อาภรณ์สีอ่อนพัดพลิ้วไปตามสายลมหากแต่ปีกใหญ่สีทองที่กลางนั้นงดงามเกินกว่าเคยเห็น ณ ที่ใด
ผมยาวสยายสีดำขลับยาวถึงกลางหลัง ดวงตาโตรับกับดวงหน้าหวานที่บัดนี้กำลังมองสำรวจไปทั่วด้วยทิพยเนตรแห่งพงศ์สุบรรณ
“กำเนิดแล้วกนิษฐาแห่งเรา”
เสียงของสัมปาตีดังชัดขึ้นที่ด้านหลังตรัสวินที่ยังคงมองนิ่งด้วยความตะลึงงันอยู่เช่นนั้น ก่อนผู้เป็นพี่ชายจะทะยานขึ้นไปรับผู้เป็นน้องลงมาที่พื้นในทันที
ตรัสวินยังคงตะลึงงันราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนอีกครั้งยามเมื่อได้มองดวงหน้าของหญิงสาวอย่างเต็มตา ราวกับวันวานที่แสนโหดร้ายนั้นหวนคืนอีกครั้งเมื่อใบหน้าของโอปปาติกะครุฑแห่งพงศ์สุบรรณบัดนี้คล้ายกับนาคราชสีทองที่เขาสังหารเมื่อครั้งพิธีถวายบรรณาการเมื่อหลายสิบปีก่อนไม่มีผิด
กาลเวลาล่วงเลยไปไม่อาจนับเมื่อมิตรภาพก่อบังเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ตรัสวินที่ราวกับเติบโตมาพร้อมๆ กับสุวรรณนเรศในช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกันในฉิมพลี ทำให้บางครั้งนั้นเขาหลงลืมอดีตที่แสนโหดร้าย ความเจ็บปวดที่คอยกัดกินจิตวิญญาณที่แสนเหน็บหนาวกลับสลายหายไปได้ด้วยแสงสีทองสุวรรณแสนอบอุ่นของสุวรรณนเรศ
“จะอยากดูถวายบรรณาการไปไย มิมีสิ่งใดน่าอภิรมย์แม้แต่น้อย” ตรัสวินกล่าวกับสุวรรณนเรศที่ยังคงซุกซนอยากรู้เห็นไปเสียทุกเรื่อง
“เช่นนั้นข้าใช้ทิพยเนตรก็เห็นได้แล้วใช่ฤๅไม่”
สุวรรณนเรศกล่าวพลางกำลังจะใช้เนตรทิพย์หากแต่องค์ตรัสวินกลับใช้พลังพระเวทของตนผนึกดวงตาของนางในทันที
“พงศ์เวชไชยยันต์ ตรัสวิน!”
สุวรรณนเรศเรียกชื่อเต็มของเขาในทันทีเพราะเมื่อใดที่เรียกเช่นนั้นแสดงว่าบัดนี้นางไม่พอใจเขาเต็มที
ตรัสวินเมื่อได้ยินดังนั้นจึงมองไปยังสุวรรณนเรศด้วยสายตาแสนอ่อนโยน พลันมือแกร่งจึงบรรจงสัมผัสไปที่มือบางอย่างแผ่วเบา
“สุวรรณนเรศ ฟังข้า…เจ้าต้องการมองเห็นสิ่งใด ชัยชนะที่เหล่าครุฑได้มาฤๅ ชีวิตที่ต้องดับสิ้นของนาคบนลานนั้นฤๅ ข้าไม่อยากให้เจ้าจำมันติดตราไว้ในใจเจ้าเช่นข้า…”
น้ำเสียงอ้อนวอนและแววตาที่แสนเศร้าของตรัสวินนั้นทำให้สุวรรณนเรศหยุดชะงัก หากแต่น้ำตาของตรัสวินกลับไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
ด้วยความตกใจที่นางเป็นสาเหตุ…สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นจึงโผเข้ากอดตรัสวินไว้ในทันที
“ตรัสวิน ข้าขออภัยเจ้า…ข้ามิได้ตั้งใจ” สุวรรณนเรศกล่าวพลางกอดปลอบเขาไว้แน่น
ตรัสวินพลันผละออกจากอ้อมกอดนั้นช้าๆ ด้วยไม่แน่ใจว่าตนคู่ควรกับคำปลอบโยนนั้นหรือไม่
“เป็นข้า…”
ตรัสวินกล่าวได้เท่านั้นราวคำพูดบางคำถูกกลืนหายไปในลำคอ ความอัดอั้นที่เก็บซ่อนในใจยาวนานจนมิอาจนับราวระเบิดออกมาเสียงดังกัปนาท!
“เป็นข้าผู้ที่เคยปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกสรรพสิ่งสุวรรณนเรศ ไม่คู่ควรกับคำขออภัยของเจ้าแม้แต่น้อย”
เขาหลบตามองต่ำลงด้วยไม่กล้าแม้แต่มองไปที่นัยน์ตาของสุวรรณนเรศที่อยู่ตรงหน้า หากแต่รอยยิ้มบางพลันฉายชัดบนใบหน้าของสุวรรณนเรศ
“เพียงอดีตที่ผันผ่านไปแล้วตรัสวิน แม้ในอดีตจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เพียงวันนี้ท่านรู้แล้วว่าจะไม่กระทำผิดซ้ำอีก ไม่เพียงพอเช่นนั้นฤๅ…”
นางกล่าวออกมา แม้ไม่เข้าใจความหมายที่ตรัสวินกล่าวทั้งหมดแต่ยังคงยิ้มให้เขาอย่างงดงาม ราวกับว่าความทุกข์ ความรู้สึกผิด ที่ผูกเป็นปมภายในใจคลายออกได้กึ่งหนึ่ง ตรัสวินพลันโผเข้ากอดสุวรรณนเรศไว้แน่น
“ข้าพงศ์เวชไชยันต์ ตรัสวิน สาบานจะปกป้องเจ้าด้วยชีวิต!”
ราวเสียงวิงวอนอธิษฐานภายในใจของตรัสวินกลายเป็นจริง ไม่ไกลนักกลับปรากฏรัศมีสีสุวรรณอีกครั้งเมื่อใช้ทิพยเนตรพินิจมองจึงพบร่างของสุวรรณนเรศบัดนี้ล่องลอยอยู่ท่ามกลางห้วงนทีกว้าง
พญาครุฑทะยานเข้าไปโอบอุ้มร่างนั้นไว้ด้วยความดีใจที่ได้พบกันอีกครั้ง หากแต่กลับได้พบชายผู้หนึ่งที่แสนคุ้นตาไม่ต่างกัน
ตรัสวินมองไปยังแววตาแสนเศร้านั้นแม้ไม่อาจกล่าวคำใด นาคราชผู้หนึ่งแม้จะใช้พระเวทอำพรางกายหากเขากลับมองมาที่สุวรรณนเรศ แววตาฉายชัดซึ่งความเจ็บปวดหากยังคงมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี
“เป็นเขา…เป็นเขาเมื่อครั้งนั้นเช่นเดียวกับสุวรรณนเรศ”
ภาพในอดีตฉายชัดราวพึ่งผ่านพ้นไปไม่นาน เขาที่ยินดีส่งสุวรรณนเรศคืนแก่ตรัสวินในวันนั้นยังคงเป็นศิรกัลป์ผู้ที่ยิ้มส่งเขาและสุวรรณนเรศอยู่เช่นเดิมร่ำไป
แม้ในสายตาผู้อื่นสุวรรณนเรศในยามนี้นั้นคือหนึ่งในจอมทัพอันเกรียงไกรแห่งฉิมพลี หากแต่ในสายตาของตรัสวิน…นางยังคงเป็นสุวรรณนเรศในวันนั้นที่เขาจะยังเฝ้าทะนุถนอมไม่ห่าง
“ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นได้หากแต่จะไม่ผิดซ้ำอีก…ตื่นเถิดสุวรรณนเรศ”
ราวสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นหนึ่งพัดผ่านมาหากแต่ไม่พัดผ่านไป ตรัสวินที่มองไปยังสายลมประหลาดนั้นคล้ายสัมผัสได้ถึงพลังที่แสนคุ้นชิน ละอองสีทองระยิบระยับหมุนวนอยู่เหนือร่างอันไร้สติของสุวรรณนเรศครู่หนึ่งก่อนมณีประจำกายของนางจะปรากฏขึ้นช้าๆ บังเกิดเป็นแสงสว่างส่องประกายไปทั่วห้องในทันที
อัญมณีประจำกายที่เคยปริแตกบัดนี้กลับมาสมานสมบูรณ์ดังเดิมอีกครั้ง ละอองสีทองระยิบระยับกระจัดกระจายไปทั่วก่อนจะสลายหายไปในที่สุด
ดวงตาที่กะพริบถี่ของร่างบางที่นอนแน่นิ่งมาหลายวันนั้นพลางขยับน้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่นขึ้นในที่สุด
“สุวรรณนเรศ!”
ตรัสวินเรียกชื่อนางด้วยความดีใจยิ่ง หากสุวรรณนเรศนั้นเมื่อมองเห็นว่าเบื้องหน้านางคือตรัสวิน พลันร่ำไห้ออกมาในทันทีก่อนจะโผเข้ากอดเขาไว้แน่นด้วยความดีใจ
ความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดให้ตรัสวินเข้าใจได้นั้น เนิ่นนานราวห้วงความฝันที่ไม่รู้จะตื่นเมื่อใด ความรู้สึกมากมายที่พรั่งพรูออกมาไม่อาจหยุดน้ำตาที่ไหลนองออกมานั้นไว้ได้เลย
สำหรับตรัสวินที่สุวรรณนเรศหายไปอาจเพียงไม่กี่สิบวัน หากแต่สำหรับสุวรรณนเรศนั้นการเดินทางมากมายที่ต้องเผชิญ นางเฝ้ามองตรัสวินสิ้นชีพที่สมรภูมิ แม้ย้อนกาลกลับไปยังห้วงเวลาที่ผันผ่านหากยังต้องรับรู้ถึงความสูญเสียของปัทเนตรและอุรกาฬ
แม้แต่ท้ายที่สุดนั้นผู้ที่นางปักใจแค้นเคียงชิงชังเขาเป็นที่สุดกลับเป็นผู้ที่นางไม่อาจสูญเสียไปได้ที่สุดนั้นคือ ศิรกัลป์!
“เนิ่นนานเหลือเกินตรัสวิน ข้าจดจำได้ทั้งสิ้นแล้ว…”
ราวฟ้าถล่มลงต่อหน้าก็ไม่ปาน หากแต่ตรัสวินนั้นล้วนเผื่อใจไว้แล้วเช่นกัน รอยยิ้มที่คลี่ออกอย่างอ่อนโยนของตรัสวินนั้นหากแต่สุวรรณนเรศกลับไม่อาจมองมันโดยไม่รู้สึกผิดได้เช่นกัน
“เจ้าอย่าทำหน้าเช่นนั้นเลย เป็นข้าเองที่ไม่อาจสูญเสียเจ้าไปได้เช่นกัน”
ตรัสวินกล่าวเสียงสั่น ด้วยเพราะเขาเองที่ไม่อาจปล่อยวางสุวรรณนเรศได้เช่นกัน
ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน ไม่ใช่เพียงความรักความผูกพันเท่านั้นหากแต่ยังผูกมัดยึดติดไม่อาจปล่อยวางได้
“ตรัสวิน ข้าไม่อาจเป็นสุวรรณนเรศผู้เดิมได้อีกแล้ว…”
สุวรรณนเรศกล่าวพลันน้ำตาไหลออกมาในทันที ตรัสวินไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างแผ่วเบาและยิ้มให้นางเช่นเดิม แสงสว่างสีขาวส่องประกายขึ้นที่กลางฝ่ามือของตรัสวินก่อนจะปรากฏปิ่นบงกชสีเงินขึ้น
น้ำตาตรัสวินหลั่งไหลออกมาด้วยความรู้สึกผิดก่อนจะค่อยๆ เอื้อมนำปิ่นบงกชปักลงที่มวยผมของสุวรรณนเรศอีกครั้ง
“อภัยให้ข้าด้วยสุวรรณนเรศ ข้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงอดีตที่เกิดขึ้นได้ หากแต่บัดนี้ข้าจักคืนศิรกัลป์ให้แก่เจ้า…”

- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 20 : พงศ์เวชไชยยันต์ ตรัสวิน
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 19 : ศิรกัลป์นาคราช
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 18 : เพียงใจปรารถนาชั่วกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 17 : นาคะบงกช
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 16 : ห้วงคะนึงที่ขาดหาย
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 15 : หวนคืนสู่สมรภูมิ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 14 : สิ้นพันธะแห่งกาล 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 13 : สิ้นพันธะแห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 12 : ผลิบาลยามต้องแสงอรุณ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 11 : บางสิ่งมิอาจเปลี่ยนแปลง
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
- READ ห้วงนทีกาล : บทนำ






 
  
  
  
  
  
 
