ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ

ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

ท่ามกลางความเงียบสงัดไร้ซึ่งสุรเสียงใด จนกระทั่งเมื่อยามหยดน้ำหยดหนึ่งกระทบเทียบลงจรดพื้นหินสีเข้มเป็นจังหวะครั้งแล้วครั้งเล่า

รัศมีเรืองรองจากร่างของชายหนุ่มรูปร่างกำยำที่บัดนี้ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นซึ่งมัดกล้ามของร่างกาย หากแต่ตั้งแต่ส่วนเอวลงไปนั้นกลับกลายเป็นขนดหางสีเงินส่องประกายระยิบระยับราวยกเอาดาราบนท้องนภายามค่ำคืนมาไว้ภายในถ้ำก็ไม่ปาน

เบื้องหน้าของแท่นอาสนะคือสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก ภายในถ้ำปิดที่บัดนี้เรืองรองไปด้วยรัศมีสีเงินแห่งพญานาคราช ภายในสระนั้นกลับมีดอกบัวสีทองดอกหนึ่งเบ่งบานชูช่ออยู่กึ่งกลางสระพลางส่งละอองสีทองลอยละล่องออกมาจากเกสรตลอดเวลา

ใบหน้าคมที่บัดนี้ดวงตายังคงปิดสนิทตั้งสมาธิเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ตนได้รับมาจากสมรภูมิลานบรรณาการเมื่อหลายวันก่อน คิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันจนเป็นปมยุ่งเหยิงหากภายในใจที่บัดนี้ความคิดมากมายที่กำลังขบคิดกลับมีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถลบมันออกจากห้วงความคิดได้

เสียงฝีเท้าของใครผู้หนึ่งที่ใกล้เข้ามาจึงทำให้ปมที่คิ้วคมของศิรกัลป์นาคราชคลายออกช้าๆ

“ภุมโม เราบอกเจ้าแล้วอย่างไรว่าหากมีกิจอันใดให้รอเราออกจากฌานสมาธิเสียก่อน”

เจ้าของชื่อที่เดินย่องเบามานั้นถึงกับชะงักฝีเท้าก่อนจะมองไปที่ศิรกัลป์พลางลอบถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ

“ข้าแต่องค์ศิรกัลป์ ภุมโมเพียงเห็นว่าองค์ภัทรเนตรดูร้อนใจเป็นอย่างมาก บัดนี้รั้งรอท่านอยู่ที่หน้าปากถ้ำนานสองนาน…”

ดวงตาที่เคยปิดสนิทจึงลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะมองไปยังเด็กชายตัวเล็กที่อยู่เบื้องหน้าผู้ถูกเรียกขานนามว่า ‘ภุมโม’

ริมฝีปากที่ยิ้มเล็กๆ นั้นไม่หลงเหลือเค้าเดิมของศิรกัลป์นาคราชที่ดุดันเหมือนดั่งยามที่อยู่ในสมรภูมิแม้แต่น้อย

“เป็นภัทรเนตรสินะเจ้าจึงมิกล้าขัดประสงค์ เจ้าไปเถิดเดี๋ยวเราจะออกไปพบภัทรเนตรเอง”

รอยยิ้มฉายชัดที่ใบหน้าอ้วนกลมของเด็กชายตัวเล็กในทันที ภุมโมที่แย้มยิ้มออกมาอย่างดีใจก่อนจะก้มศีรษะทำความเคารพศิรกัลป์ครั้งหนึ่ง จากร่างของเด็กชายจึงค่อยๆ กลับกลายเป็นงูสีเขียวขนาดไม่ใหญ่นักแล้วจึงเลื้อยหายไปยังซอกหินด้านในถ้ำ

จากขนดหางสีเงินยวงบัดนี้กลับทอแสงเรืองรองอีกครั้งก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นขาสองข้าง ศิรกัลป์ลุกขึ้นช้าๆ จากอาสนะแล้วจึงเดินตรงไปยังบริเวณปากถ้ำ ไม่นานขณะที่กำลังย่างกายผ่านสระบัวเล็กๆ ศิรกัลป์จึงหยุดฝีเท้าลงช้าๆ ก่อนจะทอดมองไปยังปทุมาสีทองที่กลางสระด้วยสายตาที่ยากเกินอธิบาย

ริมฝีปากที่แย้มยิ้มออกมาเล็กๆ หากสีดวงตาที่เศร้าหมองยิ่งก่อนจะส่งพลังทิพย์ของตนไปยังดอกบัวดอกนั้น คล้ายมีการตอบสนองเมื่อกลีบดอกขยับไหวก่อนส่งละอองสีทองอร่ามลอยละล่องขึ้นมาเหนือเกสรอย่างงดงามจึงทำให้รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่ใบหน้าของศิรกัลป์อีกครั้ง

“เราจะกลับนครบาดาลกับภัทรเนตร คงอีกหลายวันกว่าจะได้กลับมา…”

งูสีเขียวตัวอ้วนกลมนามว่าภุมโมที่เลื้อยหายไปเมื่อครู่นั้นจู่ๆ ก็ชูคอขึ้นสูงจนพ้นโขดหินใหญ่ก่อนจะผงกหัวไปมาหลายครั้งคล้ายกับว่ารับคำของศิรกัลป์ เมื่อร่างของนาคราชหนุ่มลับตาไปแล้วนั้นภุมโมที่กลับร่างกลายเป็นมนุษย์อีกครั้งจึงล้มตัวลงนอนที่อาสนะนุ่มพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะมองไปยังปัทมาสีทองที่บัดนี้ชูช่อที่กลางสระ

 

ณ ริมบานหน้าต่างกว้างที่ลวดลายของไม้ต่างถูกสลักอย่างวิจิตรประณีตราวถูกเกาะลงรักปิดด้วยทองคำทีละชิ้นส่วน ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างพลางมองไปยังด้านหน้าคล้ายกำลังทัศนาชมสวนงามด้านนอกหากแต่จิตใจกลับหลุดลอยไปไกลแสนไกล

เสียงสายลมที่บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยเสียงเกลียวคลื่นและสายน้ำยามพัดผ่านพืชน้ำนานาพันธุ์กับเหล่า พฤกษารูปร่างแปลกตาที่ลำต้นและดอกของมันราวรัตนชาติล้ำค่าส่องแสงทอประกายประชันความงดงามกันอย่างไม่มีใครยอมใคร

สองแขนที่ยังคงกอดไว้ที่หน้าอกหลวมๆ เหม่อมองด้วยแววตาที่ว่างเปล่า แม้ทิวทัศน์งดงามเพียงใดกลับไม่ทำให้ภายในใจที่บัดนี้กลัดกลุ้มเป็นที่สุดบรรเทาลงได้แม้แต่น้อย ภัทรเนตรพลางลอบถอนหายใจเบาๆออกมาครั้งหนึ่งเมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่ลานบรรณาการเมื่อหลายวันก่อน

หญิงสาวในชุดอาภรณ์สีเข้ม…รัศมีทิพย์ของนางทำให้มองปราดเดียวก็ทราบได้ในทันทีว่านางคือพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศ ธิดาแห่งพญาปักษีแห่งฉิมพลีนคร ร่างบางของนางที่อาบไปด้วยโลหิตสีแดงฉานและเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวด ไม่รู้เพราะเหตุใดหากแต่เขากลับรู้สึกเศร้าหมองในใจอย่างประหลาด

“เหตุใดเจ้าบาดาลแห่งศรีวาสุนครจึงมาลอบทอดถอนหายใจเช่นนี้เล่า…”

เสียงยียวนที่ดังขึ้นจากด้านหลังนั้นกลับทำให้ใจที่เตลิดล่องลอยไปไกลกลับมาอยู่ที่เนื้อที่ตัวของตนอีกครั้ง ภัทรเนตรจึงค่อยๆ หันหลังกลับมาจากริมหน้าต่างอีกครั้งก่อนจะพบเจ้าตัวต้นเรื่องของเหตุการณ์วุ่นวายที่บัดนี้หายดีราวกับไม่เคยมีบาดแผลใดบนร่างกาย

“ว่าอย่างไรเจ้าคนต้นเรื่อง…”

ศิรกัลป์ที่ได้ยินดังนั้นก็หุบยิ้มที่ริมฝีปากลงในทันทีก่อนจะมองไปยังใบหน้าของผู้เป็นสหายที่บัดนี้ฉายชัดซึ่งความหนักใจอย่างที่สุด

“เราเพียงจะขู่ให้นางรู้ถึงอานุภาพของพระเวทเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะสังหารผู้ใด”

ศิรกัลป์กล่าวเสียงเรียบหากแต่ไม่อาจเก็บซ่อนสีหน้าและแววตาได้

“ไม่ใช่เพียงผู้ใดที่เจ้าสังหาร หากแต่เป็นตรัสวินแห่งพงศ์เวชไชยันต์ สุวรรณนเรศไม่มีทางวางมือจากเจ้าในเรื่องนี้ไ ม่ใช่เพียงจะไม่เป็นไปตามที่เจ้าและข้าคาดการณ์หากแต่หมายถึง…”

คำพูดมากมายถูกกลืนหายไปในลำคอโดยพลันเมื่อภัทรเนตรได้เห็นท่าทีและสีหน้าของศิรกัลป์ ดวงตาว่างเปล่าฉายแววบางสิ่งแต่หาใช่ความเคีอดแค้นชิงชัง

“เช่นนั้นชาวเรายังจะต้องถวายบรรณาการแด่ครุฑไปถึงเมื่อใดภัทรเนตร”

คำถามจากปากของสหายคล้ายมีใบมีดคมที่มองไม่เห็นกรีดลงตามร่างกายของภัทรเนตรอย่างช้าๆ

“แต่ต้องมิใช่ด้วยวิธีที่เอาชีวิตเจ้าไปเสี่ยง ศิรกัลป์เจ้าคือว่าที่นาคาธิบดี เจ้ามีหน้าที่ปกครอง หาใช่ออกรบเสี่ยงชีวิตเป็นตายเช่นนี้”

“เช่นนั้นผู้ใดควรไปเสี่ยงกัน…”

น้ำเสียงราบเรียบหากแต่แฝงไปด้วยพลังบางอย่างกล่าวขึ้นก่อนจะมองไปที่สหาย

คำถามที่ถามขึ้นนั้นราวคำถามซ้ำเดิมที่ภัทรเนตรเคยได้ยิน เหมือนดั่งมีมีดเล่มหนึ่งกรีดลงที่กลางดวงใจของภัทรเนตรในทันทีพลันนึกถึงเจ้าของคำพูดที่เคยถามเขาดังนี้เช่นกัน ความเจ็บปวดที่แล่นไปทั่วร่างนั้นราวกับว่าภาพเหตุการณ์การสูญเสียมากมายในอดีตที่ฉายชัดขึ้น เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ทำได้เพียงหันหลังมองไปยังบานหน้าต่างกว้างเช่นเดิม

“ฉิมพลีไม่มีทางยินยอมให้ธิดาของตนมาเสี่ยง อย่างไรเสียต้องรับข้อเสนอ…หากแต่สุวรรณนเรศจะไม่มีทางให้อภัยเจ้าเป็นแน่ศิรกัลป์…”

ยามเมื่อฟังคำของภัทรเนตรแต่แรก เขานั้นคล้ายว่าไม่แยแสซึ่งสิ่งใด ก่อนจะเป็นเขาเสียงเองที่ทอดถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง

“บัดนี้ข้าได้แกว่งกวนตะกอนจนน้ำขุ่นมัวไปแล้วภัทรเนตร ในเมื่อข้าเองตัดสินใจแล้วเบื้องหน้าจะเป็นอย่างไรก็สุดแล้วแต่โชคชะตา”

ภัทรเนตรที่หันไปมองสหายของตนช้าๆ หากแต่สีหน้าและแววตาของศิรกัลป์นั้นกลับยากที่จะเข้าใจเป็นที่สุด

“เจ้าหายดีเช่นนี้ แล้วธิดาแห่งฉิมพลีเล่า…”

“ข้าเองก็หวังให้นางหายดีแล้วกลับมาแค้นเคืองข้าเช่นกัน”

สันกรามที่ขบแน่นอย่างไม่รู้ตัวของศิรกัลป์และความรู้สึกมากมายที่หลั่งไหลมาที่ตน

ความวุ่นวายและสับสนภายในใจก่อตัวขึ้นจนรู้สึกได้ในทุกจังหวะการหายใจเข้าออก คล้ายว่าเป็นความรู้สึกตนแต่บางครั้งบางคราก็ราวกับว่าเป็นของใครอีกคน…แต่ไม่อาจกระทำสิ่งใดได้เลย

ศิรกัลป์จึงทำได้เพียงทอดมองไปยังเบื้องหน้าเท่านั้นท่ามกลางกระแสน้ำที่แสนอันตรายนี้…

 

สายลมอ่อนที่พัดนำกลิ่นหอมอ่อนหมู่มวลผกานานับพันที่เบ่งบานอยู่ในสวนงามแห่งฉิมพลีนครที่บัดนี้ชูช่อส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่ว ณ ใจกลางนั้นคือตำหนักที่ทำจากทองคำหลังใหญ่หลังหนึ่งที่บัดนี้ถูกคุมเข้มด้วยเหล่าทหารชาวปักษามากมายด้วยเป็นที่พำนักของว่าที่เจ้าเหนือหัวแห่งฉิมพลีนครองค์ต่อไป

ท่ามกลางราชฐานโอ่อ่าของมหาวิมานฉิมพลีนั้นที่กลางห้องที่บัดนี้มีม่านสีขาวทับซ้อนกันไปมา ด้วยที่ใจกลางคือร่างที่บาดเจ็บของสุวรรณนเรศกำลังหลับตาปิดสนิทอยู่บนตั่งเตียงภายใต้ม่านอาคมของผู้เป็นพี่ชาย ด้วยเพราะร่างของนางไม่ใช่เพียงบาดเจ็บเท่านั้น หากแต่อัญมณีแห่งแก่นพลังยังเสียหายจากการฝืนทนใช้พระเวทไตรทิพย์

“สุวรรณนเรศ…”

คล้ายเสียงกระซิบเมื่อยามลมพัดผ่านมาที่หน้าต่างใหญ่ของห้องกว้างนอกจากกลิ่นหอมนวลแล้วนั้นสายลมยังหอบนำเสียงที่คุ้นชินกระซิบที่ข้างกายด้วยเช่นกัน ดวงตาที่เคยปิดสนิทค่อยๆ กะพริบถี่ก่อนจะลืมขึ้นช้าๆ พลางมองไปรอบๆ จึงทราบว่าบัดนี้ตนอยู่ในราชฐานเขตของอุปราชแห่งองค์สัมปาตี

ม่านกั้นสีขาวมีพลังของพระเวทร่ายทับเอาไว้รอบตัวนางอีกชั้นเพื่อรักษาพลังชีพและอาการบาดเจ็บโดยมีสัมปาตีและสดายุเป็นผู้ร่าย ไม่ว่าความชั่วร้ายหรือพลังแห่งนาคราชใดมิอาจกล้ำกราย

“สุวรรณนเรศ”

เสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้งก่อนสุวรรณนเรศจะค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้นช้าๆ หากแต่ความรู้สึกที่มีกลับไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดจากบาดแผลที่ควรจะมีอยู่บนกาย นางมองสำรวจไปทั่วก่อนจะพบว่าตามร่างกายของตนมีเพียงผ้าพันแผลจากผ้าดิบสีขาว หากแต่ภายใต้ผ้านั้นกลับไร้ซึ่งบาดแผลใด

ท่านกลางม่านขาวเนื้อบางที่พลิ้วไหวยามกระทบกับสายลมอ่อนกลับปรากฏเงาร่างของใครผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลังม่าน สุวรรณนเรศที่เพียงเห็นเงาร่างก็สามารถจนจำได้ทันทีด้วยเจ้าของเสียงที่คุ้นชินหาใช่ใครอื่นนอกจากตรัสวินเท่านั้น

ตรัสวินที่ยืนอยู่ด้านหลังของม่านขณะที่เดินเข้ามาใกล้สุวรรณนเรศ ยังเหลือระยะห่างเพียงอีกก้าวหนึ่งเท่านั้นหากแต่เขากลับเลือกที่จะหยุดยืนอยู่ที่ม่านกั้นชั้นสุดท้าย

สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นก่อนจะมองไปที่เขาด้วยความสงสัยว่าเหตุใดตรัสวินจึงมิเข้ามาหาตน… เนื้อผ้าสีขาวบางเบาเสียจนมองเห็นตรัสวินได้อย่างชัดเจนหากแต่มองจากตั่งทองก็ทราบได้ในทันทีว่าเขากำลังยิ้มให้กับนาง

“เจ้าฤๅตรัสวิน เข้ามาเถอะเราฟื้นแล้ว…”

ไร้ซึ่งการตอบกลับใดจากเจ้าของร่างสูงที่บัดนี้ยืนนิ่งมองมาที่นาง สุวรรณนเรศจึงลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะเดินตรงไปที่ตรัสวินในทันที

“เจ้าอย่าข้ามมา!”

สองมือที่กำลังจะเปิดม่านกั้นออกมานั้นหยุดชะงักลงในทันที สุวรรณนเรศที่ชะงักมือของตนไว้เท่านั้นหากแต่มองไปที่ตรัสวินอย่างไม่เข้าใจว่าเหตุใดเพียงนางต้องการเปิดม่านข้ามไปหาเขาจึงไม่สามารถกระทำได้และเหตุใดเขาจึงไม่เข้ามาหานางเช่นกัน

พลันละอองแสงสีขาวจากเบื้องหลังของสุวรรณนเรศจึงสว่างขึ้นระยิบระยับ หญิงสาวที่บัดนี้หันไปมองที่รัดเกล้า…ภายในห้วงความคิดจึงฉายชัดซึ่งภาพของเหตุการณ์ที่ลานถวายบรรณาการ

สุวรรณนเรศที่บัดนี้หันกลับมามองที่ตรัสวินอย่างรวดเร็วก่อนจะพบว่าบัดนี้ร่างของเขาเองเรืองรองไปด้วยแสงสีขาวและละอองแสงสีดั่งเดียวกันที่ล่องลอยสว่างไสวไปทั่ว

ขอบเขตของม่านกั้นสีขาวนั้นดังเส้นแบ่งเขตของโลกฝันและความจริง ดวงจิตสุดท้ายของตรัสวินที่บัดนี้ใช้ฝ่ามือของตนยื่นออกมาที่ม่านขาวเนื้อบางราวกับไม่สามารถที่ข้ามผ่านเขตแบ่งเส้นนี้ไปได้         สุวรรณนเรศที่บัดนี้ไม่อาจควบคุมหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาได้หากแต่ยังพยายามสัมผัสไปที่ฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบาเช่นเดิม

ฝ่ามือที่สั่นระริกและสันกรามที่ขบแน่นด้วยไม่อยากให้จิตสุดท้ายของตรัสวินเป็นกังวลเพราะเขาเองคงไม่ปรารถนาเห็นนางต้องทุกข์ระทม

“เพียงเขตแดนของความเป็นตายขวางกั้น แม้เจ้ามองไม่เห็นข้าหากแต่เจ้าจงรู้ไว้ว่าข้าจะคอยจับมือเจ้าเช่นนี้เสมอไป”

สิ้นคำนั้นของตรัสวิน ท่ามกลางม่านน้ำตาของสุวรรณนเรศภาพที่เห็นนั้นสุดแสนเจ็บปวดเมื่อร่างของเขาค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองแสงสีขาวนวลและรัดเกล้าที่ก่อนหน้านั้นเคยสว่างไสวกลับค่อยๆ ทอแสงริบหรี่ลงทุกขณะ

สุวรรณนเรศที่พยายามไขว่คว้าละอองแสงสีขาวจนสุดแรงหากแต่จับได้เพียงผ้าสีขาวเนื้อบางเท่านั้น ทั้งห้องที่เคยสว่างไสวกลับมืดดับลงอีกครั้ง มีเพียงแสงจากดวงไฟวิเศษโดยรอบที่ถูกหรี่แสงลงให้เหมาะกับเป็นที่บรรทมเท่านั้นที่ยังคงเรืองรองอยู่รอบกาย

ร่างสีแดงราวแสงสุริยะยามโผล่พ้นขอบฟ้านั้นร่อนลงที่หน้าตำหนักของตน ปีกกว้างที่มีละอองสีแดงสลับทองเรืองรองนั้นส่องแสงสว่างจ้าครั้งหนึ่งก่อนจะอันตรธานหายไปในทันที

สีหน้าขององค์สัมปาตีบัดนี้ใบหน้าสง่างามกลับเต็มไปด้วยสีหน้าของความกลัดกลุ้มด้วยคิ้วเข้มสองข้างที่ผูกเข้าหากันเป็นปมใหญ่ ก่อนจะเร่งฝีเท้าเข้าไปภายในตำหนักทันทีเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของผู้เป็นน้อง

ร่างอันอ่อนแอของสุวรรณนเรศนั้นโงนเงนด้วยความอ่อนล้าก่อนจะล้มพับลงไปที่พื้นห้อง สัมปาตีที่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าไปพยุงน้องสาวขึ้นมาในทันที

“เหตุใดไม่นอนนิ่งๆ ลุกขึ้นมาได้อย่างไรสุวรรณนเรศ”

นางไม่ตอบหากแต่ยังคงมองไปที่เบื้องหน้าของตนที่เคยมีดวงจิตของตรัสวินอยู่ น้ำตานองออกมาไม่ขาดสาย ไร้เสียงสะอื้นไห้ใดมีเพียงหยาดน้ำตาที่ไหลออกมากับแววตาที่ว่างเปล่าเท่านั้นราวกับคนที่สติหลุดลอยไปไกล

สัมปาตีที่เมื่อเห็นอากัปกิริยาของสุวรรณนเรศเช่นนั้นจึงทำได้เพียงพยุงนางให้ลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนทั้งสองจะนั่งลงที่เตียง

แต่แรกจุติจนเติบโตมาด้วยกัน ในบรรดาพี่น้องทั้งหมดนับองค์สัมปาตีคือพี่ชายองค์โตที่สุด รองลงมานั้นคือสดายุผู้เป็นดังพี่ชายคนรอง และน้องสาวเพียงคนเดียวของพวกเขาคือสุวรรณนเรศนับเป็นองค์ที่สามต่อจากสดายุ

เขาไม่กล้าถามสิ่งใดอีกด้วยน้องสาวของตนยังคงร้องไห้ไม่หยุด แม้ในสายตาของเหล่าทหารหาญหรือพงศ์นาคาทั่วเหล้าทั้งสามจะน่ากลัวเกรงขามเพียงใดหากในสายตาเขา…ทั้งสดายุและสุวรรณนเรศก็คือผู้เป็นน้องที่เขาต้องปกป้องและไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำให้ทั้งสองเจ็บปวดเป็นอันขาด

“เจ้าอยากร้องก็จงร้องเถิดสุวรรณนเรศ มีข้ากับสดายุอยู่จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายเจ้าอีกเป็นอันขาด”

หยาดน้ำตาไหลออกมาช้าๆ จากดวงตาใสที่บัดนี้เหม่อลอยราวดั่งคนไร้จิตวิญญาณ สัมปาตีที่เห็นดังนั้นด้วยสงสารผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของตนจึงบรรจงเช็ดน้ำตาให้ผู้เป็นน้องสาวอย่างเบามือและทะนุถนอม

สุวรรณนเรศราวได้สติ จึงมองไปยังผู้เป็นพี่ชายของตนที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะปล่อยให้น้ำตาแห่งความเศร้าให้ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

“เพราะข้าท่านพี่ ตรัสวินถึงต้องตาย…”

เสียงสะอื้นไห้จนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ลอดผ่านริมฝีปากบางออกมาอย่างยากลำบาก มือบางกำหมัดแน่นก่อนจะปิดหน้าร้องไห้เสียงดังสนั่น ราวกับว่าสิ่งที่สุวรรณนเรศอดกลั้นไว้ภายในใจนั้นได้ทะลักความอัดอั้นออกมาท่วมท้นมหาศาล

สัมปาตีทำได้เพียงกอดสุวรรณนเรศไว้แน่นหากแต่ผู้เป็นน้องสาวยังสะอื้นเสียจนตัวโยน

“หากวันนี้เจ้าโศกเศร้าก็จงโศกเศร้าเท่าที่เจ้าอยากโศกเศร้าเถิดสุวรรณนเรศ พี่กับสดายุจะไม่กล่าวสิ่งใด”

สัมปาตีนั้นไม่รู้จะกล่าวสิ่งใดเพื่อปลอบใจสุวรรณนเรศ…ด้วยรู้แน่แก่ใจกว่าการสูญเสียตรัสวินนั้นสร้างความโศกเศร้าแก่น้องสาวของตนเพียงใดจึงทำได้เพียงกอดปลอดนางเท่านั้น

สดายุเองที่บัดนี้ยืนอยู่เบื้องหลังประตูใหญ่กลับได้ยินเสียงร้องไห้ของสุวรรณนเรศที่ดังลอดผ่านกำแพงพลับพลาอย่างชัดเจน เหล่าทหารยามที่เฝ้าอยู่ด้านหน้านั้นราวกับรู้หน้าที่ของตนเมื่อร่างของพญาปักษาสดายุหยุดยืนที่หน้าห้อง จึงโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไปจากบริเวณนั้นในทันที

เสียงร้องไห้ปานจะขาดใจของผู้เป็นน้องราวมีดคมกรีดลงที่กลางใจของผู้เป็นพี่ชายทั้งสอง หากแต่สดายุที่พึ่งกลับจากดูอาการและกู้ร่างของเหล่าทหารหาญที่ติดตามตรัสวินและอนิละไปนั้นกลับมีร่างหลายร่างที่นางควรเป็นผู้ส่งให้พวกเขาปรับเปลี่ยนไปตามวิถีที่ควรเป็น

เมื่อประตูใหญ่เปิดออก ร่างของผู้เป็นพี่ชายคนรองของนางก็เดินเข้าไปที่ใจกลางม่านในทันที สดายุที่เมื่อเห็นสภาพร่างกายของสุวรรณนเรศก็ทอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะเมื่อครั้งที่เขาแบกร่างอันไร้สติของนางกลับมาที่ฉิมพลีนั้นแม้ยังไม่สิ้นชีพหากแต่อาภรณ์ขาดวิ่นเต็มไปด้วยแผลฉกรรจ์หลายจุดอาบย้อมไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน

เมื่อมองไปยังดวงตาที่แดงก่ำขององค์สัมปาตีที่บัดนี้ยังคงอดกลั้นไม่ให้น้ำตาหยดใดไหลออกมากอดปลอบสุวรรณนเรศพลางมองมาที่เขาด้วยสายตาโศกเศร้า…ด้วยสงสารผู้เป็นน้องสาวจับใจ

“พี่สดายุ…”

สุวรรณนเรศเรียกชื่อเขาอย่างคุ้นชิน แววตาโศกเศร้านั้นยังคงฝืนยิ้มให้ผู้เป็นน้องในทันที

“พวกเราไปที่ค่ายกันเถิดสุวรรณนเรศ มีผู้ยังรั้งรอให้เจ้าไปส่งหนา”

น้ำเสียงสั่นเครือของสดายุหากแต่แม้ไม่กล่าวออกมาตามตรง แต่ความหมายนั้นคือสิ่งที่พวกเขาสามคนต่างอยู่แน่แก่ใจ

 

เบื้องหน้าคือกองผ้าสีขาวหลายสิบที่ห่มคลุมร่างอันไร้วิญญาณของทหารหาญที่ติดตามตรัสวินและอนิละไปยังลานบรรณาการ ท่ามกลางเหล่าทหารครุฑที่เฝ้ายืนไว้อาลัยมากมายหากแต่กลับไร้ซึ่งสุรเสียงใด มีเพียงเพลงบรรเลงของสายลมที่พัดผ่านคล้ายกำลังบรรเลงส่งเหล่าขุนพลกล้าเท่านั้น

นับหลายสิบที่ทอดกายถวายร่างแก่มหานทีกว้างใหญ่เท่าที่สามารถนำกลับมาได้คือร่างที่สิ้นชีพร่วงลงบนโขดหินใหญ่เท่านั้น สุวรรณนเรศที่สายตาจ้องมองไปยังผ้าสีขาวนั้นหากแต่ดวงใจกลับไม่แข็งแกร่งเพียงพอที่จะเปิดผ้าสีขาวนั้นออกอีกต่อไป

“อนิละกับตรัสวิน ท่านหาพบฤๅ…” พูดได้เพียงเท่านั้นราวกับมีบางสิ่งอัดแน่นอยู่ที่กลางอกเมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สดายุไม่กล้าแม้เพียงสบตาของผู้เป็นน้องก่อนจะเลือกมองไปยังผ้าสีขาวที่พื้นแทน

“มหานทีกว้างยิ่งนัก…”

สดายุตอบเสียงเบาก่อนคำพูดมากมายจะกลืนหายไปกับสายลม

“ขออภัยท่านพี่ ข้าเองถามท่านประหลาดนัก…มีฤๅชาวเราเมื่อทอดกายในมหานทีจะได้โบยบินสู่ห้วงนภาอีกครั้ง”

สดายุที่ได้ฟังดังนั้นจึงทำได้เพียงจับบ่าของผู้เป็นน้องอย่างเบามือ สุวรรณนเรศที่มองไปเบื้องหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำหากแต่หลับตาลงช้าๆ ครั้งหนึ่งภาพที่เห็นกลับเป็นรอยยิ้มของตรัสวินตามด้วยเสียงบ่นกล่าวเตือนของอนิละที่ติดตามนางเสมอ

สายลมเมื่อครู่ราวกับกำลังกระซิบกล่าวบางสิ่งจึงหอบเอากลิ่นหอมของบุปผชาติที่มีในสวนกว้างมายังที่แห่งนี้ กลิ่นหอมราวกลิ่นของกำยานเมื่อยามจุดให้จิตใจสงบคล้ายกำลังปลอบประโลมดวงใจที่เจ็บช้ำนี้ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่

ดวงตาที่แดงก่ำของสุวรรณนเรศค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ ก่อนจะกะพริบถี่พลันน้ำตาหยดหนึ่งจึงไหลรินออกมา นางไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่เดินไปที่จุดกึ่งกลางอย่างช้าๆ สองแขนองอาจพนมมือไว้ที่อกจากนั้นรอบๆกายจึงบังเกิดละอองแสงสีทองระยิบระยับราวหิ่งหอยนับพันนับหมื่นขยายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนครอบคลุมบริเวณโดยทั่ว

“ตรัสวิน ข้าไม่ชอบพระเวทนี่เลยแม้เพียงนิด…ถึงจะงดงามเพียงใดด้วยละอองวิเศษของเจ้าหากแต่ข้าไม่ชอบการสูญเสียผู้ใดไป”

สุวรรณนเรศกล่าวเสียงสั่นเครือเมื่อยามมองไปยังละอองสีขาวนวลของตรัสวินที่ยังคงลอยละล่องอยู่ในมวลอากาศที่เบื้องหน้าตนรวมเข้ากับกลิ่นหอมละมุนคล้ายบุปผาของไอวิญญาณของเหล่าผู้สิ้นชีพยิ่งทำให้นางไม่สามารถกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างได้

ตรัสวินที่เดินตรงเข้ามานั้นยิ้มบางๆ ให้สุวรรณนเรศพลางยกสองมือลูบปลอบไปที่ศีรษะและเรือนผมอย่างอ่อนโยน

“สงครามเช่นนี้ยากนักจะไม่สูญเสีย หากแต่ผู้ที่ยังอยู่นั้นกลับตอบแทนพวกเขาอย่างดีที่สุดได้เพียงเท่านี้ เจ้าอยากจะร้องก็ร้องเถิด…”

ตรัสวินกล่าวหากแต่ดวงตาของสุวรรณนเรศยังคงแดงก่ำ นางแม้อยากร่ำไห้เพียงใดแต่ไม่อาจกระทำได้

“ข้าจะร้องอย่างไร บนบ่านั้นคือขวัญกำลังใจของเหล่าขุนพลจะอ่อนแอได้อย่างไร” นางพูดพลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่เข้าเต็มปอด

“ภายหน้าด้วยโชคชะตายากแท้ล่วงรู้ได้ ไม่ว่าเป็นข้าหรือเจ้า ตรัสวินหากข้า…”

“ให้เป็นข้า…”

ยังไม่ทันสิ้นคำพูดนั้นของสุวรรณนเรศ ชายที่อยู่เบื้องหน้าตนก็กล่าวขึ้นมาในทันที

“แน่นอนว่าต้องเป็นข้า…เพราะข้าไม่ยอมให้เจ้าตาย” เขากล่าวเสียงเรียบคล้ายกับปลงตกแล้วในชีวิตนี้ ด้วยเมื่อใดที่ย่างกรายสู่สมรภูมิแล้วไซร้คล้ายยอมถวายชีวิตนี้แก่เผ่าพงศ์แล้วเช่นกัน

“ข้าขอเพียงละอองสีทองสว่างไสวของเจ้านำทางข้าเท่านั้น แม้เจ้าร่ำไห้ข้าจะได้ยินที่ใดกัน…”

เขากล่าวคล้ายทีเล่นทีจริงมองไปยังนางที่อยู่เบื้องหน้าด้วยรอยยิ้ม

สุวรรณนเรศพลันนึกถึงภาพของตรัสวินที่กล่าวคำขอนั้นเมื่อนานมาแล้วกับนางเมื่อวันวานคล้ายเรื่องราวที่พูดเล่นขบขัน หากแต่เมื่อวันนี้มาถึงจริง นางกลับคว้าไม่ได้แม้ร่างของเขาที่ไร้ซึ่งลมหายใจ

“ละอองสีทองบ้าบออะไร แม้แต่ร่างของเจ้าข้ายังคว้าไว้ไม่ได้…”

สิ้นแสงระยับของหิ่งห้อยนับพันนั้นร่างกายใต้ผ้าสีขาวจึงค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีนวลเช่นกัน คล้ายฝุ่นผงที่สูญสลายหายไปในมวลของธาตุอากาศตลอดกาล

สองดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตานั้นพลันสยายปีกใหญ่สีทองออกที่กลางหลังก่อนจะทะยานสู่ท้องนภาอย่างสง่างาม สดายุที่เห็นดังนั้นก็ทราบในทันทีว่านางจะไปที่ใด หากแต่คิดจะห้ามก็ไม่อาจกระทำเช่นกัน

 



Don`t copy text!