ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ

ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

“ข้าต้องการสิ่งใดเช่นนั้นฤๅ”

คำถามแสนง่ายดายหากแต่ยากนักเมื่อยามใดที่ถูกเอ่ยถามขึ้น

ชีวิตนี้ของนางและพี่ๆ นั้นหาได้ใช้ชีวิตเพียงอยู่บนความต้องการของตนเท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งให้ได้ขบคิดไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบที่มีหรือแม้แต่ความเหมาะสม

หากบ่อยครั้งที่ความต้องการมักควบคู่กับหลายสิ่งที่กล่าวมาหาได้ไม่…

ดวงเนตรคมพลางค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ ก่อนค้นลงไปในดวงใจที่สับสนนี้ว่าแท้จริงแล้วนางต้องการสิ่งใด สรรพสิ่งต่างๆ ราวเงียบสงัดลงชั่วขณะเมื่อเบื้องหน้าคือความว่างเปล่าเท่านั้น

เหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้นนั้นคล้ายไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วเสียจนสุวรรณนเรศเองยังยากที่จะเชื่อว่าเกิดขึ้นในเวลาอันสั้น ความสูญเสียที่ไม่อาจทำใจยอมรับหากแต่ความเจ็บปวดนั้นชัดเจนเกินกว่าจะเชื่อว่าที่ผ่านพ้นไปเป็นเพียงฝันร้าย

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นเพราะนางและนาคราชนามศิรกัลป์

“ศิรกัลป์ จำได้ฤๅไม่”

เพียงนึกถึงน้ำเสียงเข้มหากแต่ไม่เท่าใบหน้าและแววตาที่เย็นชาเข้าไปถึงด้านใน น้ำเสียงและสายตาของเขายามมองมาที่นางนั้นบอกได้ยากยิ่งว่ากำลังคิดสิ่งใด แม้เข้มแข็งปานนั้นหากแต่หลายครั้งที่เขามักเบือนหน้าไปอีกด้านเสมอ

สุวรรณนเรศจดจำได้เพียงนามแห่งศิรกัลป์นาคราชเท่านั้น ไม่เหลือแม้เค้าลางรูปร่างหรือใบหน้าแม้แต่น้อย ซึ่งนั้นหาใช่เรื่องที่เป็นไปได้

“ปรารถนาของข้ามหาวิหารแห่งพระเวทเอย…” นางพึมพำอย่างตั้งมั่นในใจพลางละอองแสงสีทองอร่ามก็กระจัดกระจายไปทั่วบริเวณ

จากเพียงละอองแสงสีทองที่ลอยละล่องกระจัดกระจายนั้นคล้ายบังเกิดเป็นพายุหมุน ณ ใจกลางมหาวิหารขึ้นพัดพาละอองรัศมีเหล่านั้นหมุนวนราวพายุคลั่ง พระอรุณที่เห็นดังนั้นเพียงยิ้มออกมาด้วยความยินดีก่อนจะมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้เหนือศีรษะของนางค่อยๆ ปรากฏมณีประจำกายขึ้น

“ข้าเองก็ปรารถนาไม่ลืมเลือนสิ่งใดอีกเช่นกัน…”

“แน่แล้วฤๅว่าเจ้าปรารถนาสิ่งใด”

สุรเสียงเข้มดังก้องกังวานขึ้นหากแต่พายุหมุนภายในยังคงโหมกระหน่ำ สุวรรณนเรศที่ยังคงสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางพายุนั้นไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นางจับจ้องไปเบื้องหน้าอย่างมั่นคงแล้วจึงยื่นมือข้างหนึ่งไปที่เบื้องหน้าตน

“ข้ามิขอยอมรับชะตาที่ข้ามิรู้สิ่งใดเลยเช่นนี้!”

สุวรรณนเรศประกาศก้อง ฉับพลันนั้นพายุที่หมุนวนคล้ายสงบเงียบลงในทันที หลงเหลือไว้เพียงละอองแสงสีทองอำไพที่บัดนี้รวมตัวกันเป็นสายวิ่งวนรอบกายสุวรรณนเรศ

พระอรุณที่จดจ้องมองไปยังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านั้นรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย ด้วยไม่ใช่มหาตำราพระเวทดั่งเช่นทุกครั้งหากแต่ละอองสีทองหลายสายนั้นค่อยๆ กลายเป็นอักขระอักษรแล้วจึงสลักลงที่ฝ่ามือของนางในทันที

สุวรรณนเรศพลันก้มลงมองที่สองฝ่ามือของตน บัดนี้ปรากฏอักขระเวทเรืองรองแล้วจึงค่อยๆ แปรสภาพคล้ายรอยสลักสีทองโดยรอบข้อมือทั้งสองข้าง

“มหามนต์ย้อนกาลเป็นของเจ้าแล้วพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศ พระเวทต้องห้ามนี้สามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น เจ้าเพียงต้องรู้ให้แน่ชัดว่าต้องเริ่มต้นนับหนึ่ง ณ ที่ใด บัดนี้จักใช้เพื่อให้คุณเหนือคณานับหรือต้องทนทุกข์แสนสาหัสขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว…”

สิ้นสุรเสียงของมหาวิหารนั้นแสงสว่างของมหาวิหารคล้ายริบหรี่แสงลงในทันที สุวรรณนเรศแม้ฟังแล้วเข้าใจหากแต่กลับไม่เข้าใจอยู่กึ่งหนึ่งเช่นกัน พระอรุณจึงเดินเข้ามาใกล้ๆ หลานสาวก่อนจะใช้พลังของตนเข้าตรวจดูในทันที

“ความหมายของปริศนามหาวิหารนั้น คือเจ้าจำต้องล่วงรู้ให้จงได้ว่าจะย้อนกาลกลับไปที่ห้วงเวลาใดจึงจะสามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ทั้งหมด”

“หากว่าข้าแลศิรกัลป์นาคราชผู้นั้นให้สัตย์สัญญาต่อกับเมื่อชาติปางใด เช่นนั้นมิพ้นต้องระลึกให้ได้ถึงอดีตชาติฤๅท่านลุง”

นางกล่าวด้วยสีหน้ายังคงลังเลสงสัย ก่อนจะมองไปยังพระอรุณที่มีสีหน้าหนักจิตหนักใจยิ่งกว่า

“หากต้องระลึกกาลก่อนเช่นนั้น เจ้าจึงจำต้องได้มาซึ่งดอกปาริชาต…”

 

สิ้นแสงที่สาดส่องผ่านมายัง ณ ห้วงมหาสมุทรา บัดนี้แสงนวลของพระจันทราเข้าแทนที่ เงาพระจันทร์ขนาดใหญ่ในคืนจันทร์เพ็ญนั้นงามโดดเด่นอยู่กลางฟ้าส่องสะท้อนไปยังกระจกบานใหญ่ที่บัดนี้ดำมืดสนิท

ชายหนุ่มในอาภรณ์สีเงินยวงพลันนั่งถอดถอนหายใจด้วยสายตาเหม่อลอยไร้ซึ่งจุดหมาย ดวงหน้าระทมทุกข์หากแต่มือข้างหนึ่งกลับเกาะกุมกำไลสีทองอร่ามไว้แน่น ยามนึกถึงดวงหน้าที่บัดนี้ตื่นตระหนกอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นมันก่อนจะมองมาที่เขาด้วยสายตาแค้นเคือง

“องค์ศิรกัลป์ บัดนี้พระบิดามีคำสั่งให้เข้าพบโดยเร็วเจ้าค่ะ”

พลันเมื่อได้ยินเสียงของอารักษ์ประจำกายของตน ศิรกัลป์จึงพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งจากนั้นจึงมองไปยังพื้นน้ำที่นิ่งสนิทเบื้องหน้า

“นิลกาฬ เจ้าเป็นธุระไปรับภุมโมกลับไปยังภุชราชบาดาลด้วยเถิด แล้วแจ้งท่านพ่อว่าเราจักไปพบ”

นิลกาฬอารักษ์นาคของศิรกัลป์มีสีหน้าหนักใจอยู่ไม่น้อย หากแต่ทำได้เพียงพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วจึงกระทำตามที่เขาสั่ง

เพียงชั่วอึดใจนั้นทั่วทั้งร่างของศิรกัลป์ราวถูกพลังบางอย่างกดทับลงมาที่ตนอย่างแรง ร่างกำยำของพญานาคราชบัดนี้ทรุดลงไปที่พื้นหินในทันทีพร้อมๆ กับที่กำไลสีทองที่ข้อมือตนนั้นเรืองแสงออกมาอย่างเจิดจ้า

“สุวรรณนเรศ…”

ศิรกัลป์กล่าวก่อนจะใช้ข้อมือที่มีกำไลปีกปักษานั้นเตะเบาๆ ไปที่หว่างคิ้วของตน บัดนั้นที่นัยน์ตาของนาคราชหนุ่มจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีทองสุวรรณดั่งเดียวกับปีกครุฑาของสุวรรณนเรศพลันค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ

ภาพที่ศิรกัลป์เห็นนั้นกลับเป็นภาพของสถานที่แห่งหนึ่งที่แสนคุ้นตา ลานหินกว้างเปียกโชกชุ่มไปด้วยสายน้ำที่สาดซัดเข้าหาอย่างไม่ขาดสาย และข้อมือทั้งสองข้างของใครผู้หนึ่งที่บัดนี้มีอักขระสีทองจารึกอยู่โดยรอบ

 

ท่ามกลางกระแสลมรุนแรงนั้น ณ ใจกลางของกระแสลมกลับพบร่างของพญาครุฑสีทองอร่ามจับตากำลังทะยานอย่างสุดแรงผ่านห้วงนภากว้างอันเป็นเขตกั้นกลางระหว่างแดนทิพยของเหล่าผู้ทรงฤทธิ์ ผ่านเขาพระเมรุสูงใหญ่จนมิอาจมองเห็น ณ ปลายยอด

แม้ออกแรงทะยานบินมากเพียงใด หากแต่พงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศกลับพบว่าตนนั้นไม่อาจข้ามผ่านเขตกั้นอันเป็นเขตของสามแดน (1) ได้เลยแม้แต่น้อย

‘เหตุใดผ่านไปยังดาวดึงส์มิได้’

สุวรรณนเรศพึมพำในใจก่อนจะมองไปยังห้วงเวหาที่อยู่เหนือศีรษะของตนสูงขึ้นไปอีกไม่รู้เท่าไรหากแต่เมื่อครั้งยังเล็กเคยติดตามพระบิดาเมื่อยามพญาสุบรรณเข้าถวายงานพระนารายณ์ ณ วิมานไวกูณฐ์ จำได้ว่าไม่กี่อึดใจมหาวิมานก็ปรากฏต่อหน้าตนแล้ว

เมื่อจนปัญญาไร้หนทางจนถึงที่สุด ด้วยเพราะโดยปกติแล้วนั้นแดนสวรรค์คือสถานที่ที่มีเพียงเหล่าเทพเทวะชาวแดนฟ้าเท่านั้นจึงสามารถผ่านเข้าออกได้อย่างง่ายได้ อีกทั้งพิธีรีตองมากมายมีเพียงในบางโอกาสเท่านั้นชาวกึ่งเทพอย่างเช่นพวกชาวหิมพานต์ชั้นปกครองจึงสามารถผ่านเข้าออกได้โดยง่าย

สุวรรณนเรศหลับตาลงช้าๆ คล้ายกับกำลังตั้งจิตอธิษฐานหากแต่นางเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่ากำลังอธิษฐานต่อสิ่งใด เพียงชั่วอึดใจที่รอบกายส่องแสงประกายสีทองคล้ายรัศมีทิพยประจำกายตน ราวรับรู้ได้ถึงบางสิ่ง เมื่อดวงเนตรลืมขึ้นอย่างรวดเร็วกลับปรากฏนัยน์ตาสีทองเปล่งประกายเจิดจ้า

“เช่นนั้น ข้านามพงศ์สุบรรณผู้เคยนำชัยเหนือองค์อัมรินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงขอยืมนามนั้นแห่งเผ่าพงศ์ผ่านทางไปยังดาวดึงส์ ณ บัดนี้!”

สุรเสียงกังวานก้องพร้อมกับรัศมีทิพยของมณีสีทองของสุวรรณนเรศที่ปรากฏขึ้นที่เหนือศีรษะ ราวกับกำแพงม่านหมอกทลายลงอย่างรุนแรงราวห้วงนภาจะทลายลงมาไม่มีชิ้นดี ก่อนละอองสีแดงสายหนึ่งจะปรากฏแล้วจึงโอบล้อมไปทั่วร่างของสุวรรณนเรศในทันทีแล้วจึงหอบพานางไปยังจุดหมาย

เมื่อร่างของพญาครุฑแห่งพงศ์สุบรรณหายลับไปแล้วนั้น จึงปรากฏร่างของเทพบุตรสององค์ขึ้น องค์หนึ่งรูปงามสง่า ภูษาทรงสีเงินยวงเช่นเดียวกับผ้าพาดที่ไหล่ซ้ายถอนหายใจเพียงเล็กน้อยราวกับบัญชาลมพายุรุนแรงมหาศาลมองไปยังสหายที่อยู่ข้างตน

“เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้กึ่งเทพผู้นั้นผ่านเขตแดนไปยังดาวดึงส์…”

รัศมีที่ปลายหัตถาบัดนี้เปล่งประกายสีแดงฉานราวเพลิงอัคคีขึ้นที่ปลายมือ เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่มองตามสุวรรณนเรศไปจนสุดสายตา

“กึ่งเทพที่เจ้าว่าคือธิดาแห่งพญาสุบรรณแห่งฉิมพลีนครา เจ้ากล้าขว้างหรือองค์วาโยพายะ”

เจ้าของรัศมีสีแดงฉานที่โอบพาร่างของสุวรรณนเรศมุ่งสู่ดาวดึงส์บัดนี้กลับไม่กล่าวสิ่งใด หากแต่มองไปยังทิศทางที่สุวรรณนเรศมุ่งไป พลางคิ้วคมจึงขมวดเข้าหากันอย่างนึกสงสัย

“นางคือผู้ถือนามแห่งพงศ์สุบรรณไหนเลยจักกล้าขัด หากแต่ผิดวิสัยเจ้านักมิไถ่ถามสิ่งใดองค์อัคคีศิคิน”

“นางเร่งร้อนเช่นนั้นหากว่าถามมากความจักไม่ทันการ และข้าเพียงตอบแทนที่นางเคยช่วยคนผู้หนึ่งไว้เท่านั้น…”

องค์อัคคีกล่าวเพียงเท่านั้นก่อนจะหายองค์ไปในทันที ทิ้งไว้เพียงรัศมีสีแดงฉานระยิบระยับและสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจของผู้เป็นสหายเท่านั้น

ขณะที่รัศมีทิพยสีแดงฉานโอบล้อมร่างครุฑาของสุวรรณนเรศให้เคลื่อนที่ไปเบื้องหน้าอย่างไม่อาจบังคับได้ เพียงชั่วขณะหนึ่งที่สัมผัสไปยังพลังสายนั้นจึงทราบได้ในทันทีว่าคือพลังของหนึ่งในสี่จตุรเทพอารักษ์สี่ธาตุผู้เกรียงไกรแห่งแดนสวรรค์

สุวรรณนเรศนึกสงสัยด้วยไม่รู้ว่าเหตุใดองค์อัคคีศิคินจึงยินยอมช่วยเหลือตนโดยมิเอ่ยถามเหตุผลในการมาที่ดาวดึงส์ของนางแม้เพียงคำพูด หากว่านางนั้นเป็นธิดาของพญาสุบรรณก็อาจเป็นส่วนหนึ่งแต่เหล่าแม่ทัพแดนสวรรค์แสนเข้มงวด ยิ่งเหล่ากึ่งเทพไร้กิจธุระเช่นนางหาได้ผ่านเข้าดาวดึงส์ง่ายดายปานนี้

คิดได้ดังนั้น เบื้องหน้าจึงบังเกิดแสงสว่างราวยามทิวาวาร หากแต่พระจันทร์สีนวลแลดาราระยิบระยับมากมายบนท้องฟ้ากลับบอกเวลาได้ว่าบัดนี้ ณ แดนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นอยู่ในช่วงเวลาใด

พญาครุฑาสีสุวรรณบัดนี้จึงใช้เนตรทิพย์ของตนเพื่อหาทิศทางไปยังสวนบุณฑริกวันอันเป็นที่สถิตแห่งต้นไม้ทิพย์ปาริชาตนั้นเอง

เมื่อมองเห็นเป้าหมายได้อย่างถนัดตาแล้วนั้น สุวรรณนเรศจึงทะยานด้วยความรวดเร็วไปยังทิศทางนั้นในทันที ร่างบางร่อนลงที่พื้นกว้างก่อนจะปรากฏร่างเป็นเทพธิดางดงามนางหนึ่งเพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจของเหล่าชาวแดนสวรรค์ที่บัดนี้ต่างเที่ยวเล่นชมสวนกันอย่างเพลินใจ

นางเดินด้วยท่าทางงามสง่าเข้าไปในสวนทันที แม้ภายในใจรีบร้อนเพียงใดหากแต่จะเดินเร็วมากไปคงเป็นจุดสังเกตเป็นแน่ จึงทำได้เพียงย่างกายช้าๆ ตรงไปที่ต้นปาริชาตใหญ่เท่านั้น

“ในขณะที่เบื้องล่างเราชาวกึ่งเทพรบกันสมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่า เหล่าแดนฟ้าต่างพากันชมสวนสบายตาแตกต่างกันยิ่งนัก”

นางกล่าวอย่างตัดพ้อ แต่ถึงกระนั้นกลับเข้าใจเป็นอย่างดีด้วยเหตุผลที่เหล่าเทวะจำต้องทำตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง…เมื่อพญาอนันตนาคราชดั่งแท่นบรรทมขององค์พระนารายณ์ ณ เกษียรสมุทร และพญาสุบรรณผู้เป็นบิดาของนางนั้นดั่งราชพาหนะยามทรงเสด็จไปที่ต่างๆ

สุวรรณนเรศพึมพำในใจพลางก้าวไปทีละก้าว หากแต่สายตากลับสอดส่องไปทั่วบริเวณ ก่อนสายตาจะไปหยุดยังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ใจกลางสวน

ยามสายลมพัดผ่านกิ่งก้านขยับไหวส่งเสียงคล้ายกระพรวนกังวาน หนึ่งใบสีเงินหนึ่งใบสีทองกระทบเทียบราวเครื่องดนตรีบรรเลงฝากมาตามสายลมอ่อน ยามเมื่อเงยมองจากด้านล่างที่โคนต้นนั้นใหญ่โตจนไม่อาจนับว่าต้องใช้กี่คนโอบวัดขนาด อีกทั้งความสูงเสียดฟ้าสุดลูกหูลูกตาจนไม่อาจประมาณ

หากแต่หามีดอกปาริชาตสีแดงดั่งแก้วประพาฬแม้เพียงดอกเดียว!

สุวรรณนเรศทำได้เพียงทอดถอนหายใจ ก่อนจะทรุดร่างอันแสนเหนื่อยล้านั้นลงบนพื้นหญ้าสีเขียวขจีที่นุ่มนิ่มราวแพรไหมเนื้อดี

“เหตุใดเดินช้าเช่นนั้น ผิดวิสัยธิดาผู้เกรียงไกรของพญาสุบรรณยิ่งนัก”

น้ำเสียงสดใสทักทายขึ้นก่อนสุวรรณนเรศจะรีบใช้มือเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาอย่างรวดเร็ว นางมัวแต่มองไปยังต้นปาริชาตเสียจนไม่ทันได้สังเกตว่าที่โคนต้นไม้ใหญ่นั้นมีเทพธิดาองค์หนึ่งกำลังนอนเอนกายหลับตาสนิทอยู่ที่ใต้ต้นปาริชาตอย่างสบายใจ

“ผู้ใดกัน…”

สุวรรณนเรศกล่าวพลางเดินเข้าไปใกล้ร่างบางที่นอนเอนกายอยู่ที่พื้นหญ้า ใบหน้างามหมดจดรับกับดวงตากลมและคิ้วคมเรียว มวยผมต่ำถูกมัดไว้หลวมๆ หากแต่มีปิ่นที่ประดับด้วยอัญมณีสีแดงฉานราวเพลิงอัคคีและแซมด้วยดอกปาริชาตสีแก้วประพาฬ

นางลุกขึ้นนั่งพลางเอียงคอมองสุวรรณนเรศอย่างตั้งคำถาม ด้วยคิ้วงามนั้นผูกกันเป็นปมที่กลางหน้าผาก

“เหตุใดถามเช่นนั้น”

เทพธิดาพลันถามกลับในทันที หากแต่เพียงชั่วพริบตาที่หัตถางามโบกไปเบื้องหน้าตนในทิศทางที่สุวรรณนเรศยืนอยู่นั้นกลับปรากฏรัศมีสีดั่งเดียวกับดอกปาริชาตโอบล้อมไปทั่วร่างของสุวรรณนเรศ ก่อนที่ร่างจริงของนางจักปรากฏต่อหน้าเทพธิดาองค์นั้นอย่างง่ายดาย

“ท่านรู้กระนั้นฤๅว่าข้าคือผู้ใด”

สุวรรณนเรศถามพลางมองสำรวจไปตามร่างกายของตน ก่อนจะมองไปยังเทพธิดาที่ยังคงอมยิ้มให้นางอย่างเป็นมิตร

“ใครเล่าจะไม่รู้จัก ธิดาจอมทัพผู้เกรียงไกรแห่งท่านลุงสุบรรณ”

สายตาที่ยิ่งทวีคูณความสงสัยที่ฉายชัดบนดวงตาของสุวรรณนเรศนั้น จึงทำให้เทพธิดาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินตรงเข้ามาใกล้สุวรรณนเรศมากขึ้น

“ข้าทิพย์สุคนธาแห่งไวกูณฐ์วิมาน จำได้ฤๅไม่”

ได้ยินเพียงเท่านั้น เข่าทั้งสองข้างของสุวรรณนเรศก็ทรุดลงที่พื้นเพื่อถวายความเคารพนางในทันทีเพราะนางคือธิดาแห่งองค์พระนารายณ์และพระนางศิริลักษมี อีกทั้งยังถือกำเนิดจากดอกปาริชาตดอกแรกเมื่อครั้งพิธีกวนเกษียรสมุทร

ทิพย์สุคนธาที่เห็นดังนั้นจึงเร่งเข้าไปประคองสุวรรณนเรศให้ลุกขึ้นในทันที

“อภัยให้ข้าด้วยองค์ท่าน…”

“ไหนเลยกล้ากล่าวโทษเจ้ากัน เจ้าคงมีกิจเร่งด่วน ไม่เช่นนั้นองค์อัคคีคงไม่กระทำเช่นนี้”

นางพูดพลางยื่นมือไปด้านหน้า ก่อนที่อัคคีเทพสายหนึ่งที่เคยโอบล้อมร่างของสุวรรณนเรศเมื่อครั้งที่ผ่านมาที่ดาวดึงส์นั้นจะตรงไปที่ฝ่ามือของทิพย์สุคนธาแล้วสลายหายไปในทันที

“ข้าต้องการดอกปาริชาตอันสามารถทำให้ระลึกกาลก่อนได้เจ้าค่ะ”

เมื่อทิพย์สุคนธาถามตรงไปตรงมาเช่นนั้น สุวรรณนเรศจึงตอบคำถามตามตรงเช่นกัน

ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกในทันทีเมื่อได้ยินคำตอบนั้น หากแต่ขยับเข้าใกล้สุวรรณนเรศมากขึ้นพลางใช้ฝ่ามือของตนสัมผัสไปที่กึ่งกลางหน้าผากของสุวรรณนเรศในทันที

“เหตุใดต้องตามหา เมื่อมันอยู่ในกายเจ้าตลอดมา…”

 

เชิงอรรถ : 

(1) สามแดน ได้แก่ แดนสวรรค์ แดนหิมพานต์ และแดนอสุรา



Don`t copy text!