
ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
คล้ายเพียงชั่วพริบตาที่สุวรรณนเรศเอื้อมมือไปสัมผัสฝ่ามือของหญิงสาวตรงหน้า เพียงกะพริบตาเท่านั้นรอบกายของนางก็เปลี่ยนแปลงไปในทันที สาวน้อยตรงหน้านางหายไปในที่สุดและทุกอณูของประสาทสัมผัสตื่นตัวรับรู้ทุกสรรพสิ่ง
นางมองไปยังฝ่ามือที่ยังคงเรืองรองไปด้วยพระเวทย้อนกาล หากแต่กลับกันเมื่อรอบกายที่เคยเป็นห้วงนทีบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นลานหินกว้างที่แสนคุ้นตา
กลิ่นคละคลุ้งของคาวเลือดที่ลอยเข้ามาแตะจมูกนั้นคือกลิ่นของเลือดไม่ผิดแน่ สุวรรณนเรศเริ่มมองไปรอบกายและเมื่อภาพฉายชัดที่เบื้องหน้าตนกลับเป็นพญาครุฑร่างขนาดมหึมากำลังใช้กรงเล็บจิกเข้าไปที่ท้องของพญานาคราชสีมรกตแล้วบินผ่านเหนือศีรษะของตนไป
หยาดโลหิตตกกระทบที่หน้าผาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากแต่น้ำตากลับไหลออกมาอย่างมิอาจควบคุมพร้อมๆ กับที่สองหูได้ยินเสียงคำรามลั่นของพญานาคแลเสียงร้องกังวานของพญาครุฑ
ทั้งสองยื้อกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร ไร้ความสนใจว่ามีหญิงสาวกำลังยืนมองด้วยตื่นตระหนก สุวรรณนเรศที่เมื่อได้ยินเสียงของพญาครุฑกลับรู้สึกหวาดหวั่นอย่างประหลาด นางก้มลงสำรวจตามร่างกายอีกครั้งด้วยคำสัตย์สุดท้ายนั้นตนให้แก่ศิรกัลป์เมื่อยามใกล้สิ้นชีพ
แต่ในขณะนี้นั้นนางดูไม่เหมือนผู้ที่กำลังจะสิ้นชีพแม้แต่น้อย!
“ข้าย้อนกาลกลับมาที่ใดกัน!”
นางตะโกนก้องอย่างหัวเสีย เพราะในช่วงที่ชุลมุนวุ่นวายอยู่กับนาคราชศิรกัลป์ทำให้นางหลุดจากสมาธิอยู่หลายครั้ง อาจเป็นเหตุให้ย้อนกาลกลับมาไกลกว่าที่ควรจะเป็น
ยิ่งนึกถึงอารมณ์ยิ่งแสนขุ่นมัวสุวรรณนเรศที่คิดได้ดังนั้นจึงตั้งจิตเพื่อทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า อย่างไรเสียครุฑที่มารับบรรณาการอาจจะพอช่วยเหลือบอกกล่าวนางได้บอกว่ายามนี้คือเวลาใด ร่างบางเรืองรองไปด้วยรัศมีสีทองสุวรรณอีกครั้งหากแต่ความรู้สึกประหลาดพิกล
ไร้ปีกสยายกว้างอย่างทุกครั้งหากแต่ความรู้สึกคล้ายแขนกับขาที่เคยมีรัดติดกับลำตัวพลางอันตรธานหายไปช้าๆ ร่างกายของสุวรรณนเรศคล้ายยืดยาวออกก่อนจะกลายเป็นขนดหางสีสุวรรณเมื่อยามเกล็ดกระทบกับแสงอาทิตย์งดงามระยิบระยับจับตา ส่วนเศียรประดับด้วยหงอนงามงอนสีดั่งเดียวกับวรกายและปล้องพระนาภีสีเงินประไพ
วงเนตรแวววาวดั่งรัตนมณีสีทับทิมบัดนี้เบิกกว้างด้วยความตื่นตะลึงมากกว่าย้อนกาลผิดพลาดเสียอีก
อดีตชาติสุวรรณนเรศนั้นคือพญานาคินี หาใช่พญาครุฑาอย่างที่นางคิด!
สีทองอร่ามตาของพญานาคินีขนาดใหญ่ที่จู่ๆ ก็คืนร่างเป็นนาคราชนั้นทำให้พญาครุฑที่มารับบรรณาการสังเกตเห็นโดยง่าย เสียงร้องคำรามลั่นของพญาปักษาดังขึ้นก้องฟ้าก่อนจะโฉบลงมายังทิศที่พญานาคสีทองอยู่เบื้องล่างในทันที
“มันเรื่องบ้าอะไรกัน เลื้อยอย่างไร!”
ปัญหาที่เบื้องหน้านั้นเกินกว่าจะทำใจรับได้ หากแต่อย่างไรนางจำต้องเอาชีวิตให้รอดเสียก่อนไม่เช่นนั้นอย่างหวังจะย้อนกาลเลย นางอาจจบสิ้นชีวิตโดนแหวกท้องจิกกินมันเหลวเสียก่อน
“ไว้กลับไปได้ ไอ้ตัวการที่ทำให้ข้าต้องมาหัดเลื้อยเช่นนี้จะจับมากินมันเหลวเสียให้หมด”
สุวรรณนเรศธิดาแห่งพงศ์สุบรรณผู้เกรียงไกรบัดนี้สถบด่าศิรกัลป์อย่างหัวเสีย ด้วยบัดนี้พญาครุฑเจ้าห้วงนภาจำต้องมาเลื้อยไปมาอย่างพญานาคราช
เสียงร้องของพญาปักษาที่ตามไล่หลังมานั้นใกล้ขึ้นทุกขณะ หากแต่ในสายตาของเขานั้นกลับรู้สึกประหลาดใจยิ่งว่าเหตุใดนาคาวงศ์สูงอย่างโอปปาติกะนาคจึงมายังลานบรรณาการ
“เลื้อยหนีไปไยเป็นถึงโอปปาติกะ นาคินีน้อยสีสุวรรณมิใช่วงศ์อนันตนาคราชฤๅ…”
เขาพึมพำอย่างนึกสงสัย หากแต่ด้วยท่าทางเลื้อยหนีที่พิกลอยู่ดูเชื่องช้าเสียจนต้องหยุดลอยตัวมองอยู่บนท้องนภา หากแต่ความคิดหนึ่งกลับผุดขึ้นเพียงเพราะอยากหยอกล้อนางให้หลาบจำที่มาแอบดูพิธีถวายบรรณาการเท่านั้น
ร่างของพญาครุฑจึงโฉบลงมายังเบื้องล่างในทันทีหมายจักบินเข้าไปใกล้ๆ ให้นางตกใจ
สุวรรณเรศที่เห็นดังนั้นรู้ว่าหากยังอยู่ในร่างของพญานาคเช่นนี้นางไม่มีทางรอดพ้นกรงเล็บของครุฑเป็นแน่ หากแต่ไม่รู้วิธีกลับร่างเดิม
นาคินีน้อยเงยหน้ามองไปยังเบื้องเหนือศีรษะของตนก่อนจะเอี่ยวตัวหลบกรงเล็บที่โฉบลงมาอย่างหวุดหวิด แม้พญาครุฑหมายหยอกล้อนางเท่านั้นแต่ด้วยสัญชาตญาณของนาคในตัวทำให้นางรู้สึกถึงอันตรายและภัยคุกคาม
“ไว้รอข้ากลับร่างเมื่อใดจะสืบหาให้หมดว่าเจ้าสังกัดสัมปาตีหรือสดายุ!”
นางหมายหัวในทันที หากแต่เมื่อพินิจให้ดีดีวรกายเมื่อยามเป็นพญาครุฑนั้นช่างแสนคุ้นตา สีเมฆหม่นราวฝนฟ้ากำลังตั้งเค้าหากแต่แซมไปด้วยสีขาวใสราวเพชรส่องสะท้อนยามต้องแสง
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของพญาปักษีอีกครา ด้วยนึกสงสัยว่าเหตุใดนางจึงเพ่งพินิจตนเช่นนั้นก่อนทำทีจักบินโฉบลงมาอีกหน ด้วยเคยได้ยินเสียงเล่าอ้างที่ว่าเมื่อยามธิดานาคากลายร่างเป็นหญิงสาวนั้นงดงามหาที่เปรียบมิได้
“เจ้ากลับร่างเสียแล้วมาหลบหลังเรา…”
สิ้นประโยคนั้นร่างของใครผู้หนึ่งจึงทะยานขึ้นไปบนอากาศ เข้าขวางระหว่างสุวรรณนเรศในร่างพญานาคและพญาครุฑในทันที ร่างของมาณพหนุ่มยามลอยอยู่ในอากาศนั้นปรากฏรัศมีสีนิลระยับตาก่อนจะกลายเป็นนาคาสีนิลสนิททั้งวรกายเข้ามาแทนที่
ทั้งสองเข้าโรมรันพันตูต่อสู้กันอย่างดุเดือด หากแต่คล้ายว่าเรี่ยวแรงของพญานาคสีนิลนั้นมีน้อยกว่าพญาครุฑสีเมฆอย่างเห็นได้ชัด นาคาใช้หางตวัดตีเข้าไปที่ลำตัวอย่างสุดแรงจนเจ้าเวหาเสียหลัก จากนั้นตนจึงกระโจนลงไปที่พื้นแล้วคืนร่างเป็นมาณพหนุ่มอีกครั้ง
“เป็นเพียงชลาพุชะนาค (1) ไหนเลยอาจหาญทำร้ายโอปปาติกะเช่นข้า”
“แล้วไยโอปปาติกะครุฑผู้สูงส่ง มิรู้หรือว่าไม่อาจทำร้ายโอปปาติกะเช่นกัน” มาณพหนุ่มตอบเสียงดังพลางมองไปยังนาคินีสีทอง
พญาครุฑที่ทะยานลงมานั้นกลายร่างเป็นมนุษย์หนุ่มร่างกำยำเช่นกัน ก่อนจะเข้าโรมรันต่อสู้กับเขาในทันทีด้วยความโกรธ เพราะคล้ายกับว่าโดนหยามเกียรติโดยผู้ที่มีศักดิ์ต่ำชั้นกว่าตน
เรื่องราวเริ่มบานปลายไปกันใหญ่เสียจนสุวรรณนเรศผู้เด็ดขาดเสมอมานั้นไม่รู้จะกระทำสิ่งใด เมื่อข้างในของจิตวิญญาณนี้นางยังคงเป็นสุวรรณนเรศแห่งฉิมพลีนคร หากแต่ความรู้สึกบางอย่างเมื่อยามอยู่ในร่างของพญานาคนั้นกลับบอกให้กระทำอีกอย่าง
สับสนปนเปไปทุกอย่าง
“เจ้ารีบไป!”
ชายผู้นั้นตะโกนก้องหากแต่เมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่เข้าช่วยเหลือตนอย่างถนัดตา สุวรรณนเรศที่ราวกำลังสับสนและหัวเสียอยู่นั้นก็เกิดบันดาลโทสะในทันทีเมื่อใบหน้าของมาณพหนุ่มผู้นั้นคือศิรกัลป์ไม่ผิดแน่
“รีบไปฤๅ…”
พึมพำแผ่วเบาราวกำลังกระซิบก็ไม่ปาน ร่างของพญานาคินีจึงทะยานเข้าหาชายผู้นั้นในทันทีด้วยปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผลทั้งปวง สุวรรณนเรศหลงลืมไปช่วยขณะว่าบัดนี้นางมิใช่พงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศหากแต่เป็นพญานาคินี…
รัศมีสีทองสุวรรณเรืองรองอีกครั้ง สุวรรณนเรศรู้สึกได้ว่าไม่อาจควบคุมร่างกายได้ดั่งใจ ราวถูกปลดปล่อยสู่ห้วงนภาอีกครั้ง ก่อนจะตกลงสู่ใจกลางมหาวิหารแห่งกาลที่อักขระของมหาเวทย้อนกาลนั้นก่อตัวขึ้น แล้วโอบล้อมร่างของนางไว้คล้ายกรงขังสีทองขนาดใหญ่
นาคินีที่ทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความรุนแรงราวกับได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง นาคามาณพหนุ่มที่ไม่คิดว่านางจะทะยานเข้ามาด้วยเพ่งพินิจไปที่นางทำให้เสียสมาธิมิได้จดจ่ออยู่ที่การต่อสู้ สบโอกาสให้ฝ่ายของพญาครุฑโจมตีใส่ด้วยพลังของตนยังจุดสำคัญในทันที
เลือดสีเข้มกระอักกระจายเต็มพื้นก่อนจะกระเด็นออกไปไกล หากแต่ร่างของพญานาคินีกลับเป็นโอกาสให้เข้าจู่โจมไปยังพญาครุฑในร่างของมาณพหนุ่มแทน ขนดหางรัดแน่นในทันทีด้วยเห็นผู้เป็นสหายโดนทำร้ายต่อหน้าต่อตา
แรงบีบมหาศาลราวบดขยี้กระดูกให้แตกละเอียดทั้งร่างและเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมานั้นสร้างความเจ็บปวดให้แก่ครุฑหนุ่มอย่างมาก
ชายหนุ่มยังคงกระเสือกกระสนให้หลุดจากพันธนาการหากแต่ดูไร้ผล ชายหนุ่มฝ่ายนาคที่กระอักเลือดออกมาอย่างหนักก่อนจะค่อยๆ คืนร่างเป็นนาคราชสีนิลอีกครั้งเป็นสัญญาณถึงบางสิ่ง
“อุรกาฬ!”
เสียงคำรามลั่นของพญานาคีนีราวทุกสิ่งดับวูบลงเมื่อยามใดที่เหล่านาคนั้นคือสู่ร่างเดิม มีเพียงสภาวะดังต่อไปนี้เท่านั้น คือ ยามเกิด ยามหลับสนิท ยามสังวาสกับนาคด้วยกัน และยามตาย
นางหันกลับมาจ้องมองพญาครุฑในขนดหางอีกครั้ง หากแต่ไร้สีหน้าของความสลดสำนึกแม้แต่น้อย
“เพียงนาคาชั้นต่ำตนหนึ่งใส่ใจไปไย อัก!”
ด้วยแรงบีบที่มหาศาล…พลันพลางแววตาเย็นเยียบเคร่งขรึมราวห้วงลึกของมหานทีไร้จุดสิ้นสุดจึงฉายชัดอยู่บนใบหน้างามของนางในทันที
“เจ้าอยากจะวัดอย่างใดนั้นเรื่องของเจ้า อย่ามานับรวมข้า ลองเจ้าพูดดูอีกครั้ง…ครานี้แลจะได้รู้เสียบางว่ายามโดนเหยียบย่ำศักดิ์มันเป็นเช่นไร”
“ข้า ตรัสเวศ พงศ์…อัก!”
ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด หากแต่ราวคำพูดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ
“ไยไม่พูดต่อเล่า…”
เสียงกังวานก้องดังไปทั่วลาน หากแต่บัดนี้นั้นพญาตรัสเวศล่วงรู้ได้โดยทันทีว่าวาระสุดท้ายของตนได้มาถึงแล้ว
“หากเจ้าไม่กล่าว เช่นนั้นข้านามปัทเนตร ไม่ต้องสนใจว่าข้านั้นเผ่าพงศ์ใด…”
ด้วยบันดาลโทสะ คมเขี้ยวของพญานาคินีจึงกัดฝังลงที่ลำคอแกร่งในทันที เพียงชั่วอึดใจพญาครุฑจึงสิ้นชีพโดยพลัน ปัทเนตรจึงใช้หางสะบัดเต็มแรงทิ้งร่างนั้นให้จมลงสู่ห้วงมหานทีอย่างช้าๆ
ความคับแค้นใจที่มีราวกับถูกชำระด้วยสายน้ำ เมื่อร่างของพญาตรัสเวศจมลงสู่ห้วงลึกของมหานทีหากแต่ไม่อาจดับความทุกข์ร้อนที่มีลงได้แม้แต่น้อย
ร่างของพญานาคินีแทนที่ด้วยร่างของหญิงสาว นางจึงเร่งวิ่งเข้าไปยังร่างของนาคาสีนิลที่บัดนี้หายใจรวยรินลงทุกขณะ
“องค์ปัทเนตร…”
ภายใต้ดวงเนตรสีแดงก่ำที่บัดนี้ฉายชัดเพียงภาพของหญิงสาวในอาภรณ์สีทองที่แสนคุ้นตา อุรกาฬราวกลับมาได้สติอีกครั้งพลางจดจำภาพสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นนางผู้เขายกขึ้นไว้เหนือเกศ
“อารักษ์นาคล้วนแล้วถวายสัตย์ จะปกป้องนาคราชพงศ์สูงกว่าตน”
แต่ละคำพูดเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก หญิงสาวไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่คุกเข่าลงที่ข้างเศียรสีนิลนั้นช้าๆ ใบหน้าเศร้าหมองและดวงตาแดงก่ำเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างไม่อาจควบคุม มือบางสัมผัสไปยังหงอนใหญ่อย่างแผ่วเบาก่อนจะลูบไปมาอย่างทะนุถนอม
“เจ้าจะไม่ตาย…”
หยาดน้ำตาหยดลงกระทบที่เกล็ดบนเศียรของอุรกาฬหยดแล้วหยดเล่า ปัทเนตรรู้แก่ใจว่าบัดนี้สติของเขาเลือนรางเพียงใดหากแต่ยังคงเพ่งพินิจเพียงนาง อุรกาฬแม้มีคำพูดมากมายภายในใจหากแต่มิกล้าเอื้อนเอ่ยคำใด
“หากข้าถวายสัตย์จะปกป้องเพียงท่าน…”
คล้ายคำลาสุดท้ายร่างของนาคาจึงค่อยๆ มีละอองแสงสีนิลระยับระยับลอยละล่องออกมาช้าๆ ปัทเนตรที่แม้มองไปยังละอองแสงเหล่านั้นไร้ความตระหนกใดก่อนจะยิ้มออกมาทั้งน้ำตา คำพูดสุดท้ายแม้มีคำที่นางหมายใจจะได้ยินหากแต่อุรกาฬยังคงเป็นอุรกาฬเสมอมา
หากแต่เพียงพอแล้วสำหรับปัทเนตร…
“อุรกาฬเจ้าห้ามตาย ข้าไม่ให้เจ้าตาย!”
สิ้นคำพูดนั้นพลันที่ฝ่ามือของปัทเนตรกลับปรากฏดวงแก้วดวงหนึ่ง มณีนาคาส่องแสงสีทองจึงส่องประกายสว่างไสวขึ้นอย่างรุนแรงโอบล้อมร่างของทั้งสองไว้ด้วยกันเรืองรองไปทั่วผืนฟ้าและมหาสมุทร
เชิงอรรถ :
(1) นาคที่เกิดจากครรภ์
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
- READ ห้วงนทีกาล : บทนำ