ห้วงนทีกาล บทส่งท้าย : ดั่งสายลมโอบมหานที

ห้วงนทีกาล บทส่งท้าย : ดั่งสายลมโอบมหานที

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

 

เมื่อพายุคลั่งและไฟแห่งสงครามมอดดับลง สุวรรณนเรศยังคงทรุดนั่งอยู่ที่พื้นหินเหม่อมองไปยังมหานทีเบื้องหน้าด้วยแววตาเหม่อลอยไร้แวว ภัทรเนตรที่เห็นเช่นนั้นราวรู้คำตอบในทันทีเขาไม่กล่าวสิ่งใด หากแต่เดินเข้าไปใกล้สุวรรณนเรศช้าๆ

ราวไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของสรรพสิ่งรอบกาย สุวรรณนเรศยังคงมองนิ่งไปเบื้องหน้าไม่ไหวติงด้วยบัดนี้ในหัววนเวียนเพียงหาคำตอบว่าเหตุใดมหาวิหารพระเวทแห่งเทพบิดรจึงประทานพระเวทย้อนกาลแก้ให้นาง

หากย้อนกาลกลับไปแก้ไขในสิ่งที่ควรกระทำแล้วไซร้ เหตุใดผลลัพธ์ยังคงเป็นเช่นนี้

“อดีตไม่อาจลืมเลือนได้โดยง่าย หากแต่อยากให้เจ้ามองไปเบื้องหน้า…”

เสียงพึมพำของภัทรเนตรกล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบงันราวกับไปสะกิดความรู้สึกบางอย่างที่อยู่ในใจของสุวรรณนเรศเข้า นางหันมองเขาช้าๆ หากแต่เมื่อรู้ว่าเขาคือผู้ใดก็ไร้สีหน้าแววตาของความแปลกใจ แต่กลับยิ้มให้เขาทั้งน้ำตา

ภัทรเนตรไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด หากแต่บัดนี้ที่เหนือศีรษะของพวกเขากลับปรากฏแสงสว่างไสวส่องสว่างไปทั่วบริเวณ เสียงร้องของพญาปักษาพญาเวชไชยยันต์บัดนี้กังวานก้องทั่วท้องนภากว้าง

เมื่อโผล่พ้นกลุ่มเมฆาด้วยแรงของปีกที่ทะยานลงมานั้นจึงขจัดเอาความหม่นหมองของกลุ่มก้อนเมฆออกไปจนหมดสิ้น แสงสีทองส่องประกายจับขอบฟ้าอย่างเช่นทุกครั้งหากแต่บัดนี้กลับเป็นแสงที่ส่องจากผู้ที่ยืนอยู่บนหลังของพญาปักษา

อาภรณ์สีขาวบริสุทธิ์ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ในมือพยุงถือคนโทใบหนึ่งที่ส่องแสงสว่างไสวออกมาในทันทีเมื่อยามเขาและพญาเวชไชยยันต์ปรากฏกาย

“เราคืออริยนาคมุจลินทร์ บัดนี้ข้าแลพญาสุบรรณแลพญาเวชไชยยันต์ได้นำโองการแห่งน้ำอมฤตอันกำเนิดแด่พิธีกวนเกษียรสมุทรมา ณ ที่แห่งนี้”

สิ้นคำนั้นแสงสว่างสีนวลสลับทองจึงค่อยๆ ลอยละล่องออกจากปากคนโท พญาสุบรรณจึงทะยานปีกขึ้นไปอยู่เหนือองค์มุจลินทร์และพญาเวชไชยยันต์ก่อนจะสยายปีกของตนออกกว้างราวกับจะโอบล้อมมหานทีสีทันดรไว้ก็ไม่ปาน

เพียงขยับปีกครั้งหนึ่งจึงกำเนิดมหาวาโยพัดพานำละอองน้ำอมฤตในคนโถพัดไปยังเหล่าทหารหาญของครุฑและนาคที่สิ้นชีพในสมรภูมิ อีกทั้งยังเป็นการประกาศสงบศึกที่มีมาอย่างยาวนั้นให้จบสิ้นลงในที่สุด

“บัดนี้ข้าพญาสุบรรณ ขออัญเชิญโองการแห่งน้ำอมฤตชำระซึ่งบาปแห่งบรรพกาลและคืนชีวิตให้แก่ทุกผู้ทุกคนที่ดับสิ้นในสมรภูมิ แม้ไม่อาจรักษาร่องรอยบาดแผลในอดีตที่ยังคงทิ้งร่อยรอยไว้ หากแต่บัดนี้ทั้งครุฑแลนาคาจะมองไปยังกาลหน้า จะไม่กระทำผิดพลาดอันก่อให้เกิดความสูญเสียของชีวิตเช่นนี้อีก”

ราวสายฝนโปรยปรายจากฟากฟ้า เหล่าผู้ที่ทอดกายในสมรภูมิราวได้ชำระด้วยน้ำอมฤตก่อนจะกลับฟื้นคืนชีพในที่สุด

สุวรรณนเรศเอื้อมมือไปรับสายน้ำที่โปรยปรายลงมา ก่อนจะมองไปที่ภัทรเนตรแล้วยิ้มออกมาอย่างจริงใจ ทั้งสองไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ที่เบื้องหลังของทั้งสองกลับเป็นสัมปาตีและสดายุที่เดินตรงเข้ามาหาผู้เป็นน้องสาว

ภัทรเนตรพลันยิ้มให้สุวรรณนเรศอีกครั้งก่อนจะค่อยๆ หันหลังจากไป บัดนี้เขาดั่งละวางปัทเนตรลงได้ในที่สุด

‘แม้ข้าไม่อาจเป็นพี่ชายที่ดูแลน้องสาวคนหนึ่งได้ หากแต่บัดนี้เจ้ากลับมีพี่ชายที่ปกป้องและดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เพียงเท่านี้ก็ไร้ซึ่งความติดค้างใด…’

สัมปาตีและสดายุเดินเข้ามาก่อนจะวางมือลงบนบ่าของผู้เป็นน้องอย่างแผ่วเบา สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่จ้องมองทั้งสองสลับไปมาพลันน้ำตาไหลออกมาเป็นสาย

“คนทุกผู้ล้วนบอกจะปกป้องข้า หากแต่ไม่มีผู้ใดบอกจะอยู่เพื่อข้าเลยแม้แต่ผู้เดียว”

น้ำตาหลั่งไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย หากแต่ยังคงมองไปยังมหานทีด้วยความตัดพ้อ

ตรัสวินที่แม้ฟื้นคืนกลับมาด้วยพลังแห่งน้ำอมฤตด้วยความดีใจหมายจะตรงเข้ามาหาสุวรรณนเรศหากแต่บัดนี้สายตาของนางมีไว้เพื่อเพ่งพินิจเพียงห้วงแห่งมหานทีเท่านั้น

คล้ายผืนน้ำมีการขยับไหว รัศมีสีเงินยวงของพญานาคราชที่คุ้นตานั้นจึงปรากฏเหนือมหานทีอีกครั้ง ละอองระยิบระยับมากมายที่ลอยละล่องขึ้นมาเหนือผืนน้ำมองคล้ายท้องทะเลที่เต็มไปด้วยดวงดาราไม่อาจนับ หากแต่ลอยละล่องอยู่เช่นนั้นก่อนจะตรงเข้ามากระทบตามร่างกายของสุวรรณนเรศ

ร่างที่เคยไร้เรี่ยวแรงของสุวรรณนเรศพลันผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะทะยานไปเหนือพื้นน้ำ ปีกสีทองสุวรรณสยายขึ้นก่อนจะใช้พละกำลังของตนแหวกน้ำออกด้วยแรงของปีกอย่างสุดแรง ด้วยเพราะพลังทิพยที่บาดเจ็บอย่างหนักนางจึงไม่อาจกลับคืนร่างของพญาครุฑได้

สัมปาตีและสดายุมองหน้าสบตากันในทันที ราวกับรับรู้ได้ถึงความคิดภายในใจ รัศมีพลังเรืองรองขึ้นก่อนทั้งสองจะคืนร่างเป็นพญาครุฑขนาดมหึมา

“พวกข้าคือพงศ์สุบรรณ แห่งใดเพียงแหวกพื้นน้ำจะกระทำมิได้”

สิ้นคำของสดายุเท่านั้น สองพญาครุฑจึงกางปีกของตนออกจนสุดก่อนจะพัดพาเอามวลน้ำมหาศาลแหวกออกเป็นทางจนถึงท้องมหาสมุทร

เมื่อเห็นดังนั้นสุวรรณนเรศจึงทะยานร่างลงสู่เบื้องล่างในทันทีท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายหากแต่บัดนี้นางไม่สนใจแม้สายตาของผู้ใดอีก

ร่างบางร่อนลง ณ เบื้องหน้าของถ้ำใหญ่ใจกลางของจุดลึกสุดของสะดือมหาสมุทรที่บัดนี้ถูกโอบล้อมด้วยรัศมีพลังสีเงินยวงที่แสนคุ้นตา สุวรรณนเรศเดินเข้าไปใกล้พลางใช้ฝ่ามือสัมผัสไปที่อาณาเขตพลังนั้นหากแต่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้

นางหลับตาลงก่อนน้ำตาจะไหลออกมาในทันที ด้วยเพราะศิรกัลป์สละพลังของตนเพื่อให้ผนึกเหล่าจิตอาฆาตที่ยังคงมิอาจปล่อยวางไว้ภายในถ้ำใหญ่ที่เคยเป็นของปัทเนตร อีกทั้งยังสร้างอาณาเขตพระเวทจากพลังชีวิตของตนจึงไม่อาจมีผู้ใดทลายลงได้

สุวรรณนเรศที่รู้เช่นนั้นจึงทรุดลงไปร่ำไห้ที่พื้นในทันที หากแต่ไม่ทันที่เข่าจะจมติดไปกับพื้นทรายนางกลับถูกรองรับด้วยอ้อมแขนของใครผู้หนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้นจึงพบว่าบัดนี้ศิรกัลป์อยู่เบื้องหน้าตนอีกครั้ง

นางโผเข้ากอดเขาไว้แน่นราวกับว่าเขาจะสลายหายไปต่อหน้าตนอีก เช่นเดียวกับศิรกัลป์ที่กอดสุวรรณนเรศไว้แน่นเช่นกัน ราวกับไม่อาจเชื่อสายตาของตนเอง สุวรรณนเรศใช้ฝ่ามือปัดป่ายไปตามเนื้อตัวขององค์นาคราชก่อนจะกระชับกอดเขาอีกครั้ง

“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย!” เสียงสะอื้นไห้ปะปนกับหยาดน้ำตาที่ยังคงหลั่งไหล ก่อนสุวรรณนเรศจะมองเข้าไปยังนัยน์ตาสีเข้มนั้นราวกับกำลังตัดพ้อ

“เจ้าอย่าได้ตัดพ้อเช่นนั้นเลย นี่คือผลของการที่ข้าไม่อาจปล่อยให้ดวงจิตอาฆาตเหล่านั้นยังคงไร้ที่ไปได้อีก สุวรรณนเรศฟังข้า…”

สองมือพลันจับประคองใบหน้าของสุวรรณนเรศอย่างแผ่วเบา

“ที่แห่งนี้ไม่อาจขาดผู้เฝ้ารักษาด้วยอาณาเขตพระเวทกำเนิดจากพลังของข้า แม้มิได้กักขังหากแต่เมื่อใดเหล่าจิตสุดท้ายนั้นละวางลงได้ก็จะสามารถปลดปล่อยตนเองเช่นกัน…”

สุวรรณนเรศบรรจงใช้ฝ่ามือของตนเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสายของศิรกัลป์เช่นกัน ก่อนจะเลื่อนไปจับมือของเขาไว้แน่น ด้วยรู้แก่ใจว่าจิตอาฆาตของเหล่านาคานั้นมีมากมหาศาลเพียงใด

“ไม่ว่าจะเนิ่นนานนับชั่วกัปชั่วกัลป์ หากแต่ข้าเป็นผู้ผูกพันธนาการนี้ไม่อาจทนมองผู้คนมากมายต้องมารับผิดชอบกับการกระทำนี้ได้”

แม้ดวงตาจะแดงก่ำหากแต่สุวรรณนเรศยังคงฝืนยิ้มให้เขา แววตาที่ไม่อาจกักเก็บซึ่งความร้าวร้านภายในใจนั้นจนศิรกัลป์ที่แม้ต้องทนทุกข์ระทมอยู่ในห้วงนทีแห่งนี้แสนนานจนไม่อาจนับ หากแต่กลับไม่หวาดกลัวความเจ็บปวดเท่ากับมองเห็นใบหน้าทุกข์ใจของสุวรรณนเรศ

“ศิรกัลป์…”

นางเรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบาพลางจ้องมองไปที่ใบหน้านั้น ทั้งคิ้วคม ริมฝีปาก หรือแม้แต่สีหน้ายามเขากำลังเพ่งพินิจเพียงนาง

“เพียงเจ้าเท่านั้นศิรกัลป์ เนิ่นนานเพียงใดข้าจะมีเพียงเจ้าเท่านั้น!”

ศิรกัลป์ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้ ด้วยรู้ดีว่า ‘เนิ่นนาน’ ที่สุวรรณนเรศกล่าวราวห้วงเวลาอสงไขยไม่อาจนับ

คลื่นน้ำมหาศาลเริ่มไหลทะลักกลับคืนสู่ที่เดิมอีกครั้ง ราวเสียงสัญญาณที่ส่งกล่าวเตือนว่าเวลาของสุวรรณนเรศแลศิรกัลป์ใกล้หมดลงแล้วทุกเมื่อ

“เจ้าไปเถิดสุวรรณนเรศ จะเป็นข้าที่เฝ้ามองท่านจากไปเอง…เจ้าจงหันหลังแล้วอย่าได้ย้อนมองกลับมาอีก!”

“ข้ารู้…รู้ดีแก่ใจว่าอย่างไรใต้บาดาลก็ไร้ซึ่งสายลม…”

เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นในทุกถ้อยคำ ศิรกัลป์พลันรั้งร่างบางของสุวรรณนเรศเข้ามากอดแล้วบรรจงจุมพิตที่หน้าผากอย่างแผ่วเบา

สุวรรณนเรศและศิรกัลป์กระชับกอดกันอีกครั้งเนิ่นนานและแนบแน่นกว่าครั้งใด ทั้งสองหลับตาลงราวห้วงนทีไร้การขยับไหลชั่วอึดใจหนึ่งซึมซับอ้อมกอดสุดท้ายนี้

สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ขบกรามแน่นพลันหันหลังกลับในทันที ปีกกว้างสีทองสยายออกที่กลางหลังก่อนรัศมีสีสุวรรณจะเรืองรองขึ้นจนถึงขีดสุด แล้วจึงทะยานขึ้นสู่ไปยังท้องนภากว้าง

คลื่นน้ำมหาศาลที่ทะลักเข้ามากลับคืนสู่ที่ของตนนั้น หากแต่สายตาของศิรกัลป์กลับยังคงจ้องมองไปยังท้องนภาสุดท้ายที่อาบย้อมไปด้วยรัศมีสีทองแห่งสุวรรณนเรศ

“ข้าละชมชอบท้องนภาสีทองที่อาบย้อมไปด้วยรัศมีแห่งเจ้าที่สุดเสมอมา…”

เขาเพ่งพินิจครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ คืนร่างเป็นพญานาคราชเจ็ดเศียรพลางร้องคำรามลั่นแล้วจึงกระโจนหายไปยังห้วงมหานทีเช่นกัน…

 

หลายร้อยปีวนเวียนไปไม่อาจนับ ในยามนี้สายฝนยังคงโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย สุวรรณนเรศยังคงใช้ฝ่ามือของตนนั้นรองรับมันไว้ราวกับชั่วขณะหนึ่งที่ความทุกข์ร้อนในดวงใจมอดดับลงได้เป็นครั้งคราว

รัศมีสีเงินยวงที่ยังแฝงความห่วงใยมากับสายน้ำในทุกยามที่นางเศร้าเสียใจนั้น คล้ายอ้อมกอดของศิรกัลป์ที่โอบอุ้มนางไว้ด้วยความรักและจริงใจเสมอมา

แก้วสุวรรณยังคงมองไปยังผู้เป็นพี่สาวของตนที่ยังคงแย้มยิ้มอออกมาเสมอทุกครั้งเมื่อยามวสันต์โปรยปราย

สุวรรณนเรศพลางจ้องมองไปยังฝ่ามือของตนที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยสายน้ำ หากแต่ละอองสีเงินยังคงลอยละล่องหมุนวนรอบกาย

ความรักของท่านดั่งสายฝนโปรยปราย ชุ่มฉ่ำเปียกปอน…ไม่นานก็ระเหยหาย

ความรักข้านั้นดั่งสายลม ยามต้องกายแสนเย็นสบายจับใจ

หากแต่ทั้งสองสิ่งนั้น…ไร้ซึ่งตัวตนจับต้องได้

เจ้าเป็นนาค…ข้าเป็นครุฑ เดิมทีโชคชะตานี้ไร้จุดบรรจบตั้งแต่เริ่มต้น

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!