มหกรรมมนุษย์ บทที่ 3 : นังอ่อน

มหกรรมมนุษย์ บทที่ 3 : นังอ่อน

โดย : สีตลา สัตตสุวรรณ

Loading

มหกรรมมนุษย์ โดย สีตลา สัตตสุวรรณ กับเรื่องราวของมนุษย์ทุกคนต่างเป็นตัวละครชีวิตที่โลดแล่นไปจนกว่าจะสิ้นสุดลมหายใจและ ‘ชมนาด’ ก็คือหนึ่งในตัวละครเหล่านั้น พบกับ มหกรรมมนุษย์ นวนิยายรางวัลดีเด่น จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ๓ ที่ชาวอ่านเอาภูมิใจนำเสนอ และอยากให้ทุกท่านได้อ่านออนไลน์บน anowl.co และ Fb Fanpage : anowldotco

เมื่อล่วงเข้าวัยชรา ความทรงจำเริ่มรางเลือนไม่ต่างจากสมุดบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย แต่รอยหมึกเริ่มจางสี จำได้กระท่อนกระแท่น หรือหลงลืมเสียแล้วว่ามีบางอย่างเคยเกิดขึ้น

ฉันจึงมีบันทึกช่วยจำติดตัวไว้ตลอด เป็นสมุดพกเล่มเล็กเก็บไว้ในกระเป๋าถือเป็นสิ่งจำเป็นอีกอย่างนอกเหนือจากยาประจำตัวซึ่งไม่เคยถูกทิ้งให้ห่างกาย ทุกครั้งระหว่างกรวดน้ำหลังตักบาตรพระหน้าปากซอย หรือทำบุญเลี้ยงเพลสุดสัปดาห์ เป็นต้องหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาวางข้างตัวแล้วว่าตามไปเบาๆ ขณะพระสวด

ใครเห็นคิดว่าเป็นบทสวดมนต์ที่นับถือ แต่ถ้าขยับเข้าใกล้เพ่งให้ชัด ทุกตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดาษนั้นคือชื่อสกุลของคนกว่ายี่สิบชื่อ ทว่ามีชื่อหนึ่งที่แตกต่าง เพราะถูกเขียนไว้สั้นๆ เพียง ‘นังอ่อน’ แทนที่จะเป็น ‘คุณอ่อน’ หรือ ‘แม่อ่อน’ เช่นชื่ออื่น

น่าแปลก…ในบรรดาเรื่องราวที่หลงลืม ฉันกลับจำเรื่องของแม่อ่อนได้แม่นยำ และสามารถถ่ายทอดให้ลูกหลานคนสนิทได้ฟังเป็นฉากๆ ราวกับเพิ่งพบกับคนชื่ออ่อนมาไม่นาน

‘อ่อน’ เป็นบ่าวสาวที่แม่จวงรับเข้ามาหลังคลอดทองโตอุ่นได้ไม่กี่เดือน พวกข้าเก่าที่ติดตามพ่อมาจากพระนครล้วนเป็นคนสูงวัยใช้แรงงานในเรือกสวนได้ไม่ถนัด จึงเปิดโอกาสให้นางจวงพาญาติพี่น้องหรือคนรู้จักของตนเข้ามาช่วยงาน เป็นการเกื้อกูลให้คนเหล่านี้มีอาชีพทำกินโดยไม่ต้องแบมือขอ อ่อนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

เด็กสาวอายุหย่อนสิบหกไม่กี่เดือน เพิ่งแตกเนื้อสาวหมาดๆ หน้าตาจิ้มลิ้มผิวพรรณเป็นผู้ดีผิดจากบ่าวคนอื่น พ่อแม่ของมันเกรงว่าจะถูกไอ้หนุ่มแถวบ้านฉุดคร่าไปทำเมีย จึงพามาฝากไว้กับแม่จวงเพื่อนบ้านที่ได้ดิบได้ดีเป็นถึงคุณนายโรงสีช่วยดูแล เผื่อต้องตาชายใดที่มีฐานะ จะได้เป็นแม่ศรีเรือนรับใช้สามีได้ไม่ประดักประเดิด อ่อนเองก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ปรนนิบัติรับใช้นางจวงได้ถูกใจจนกลายเป็นบ่าวคนสนิท หลายครั้งแม่เลี้ยงแนะนำกับคนภายนอกว่าอ่อนเป็นญาติห่างๆ คนหนึ่ง ยิ่งทำให้เด็กสาวมีภาษีดีขึ้น

ด้วยพะยี่ห้อว่าเป็นคนของนางจวง และยังเป็นพี่เลี้ยงน้องชายต่างมารดา จึงทำให้ฉันในตอนนั้นตั้งแง่เป็นปรปักษ์ต่อนังอ่อน ยิ่งเห็นมันพะเน้าพะนอแสดงความรัก และเอาใจทองโตอุ่นมากเท่าใด ยิ่งพาลให้รังเกียจอ่อนมากขึ้นเท่านั้น

จุดแตกหักระหว่างกันคงไม่เกิด หากเช้าวันหนึ่งนางจวงซึ่งมีอาการแพ้ท้องอย่างหนักจะไม่เกิดนึกเรียกหาเด็กสาวตั้งแต่ก่อนไก่ขัน ไม่ว่าใครมารับหน้าก็ไม่ถูกใจจนนายหญิงของบ้านเร่งร้อนลงจากเรือนเพื่อเดินไปตามนังอ่อนที่เรือนแถวด้วยตนเอง บ่าวที่กำลังล้างหน้าล้างตากันแถวนั้นต้องหลบนางจวงกันพัลวัน

“นังอ่อน ไม่ได้ยินข้าเรียกเอ็งเลยใช่ไหม”

ปากเรียกหาและบ่นไปตลอดทาง แต่ตะโกนก็แล้ว เคาะห้องก็แล้ว ทว่าคนในนั้นยังไม่มีวี่แววจะขานรับทำให้แม่จวงบันดาลโทสะ ยกขาขึ้นถีบบานประตูสุดแรงให้กลอนด้านในเลื่อนหลุดเพียงเพื่อจะได้พบกับห้องว่างเปล่า ที่นอนหมอนมุ้งตลบเรียบร้อย ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของห้องได้ใช้ชีวิตตลอดคืนอยู่ในนั้น

พวกบ่าวที่เห็นเหตุการณ์เล่าให้ฟังว่านายผู้หญิงรื้อข้าวของนังอ่อนซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมบัติที่นางโละให้มากองไว้หน้าห้องเพื่อระบายอารมณ์ ระหว่างที่กองผ้านุ่งถูกดึงออก วัตถุมีน้ำหนักชิ้นหนึ่งก็ร่วงตามลงมาราวกับต้องการประจานว่ามันถูกเก็บไว้ผิดที่ผิดทาง

“คุณจวงเรียกหาอ่อนหรือเจ้าคะ” โชคร้ายที่เจ้าของห้องปรากฏตัวช้าเพียงเสี้ยวนาที มันมองของที่กองเต็มพื้น และเลื่อนสายตาไร้เดียงสามองหน้านายสาวซึ่งกัดฟันกรอดพร้อมฉีกเนื้อ

“มึงเอากำไลวงนี้มาจากไหน” คนถามไม่รอฟังคำตอบ แต่ขว้างกำไลทองใส่หน้าอีกฝ่ายเต็มแรงกระแทกกลางหน้าผากก่อนร่วงลงพื้นอย่างของไม่มีราคา

จริงอย่างคำโบราณว่า ยิ่งรักและไว้ใจมากเท่าใด เมื่อขุ่นข้องหมองใจกันก็ยิ่งทำให้ความไว้ใจ เปลี่ยนเป็นความโกรธเกลียดทบเท่าทวีคูณ นายผู้ชายนั้นไม่เท่าไรสั่งให้พานังอ่อนมาถามหาความจริงบนเรือน แทนที่จะซักความกันกลางบ้านประจานความฉุนเฉียวของภรรยา แต่กว่านังอ่อนจะหลุดรอดมาถึงนายผู้ชายได้ก็โดนมือเท้าของนางจวงไปไม่น้อยเลย

ถึงกายเจ็บ แต่กระนั้นอ่อนยังไม่ยอมสารภาพว่าได้ของมาจากไหนจนเถ้าแก่โรงสีเหนื่อยใจ สั่งละเอียดให้ปลุกลูกสาวคนโตขึ้นจากที่นอนมากระทำการสอบสวนอีกราย

เมื่อฉันไปถึงร่างอ่อนหมอบแตอยู่กับพื้น น้ำตาไหลอาบแก้มไม่ขาด เนื้อตัวเป็นรอยดวงแดง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงทั้งที่หล่อนเป็นเด็กสาวรักสวยรักงาม

พอเห็นหน้านายน้อย แม้ไม่ค่อยพูดจากันด้วยดีแต่นางอ่อนคลานเข่าเข้ามากอดขาอย่างสัตว์บาดเจ็บ มันวางใบหน้าเปื้อนน้ำตาลงบนเท้าของฉันโดยไม่รังเกียจ ละล่ำละลักอ้อนวอนหมายให้ฉันเป็นพยานแก้ต่างให้

“คุณชมเจ้าขา คุณหนูของบ่าว คุณช่วยยืนยันกับคุณจวงแทนอ่อนทีสิเจ้าคะ ว่าอ่อนไม่ได้ขโมยกำไลของคุณไป”

ฉันไม่รู้หรอกว่ากำไลงามเปลี่ยนมือจากนายดำไปอยู่ในความครอบครองของอ่อนได้อย่างไร แต่สภาพของนังบ่าวตรงหน้า หากให้เล่าความจริงกับนางจวงในตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการสาดน้ำมันใส่กองเพลิงให้ลุกโชนหนักขึ้นอีก ซ้ำร้ายคนเจ็บอาจเป็นตัวเอง คิดได้เช่นนั้นฉันจึงละเรื่องนายดำไว้ และตอบผู้เป็นบิดาอย่างไม่รู้ผิดชอบเลยว่า

“ลูกไม่ทราบเจ้าค่ะว่ากำไลที่น้าจวงให้หายไป ตั้งแต่ได้มาจากคุณน้าก็เก็บมิดชิด ไม่ได้วางทิ้งหรือใส่เล่น เพราะกลัวหาย ตั้งใจจะถนอมไว้ใส่วันงานโกนจุกเลยทีเดียว”

คำตอบนั้นทำนางอ่อนปล่อยโฮก่อนพยายามยันตัวเองขึ้นกระโจนเข้าใส่ฉันที่ยืนอยู่ไม่ห่าง จนบ่าวผู้ชายต้องลากตัวกันออกไป อนิจจา…การกระทำของมันเท่ากับยอมรับโดยดุษณีว่าเป็นคนผิด บทลงโทษที่นางอ่อนได้รับก็คือการต้องเก็บของพ้นจากเรือนในตอนสายของวันนั้นเอง

ฉันยังจำได้ติดตากับเหตุการณ์ที่ศาลาริมน้ำวันนั้น

ทองโตอุ่นกอดพี่เลี้ยงไว้ไม่ยอมปล่อย ยื้อยุดฉุดกระชากคว้าผ้านุ่ง และสมบัติส่วนตัวเท่าที่มือน้อยจะปะป่ายเพื่อรั้งนางอ่อนไว้ ขณะที่คนงานพยายามแยกทั้งสองจากกันจนฝีพายจะคัดเรือออกจากท่า นางจวงจึงสั่งคนงานอุ้มนางอ่อนโยนใส่เรือประหนึ่งเป็นเพียงสิ่งของชิ้นหนึ่ง

ทองโตอุ่นเห็นดังนั้นก็ยิ่งแหกปากร้องดังขึ้น แม้เรือน้อยจะอำลาจากฝั่งไปแล้ว และพาแม่อ่อนในสภาพสะบักสะบอมเคลื่อนหายไปกับคุ้งน้ำ

ไม่นึกเลยหลังจากนั้นไม่นาน คนที่ต้องระเห็จจากบ้านไปจะเป็นตัวฉันกับน้องสาว

แม้มิใช่คนผิด แต่เรื่องวันนั้นทำนางจวงกับฉันเข้าหน้ากันไม่ติด แม่เลี้ยงเก็บตัวเงียบในห้อง จะออกมาก็เมื่อพ่อกลับเข้าเรือนซึ่งก็เย็นย่ำ หรือล่วงเข้าดึกดื่นไปแล้ว ความกระตือรือร้นต่องานโกนจุกที่มีก่อนหน้าก็ลดน้อยลง บ้านดูคลายจากความครึกครื้นลงไปถนัดใจ พวกบ่าวไพร่ต่างเร่งทำงานของตนให้เสร็จ จะได้หลบความหม่นมัวบนเรือนใหญ่ลงไปสุมหัวกันที่เรือนแถวด้านหลัง

สำหรับพวกเด็กๆ แล้วความสนุกสนานไม่เคยมีวันหยุด เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เล่นซนจากบนเรือนลงมาบริเวณใต้ถุนแล้วค่อยเขยิบไกลออกไป จนกลายเป็นว่าเสียงหัวร่อต่อกระซิก และพูดคุยหยอกล้อสนุกสนานที่เคยหล่อเลี้ยงบ้านให้มีชีวิตชีวาค่อยๆ ห่างหายตามไปด้วย

ระยะแห่งความมึนตึงยาวนานจนถึงวันสำคัญในอีกอาทิตย์ถัดมา

งานโกนจุกแบ่งเป็นสองวันตามประเพณี วันแรกเป็นวันฟังพระสวดจัดงานเฉพาะตอนเย็นแล้วโกนจุกกันเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองวันประกอบพิธีบนเรือนตามความตั้งใจของนางจวง

การโกนจุกเป็นการเปลี่ยนผ่านจากวัยเด็กสู่วัยสาว ละเอียดเล่าว่าบรรดาพี่สาวของพ่อที่พระนคร เมื่อโกนจุกแล้วจะถวายตัวเป็นข้าหลวงเจ้านายในวัง บางคนไม่ทันสิบแปดดี ก็มีลูกเศรษฐีมาสู่ขอออกเรือนไป

สำหรับฉันในเวลานั้น คำว่าพระนครช่างห่างไกลเกินกว่าจะจินตนาการไปถึง แค่ให้กระพุ่มผมกลางศีรษะหายไป ได้ไว้ผมยาวอย่างหญิงสาวทั่วไปก็เป็นที่สุดของความปรารถนาแล้ว

เช้าวันงาน ละเอียดปลุกเราสองพี่น้องตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง กว่าจะอาบน้ำ ขัดตัว และให้บ่าวมะรุมมะตุ้มลงแป้งผัดหน้าเจ้าของงานจนครบกระบวนความโดยมีน้องสาวอยู่ด้วยไม่ห่างก็ล่วงเข้าเวลาเพล เมื่อเสร็จสิ้นทุกกระบวนความแล้ว พวงแก้วเอียงหน้ามองพี่สาวด้วยความชื่นชม

“วันนี้คุณชมของแก้วสวยจัง”

กระจกตรงหน้าสะท้อนเงาของดรุณีวัยกำดัด ผมรอบจุกถูกโกนเกลี้ยงเกลา แต่มุ่นผมสีดำยังคงอยู่ ดวงหน้ารูปไข่ของหญิงสาวแรกรุ่นกำลังมองตอบจากในกระจก และแย้มริมฝีปากสีแดงสดให้พวงแก้มเปล่งปลั่งดั่งกลีบกุหลาบเพิ่งอาบน้ำค้างยามเช้าจนอิ่มเอิบลอยเด่นอยู่บนใบหน้านวลขาวที่ผัดแป้งไว้เนียนเสมอกัน ขับให้ความคมเข้มของเครื่องหน้างดงามขึ้น

ละเอียดพินิจหน้าเจ้าของงานอยู่หลายครั้งก่อนยกผ้าแถบขึ้นปาดน้ำตาที่ระรื้นเจิ่งคลอด้วยความตื้นตัน

“แม่เอียดละก็ จู่ๆ ขี้แยเป็นเด็กเชียว”

พวงแก้วเย้าพลางใช้นิ้วกลมน้อยเช็ดหยาดน้ำตาพี่เลี้ยงที่ไหลอาบแก้ม ต่างจากฉันซึ่งเพลิดเพลินกับการเมียงมองเงาตัวเองในกระจก พอเลื่อนสายตามาเห็นหญิงสูงวัยกำลังน้ำตาแตกก็ปลอบโยนด้วยคำพูดตามลักษณะตัวว่า

“ละเอียดร้องอย่างกับมีคนตาย วันนี้งานมงคล ใครเขาร้องไห้กัน”

ผู้สูงวัยได้ยินแล้วแทนที่จะโกรธกลับแสร้งหัวเราะกลบความเศร้าแทน

“คุณชมก็เป็นเสียอย่างนี้ บ่าวคิดถึงแม่ของคุณ ถ้าเธอมีบุญอยู่ถึงวันนี้ คงดีใจมากกว่าบ่าวเป็นร้อยเป็นพันเท่า”

สีหน้าของฉันสลดลงครู่หนึ่งเมื่อละเอียดพูดถึงแม่ นานเหลือเกินที่ไม่ได้คิดถึงผู้เป็นมารดาจนความทรงจำที่มีน้อยนิดเริ่มเลือนราง

นี่กระมังที่หลายคนค่อนขอดฉันเมื่อตอนเติบใหญ่ว่าฉันไม่มีสัญชาตญาณความเป็นแม่เท่าที่ควร เขาจะรู้ไหมหนอว่าคำเหน็บเหล่านั้นไม่อาจระคายจิตใจที่แข็งแกร่งของฉันได้ หากไม่ได้มาจากปากลูกแท้ๆ ในอุทร

อาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าทอแสงสีส้มแดงสุดท้ายของวันนำทางให้แขกเหรื่อทยอยมางานในวันแรก เรือน้อยใหญ่ซึ่งเป็นพาหนะหลักถูกผูกโยงไว้ตรงท่าน้ำจนทำให้บริเวณกว้างขวางแลดูแคบลงถนัด ฉันและพวงแก้วยังรออยู่ในห้อง ได้ยินเสียงพ่อและนางจวงพูดคุยสนุกสนานต้อนรับแขกผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติมาฟังพระสวด

วงปี่พาทย์ตั้งวงตรงชานเรือนเริ่มทำเพลงชุดโหมโรงเย็นให้สัญญาณว่างานมงคลใกล้จะเริ่ม บ่าวไพร่ด้านล่างรีบเสร็จงานในมือเพื่อขึ้นมาร่วมพิธี

เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ พ่อจูงฉันออกมานั่งพับเพียบต่อหน้าพระ แหวนปะวะหล่ำกำไลที่นางจวงจัดประโคมให้ชุดใหญ่เปล่งปลั่งงดงาม พวงมาลัยที่สวมรอบจุกส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เมื่อเริ่มเจริญพระพุทธมนต์ พ่อก็นำสายสิญจน์ที่พระมาจับสวดคล้องลงกลางศีรษะ

แววตาของพ่อซาบซึ้งอ่อนโยนเต็มไปด้วยความรัก เวลาชั่วพริบตาที่พ่อมองมาทำให้หัวใจฉันพองฟูอย่างประหลาด เป็นแววตาที่ฉันจะประทับจำไปแสนนานหากล่วงรู้สักนิดว่านี่จะเป็นรอยยิ้มครั้งสุดท้ายของพ่อที่คนบนบ้านจะได้เห็น

พระสวดยังไม่พ้นตะวันตกดิน บรรดาเพื่อนเล่นของทองโตอุ่นอย่างไอ้เหน่ง ไอ้ฉุน และลูกบ่าวในบ้านก็แห่กรูกันขึ้นเรือนพร้อมตะโกนโหวกเหวกแข่งกับเสียงพระสวดที่ดังนำมาก่อนตัวว่า

“เจ้าข้าเอ๊ย เจ้าข้า คุณอุ่นหาย ช่วยตามหาคุณอุ่นที”

เสียงนั้นไม่ต่างจากหินก้อนโตที่ทุ่มลงกลางผืนน้ำนิ่งสนิท เพียงจับใจความได้ว่าทองโตอุ่นหายไป พ่อและนางจวงก็ลุกจากพิธีโดยไม่ซักถามให้รู้ความ ก่อนลากเจ้าตัวดีสี่ห้าคนต้นเรื่องหายลงจากเรือนไปด้วยกัน

“ไม่มีอะไรนะเจ้าคะ คุณชมไม่ต้องตกใจ”

ละเอียดกระเถิบตัวเข้ามาใกล้ มือข้างหนึ่งยังพนมไว้อยู่ แต่อีกข้างวางบนตักฉัน ญาตินางจวงเมื่อได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหลานของตัว ก็ทยอยตามกันลงไปไม่ได้สนใจฟังพระสวดอีก

ฉันคิดว่าเด็กเล่นซนคนเดียว พอเหนื่อยก็คร้านจะกลับขึ้นบ้านเองโดยไม่ต้องตามหาให้เปลืองแรง ยิ่งนิสัยของทองโตอุ่นชอบเรียกร้องความสนใจในวันที่ตนเองไม่ได้เป็นคนสำคัญ เชื่อได้เลยว่าเมื่อสร้างความปั่นป่วนได้สมใจแล้ว เด็กชายเป็นได้โผล่หน้าขึ้นมาเยาะเย้ยพี่สาวอย่างที่เคยชอบทำ

พ่อหายไปครู่ใหญ่ก่อนจะกลับเข้ามาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ผิดไปจากเดิม น้ำเสียงแหบแห้งที่เปล่งออกมาเปลี่ยนความคิดของฉันที่มีก่อนหน้าไปสิ้น

“นมัสการขอรับพระคุณเจ้า งานวันนี้คงต้องพอเท่านี้ก่อน ลูกชายผมหาย ยังตามหาตัวไม่เจอเลย”

พูดจบ เสียงพระสวดก็หยุดลงแทนที่ด้วยเสียงอื้ออึงของแขกที่มาร่วมงาน จากความไม่รู้ที่เจ้าภาพชายหญิงหายไปก่อนหน้ากลายเป็นความโกลาหลที่พิธีมงคลต้องหยุดลงกลางคัน พ่อตอบคำถามญาติผู้ใหญ่เพียงสั้นๆ ก่อนขอตัวลงจากเรือนไปโดยไม่บอกฉันผู้เป็นเจ้าของงานเลยสักคำ

ฉันทำท่าเหมือนจะร้องไห้ได้แต่เหลียวซ้ายแลขวาทำตัวไม่ถูกจนพวงแก้วต้องเข้ามากอดพี่สาวไว้

“คุณชม เกิดอะไรขึ้น” ฉันตอบน้องสาวไม่ได้ ละเอียดเห็นท่าไม่ดีขยับตัวตามนายผู้ชายไป บอกเด็กหญิงทั้งสองเพียงว่า

“รอตรงนี้ก่อนนะเจ้าคะ อย่าเพิ่งไปไหน” ต่อให้ละเอียดไม่สั่ง แขนขาของของฉันก็หมดเรี่ยวแรงจนลุกเดินไม่ไหว

ความวุ่นวายที่ชั้นล่างอลหม่านกว่าด้านบนนัก นางจวงกำลังฟาดไม้เรียวลงกลางหลังไอ้เหน่ง เสียงร้องโอดโอยสลับกับเสียงไม้ที่แหวกอากาศดังขวับๆ  พ่อแม่ของมันยืนร้องไห้ไม่ห่าง หมดปัญญาจะช่วยได้ เพราะที่อยู่ตรงหน้าก็นายผู้หญิง ได้แต่พร่ำบอกทั้งน้ำตาว่า

“คุณเจ้าขา เด็กมันไม่รู้ดอกเจ้าค่ะ ถ้ามันรู้ มันคงบอกคุณไปแล้ว”

จริงอย่างมันว่า พวกเด็กๆ สารภาพว่าเมื่อตอนบ่ายมันรวมกลุ่มกันเล่นโป้งแปะในสวนข้างบ้าน เล่นกันนานสองนานจนเหลือคุณอุ่นเท่านั้นที่ยังซ่อนอยู่ เลยชวนกันออกตามหากันเองตั้งแต่เย็น แต่ยังไม่พบ เห็นท่าไม่ดีจึงได้พากันมาขอความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่

พ่อลงความเห็นว่า หากปล่อยให้ฟ้ามืดจะยิ่งทำให้การค้นหายากลำบากมากขึ้น จำต้องตัดสินใจนิมนต์พระกลับวัดเป็นอันหมายถึงการล่มพิธีลงดังคำทำนายของหลวงปู่ไม่ผิดเพี้ยน

“ถ้าไม่พบคุณอุ่น พวกเอ็งไม่ต้องกลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก”

นางจวงตวาดไล่คนงานที่จัดแบ่งกันเป็นกลุ่มเพื่อออกค้นหาตามคำสั่งนายผู้ชาย ตัวนางเองก็หมดแรงลมจับจนยืนแทบไม่อยู่ ต้องเกาะระเบียงบ้านยืนดูไต้ไฟลูกแล้วลูกเล่าถูกจุดเป็นดวงสีส้มเรืองทยอยหายไปในความมืดของเรือกสวนไร่นารอบบ้าน

“คุณชม แก้วกลัว คุณอุ่นเธอจะเป็นอะไรไหม”

พวงแก้วเกาะแขนพี่สาวซึ่งเป็นที่พึ่งเดียวในตอนนั้นไว้แน่น ฉันเองก็ไม่อาจหาคำตอบให้น้องสาวได้ ตรงกันข้ามภายในใจกำลังอัดแน่นด้วยความขุ่นมัวที่วันสำคัญของตัวเองต้องพังลงไม่เป็นท่าจากความซุกซนของเด็กไม่รู้จักโตเพียงคนเดียว

เด็กทุกคนถูกต้อนลงมารวมกันในโรงครัว หลังถูกคาดคั้นสอบสวนเพื่อให้การค้นหาง่ายขึ้นไม่เป็นผล สำรับเย็นที่เตรียมไว้สำหรับเลี้ยงแขกเป็นอาหารมื้อค่ำถูกยกขึ้นเรือนไปจัดขึ้นโต๊ะให้แก่แขกที่รอดูเหตุการณ์อยู่ แต่ส่วนใหญ่ถูกยกกลับลงมาโดยไม่พร่องเลยแม้แต่น้อย

เหล่าต้นเสียงตะเบ็งเรียกคอแทบแตกหวังมีเสียงเด็กชายขานรับกลับมาบ้าง ไม่มีใครคิดว่าการค้นหาจะยากลำบาก และกินเวลานานเช่นนั้น บริเวณรอบบ้านเป็นที่โล่งมีแต่ร่องสวนกับต้นไม้เตี้ย หาได้มีซอกหลืบบดบังสายตานอกจากรัตติกาลที่กำลังทวงคืนแสงสว่างจนมืดสนิทไปทุกตารางนิ้ว

เวลาสองสามชั่วโมงเนิ่นนานราวข้ามคืน ฉันที่ตื่นแต่เช้า และเหน็ดเหนื่อยมาตลอดวันฟุบหน้าคู้ตัวบนพื้นแคร่กลางโรงครัว หวังใช้เวลาระหว่างรองีบหลับเอาแรงโดยมีพวงแก้วนอนอยู่ข้างๆ จวนจะเข้าสู่นิทรารมณ์แล้ว แต่จู่ๆ นางจวงก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า คำรามด้วยเสียงที่ไม่ต่างจากนางสิงห์ถูกพรากลูกไปจากอก

“มึงเอาลูกกูไปซ่อนไว้ไหน อีชำมะนาด”

 



Don`t copy text!