Irrawaddy เกลียวกระซิบ บทที่ 3 : เขี้ยวกระแต
โดย : พงศกร
Irrawaddy เกลียวกระซิบ โดย พงศกร เรื่องราวของมินมิน เด็กสาวผู้มีสายเลือดโยเดียกับเหตุการณ์อันสุดแสนมหัศจรรย์ที่กาลเวลาพาเธอย้อนกลับไปยังอดีต ที่นั่นเธอได้พบกับเจ้าหญิงดารา…เจ้าหญิงชาวโยเดีย ผู้มีชีวิตอยู่ระหว่างความขัดแย้งของเชลยศึกชาวโยเดีย และเจ้าชายสายเลือดอังวะ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์
————————————————
มินตาซุหรือย่านเจ้าฟ้า เป็นย่านที่อยู่อาศัยเก่าแก่ มีผู้คนอยู่กันแน่นขนัด ปัจจุบันนี้จัดว่าเป็นย่านที่จอแจแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์ มินมินเกิดและเติบโตที่นี่ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากหมู่บ้านเล็กๆ จนกลายมาเป็นตำบลใหญ่
พ่อขับรถคันเก่ามารับมินมินกลับบ้าน อายุของรถเท่ากับอายุน้องชายคนรองของมินมิน แต่ถึงจะเก่า หากรถคันนี้ไม่เคยเกเร มันรับใช้ครอบครัวของมินมินมาหลายสิบปีแล้ว
พ่อพารถสีเข้มคันนั้นวิ่งลัดเลาะมาตามถนนที่ทอดคดเคี้ยวไปมา หลบหลีกผู้คนและจักรยานที่วิ่งสวน จนกระทั่งมาจอดลงที่หน้าบ้านไม้หลังใหญ่ใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง
เสียงสุนัขที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้นเห่ากันขรม ครั้นพอพวกมันเห็นถนัดว่ารถที่วิ่งเข้ามาเป็นรถของใครพวกมันก็เลิกเห่าแล้วหันไปวิ่งเล่นกันต่อ
หลังจากส่งมินมินและมารดาเรียบร้อย พ่อก็ต้องกลับไปอยู่เวรรอบดึกที่สำนักงานการไฟฟ้า จะได้กลับมาอีกทีก็พรุ่งนี้เช้า
“อย่าลืมกินยาตามที่หมอสั่งล่ะ มินมิน” ก่อนจะออกรถไป พ่อไม่วายชะโงกหน้ามากำชับลูกสาวคนโตด้วยสายตาเป็นห่วง
“จ้ะพ่อ” มินมินพยักหน้า ส่งยิ้มน้อยๆ ให้ผู้เป็นบิดา
ทันทีที่ย่างเท้าเข้าไปในบ้าน กรุ่นหอมของข้าวมันที่อวลอยู่ในครัว ก็ทำให้มินมินท้องร้อง และน้ำลายสอด้วยความอยากอาหาร ความเครียดที่สะสมมาหลายวันมลายลงไปอย่างง่ายดาย เพียงเพราะอาหารรสมือแม่
“หิวใช่ไหม” ซูยาตีหันมายิ้มให้บุตรสาว “ก่อนไปรับหนูที่โรงพยาบาลแม่หุงข้าวมันไว้ เดี๋ยวหนูขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ แล้วลงมากินข้าวด้วยกัน แม่จะทอดไก่รอ วันนี้เราจะกินข้าวมันไก่ทอดกัน”
“จ้ะแม่” มินมินยิ้มออกมาได้ และดูเหมือนว่านั่นจะเป็นรอยยิ้มแรกของวัน
“ให้ไวนะมินมิน ฉันหิวแล้ว” เฉว่ซอ น้องชายคนรองที่อายุน้อยกว่ามินมินสองสามปี ส่งเสียงมาจากหลังบ้าน ความที่อายุไล่เลี่ยกันทำให้เขาไม่เคยเรียกมินมินว่าพี่
หญิงสาวพยักหน้าให้น้องคนรอง ก่อนจะส่งกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กให้เฉว่บู น้องชายคนเล็ก ช่วยถือขึ้นไปเก็บบนห้อง
“หอม…” เฉว่บูทำจมูกฟุดฟิด
“ข้าวมันของแม่หอมเสมอ” มินมินยิ้ม
“ไม่ใช่” เฉว่บูส่ายหน้า “หอมเหมือนดอกไม้”
ดวงตาเฉลียวฉลาดของเด็กชายวัยแรกรุ่นเหลือบมองผ้าเช็ดหน้าในมือของพี่สาวด้วยความสนใจใคร่รู้
“ในผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมีอะไรเหรอ… พี่เก็บดอกไม้อะไรมา กลิ่นหอมจังเลย”
“เขี้ยวกระแต…” มินมินตอบเสียงผะแผ่ว
เธอปรายหางตามองน้องชาย ก่อนจะถอนใจเบาๆ ด้วยความโล่งอกที่เขาไม่เอ่ยถามว่าเธอเอาดอกเขี้ยวกระแตมาจากไหน
ดวงหน้าของหล่อนอดแดงซ่านด้วยความเขินอายมิได้ เมื่อนึกไปถึงที่มาของเขี้ยวกระแตกิ่งเล็กๆ กิ่งนั้น…
จริงหรือฝัน ฝันหรือจริง… ใครเล่าจะบอกได้
“เฉว่บูเอ๊ย… อย่ามัวไถล ช่วยพี่เอากระเป๋าไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ก็รีบลงมาช่วยแม่ในครัว” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรกันต่อ เสียงมารดาตะโกนบอกเฉว่บูดังแว่วมาให้ได้ยินเสียก่อน
“ครับแม่” เด็กชายตะโกนตอบมารดา ก่อนจะหันมาทำหน้าย่นใส่พี่สาว นาทีนั้นเฉว่บูลืมเรื่องเขี้ยวกระแตไปเสียสนิท
“จริงสิ… มินมิน” ตอนที่เดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน เฉว่บูเขย่ามือพี่สาวเบาๆ “ตอนกลับไปอดีต พี่ได้กินข้าวมันหรือเปล่า”
ฟังคำถามของน้องคนเล็กแล้ว มินมินอดจะหัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้
“ถามทำไม” มินมินเลิกคิ้ว
“ก็พ่อกับแม่พูดเสมอว่าข้าวมันเป็นอาหารที่พวกเรา… ชาวโยเดีย… นำมาเผยแพร่ที่นี่”
พ่อเล่าเรื่องโยเดียให้ลูกๆ ฟังอยู่เสมอ ตั้งแต่มินมินจำความได้แล้ว… พ่อเล่าว่าครอบครัวของเธอสืบเชื้อสายมาจากคนโยเดียที่ถูกกวาดต้อนมาอยู่อังวะ ครั้งนั้นมีผู้คนไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนคน ทั้งเจ้าและไพร่ ทหารและชาวนา นางละครและช่างฝีมือ ผู้คนมากมายเดินทางรอนแรมจากบ้านจากเมือง มาตั้งรกรากอยู่ที่ดินแดนแห่งลุ่มน้ำอิระวดี
นับเป็นการอพยพผู้คนครั้งใหญ่ที่ไม่ง่าย เชลยศึกนับแสน ไม่ได้มุ่งหน้ามาที่อังวะทั้งหมด หากผู้คุมจะปล่อยผู้คนให้ตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มๆ ไปเรื่อยๆ รายทาง จนเมื่อมาถึงอังวะก็เหลือเชลยโยเดียหมื่นกว่าคนเท่านั้น
“ได้กินสิ…” มินมินตอบน้องคนเล็กด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“อร่อยเหมือนที่แม่ทำไหม” ดวงตาของเด็กชายวัยรุ่นเบิกกว้าง
ข้าวมันฝีมือแม่ไม่เหมือนใคร ด้วยสูตรพิเศษที่ตกทอดกันมาในตระกูล จึงทำให้แตกต่างจากข้าวมันที่ขายกันอยู่ในตลาด
ทุกครั้งที่มีการรวมญาติในวันทำบุญประจำปี เฉว่บูจะได้ยินลุงป้าน้าอา… ทุกคนล้วนพูดตรงกันเสมอว่า ข้าวมันที่พวกเขากินกันอยู่นั้น ก่อนหน้านี้พม่าไม่เคยมี
ข้าวมันเพิ่งเกิดขึ้นในพม่าเมื่อสองร้อยห้าสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้เอง เพราะเป็นอาหารของคนโยเดียทำกินกัน ก่อนจะค่อยๆ เผยแพร่ออกไปในวงกว้าง ความนิยมทำให้ข้าวมันถูกพัฒนา ปรับปรุงสูตรจนกลายเป็นอาหารพื้นถิ่นอย่างเช่นทุกวันนี้
“อร่อยสิ” มินมินตอบเสียงแผ่ว นัยน์ตามีร่องรอยรำลึก
สามวันที่หายไปจากโลกปัจจุบัน เธอไปปรากฏตัวอยู่ในโลกอีกใบหนึ่งซึ่งกาลเวลาได้ผ่านเลยไปแล้ว และสามวันในโลกอดีตนั้น เธอได้พบกับความมหัศจรรย์มากมาย หลายเรื่องเธอเพียงแต่เคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าถึง… ใครเลยจะคิดว่า ตนเองจะมีโอกาสได้กลับไปเห็นสิ่งเหล่านั้นด้วยตาตัวเอง…
“อร่อยยังไง เหมือนกับที่เรากินกันไหม” น้องชายซักต่อ ท่าทางของเขาดูไม่ได้แปลกใจอะไรกับการที่พี่สาวบอกว่าได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตกาลสักนิด
“ก็… อือม์…” มินมินขมวดคิ้ว “ก็คล้ายนะ รสชาติคล้ายกัน แต่ข้าวมันที่พี่ได้กิน มันกว่า ข้าวนุ่มกว่า หอมเครื่องเทศมากกว่า พี่ยังได้เข้าไปช่วยในครัวเลย…”
จริงสิ…
คำพูดประโยคสุดท้ายที่เธอเล่าให้เฉว่บูฟัง จุดประกายอะไรบางอย่างขึ้นมาในหัว
ข้าวมันไก่ทอดที่คนมัณฑะเลย์กินกันอยู่ในปัจจุบัน มีรสชาติอร่อยลิ้นก็จริง หากมีอะไรบางอย่างหล่นหายไปในกาลเวลา
ถ้าเพียงแต่เธอจะนำเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ มาปรับสูตรเสียใหม่ ตกแต่งหน้าตาของอาหารให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน มินมินคิดว่าเธอจะได้เมนูฟิวชันที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย แทนที่จะคิดทำอาหารสูตรพิสดารไปส่งครูที่โรงเรียน เธอจะปรับสูตรข้าวมันไก่ทอดนี่ละ… ให้น่าสนใจ
และหล่อนได้แต่หวังว่า ปรมินทร์น่าจะพอใจ
เป็นนักเรียนที่โรงเรียนของเขามาสองปี มินมินพอรู้ว่าชายหนุ่มชาวไทยผู้เคร่งขรึมคนนั้น รักในสายเลือดของตนน้อยอยู่เสียเมื่อไร นอกจากรักในสายเลือดอันเข้มข้นของตนเองแล้ว เขายังชอบตำนาน เรื่องเล่าและเรื่องราวโบราณไม่น้อยไปกว่านักประวัติศาสตร์ที่มินมินเคยรู้จัก
หากเขารู้ว่าอาหารสูตรนี้ มินมินเรียนมาจากต้นตำรับที่เป็นคนโยเดียแท้ๆ ปรมินทร์น่าจะตื่นเต้นมากทีเดียว…
ถ้าเพียงแต่เขาจะเชื่อว่าเธอได้เดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีตจริงๆ
และถ้าเพียงแต่เขาจะอนุญาตให้เธอกลับไปเรียน ส่งการบ้าน และเข้าสอบอีกครั้ง…
พูดถึงปรมินทร์ขึ้นมาครั้งใด มินมินก็อดจะถอนใจยาวมิได้
ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องแคร์ความรู้สึกของเขานักหนา หากเจ้าของโรงเรียนเป็นคนอื่นที่มิใช่เขา มินมินคงจะลาออกจากโรงเรียนตามคำแนะนำของหมอไปแล้ว
แต่เพราะเป็นปรมินทร์ เธอถึงตัดสินใจจะสู้และพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอไม่ได้โกหก
อย่างน้อยๆ ท่าทางตกใจยามที่เธอยื่นพระพุทธรูปทองคำองค์เล็ก ที่ประทับนั่งอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อ ก็บอกให้มินมินรู้ว่าปรมินทร์กำลังหวั่นไหว… ลังเล
ไม่ว่าปากจะพูดอย่างไร หากภาษาร่างกายนั้นไม่เคยโกหก
อาการชะงักงัน และสายตาที่เปล่งประกายวะวับของชายหนุ่มร่างสูง ทำให้มินมินรู้ว่าเขาเริ่มลังเล ใจหนึ่งปรมินทร์เชื่อว่าเธอกลับไปอดีตมาจริงๆ หากอีกใจหนึ่งเขายังปักใจคิดว่าเธอแต่งเรื่องโกหกเถอะ… แล้วกาลเวลาก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าเธอไม่ได้โกหก
ไม่มีความจำเป็นเลยสักนิดที่เธอจะต้องโกหก
ยามอารมณ์ดี คุณยี่ภู่… ครูใหญ่ของโรงเรียนสอนทำอาหาร เคยเล่าให้มินมินฟังว่า ต้นตระกูลของหม่อมหลวงพรรณเพลิน มารดาของปรมินทร์นั้น เป็นเชื้อสายราชวงศ์บ้านพลูหลวง ราชวงศ์สุดท้ายที่ปกครองกรุงศรีอยุธยา ที่บรรพบุรุษชาวอังวะของเธอไปทำสงครามจนชนะเมื่อหลายร้อยปีก่อน
ครั้นพอกรุงแตก บรรพบุรุษของปรมินทร์หนีรอดไปได้ เลยย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากใหม่ที่บางกอก รับราชการเป็นขุนนางสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน
บิดาของปรมินทร์รับราชการกระทรวงการต่างประเทศ ย้ายไปดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ตามประเทศต่างๆ ตกมาถึงรุ่นของปรมินทร์และน้องชายของเขา ก็ถึงจุดเปลี่ยน เมื่อชายหนุ่มทั้งสองเลือกที่จะไม่รับราชการเหมือนอย่างรุ่นปู่รุ่นพ่อ หากทำตามความฝันของตนเองด้วยการเปิดโรงเรียนสอนทำอาหารระดับเวิลด์คลาส
“ผมลงไปก่อนนะ” เสียงของเฉว่บูดึงมินมินออกจากห้วงคำนึง น้องชายวางกระเป๋าเสื้อผ้าไว้ที่ปลายเตียง ก่อนจะเปิดประตูแล้ววิ่งลงบันไดเสียงดังโครมคราม กลับลงไปหาแม่ที่ชั้นล่างอย่างรวดเร็ว
แสงแดดที่ส่องผ่านม่านหน้าต่างสีขาวนั้นเริ่มอ่อนจาง อีกไม่นานสนธยาก็จะคลี่คลุมท้องฟ้า ทุกสรรพชีวิตก็จะหลับไหลไปอีกครั้ง
เมื่อมีเวลาอยู่กับตนเอง มินมินก็สูดลมหายใจลึกๆ พยายามรวมรวบสติ เรียบเรียงว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธออีกครั้ง เสียงสนทนาของแม่และน้องชายที่แว่วมาจากชั้นล่าง เหมือนจะเลือนหายไปชั่วขณะ
กรุ่นหอมของเขี้ยวกระแตยังคงอวลอยู่ในอณูอากาศ เมื่อมินมินทรุดกายนั่งลงบนเตียงแล้วคลี่ผ้าเช็ดหน้าที่ห่อดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์อย่างทะนุถนอม กรุ่นหอมของเขี้ยวกระแตก็อวลตลบ เธอเอื้อมมือสั่นระริกไปหยิบกิ่งไม้เล็กๆ กิ่งนั้นขึ้นมาถือไว้
เธอไม่ได้ซึมเศร้า ไม่ได้คิดไปเอง แต่เธอกลับไปอดีตมาแล้วจริงๆ พระพุทธรูปทองคำและเขี้ยวกระแตกิ่งนี้เป็นหลักฐานยืนยันได้เป็นอย่างดี
เขี้ยวกระแตจากอดีตกาล…
ไม้ดอกหอมหวาน… ที่ใครบางคนมอบให้หล่อนแทนความนัย…
ใครคนนั้นที่จ้องมองหล่อนด้วยสายตาคมกล้าจนหัวใจของมินมินรู้สึกสั่นไหว…
ใครคนนั้นที่ทำให้มินมินเกือบจะตัดสินใจเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต… นั่นก็คือการไม่กลับมายัง พ.ศ. ปัจจุบัน !
Mingun
เหตุการณ์ในวันนั้นยังคงประทับแน่นในความทรงจำของหญิงสาว
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด มินมินมั่นใจว่าเธอจะจดจำมันได้ละเอียด
เพราะหลังจากที่เธอรู้สึกว่าพื้นระเบียงพระเจดีย์โคลงเคลง ระเบียงที่คดโค้งเหมือนกับคลื่นน้ำในอิระวดีกำลังขยับเคลื่อนไหวราวฟันเฟือง มินมินก็หมดสติไปในแทบจะทันที
มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งนั้น ก็เมื่อมีใครบางคนกำลังเรียกหล่อนอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เธอ… เธอ”
เขายืนเว้นระยะห่างอย่างระมัดระวัง ดวงหน้าคมสันนั้นจ้องมองมินมินแน่วนิ่ง หัวคิ้วเข้มขมวดมุ่น เรียวหนวดเหนือริมฝีปากบางเฉียบขับให้ดวงหน้าของเขาเกือบจะดุดัน หากประกายตาที่เปล่งแสงระยับคู่นั้น ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าดูอ่อนโยนลง
“อูย…” มินมินกะพริบตาถี่ๆ เธอเอื้อมมือไปจับราวระเบียง พยายามจะยันกายลุกขึ้น หากแข้งขาอ่อนแรงจนทรงกายแทบไม่อยู่
มือแข็งแรงของเขาเอื้อมมาดึงให้หล่อนลุกขึ้น ดวงตาคู่นั้นยังจ้องมองมาด้วยความสงสัย
“เธอเป็นใคร…”
“ฉัน… เป็นใคร” มินมินทวนคำถามของอีกฝ่ายด้วยความงุนงง “ฉันต่างหาก ที่ต้องถามว่าคุณเป็นใคร”
ดวงตาคู่กระจ่างใสราวลูกแก้วของมินมิน กวาดมองชายหนุ่มร่างสูงล่ำสันตรงหน้าขึ้นๆ ลงๆ อดจะหัวเราะออกมาเบาๆ มิได้ เมื่อพบว่าเครื่องแต่งกายของเขาเหมือนทหารโบราณในภาพเขียนประวัติศาสตร์
ยังจะดาบคู่ที่เขาสะพายไขว้อยู่กลางหลังนั่นอีก ท่าทางคงจะมีกองถ่ายหนังมาแถวนี้
“ยังจะมาพูดเล่น” คราวนี้น้ำเสียงของอีกฝ่ายดุดัน “ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ”
“ฉันก็ไม่ใช่เพื่อนเล่นของคุณเหมือนกัน” มินมินปัดฝุ่นที่เกาะบนลุนตยาผืนยาว ก่อนจะเบี่ยงตัวหลบคนตัวใหญ่ “ฉันไปละ”
“จะไปไหน” เขาเดินตามหลังมินมินมาติดๆ “ยังไปไม่ได้”
“ทำไมจะไปไม่ได้” หญิงสาวหันมาเถียง
“ไปไม่ได้จนกว่าจะรายงานว่าเธอคือใคร” เขาเอ็ดเสียงเข้มหากมินมินไม่สนใจ เธอรีบจ้ำเดินหนีคนตัวโต หากเขายังเดินตามติด
“ทันวิน…”
มินมินพยายามไม่สนใจคนข้างหลัง เธอส่งเสียงตะโกนเรียกเพื่อนชายที่เดินขึ้นบันไดตามมา หากไม่ปรากฏแม้เงาของชายหนุ่มผู้นั้น
“ทันวิน… ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”
ไม่มีคำตอบจากทันวิน และระเบียงพระเจดีย์ดูจะว่างเปล่า มีแค่เธอกับชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้น
“ทันวิน… เธออยู่ที่ไหน”
มินมินยังส่งเสียงเรียกเพื่อนคราวนี้ เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นเพราะมองหาทันวินไม่พบแม้เงา และทันทีที่กวาดตามองไปโดยรอบ หญิงสาวก็ต้องชะงักไป
“เอ๊ะ…”
มินมินอุทาน หัวใจเต้นแรงเร็วเพราะรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง หญิงสาวกะพริบตาถี่ๆ เพราะรู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างผิดแผกไปจากเดิม
รถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่จอดอย่างเป็นระเบียบหายไปไหน…
ไม่มีนักท่องเที่ยว ไม่มีผู้คนเที่ยวเดินถ่ายรูป ยังจะร้านขายของที่ระลึก บ้านเรือนที่ปลูกรายอยู่ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็ไม่มีปรากฏให้เห็น
เธอเหลียวกลับมาทางพระเจดีย์สีขาวบริสุทธิ์ เงยหน้ามองดูยอดทองคำสุกปลั่ง…
แสงจากดวงอาทิตย์ส่องจับยอดสีทองเกิดประกายวับวาว สีทองบนยอดเจดีย์ดูเหมือนจะเปล่งประกายอร่าม ไม่หมองเหมือน Hsinbyume องค์เดิมที่เคยคุ้น สีขาวของพระเจดีย์นั่นเล่า… ก็ดูใหม่ผิดไปจากทุกครั้งที่มินมินเคยเห็น…
ยังจะคราบเก่าคร่ำคร่า และรอยแตกของปูนที่เกิดขึ้นจากกาลเวลา… ก็ไม่ปรากฏ
เหมือนกับมีใครทาสีองค์เจดีย์ ลงมือบูรณะ Hsinbyume ขึ้นมาใหม่ ภายในชั่วอึดใจที่หล่อนหมดสติไปกระนั้น !