เจเน็ต…ดวงมณีแห่งลำน้ำโขง บทที่ 2 : หลานสาวเจ้ามหาชีวิต
โดย :
อัตชีวประวัติของ เจเน็ต ดวงเนตร ที่อ่านเอาอยากให้คุณอ่านออนไลน์ กับเรื่องราวของ “เจเน็ต” หรือ “จันทร์นวล” หญิงสาวลูกครึ่งลาว-ฝรั่งเศส ที่มีชีวิตผกพันตลอดเวลา จากชาติกำเนิดสูงส่ง เธอต้องกลายเป็นกำพร้าทั้งบิดามารดาและโชคชะตาพัดพาให้เธอต้องเดินทางไกลไปหลายประเทศ ก่อนจะมากหยั่งรากลงที่ผืนแผ่นดินไทยในบั้นปลายของชีวิต
****************************
เจ้านางบัวเงินนั่งอยู่ตรงขอบเตียงของลูกสาว แล้วค่อยๆ ถอนหายใจด้วยความสงสาร ลูกสาวที่รักได้แต่งงานกับชายคนรักตามใจปรารถนาแต่… ก็ต้องอยู่อย่างเดียวดายไร้ญาติพี่น้องจากวังหลวง
มีแม่เพียงคนเดียวที่ส่งคนส่งข้าวของมาให้ แม้จะอยากมาหาก็ยังต้องแอบเร้นมา ด้วยเกรงว่าผู้คนในวังหลวงจะเห็น แล้วนำไปเล่าต่อให้เกิดความขัดข้องหมองใจกันอีก แม้แต่สามีเจ้าสีลาก็ยังไม่ละเว้น
เจ้านางนั่งมองใบหน้าอันซีดเซียวของลูกด้วยความเป็นห่วง หมอที่ท่านส่งมารายงานว่า เลือดยังตกไม่หยุด มิน่าล่ะ ใบหน้าถึงซีดลงๆ แบบนี้ คิดพลาง ท่านก็หันไปถามหมอที่เดินตามเข้ามาในห้องว่า
“ หมอจะดูแลลูกข้าอย่างไร? หมอเป็นผู้เดียวที่ข้าวางใจ เลือดตกแบบนี้ไม่ดีแน่! ”
“ ข้าเจ้าพยายามอย่างเต็มที่แล้วเจ้านาง ลองดูไปอีกวัน หากอาการไม่ดีขึ้น ข้าเจ้าก็จะหาหมออื่นมาช่วยตรวจอีกเจ้า ”
“ หมอไปหาเดี๋ยวนี้เลย ประเดี๋ยวลูกข้าจะเป็นอะไรไป ข้าเป็นห่วง เจ้านางจันทร์ฟองอายุยังน้อย เฮ้อ! ข้าจะทำอย่างไรดี? ”
หมอเฒ่ารีบรุดออกไปจากห้อง สวนกับจอร์จซึ่งเดินเข้ามากับผู้ช่วยคำปัน เพื่อมาเป็นล่ามให้
“ กระผมเสียใจที่จันทร์ฟองยังมีอาการไม่ดีขึ้น ที่นี่หมอชาวฝรั่งเศส หรือหมอต่างชาติอื่นๆ ก็ยังไม่มี ถ้าเราอยู่บางกอกหรือเชียงใหม่ หรือเชียงรายก็คงจะดีไม่น้อย เพราะมีหมอสอนศาสนาที่เป็นแพทย์อยู่หลายคน แต่การจะพาจันทร์ฟองเดินทางไปก็คงลำบากเอาการที่เดียว ”
เจ้านางบัวเงินยิ้มให้ลูกเขยด้วยไมตรีจิต แต่มิได้ตอบว่ากระไร ทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เสียงลูกน้อยก็ร้องขึ้น
“ อุแว้… อุแว้… อุแว้…! ”
“ คงหิวนมแน่นอน ”
เจ้านางบัวเงินรีบเข้าไปพยุงลูกสาวพลางถามว่า
“ เจ้าลุกไหวไหม? อยากให้นมลูกไหม? หรือจะให้แม่นมซึ่งแม่หามาให้แล้วเป็นผู้ให้นมแทน? ”
เจ้านางจันทร์ฟองยิ้มอย่างอ่อนเพลีย มิได้พูดจาสิ่งใดออกมา เพียงแต่พยักหน้าเท่านั้น จอร์จ จึงรีบอุ้มลูกขึ้นมาจากอู่ข้างเตียง แล้วค่อยๆ ยื่นให้ภรรยาด้วยท่าทางเคอะเขินไม่ชำนาญนัก เธอยิ้มแล้วพูดว่า
“ ขอบคุณ ”
หนูน้อยอยู่ในอ้อมอกของแม่ ดูดนมหลับตาพริ้ม
เพราะร่างกายสุขภาพไม่ดีนัก เจ้านางจันทร์ฟองจึงมีนมไม่มาก จนต้องหาแม่นมซึ่งคอยอยู่หน้าห้องเข้ามารับหนูน้อยไปให้นมอีกต่อหนึ่ง
ด้วยความอ่อนเพลีย เจ้านางจันทร์ฟองก็ผล็อยหลับไปอีก ฝ่ายมารดาและสามีกับล่ามจึงค่อยๆ ถอยออกจากห้องไป ทิ้งไว้แต่แม่นมซึ่งกำลังให้นมอยู่หลังฉากไม้ฉลุลวดลายที่ตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องนอนอันโอ่โถง
“ นายฝรั่งไปทำงานเถิด เราจะดูแลลูกเอง ”
เจ้านางบัวเงินบอกกับล่ามแปลให้ลูกเขยต่างชาติฟัง จอร์จยิ้มด้วยความขอบคุณ แล้วจึงเดินลงบันไดจากไป เจ้านางจึงเดินกลับไปในห้องลูก ก้มดูลูกด้วยความห่วงใยอย่างเหลือล้น
อาการแบบนี้ไม่ดีแน่สำหรับท้องสาว แต่จะทำประการใด หมอก็ดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว
ใจก็คิดไปถึงวันที่ลูกมาบอกว่าชอบพอกับฝรั่งต่างชาติ ตอนนั้น เจ้านางบัวเงินตกใจแทบสิ้นสติ ยิ่งรู้ว่าบุรุษคนนั้นคือ ข้าหลวง ตำแหน่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินหลวงพระบาง ก็ยิ่งตกใจ เพราะหากเป็นฝรั่งต่างชาติอื่นๆ ที่มาทำงานที่นั้น หรือเป็นพ่อค้าวานิช ท่านก็คงไม่กังวลใจเท่านี้ เพราะอาจปฏิเสธได้
แต่… ในกรณีของจอร์จจะทำประการใด จะปฏิเสธรึ ก็อาจจะสร้างความหมางใจจนลามไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างลาวกับฝรั่งเศสได้ ท่านบอกกับลูกว่า
“ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กน้อยเลย แม่ต้องกราบทูลเจ้ามหาชีวิต ซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่… เป็นลุงของเจ้า ”
เจ้านางจันทร์ฟองนั่งก้มหน้าเงียบ
“ เจ้ารักเขามากนักหรือ? ”
ลูกสาวมิได้ตอบ เพียงแต่พยักหน้าอย่างมั่นคงในการตัดสินใจของตนเอง
“ เอ้อ… แล้วจะอยู่กันอย่างไร? เราไม่รู้จักเขา ไม่รู้ว่าเขาอยู่อย่างไรด้วยซ้ำไป แม่น่ะห่วงนัก ”
ความรักที่มีต่อลูกอย่างเหลือล้นช่วยให้เจ้านางบัวเงินตัดสินใจนำเรื่องขึ้นไปกราบทูลเจ้ามหาชีวิตลาว ในฐานะญาติผู้ใหญ่สูงสุด ท่านคงต้องหาโอกาสในวันที่พระองค์สบายพระทัยจึงจะนำขึ้นกราบทูลได้
คิดแล้วก็ทอดถอนใจ จันทร์ฟองเป็นหลานรักของพระองค์ท่านเพราะช่างพูดช่างฉอเลาะมาตั้งแต่เด็ก หน้าตาน่ารักน่าชังยิ่งนัก ยิ่งเติบใหญ่ก็ยิ่งต้องตาผู้ที่ได้พบเห็น พระองค์ท่านจะมีปฏิกิริยาหรือไม่หนอ ถ้าทรงทราบเรื่องที่หลานรักจะขอแต่งงานกับฝรั่งต่างชาติ คงไม่สบอารมณ์แน่แท้
เพราะนับตั้งแต่ฝรั่งเศสรุกคืบเข้ามาทางเวียตนามเหนือ ลาวก็แทบจะหมดหนทางต่อสู้ ราชอาณาจักรล้านช้างอันสงบเงียบคงพลิกผันไปอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งก็เป็นจริงดังที่คาดเอาไว้ คนลาวแทบจะไม่มีโอกาสได้หยิบอาวุธที่มีอยู่บ้างขึ้นต่อสู้กับอาวุธที่ทันสมัยของฝรั่งเศสได้เลย
“ แล้วจะมาเกี่ยวดองกันได้อย่างไร? ”
เรื่องเป็นไปอย่างที่เจ้านางบัวเงินคิด พระพักตร์ของเจ้ามหาชีวิตเปลี่ยนไปทันทีราวกับว่า ท้องฟ้าที่สดใสกลับดำมืดด้วยแรงกระหน่ำของพายุ
“ กูไม่เคยคิดเลยว่า หลานสาวคนนี้จะทำเรื่องไม่งามหน้าแบบนี้ ให้มันไปตัดสินใจเอาเองว่า ถ้ายังอยากไปอยู่กับฝรั่งต่างชาติ ก็ให้ตัดขาดจากกูอย่างเด็ดขาด อย่าเผยอหน้าให้มาเห็นอีก แม้แต่วังหลวงก็อย่าได้ย่างกรายเข้ามาให้เป็นเสนียดจัญไร เจ้าจงไปบอกมัน บัวเงิน… ”
เจ้านางบัวเงินรีบคลานถดถอยออกมาอย่างตื่นตระหนก เพราะไม่คิดว่าเรื่องราวจะรุนแรงได้เพียงนี้
เจ้านางรีบเดินกลับไปยังคุ้มที่ท่านอาศัยอยู่กับครอบครัวซึ่งตั้งเยื้องไปทางด้านหลังของวังที่ประทับของเจ้ามหาชีวิต ก็พอดีพบกับสามีเจ้าสีลา ท่านจึงเล่าให้ฟัง
เจ้าสีลาเองก็รังเกียจฝรั่งไม่น้อยกว่าเจ้ามหาชีวิต แต่ความรักลูกดั่งดวงใจ ท่านจึงละล้าละลังไม่กล้าตัดสินใจใดๆ
จะยินยอมให้ลูกออกเรือนไปกับฝรั่งต่างชาติก็เท่ากับตัดขาดลูก
ครั้นจะไม่ยินยอมก็เท่ากับทำร้ายหัวใจของลูก แล้วท่านจะทนได้หรือ
เจ้าสีลานั่งนิ่ง ฟังภรรยาเล่าเรื่องราวให้ฟังอย่างละเอียด สักพักใหญ่ท่านก็ให้คนไปตามเจ้านางจันทร์ฟองมาพบในห้องโถงซึ่งท่านนั่งคุยอยู่กับภรรยา เมื่อลูกสาวคลานเข้ามานั่งใกล้ๆ ท่านก็ยกมือขึ้นลูบผมที่ยาวสยายประบ่าด้วยความรักความเอ็นดู แม้จะสรรหาคำพูดใดๆ ก็ดูติดขัดไปหมด แต่ในที่สุดท่านก็ถามขึ้นว่า
“เจ้าพบฝรั่งคนนี้นานแล้วรึ? ”
เจ้านางจันทร์ฟองตอบบิดาไปว่า
“ ลูกเห็นครั้งแรกเมื่อเขาเดินทางมารับงานสืบต่อจากข้าหลวงคนเก่าค่ะ เขามองลูกจนเหลียวหลัง ”
“ เจ้าได้ไปพบเขาอีกใช่ไหม หลังจากนั้น? ”
“ ค่ะ เขาแอบตามไปดูลูกตอนลูกไปเดินตลาดเช้า…เขามาแทบทุกเช้า แล้ววันหนึ่งเขาก็ให้ผู้ช่วยชาวลาวชื่อ คำปัน เข้ามาพูดกับลูก ตอนนั้นเขาพูดภาษาลาวยังไม่ได้เจ้าค่ะ ”
“ แล้วเจ้าไม่บอกพ่อแม่ให้รู้เลยรึ? ”
เจ้านางจันทร์ฟองก้มหน้างุด ไม่ยอมตอบสิ่งใด ในที่สุดก็บอกกับบิดาว่า
“ หลังจากนั้นอีกหลายเดือน ลูกมาเล่าให้เจ้าแม่ฟัง แต่ก็ขอร้องเจ้าแม่มิให้บอกกับผู้ใดเจ้าค่ะ ”
“ แม้แต่พ่อรึ? ”
เจ้าสีลาส่งเสียงเข้มขึ้น เธอมองหน้าบิดาอย่างหวั่นๆ แล้วก็ตอบว่า
“ ลูกกลัวพ่อลงทัณฑ์เจ้าค่ะ ”
เมื่อได้ยินดั่งนี้ เจ้าสีลาก็ดูสงบลงบ้างถึงแม้ใบหน้ายังบึ้งตึงอยู่
“ ลูกเอ๋ย ตอนที่พ่อกับแม่อยู่กินเป็นครอบครัวเดียวกัน เราทำเพราะความรัก ซึ่งก็อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่ที่อยู่โดยรอบ แต่… เจ้า…พ่อจะทำอย่างไรดี องค์ข้าหลวงห้ามเจ้ามิให้แต่งกับฝรั่งคนนี้ แต่จะออกหน้าออกตาก็มิได้ เพราะเขามีตำแหน่งสูง องค์ข้าหลวงกลัวความเดือดร้อนอันจะตกมาสู่เชื้อสาย “เชื้อเจ็ดตน” ของเรา เท่าที่พวกเขายึดราชอาณาจักรลาวก็มากจนเราไม่สามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว แต่นี่… ”
เจ้าสีลาสั่นศีรษะด้วยความอึดอัดใจ ทั้งรักทั้งสงสารลูก ท่านรำพึงอยู่ในใจว่า
“นับตั้งแต่เจ้าเกิดมา เจ้าไม่เคยสร้างความลำบากใจมาให้พ่อเลย พี่ชายของเจ้าเสียอีกที่พ่อหนักใจเพราะชอบดื้อดึงแข็งขืน แต่เจ้ากลับว่านอนสอนง่าย ครั้งนี้คงเป็นครั้งเดียวที่เจ้ามุ่งมั่นตามใจตัวเอง แล้ว…พ่อจะทำอย่างไรดี? ”
เจ้าสีลาไม่พูดจาอะไรอีก แต่เดินลงเรือนออกไปนอกวังหลวง ท่านเดินทักทายผู้คนที่เดินผ่านไปมา เพราะรู้จักกันดีสำหรับเมืองหลวงเล็กๆ เช่นหลวงพระบาง เท้าพาท่านเดินไปเบื้องหน้า กว่าจะรู้สึกตัว ท่านก็มายืนอยู่หน้าที่ทำการอาณานิคมของฝรั่งเศสเรียบร้อยแล้ว
เจ้าสีลายืนนิ่งอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปภายใน ผู้ช่วยชาวลาวหลายคนที่ทำงานอยู่ในนั้นต่างก็รู้จักท่านดี พวกเขากุลีกุจอเชื้อเชิญท่านเข้ามานั่งบนเก้าอี้ ครั้งนี้คงเป็นครั้งแรกกระมังที่ท่านมีโอกาสนั่งเก้าอี้แบบฝรั่ง พอนั่งลงไปแล้ว ท่านก็รู้สึกอึดอัด มันจะสบายไปกว่าตั่งหรือเสื่อสาดได้อย่างไร ขยับก็ยาก ยกขาขึ้นวางก็ไม่ได้เพราะคับแคบ ท่านนั่งอย่างไม่สบอารมณ์นักแต่มิได้ปริปากพูดสิ่งใดออกมา
“ เจ้าชาย…ท่านมาธุระอะไรหรือ? พวกกระผมจะได้ช่วยจัดการให้ ”
“ เรามาพบท่านข้าหลวงจะได้ไหม ”
“ ได้ขอรับ ขอกระผมขึ้นไปเรียนท่านก่อน ”
พูดจบ ผู้ช่วยคนนั้นก็เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนซึ่งมีห้องทำงานของข้าหลวงตั้งอยู่
“ ท่านขอรับ มีคนมาพบขอรับ ”
“ เขาผู้นี้เป็นผู้ใด? ”
จอร์จถามขึ้นเมื่อเงยหน้าขึ้นจากเอกสารปึกใหญ่ทีกำลังอ่านอยู่
“ เจ้าสีลาขอรับ ”
“ เจ้าสีลา… ”
จอร์จคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นบิดาของหญิงสาวที่ท่านรัก ท่านจึงกระวีกระวาดลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วเดินนำหน้าผู้ช่วยลงบันไดไป
เมื่อเข้าไปในห้องที่เจ้าสีลานั่งกระสับกระส่ายอยู่ ท่านก็เห็นบุรุษวัยกลางคนแต่งกายดูดีกว่าคนลาวโดยทั่วๆ ไป ใบหน้าดูหล่อเหลาผิดกับชาวลาวที่ท่านติดต่อด้วย ความสง่างามในท่าทีทำให้จอร์จรู้สึกยำเกรง ผู้นี้เองคือบิดาของจันทร์ฟอง สาวเจ้ามีหน้าตาคล้ายบิดามากกว่ามารดา จอร์จรีบเอ่ยขึ้นมาก่อนว่า
“ เจ้าสีลา กระผมยินดีที่ได้พบขอรับ ”
เจ้าสีลานิ่งอยู่ครู่ใหญ่ แล้วค่อยๆ เรียบเรียงคำพูดออกมาว่า
“ เราเป็นพ่อของเจ้านางจันทร์ฟอง ”
“ กระผมทราบดีขอรับ ”
เจ้าสีลารู้สึกพอใจในกิริยานอบน้อมของบุรุษผู้นี้ ท่านจึงพูดออกมาอย่างไตร่ตรองว่า
“ ลูกสาวของเรามาพูดกับเราเรื่องท่านกับนาง เรายังไม่ตัดสินใจว่าควรจะทำอย่างไรดี จึงมาหาท่านก่อน ”
“ กระผมรักเจ้านางจันทร์ฟองตั้งแต่แรกเห็น นับว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตที่กระผมมีความรู้สึกเช่นนี้ ถ้าหากเจ้าสีลาไม่รังเกียจฝรั่งอย่างกระผม กระผมสัญญาว่าจะดูแลจันทร์ฟองในฐานะภรรยาให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายดังเช่นกระผมจะมีให้ได้ ”
เจ้าสีลารับฟังโดยยังมิได้ตอบสิ่งใด ใจก็คิดโอนอ่อนไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ในความเป็นบิดา ท่านก็ยังไม่อาจทำอะไรได้ แต่ก็ตอบแบบทดสอบอีกฝ่ายหนึ่งออกไปว่า
“ ท่านสัญญาว่าจะมาสู่ขอลูกของเราตามประเพณีไหม? ลูกเรามีเชื้อสายเจ้านายลาว จะลักลอบทำกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นเราจะไม่ยกลูกของเราให้ท่าน ”
“ แน่นอนอยู่แล้วขอรับ เจ้านางจันทร์ฟองจะเป็นภรรยาของกระผมอย่างถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นประเพณีลาวหรือประเพณีฝรั่งเศส กระผมจะรักและดูแลเธอจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ”
เจ้าสีลาเดินออกมาจากที่ทำการอาณานิคมฝรั่งเศสอย่างใจลอย ความรักลูกทำให้ท่านเป็นได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ท่านแทบจะไม่เชื่อตนเองเลย ท่านบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ภรรยาฟัง เจ้าบัวเงินจึงยิ้มออกมาด้วยความพอใจในผลที่เกิดขึ้น