ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 15 : สุขสันต์วันเกิด

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 15 : สุขสันต์วันเกิด

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

อคิราห์เห็นข่าวในโลกโซเชียลที่คนแชร์กันออกไป ข้อความก่นด่าต่อว่าปัณฑารีย์ทั้งที่ไม่รู้ความจริง ไม่แม้จะเคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน แต่ทุกคนต่างสนุกสนาน สะใจ กับการได้วิพากษ์วิจารณ์ด้วยถ้อยคำรุนแรง ประหนึ่งเป็นเรื่องในครอบครัวตัวเอง เขาสงสารและเห็นใจหญิงสาวมากที่ต้องตกเป็นเหยื่อแต่ก็ไม่กล้าที่จะไปหาหรือโทร.ไปให้กำลังใจ เพราะตัวเองก็เป็นส่วนหนึ่งในเรื่องวุ่นวายนั้นด้วย ถ้าพูดอะไรผิดออกไป อาจจะทำให้เธอคิดมากกว่าเดิม

จนกระทั่งรู้ว่าเย็นนี้ปัณฑารีย์จะมาหาโอโซน เขาจึงรีบสะสางงานที่โรงพยาบาลให้เสร็จโดยเร็ว และรีบกลับบ้านเพื่อมาทำความเข้าใจกับเรื่องราวที่เขาเองก็ถูกพาดพิงโดยไม่เต็มใจ แต่เมื่อมาถึงบ้าน ภาพแรกที่เขาได้เห็นคือ อชิระกำลังกุมมือของปัณฑารีย์ ให้กำลังใจเธออย่างใกล้ชิด ชายหนุ่มหลบเข้ามุม ซ่อนตัวเหมือนหัวขโมยที่กลัวถูกเจ้าของบ้านจับได้

“ปันอย่าไปสนใจพวกโซเชียลเลยนะ คนพวกนั้นไม่มีใครรู้จักเราสักคน มีปากก็พูดกันไป เอาสะใจเข้าว่า เสพดรามาเป็นอาหารสามมื้อ ถ้าเราไปใส่ใจกับความเห็นพวกนั้น มีหวังโรคซึมเศร้าถามหาแน่” อชิระพูดปลอบใจปัณฑารีย์ที่ดวงหน้าเศร้าหมอง

“ปันก็รู้ว่าเราไม่ควรจะเก็บเอาสิ่งที่คนอื่นพูดมาใส่ใจ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวเราไม่สนหรอก แต่มันกระทบกับชื่อเสียงของมหา’ลัย ไปด้วย ปันรู้สึกไม่ดีเลย” หญิงสาวพูดอย่างท้อแท้

“ผู้ใหญ่เขารู้สถานการณ์ดี เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่ เกิดออกบ่อย ปันทำใจให้สบายดีกว่า ผมจะไม่ยอมให้ปันต้องเผชิญเรื่องไร้สาระแบบนั้นคนเดียวหรอก ผมจะหาให้ได้ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวบ้าๆ นั่น และจับมันมาตอกเล็บให้สารภาพ” ชายหนุ่มทำท่าประกอบ จนหญิงสาวยิ้มออกมา หลายครั้งที่รู้สึกไม่สบายใจ แต่ถ้าได้พูดคุยกับอชิระเธอจะรู้สึกดีขึ้น เพราะเขามีวิธีที่ทำให้เธอยิ้มได้อย่างง่ายดาย

“ขอบคุณนะคะ เราเข้าบ้านกันดีกว่า ป่านนี้เจ้าตัวแสบคงกินขนมหมดกล่องแล้วมั้ง” เมื่อรู้สึกดีขึ้นหญิงสาวจึงชวนเจ้าของบ้านเข้าข้างใน เพราะกลัวว่าขนมลูกชุบกล่องใหญ่ที่ซื้อมาฝากทุกคนในบ้าน จะถูกโอโซนแอบกินจนหมด

ปัณฑารีย์ควงแขนอชิระเข้าไปในบ้านอย่างสนิทสนม ไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่าความเป็นเพื่อน แต่คนที่ถูกควงแขนแอบหน้าแดง ยิ้มแก้มแตกเพราะเขิน ส่วนชายหนุ่มอีกคนที่แอบซ่อนอยู่ในหลืบเร้น สีหน้าเศร้า หัวใจเจ็บจี๊ดเหมือนถูกเข็มทิ่มจนพรุน เรี่ยวแรงที่จะเดินเข้าบ้านแทบไม่มี

“นี่ก็ใกล้จะถึงวันเกิดโอโซนแล้ว แกคิดหรือยังว่าจะทำยังไงต่อไป จะล่องหนหายตัวไปเฉยๆ เลยหรือไง” หลังจากที่ปัณฑารีย์กลับไป อมรก็คาดคั้นถามสิ่งที่อยากรู้กับลูกชายคนโต แม้เด็กน้อยจะมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน แต่เขารู้สึกผูกพันจนอยากได้เป็นหลานจริงๆ ถ้าโอโซนต้องจากเขาไปไม่กลับมาเยี่ยมหาเลย บ้านนี้ก็คงกลับสู่ความเงียบเหงา เขาเองก็คงคิดถึงเจ้าตัวเล็กจอมวุ่น

“ก็คงอย่างนั้นครับ เพราะผมรับปากกับปันไว้แล้วว่า จะบอกโอโซนว่าต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ และอาจจะไม่กลับมาอีก จนกว่าโอโซนจะโตพอจนเข้าใจอะไรง่ายขึ้น ถึงจะบอกความจริงเรื่องพ่อของเขาครับ” ชายหนุ่มตอบพ่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่แฝงความหดหู่

“แล้วแกไม่กลัวว่าโอโซนจะกลายเป็นเด็กเก็บกดเหรอ พ่อสงสารเด็กมัน” ชายสูงวัยเสียงเศร้า

“ผมเองก็ชอบอยู่กับโอโซนนะครับ พอมีเด็กอยู่ด้วย ชีวิตก็ดูสดใสมีสีสัน” แม้แต่อชิระก็รู้สึกสนุกที่ได้เล่นกับเด็กน้อยทุกวัน โอโซนนอกจากจะน่ารักน่าชัง ยังเป็นเด็กเลี้ยงง่ายไม่งอแง ฉลาดทันคน ทำให้ผู้ใหญ่ที่อยู่รอบข้างหลงรักได้ไม่ยาก

“จะทำยังไงได้ล่ะครับ เขาก็ไม่ใช่ลูกหลานพวกเรา ยังไงก็ต้องปล่อยเขาไป” ถึงจะพูดแบบนั้นออกไป แต่ชายหนุ่มก็รู้สึกโหวงๆ เมื่อนึกถึงวันที่ไม่มีเจ้าตัววุ่นป่วนอยู่ในบ้าน

“หรือว่าเราตรวจดีเอ็นเอมั้ยพี่ซัน” อยู่ๆ อชิระก็เสนอความคิดที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง นิ่งอึ้งไปตามๆ กัน

“ทำไมแกถึงคิดตรวจดีเอ็นเอ หรือว่าพวกแกกับหนูปันมีอะไรกันหรือเปล่า” คนเป็นพ่อแตกตื่นเพราะคิดไปว่าลูกชายทั้งสองคนอาจแอบมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนเดียวกัน

“ไม่ใช่ครับพ่อ พวกเราไม่ได้มีอะไรกันแบบที่พ่อคิดหรอกครับ ใครจะไปทำแบบนั้น” อชิระส่ายหน้าเหนื่อยใจกับความคิดของพ่อ

“ก็เห็นแกพูดว่าจะตรวจดีเอ็นเอ ถ้าไม่เคยมีอะไรกันทำไมต้องสงสัยจนถึงกับตรวจดีเอ็นเอเลยล่ะ” อมรมองหน้าลูกชายทั้งสองคนอย่างคาดคั้น นี่เขากำลังพลาดอะไรไปหรือเปล่า

อชิระกลัวพ่อจะคาดเดาและเข้าใจผิดไปกันใหญ่ จึงเล่าเรื่องที่ปัณฑารีย์ไปซื้อน้ำเชื้อจากผู้บริจาคมาผสมเทียม ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเดียวกับพวกเขาสองคนเคยบริจาคน้ำเชื้อเอาไว้ พอได้ฟังอมรก็ถึงกับตาโตด้วยความคาดไม่ถึงว่าอะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น

“แบบนี้พวกแกรีบตรวจเลย พ่อว่าเป็นไปได้นะ” คนแก่ตาเป็นประกายเริ่มมีความหวังว่าเจ้าตัวเล็กจะกลายเป็นหลานจริงๆ ขึ้นมา

“แต่มันหนึ่งในล้านเลยนะครับพ่อที่จะบังเอิญขนาดนั้น” อคิราห์รีบสกัดความคิดของพ่อเอาไว้ก่อน เพื่อไม่ให้ตั้งความหวังมากเกินไป

“ใครจะไปรู้ บางทีฟ้าอาจลิขิตมาให้โอโซนเกิดเป็นหลานฉันก็ได้” อมรรู้สึกมั่นใจแปลกๆ

“แต่ผมไม่อยากตรวจ” จู่ๆ อคิราห์ก็พูดออกมาอย่างจริงจัง

“ทำไมล่ะพี่ซัน พี่ไม่อยากรู้เหรอว่าโอโซนเป็นลูกของพี่หรือเปล่า” น้องชายมองหน้าพี่อย่างสงสัย

“ฉันคิดว่าปันคงไม่อยากถูกละเมิดความเป็นส่วนตัวหรอกนะ เขาอาจจะไม่อยากรู้เลยก็ได้ว่าใครเป็นพ่อของลูก ถ้าอยู่ๆ เราไปขอตรวจดีเอ็นเอลูกเขา เขาก็จะคิดยังไง” ด้วยความเป็นหมอเขาจึงให้ความสำคัญกับสิทธิของผู้อื่น โดยเฉพาะเด็ก

เป็นอันว่าอชิระกับพ่อจึงต้องหยุดพูดเรื่องการตรวจดีเอ็นเอกับอคิราห์ ไม่อย่างนั้นจะถูกคุณหมอจัดบรรยายเรื่องสิทธิและการละเมิดความเป็นส่วนตัวให้ฟังยาวเหยียดเป็นแน่ ทั้งหมดจึงพร้อมใจกับแยกย้ายสลายตัวไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวที่จะไม่ถูกใครมาละเมิด

แม้จะไม่เห็นด้วยกับการตรวจดีเอ็นเอ แต่ความอยากรู้ทำให้อคิราห์ติดต่อกลับไปที่โรงพยาบาลแพทย์ที่เขาบริจาคน้ำเชื้อไว้ และขอข้อมูลการนำน้ำเชื้อไปใช้ ซึ่งทางโรงพยาบาลบอกได้แค่ว่าได้ทำการนำไปใช้แล้วสามครั้ง สองครั้งแรกผสมไม่สำเร็จ ส่วนครั้งที่สามได้นำไปผสมกับผู้รับบริจาคคนหนึ่งเมื่อเจ็ดปีที่แล้วและสำเร็จด้วยดี แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าผู้รับบริจาคเป็นใคร สัญชาติใด เพราะเป็นการละเมิดสัญญา แต่ข้อมูลเพียงเท่านี้ก็ทำเอาชายหนุ่มร้อนรนจนข่มตานอนไม่ลง ในใจคิดวนเวียนไปว่าโอโซนอาจจะเป็นลูกชายของเขาจริงๆ ก็ได้

“โอโซนครับ ถ้าพ่อหายตัวไป โอโซนจะคิดถึงพ่อมั้ย” อคิราห์ถามขึ้นขณะที่ขับรถไปส่งเด็กน้อยที่โรงเรียน

“คิดถึงสิคับ แต่โอโซนจะไม่ให้พ่อหายตัวไปไหนหรอก พ่อต้องอยู่กับโอโซนทุกวัน” เจ้าตัวเล็กยิ้มให้พ่อ ไม่เอะใจสักนิดว่าวันเวลาแห่งความสุขกำลังจะหมดไป

“แต่ถ้าพ่อต้องหายไปจริงๆ ล่ะ” เขาถามย้ำ

“โอโซนก็จะเสียใจ ร้องไห้คิดถึงพ่อ” โอโซนมองหน้าพ่อด้วยสายตาที่จริงจัง

ชายหนุ่มหวนคิดถึงแม่ของเขาที่หายไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย จนถึงทุกวันนี้เขาก็ยังคงโหยหาความรักจากแม่ โอโซนก็คงเหมือนกัน ถ้าพ่อหายไป เด็กน้อยก็คงทรมานใจที่ต้องสูญเสียความรักไม่ต่างจากเขา

 

อชิระชะงักมือที่กำลังจะเคาะประตูห้องทำงานของปัณฑารีย์ เขาครุ่นคิดลังเลว่าควรจะเข้าไปพูดเรื่องขอตรวจดีเอ็นเอดีหรือไม่ ถ้าปัณฑารีย์ไม่เห็นด้วยและไล่เขาออกมา คงมองหน้ากันไม่ติดไปอีกนาน แต่ถ้าเธอเห็นด้วยทุกอย่างก็จะคลี่คลายเสียที ไม่ต้องมีอะไรติดค้างในใจอีก

“เอาไงดีหว่า” อาจารย์หนุ่มพึมพำเบาๆ สีหน้าไม่แน่ใจ “เอาไงเอากัน ดีกว่าค้างคาใจ” เมื่อตัดสินใจได้ ชายหนุ่มก็กลั้นใจเคาะประตูเป็นสัญญาณให้คนข้างในรับรู้ ก่อนที่จะผลักประตูห้องเข้าไป

ขวัญสุดาที่เฝ้าสังเกตท่าทางแปลกๆ ของอชิระ อยู่ห่างๆ ด้วยความสงสัย เมื่อเห็นเขาเปิดประตูเข้าไปในห้องของปัณฑารีย์ หญิงสาวจอมจุ้นจึงรีบดิ่งไปมุมห้องซึ่งติดกับห้องทำงานของรองคณบดี มุมนั้นมีช่องลมที่สามารถได้ยินการพูดคุยภายในห้องได้อย่างชัดเจน เป็นจุดที่เธอค้นพบโดยบังเอิญตั้งแต่สมัยรองคณะบดีคนเก่า ขวัญสุดาจึงใช้จุดนี้แอบฟังคนในห้องคุยกันอยู่เสมอ เธอเรียกมันด้วยชื่อที่เป็นทางการว่า ช่องทางการรั่วไหลของความลับ

“ผมกับพี่ซันเคยบริจาคน้ำเชื้อไว้ที่โรงพยาบาลที่ปันไปใช้บริการ” คำบอกเล่าที่ตรงประเด็นของชายหนุ่มทำเอาปากกาในมือสาวเจ้าของห้องร่วงลงอย่างไม่รู้ตัว

“พวกคุณเคยบริจาคสเปิร์มไว้ที่นั่นเหรอคะ” เธอถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าหูไม่ได้เพี้ยน

“ครับ ตั้งแต่สมัยที่เราไปเรียนต่อก็เกือบสิบปีได้แล้ว”

คำตอบของอชิระ เหมือนไขควงอันใหญ่ที่มาคลายนอตในหัวของเธอ กับคำถามที่ว่าทำไมลูกชายสุดที่รักจึงมีพฤติกรรมคล้ายกับคนบ้านนั้นจนน่าประหลาดใจ แต่ก็ยังคลายไม่สุดเพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไร ที่เธอจะหยิบได้น้ำเชื้อของใครคนใดคนหนึ่งในสองพี่น้อง ความบังเอิญนั้นแทบจะเป็นศูนย์ด้วยซ้ำ

แต่ถ้าคิดย้อนกลับไป หญิงสาวตั้งใจระบุคุณสมบัติที่ต้องการโดยมีอคิราห์เป็นต้นแบบ เพราะเธออยากได้ลูกที่เหมือนกับเขา ทั้งรูปร่างหน้าตา เชื้อชาติ ความสามารถ ไอคิว แม้แต่ชื่อของจริงของโอโซน เธอยังตั้งขึ้นมาให้คล้ายกับว่าเป็นพ่อลูกกัน ถ้าเช่นนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่า โชคชะตาเล่นตลกกับเธอเข้าแล้ว

“ผมอยากตรวจดีเอ็นเอให้รู้ไปเลยว่า โอโซนเป็นลูกของผมหรือพี่ซันหรือเปล่า ปันจะขัดข้องมั้ยครับ” ในที่สุดเขาก็รวบรวมความกล้าพูดออกไป

“ตรวจดีเอ็นเอ!” เขามีเรื่องให้เธอตกใจทุกนาทีเลยสินะ

“ผมรู้ว่าเป็นคำขอที่ประหลาด แต่ปันเองก็เห็นใช่มั้ยว่าโอโซนเหมือนกับพวกเรามาก เหมือนจนตอนนี้พ่อผมคิดว่าเขาเป็นหลานจริงๆ ไปแล้ว”

“และถ้าผลออกมาว่าเขาไม่ใช่ลูกของพวกคุณคนใดคนหนึ่งล่ะคะ ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย จะเกิดอะไรขึ้น” หญิงสาวถามด้วยความหวั่นใจ ทั้งอยากรู้และกลัวไปพร้อมๆ กัน เธอมีประกายแห่งความหวังขึ้นมา ว่าการได้เจอพ่อของโอโซนจะทำให้ลูกมีความสุข แต่ถ้าผิดหวัง หรือไม่เป็นอย่างที่คิด เธอจะต้องทำอย่างไรต่อไป

“ไม่ว่าโอโซนจะเป็นสายเลือดของเราหรือไม่ พวกเราทุกคนก็รักโอโซนครับ และผมเองก็พร้อมจะดูแลคุณสองคนไปตลอดชีวิต ถ้าปันไม่รังเกียจ”

ปัณฑารีย์อึ้ง คิดไม่ถึงว่าอชิระจะพูดความรู้สึกในใจออกมาตรงๆ เธอรู้สึกดีที่เขาเห็นคุณค่าในตัวเธอกับลูก ถ้าเป็นชายหนุ่มคนพี่พูดแบบนี้บ้าง เธอคงมีความสุขจนตัวลอย แต่มันก็เป็นแค่จินตนาการที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ดังนั้น คำพูดของอชิระก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาได้บ้าง

“ขอปันคิดก่อนนะคะ เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างอ่อนไหวมาก ปันเองก็ไม่รู้ว่าจะรับผลที่ออกมาได้หรือไม่” เมื่อยังกลัวกับคำตอบที่คาดเดาไม่ได้ เธอจึงขอใช้เวลาในการใคร่ครวญให้ดีเสียก่อน ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่ขัดใจ

“ครับ ผมเข้าใจ และเคารพการตัดสินใจของปัน”

อชิระออกจากห้องของปัณฑารีย์ไป ปล่อยให้เธอไตร่ตรองทุกอย่างเพียงลำพัง โดยไม่เอะใจสักนิดว่าเรื่องที่พวกเขาคุยกัน ได้เข้าหูคนที่จ้องทำลายความสุขของปัณฑารีย์หมดแล้ว

ขวัญสุดาตกตะลึงจนแทบลืมหายใจกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อตั้งสติได้ เธอก็ไม่รอช้ารีบนัดตีรณาออกมาเพื่อบอกเล่าความลับสุดยอด หวังว่าสาวไฮโซจะลุกขึ้นมาอาละวาดและเล่นงานปัณฑารีย์จนไม่มีที่ยืน แต่ผิดคาดตีรณารับฟังเธออย่างใจเย็น ไม่แสดงความรู้สึกโกรธเกรี้ยว เหมือนกับว่ารู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ทำให้คนขี้ฟ้องทั้งประหลาดใจและขัดใจไปพร้อมกัน

“ท่าทางคุณตีรณาไม่แปลกใจเลยนะคะ”

“ฉันรู้อยู่แล้วค่ะว่าซันเขาเคยบริจาคน้ำเชื้อให้กับโรงพยาบาล ถ้าปัณฑารีย์จะบังเอิญได้น้ำเชื้อของซันไปผสมเทียม ก็ไม่แปลกค่ะ” สาวสวยจิบกาแฟด้วยท่าทางไม่หวั่นไหว ขวัญสุดาหมั่นไส้ท่าทางที่ยินดียินร้ายนั้น จนอยากคิดปั่นประสาทเล่น

“แต่ถ้าผลออกมาว่าคุณหมอเป็นพ่อของลูกอาจารย์ปัน คุณหมอจะไม่รีบรับแม่ลูกคู่นั้นเข้าบ้านในฐานะภรรยาและลูกเหรอคะ”

“ซันไม่ใช่คนคิดน้อยค่ะ เขาเป็นคนมีเหตุผลและมาตรฐานสูงกับทุกเรื่อง ฉันมั่นใจว่าเขาจะไม่ใช้อารมณ์ในการแก้ปัญหาใดๆ ค่ะ” ตีรณาวางแก้วกาแฟลง สีหน้าเรียบเฉย

“ก็ดีค่ะ แสดงว่าที่คุณหมอมาหาอาจารย์ปันบ่อยๆ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลอะไร ทีแรกขวัญก็คิดว่าอาจารย์ปันชอบคุณหมอเสียอีกเลยนัดมาเจอกันบ่อยๆ แต่พอได้ฟังคุณตีรณาพูดอย่างมั่นใจ ขวัญก็สบายใจค่ะ ถ้าอย่างนั้นขวัญขอตัวกลับก่อนนะคะ พอดีช่วงบ่ายมีสอนค่ะ” ขวัญสุดาคว้ากระเป๋าลุกขึ้น แอบเหลือบมองสีหน้าของตีรณาที่ตอนนี้เคร่งเครียดจนเห็นได้ชัด มือเรียวสวยบีบกันไว้แน่น เป็นสัญญาณของความกังวล

ขวัญสุดายิ้มหยัน คำพูดเพียงแค่นี้ก็ทำให้สาวสวยผู้มาดมั่นถึงกับสั่นคลอนได้ คิดว่าจะหนักแน่นและมั่นใจมากกว่านี้เสียอีก ที่แท้ก็เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่พร้อมจะหวั่นไหวเมื่อเป็นเรื่องของผู้ชายที่ตัวเองเป็นเจ้าของ ขวัญสุดาจากไปพร้อมระเบิดลูกใหญ่ที่ทิ้งไว้ให้ตีรณา

ตีรณาเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างอ่อนล้า เหม่อมองไปนอกร้านกาแฟ ผนังกระจกใสทำให้เธอเห็นความวุ่นวายในเมืองหลวง ผู้คนมากมายที่เดินสวนกันไปมา รถราที่ติดหนึบอยู่บนถนน รถไฟฟ้าวิ่งสวนกันทุกห้านาที แต่ถึงแม้ภายนอกจะอลหม่านเพียงใด ก็ไม่เท่าในใจที่ว้าวุ่นของเธอตอนนี้ คำพูดของขวัญสุดาที่บอกว่าคู่หมั้นของเธอแอบไปหาปัณฑารีย์บ่อยๆ ยังก้องอยู่ในสมอง ความรู้สึกหึงหวงแผ่ซ่านไปทั่วกาย เธอพยายามเก็บอาการไม่ให้ร้อนรน นั่งนิ่งๆ ให้ทุกสรรพสิ่งรอบตัวปลอบประโลมใจ กลิ่นกาแฟหอมๆ เพลงเบาๆ บรรยากาศสวยๆ ในร้านกาแฟหรู ไม่ได้ช่วยให้เธอผ่อนคลาย แต่กลับทำให้ร้อนใจมากขึ้น เมื่อไฟแห่งความสงสัยลุกลามจนเกินจะดับได้ หญิงสาวจึงผลุนผลันออกจากร้าน มุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาล ความจริงเท่านั้นที่จะทำให้ใจของเธอสงบ

อคิราห์กำลังคุยกับพยาบาลในตอนที่ตีรณาดิ่งเข้าไปหาเขา สีหน้าท่าทางของเธอบ่งบอกถึงความไม่พอใจบางอย่าง ชายหนุ่มบอกให้เธอไปรอที่ห้องทำงาน แต่เธอไม่ยอม ยังคงยืนกดดันให้เขาตามเธอออกไป หมอหนุ่มจึงต้องหยุดคุยงานและเดินตามคู่หมั้นไปด้วยอาการหงุดหงิด หลายครั้งที่ตีรณามักเอาแต่ใจโดยไม่ฟังเหตุผล ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ความอดทนของเขาน้อยลงทุกที

“คุณมีเรื่องด่วนอะไร ทำไมถึงรอไม่ได้” ทันทีที่ปิดประตูห้องทำงาน อคิราห์ก็ถามเสียงห้วน บ่งบอกถึงความไม่พอใจ

“ทำไมคุณถึงไปหาปัณฑารีย์ที่มหา’ลัยบ่อยๆ คุณสองคนมีอะไรกันหรือเปล่า คุณชอบเธอหรือว่าเธอชอบคุณ” ความรุ่มร้อนในใจทำให้เธอไม่คิดจะเก็บความรู้สึกเอาไว้อีกแล้ว

“เรื่องนี้เองใช่มั้ย ที่ทำให้คุณใส่ร้ายปันว่าคิดจะแย่งผมไปจากคุณ” สีหน้าของเขาบึ้งตึง แสดงออกอย่างไม่ปิดบังว่าไม่พอใจ

“ใส่ร้ายเหรอคะ เรื่องที่ฉันพูดมีตรงไหนที่ไม่จริง คุณช่วยบอกหน่อยสิ” ถึงตอนนี้สาวสวยไม่สามารถที่เก็บความรู้สึกน้อยใจได้อีกแล้ว เธอเองก็มีหัวใจเหมือนกัน ทำไมคนที่เป็นคู่หมั้นถึงไม่เคยใยดีกับความรู้สึกของเธอเลยสักนิด

“ปันไม่เคยคิดแย่งผมไปจากคุณเลย ถ้าผมจะไปผมก็ไปด้วยตัวของผมเอง ไม่ต้องมีใครมาแย่งหรือชี้นำทั้งนั้น”

ตีรณาตะลึง คิดไม่ถึงว่าเขาจะกล้าใช้คำพูดที่ทำร้ายจิตใจเธอเพื่อปกป้องผู้หญิงคนนั้น

“ถ้าพูดกันขนาดนี้ คุณก็บอกมาตรงๆ ก็ได้ว่าอยากเลิกกับฉัน ไม่ต้องมาทำเป็นอ้อมค้อม ฉันเองก็ทนไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” หญิงสาวเสียงสั่นเครือ ทั้งที่พยายามไม่แสดงความอ่อนแอออกมา

“ก็แล้วแต่คุณ ถ้าต้องฝืนด้วยกันทั้งคู่ ปล่อยมือตอนนี้น่าจะดีกว่า” อคิราห์สีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาสลดลง เขาไม่ได้เสียใจที่จะต้องเลิกกับเธอ แต่รู้สึกผิดที่ทำให้ตีรณาต้องมาเสียเวลากับความขี้ขลาดของเขา ถ้ากล้าบอกเธอไปตั้งแต่แรกว่าไม่ได้รัก ป่านนี้หญิงสาวคงไปมีชีวิตที่ดีกว่า

ตีรณาน้ำตาไหลออกมา มองหน้าคู่หมั้นด้วยแววตาตัดพ้อและชิงชัง เขาไม่คิดจะหยุดยั้งเธอด้วยซ้ำ แต่กลับแสดงความต้องการที่จะเดินจากไปอย่างไม่ปิดบังความรู้สึก นี่น่ะหรือคือผู้ชายที่เธอเคยภาคภูมิใจ เที่ยวได้อวดใครต่อใครว่าเธอแสนโชคดีที่มีคู่หมั้นอย่างเขา

“ที่ผ่านมาฉันทำตัวเป็นคนรักที่ดีของคุณ ไม่เคยทำอะไรเสียหาย แต่คุณก็ไม่เคยเห็นความดีของฉันเลยสักนิด คุณมีแต่ความเย็นชา ไม่ยินดียินร้ายกับความสุขความทุกข์ของฉันเลย ฉันพยายามปลอบใจตัวเองว่าคุณคงแสดงความรู้สึกไม่เก่ง พูดไม่เก่ง แต่ที่จริงคือคุณไม่เคยมีหัวใจให้ฉันต่างหาก ทำไมคุณไม่เคยบอกฉัน ทำไมปล่อยให้ฉันดันทุรังพยุงความสัมพันธ์ของเราอยู่ฝ่ายเดียว คุณใจร้ายมากรู้มั้ย คุณมันคนไม่มีหัวใจ…ฉันเกลียดคุณ” ตีรณาปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมาโดยไม่ฝืนอีกต่อไปแล้ว ความอัดอั้นตันใจหลายปีของเธอถูกปลดปล่อยออกมา แต่เธอจะไม่ยอมแพ้ปัณฑารีย์ ผู้หญิงคนนั้นจะแย่งทุกอย่างของเธอไปไม่ได้ ไม่มีวัน…

 

ลูกโป่งสีสันสดใสลายการ์ตูนจำนวนมาก ถูกประดับประดาไว้ทั่วสนามหญ้าหน้าบ้านอมร สายรุ้งวิบวับหลากสีสันโยงไปทั่วสนามด้วยเช่นกัน ธงกระดาษตัวอักษร Happy Birth Day ขนาดใหญ่ ถูกขึงไว้ตรงกลาง ตามด้วยชื่อเจ้าของวันเกิด บริเวณสนามหญ้ามีโต๊ะตัวใหญ่ปูผ้าลายน่ารัก บนโต๊ะมีอาหารคาวหวานจำนวนมาก ใกล้กันเป็นโต๊ะวางของขวัญที่ตอนนี้มีกล่องของขวัญจำนวนหนึ่งวางตั้งไว้แล้ว

อมรลงทุนเช่าเครื่องเล่นบ้านลมขนาดใหญ่มาตั้งไว้ให้หลานชายคนโปรดและเพื่อนๆ ได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กๆ คือเสียงแห่งความสุขที่คนแก่ได้ฟังแล้วเพลิดเพลิน อิ่มอกอิ่มใจ

“คุณปู่คับ โอโซนกินน้ำอัดลมได้มั้ย” โอโซนวิ่งเหงื่อท่วมเข้ามาหา เห็นเพื่อนๆ ดื่มน้ำอัดลมเขาจึงอยากดื่มบ้าง

“ได้สิ แต่อย่าบอกพ่อเรานะ ปู่โดนสวดยับแน่” อมรมองซ้ายมองขวาไม่เห็นวี่แววของลูกชายคนโต เขารีบรินน้ำอัดลมให้หลานรักทันที โอโซนดื่มด้วยความกระหายจนหมดแก้ว แล้วทำหน้าสดชื่นเพราะแทบไม่เคยได้ดื่มน้ำอัดลมเลย ทั้งแม่และพ่อจะเฝ้าเตือนว่าน้ำอัดลมเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับเด็ก และจะทำให้ปวดท้องได้ จะมีก็แค่กับอชิระและอมรเท่านั้นที่นานๆ จะแอบให้ดื่มสักครั้ง

“ขอบคุณคับ โอโซนรักปู่” เด็กน้อยกระโดดหอมแก้มคนแก่อย่างเอาใจ แล้ววิ่งจี๋ไปเล่นบ้านลมกับเพื่อนๆ ต่อ

“ไอ้เด็กคนนี้มันน่ารัก ถ้าเป็นหลานเราจริงๆ ก็คงดี” อมรบ่นกับตัวเอง สายตาก็มองโอโซนที่กำลังลื่นไถลอย่างสนุกสนานในบ้านลม

คนแก่หน้าสลดลงเมื่อคิดขึ้นได้ว่า หลังจากวันนี้ โอโซนก็จะไม่ได้มาที่นี่อีก ความสัมพันธ์ระหว่างอคิราห์กับเด็กน้อยกำลังจะจบลงแล้ว

อคิราห์กับอชิระมาถึงพร้อมกัน คนเป็นอาหอบของขวัญกล่องใหญ่มาให้ โอโซนตื่นเต้นดีใจมาก เพื่อนๆ ร้องบอกให้เจ้าของวันเกิดเปิดกล่องดูว่าเป็นอะไร เด็กๆ พากันมารุมล้อมเจ้าของวันเกิดขณะที่กำลังบรรจงแกะห่อของขวัญ บิ๊กบอมอยากรู้เต็มแก่ว่าข้างในเป็นอะไร จึงกระโดดเข้าไปช่วยฉีกกล่องของขวัญอีกแรง

“อย่าฉีกแบบนั้นสิ ค่อยๆ แกะออก จะได้เอากระดาษมาใช้ได้อีกนะบิ๊กบอม” โอโซนตกใจที่กระดาษห่อของขวัญลายน่ารักที่เขาพยายามแกะอย่างเบามือ ตอนนี้ถูกเพื่อนตัวกลมฉีกเป็นชิ้นๆ

“ก็เราอยากรู้ว่าข้างในเป็นอะไร โอโซนก็แกะช้าเป็นคนแก่เลย” บิ๊กบอมไม่สนใจ ใช้สองมือป้อมๆ ฉีกทึ้งกระดาษออกจนหมด ท่ามกลางรอยยิ้มขบขันของบรรดาผู้ใหญ่ๆ ในที่นั้น

“ตามใจ ขาดยับแบบนี้ เราเอาไปทำอะไรไม่ได้แล้ว” โอโซนมองเศษกระดาษที่กองบนพื้นด้วยสายตาท้อแท้

เมื่อเปิดกล่องออกมา ข้างในเป็นหุ่นยนต์ตัวใหญ่ยักษ์รุ่นใหม่ที่แปลงกายเป็นรถยนต์สีเหลืองได้ เพื่อนๆ ของเขาต่างพากันรุมล้อมหุ่นยนต์ตัวยักษ์ด้วยความตื่นเต้น ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวแย่งกันชื่นชม เจ้าของหุ่นยนต์ยักษ์ยิ้มแก้มปริด้วยความภูมิใจ

ส่วนของอคิราห์เป็นกล้องดูดาวพร้อมขาตั้ง เด็กน้อยดีใจกระโดดกอดพ่อแน่น เพราะเคยบ่นว่าอยากได้ ไม่คิดว่าพ่อจะแอบไปซื้อมาให้เป็นของขวัญ

“ขอบคุณคับ โอโซนจะส่องดูดาวทุกวันเลย” โอโซนลูบคลำกล้องดูดาวดวงตาเป็นประกาย

“โอโซนครับ ถ้าพ่อต้องไปทำงานในที่ไกลๆ แล้วไม่ได้กลับมา โอโซนจะคิดถึงพ่อมั้ยครับ” ชายหนุ่มหน้าเศร้าขณะที่ตั้งคำถามตอบยากให้ลูกชายวัย 5 ขวบ

“ไปทำงานไกลเราก็โทรหากันได้นี่ครับ โอโซนจะคอลหาพ่อทุกวันเลย” แต่เด็กน้อยกลับหาวิธีแก้ไขปัญหายุ่งยากของผู้ใหญ่ได้ในเวลา 1 วินาที

“แต่ถ้าพ่องานยุ่งจนรับโทรศัพท์ไม่ได้ล่ะครับ”

เด็กชายนิ่งคิด ดวงหน้ากลมหม่นหมองลง

“โอโซนก็จะรอจนกว่าพ่อจะกลับมา” เจ้าตัวเล็กตอบกลับเสียงเศร้า

“เด็กๆ มากินข้าวได้แล้วค่ะ” เสียงหวานใสของปัณฑารีย์ขัดจังหวะดราม่าของสองพ่อลูก อคิราห์รีบจูงมือโอโซนไปนั่งที่โต๊ะ โดยมีเขากับปัณฑารีย์ประกบซ้ายขวา คอยตักของโปรดให้กับลูกชาย ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจนอคิราห์อยากหยุดเวลานี้ไว้

ทุกคนกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กน้อยที่หิวโซเพราะเล่นจนหมดแรง ต่างพากันเติมพลังด้วยไก่ทอด พิซซ่า บาร์บิคิว จนพุงกลมกันหมดทุกคน โอโซนมีความสุขมาก คุยเล่นกับเพื่อนๆ อย่างสนุกสนาน กินอาหารได้เยอะกว่าทุกวัน

“ค่อยๆ กินครับลูก เดี๋ยวติดคอ” ปัณฑารีย์เอื้อมไปเช็ดปากของลูกที่เลอะซอสสีแดง

“ท่าทางอร่อยมากเลยนะเนี่ย อ้าว เด็กๆ กินเยอะๆ นะ อาเดย์สั่งไอติมมาให้ด้วย ใครอยากกินบ้าง”

เด็กน้อยยกมือขึ้นสุดแขนทุกคน แย่งกันตะโกนว่าอยากกิน อชิระที่ดูเหมือนหัวหน้าเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ในบ้าน ต้องปรามให้เบาเสียงลง ไม่งั้นจะอดกิน ทุกคนจึงยอมสงบ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้กินของหวานแสนอร่อย

กว่าทุกคนจะกินอาหารเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็เริ่มมืด แสงสว่างสีขาวจากหลอดไฟดวงเล็กๆ ที่ห้อยไว้ทั่วบริเวณพร้อมใจกันติดพรึบ เด็กๆ แหงนหน้าขึ้นมองไฟแล้วชอบใจชี้ชวนให้พ่อแม่ของตัวเองดู

“แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ ทูยู แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ แฮปปี้เบิร์ธเดย์ โอโซน” ปัณฑารีย์เดินถือเค้กรูปยานอวกาศสีน้ำเงิน ปักเทียน 5 เล่ม เข้ามาพร้อมกับร้องเพลงอวยพรวันเกิด ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนร้องเพลงให้กับเจ้าของวันเกิด

โอโซนมองดูเค้กที่แม่ถือมาด้วยแววตาแห่งความสุข อคิราห์ยืนร้องเพลงอยู่ข้างๆ รอบตัวมีทั้งพ่อ แม่ อาเดย์ ปู่ ยาย และเพื่อนๆ ช่างเป็นวันเกิดที่ดีที่สุดเท่าที่เด็กน้อยจำได้ หัวใจดวงเล็กๆ ฟูฟ่องเหมือนขนมสายไหมแสนหวาน ทุกคนที่เขารักอยู่กับพร้อมหน้า เป็นช่วงเวลาที่รอคอย และอยากให้อยู่แบบนี้ตลอดไป เด็กน้อยหลับตาอธิษฐานในใจ ว่าขอให้พ่อกับแม่และทุกคนที่เขารักอยู่กับเขาในทุกวัน ขอให้พ่อไม่จากไปไหนอีก โอโซนลืมตาขึ้นมาและเป่าเทียนดับในทีเดียว พร้อมความหวังในใจว่าคำอธิษฐานของเขาจะเป็นความจริงตลอดไป…



Don`t copy text!