ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 18 : รักแท้หรือจะแพ้ใกล้ชิด

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 18 : รักแท้หรือจะแพ้ใกล้ชิด

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ปัณฑารีย์เดินหน้าเครียดออกมาจากห้องประชุมของมหาวิทยาลัย กระแสข่าวมือที่สามในโลกโซเชียลรุนแรงมาก ถึงขนาดมีคนออกมากดดันให้มหาวิทยาลัยไล่เธอออก ทางคณะกรรมการบริหารต้องเรียกเธอเข้ามาชี้แจง และกดดันให้แก้ปัญหาก่อนที่จะบานปลายกลายเป็นข่าวภาคค่ำ และมีคำสั่งให้หยุดทำการสอนก่อน แต่ยังปฏิบัติหน้าที่ในส่วนอื่นตามปกติ

ระหว่างที่เดินกลับเข้ามาที่ห้องทำงาน ทุกคนกำลังดูบางอย่างในมือถือด้วยสีหน้าแปลกใจ หญิงสาวไม่อยากเป็นที่สนใจเลยรีบเดินเข้าห้อง

“ปัน ดูนี่สิ” อชิระวิ่งเข้ามาหาเธอ แล้วส่งมือถือให้ดู

ปัณฑารีย์รับมือถือไปดู ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นอคิราห์กับตีรณากำลังไลฟ์สดแถลงเรื่องความรักของพวกเขา หญิงสาวก็ตกใจจนเกือบทำมือถือหล่น เธอรีบเปิดประตูห้องทำงานเข้าไปนั่งดู โดยมีอชิระตามเข้ามาด้วย

“พวกเราสองคนตัดสินใจว่าจะแยกกันเดิน ด้วยสาเหตุอย่างที่บอกค่ะ คือเราแตกต่างกันมากเกินไป ไม่ว่าจะเรื่องการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ ความชอบ ไม่มีอะไรเหมือนกันสักอย่างค่ะ แต่ที่ฝืนคบกันมาหลายปีเพราะคิดว่าสักวันเราจะปรับตัวให้เข้ากันได้ แต่เอาเข้าจริงเราก็อยากเป็นตัวของตัวเองมากกว่า เรื่องก็มีแค่นี้แหละค่ะ ตี้ยืนยันว่าไม่มีมือที่สามที่สี่แน่นอน และเราสองคนก็ต้องขอโทษคุณปัณฑารีย์ที่ต้องมาเดือดร้อน ทั้งที่เธอไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลยค่ะ ตี้ขอร้องให้ทุกคนเลิกต่อว่าและกดดันคุณปัณฑารีย์ เพราะเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเธอจริงๆ ค่ะ มันเป็นเรื่องที่บางคนเข้าใจผิดและเอาไปสื่อสารต่อจนเกิดความเสียหาย เราสองคนอยากให้เรื่องจบแค่นี้ เพราะเราเองก็อยากใช้ชีวิตเดินหน้าต่อไปค่ะ” รอยยิ้มหวานสวยของตีรณาทำให้ผู้คนที่กำลังรับชมไลฟ์เข้ามากดหัวใจให้อย่างคับคั่ง

“ผมเองก็ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่เคยออกมาอธิบายอะไร จนทำให้เรื่องเข้าใจผิดมันขยายใหญ่โต ผมผิดเองครับที่ไม่สามารถรักษาความสัมพันธ์ของเราสองคนไว้ได้ แต่จะเป็นการดีกว่าที่ผมจะคืนอิสระให้กับคุณตี้ หวังว่าทุกคนจะเข้าใจนะครับ” อคิราห์ก้มหัวขอโทษทุกคน สีหน้าของเขาดูสงบนิ่งแต่แฝงความเจ็บปวด

หญิงสาวส่งมือถือคืนให้อชิระเมื่อการแถลงข่าวจบลง เธออึ้งจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ไม่คิดว่าอคิราห์กับตีรณาจะตัดสินใจออกมาพูดกับสาธารณชน คงเป็นเรื่องยากสำหรับชายหนุ่มที่ไม่ชอบการพูดออกสื่อไม่ว่าจะช่องทางใด เขาเป็นนายแพทย์ที่สื่อหลายสำนักอยากสัมภาษณ์ แต่ก็ไม่เคยตอบรับเลยสักครั้ง แต่คราวนี้เขายอมนั่งท่ามกลางนักข่าวจำนวนมาก ตอบคำถามส่วนตัว เพื่อช่วยให้เธอพ้นจากคำครหา

“พี่ซันรู้ว่าปันกำลังเดือดร้อนเรื่องที่เป็นข่าวอยู่ ก็เลยไปขอให้คุณตีรณาออกมาพูดแก้ข่าวให้” อชิระช่วยยืนยันสิ่งที่เธอกำลังคิด

“ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย ปล่อยไปเดี๋ยวเรื่องก็เงียบไปเอง” หญิงสาวก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี

“เขาก็คงรู้สึกผิดนั่นแหละที่ทำให้ปันเดือดร้อน คุณเองก็ถูกทางคณะกรรมการกดดันไม่ใช่เหรอ ผมก็ว่าดีแล้วละเรื่องจะได้จบ ตอนนี้ก็เหลือแค่เรื่องของเราแล้ว” ชายหนุ่มอยากรู้ว่าเมื่อไหร่เขาจะได้บอกกับทุกคนว่าเป็นพ่อของโอโซนเสียที เขาอยากพาเธอกับลูกไปอยู่ด้วยกัน อยากแต่งงานกับเธอ อยากดูแลเธอกับลูกให้ดีที่สุด

“ปันลองคิดดูแล้วนะ ตอนนี้โอโซนยังคิดว่าพี่ซันเป็นพ่อของเขา ถ้าเราผลีผลามไปบอกว่าคุณเป็นพ่อ โอโซนคงไม่ยอมรับแน่ คุณต้องค่อยๆ เข้าไปทำความสนิทสนมกับเขา ทำให้เขายอมรับและรักคุณให้ได้ก่อน ถึงตอนนั้นเราค่อยบอกเขาจะดีกว่า”

อชิระฟังข้อเสนอของปัณฑารีย์ก็รู้สึกเห็นด้วย เขาเองก็ไม่อยากบุ่มบ่ามทำให้โอโซนสับสน ถึงแม้ต้องใช้เวลา เขาก็จะทำให้เด็กน้อยรวมทั้งปัณฑารีย์รักเขาให้ได้ เย็นนั้นเขากลับไปบอกพ่อกับพี่ชายว่าจะใช้ความคุ้นเคยทำให้โอโซนยอมรับในตัวเขา และขอร้องอคิราห์ไม่ให้พบหน้าโอโซนอีก เพื่อให้เด็กค่อยๆ ลืม เขาจะได้เข้าไปสานสัมพันธ์ต่อ อมรเห็นด้วยกับอชิระ แต่ก็อดสงสารลูกชายคนโตไม่ได้ เพราะเขารู้ดีกว่าอคิราห์เองก็รักและผูกพันกับโอโซนไม่น้อยไปกว่ากัน

ตั้งแต่วันนั้น อชิระก็เดินหน้าทำความคุ้นเคยกับโอโซน ไปรับที่โรงเรียนเกือบทุกวัน พาไปกินข้าว ไปเที่ยวเล่นทุกวันหยุด และยังใจดีพาเพื่อนๆ ตัวน้อยไปด้วย เพื่อนของโอโซนชอบอชิระมาก ออกปากชมว่า อชิระทั้งหล่อและใจดี

“อาเดย์คับ พ่อยังไม่กลับมาอีกเหรอคับ” โอโซนมองดูเพื่อนๆ ที่มีพ่อมารับ แล้วคิดถึงพ่อของตัวเองขึ้นมา

“อยู่กับอาไม่สนุกเหรอครับ ถึงถามหาพ่อ” อชิระใจวูบที่ได้ยินโอโซนถามหาพี่ชาย ทั้งที่ตัวเองก็พยายามทำทุกอย่างดีที่สุด แต่เจ้าตัวเล็กก็ยังคิดถึงอคิราห์

“สนุกครับ แต่โอโซนคิดถึงพ่อ”

ชายหนุ่มนั่งคุกเข่า จับสองบ่าน้อยๆ ไว้ จ้องเข้าไปในดวงตากลมโตของโอโซน

“แล้วถ้าอาจะขอเป็นพ่อของโอโซน โอโซนจะให้เป็นมั้ยครับ” เขาถามน้ำเสียงจริงจัง ไม่ปนความขี้เล่นเหมือนเคย

โอโซนเอียงคอมองอชิระ ไม่เข้าใจคำถาม

“อาเดย์เป็นอาจะเป็นพ่อได้ยังไงคับ”

“เป็นได้สิ ถ้าโอโซนยอมให้อาเป็น อาอยากดูแลโอโซนกับแม่ มารับโอโซนกลับบ้านทุกวัน พาไปกินขนม ไปเที่ยวเล่น โอโซนจะว่ามั้ยครับ” เขาลูบหัวเล็กๆ อย่างเบามือ พยายามส่งความจริงใจผ่านมือใหญ่ไปถึงเจ้าตัวเล็ก

“อืม…ไม่รู้สิครับ ถ้าอามาเป็นพ่อ แล้วพ่อล่ะครับ พ่อจะไม่เสียใจเหรอ” แม้จะไม่เข้าใจคำถามของคนเป็นอาสักเท่าไร แต่โอโซนก็คิดเองว่าพ่อน่าจะเสียใจ ถ้าถูกอาแย่งตำแหน่งไป

“ไม่เป็นไรครับ อาจะรอวันที่โอโซนอยากให้อาเป็นพ่อก็แล้วกันเนอะ” อชิระไม่อยากกดดันให้โอโซนสับสน เขาลุกขึ้นแล้วเอากระเป๋านักเรียนใบโตมาถือให้ จูงมือโอโซนพาเดินออกจากโรงเรียน แม้ใบหน้าจะเปื้อนรอยยิ้ม แต่ในใจกลับรู้สึกหดหู่เศร้าใจที่คนเป็นลูกชายยังคงคิดถึงแต่อคิราห์

อชิระเดินหน้าละห้อยเข้ามาในบ้าน เขารู้สึกอ่อนแรง ผิดหวัง จนไม่อยากทำอะไร สมองเอาแต่คิดหาวิธีที่จะทำให้โอโซนยอมรับ แต่กลับเจอพี่ชายปรี่มาขวางไว้ก่อนที่จะเข้าบ้าน

“นายเดย์ วันนี้ไปรับโอโซนใช่มั้ย เป็นยังไงบ้าง โอโซนถามหาฉันบ้างหรือเปล่า” อคิราห์ร้อนใจอยากรู้เรื่องเด็กน้อย ตั้งแต่เกือบถูกเด็กๆ จับได้ที่โรงเรียน เขาก็ไม่กล้าไปแอบดูอีก

“ถามเหมือนทุกวัน” น้องชายตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง เพราะรู้สึกอิจฉาที่พี่ชายเป็นคนสำคัญของโอโซนแทนที่จะเป็นเขา

“จริงเหรอ แล้วพูดอะไรอีกมั้ย อยากได้อะไรพิเศษบ้างหรือเปล่า ฉันจะได้ไปหามาให้”

“ผมว่าพี่ซันปล่อยให้ผมจัดการเองดีกว่าครับ โอโซนเป็นลูกชายผม ถ้าพี่ยังคอยทำโน่นทำนี่ให้หมด แล้วผมจะทำอะไรได้ล่ะครับ” อชิระหงุดหงิดที่พี่ชายเจ้ากี้เจ้าการเหมือนเป็นพ่อ ทั้งที่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าเขาต่างหากที่เป็นพ่อของโอโซน อคิราห์ควรปล่อยมือเสียที

หนุ่มคนพี่สะอึกเมื่อถูกน้องชายต่อว่า ความเคยชินทำให้เขาลืมตัวคิดว่าตัวเองยังสวมบทบาทพ่อของโอโซน เขารู้สึกผิดที่ไปก้าวก่ายวุ่นวายเรื่องที่ควรเป็นหน้าที่ของอชิระ ชายหนุ่มเดินหน้าหงอยเข้าบ้าน อมรเห็นสีหน้าท่าทางของลูกชายคนโตก็รู้สึกสงสาร แต่เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ก็หวังว่าอคิราห์จะเข้าใจและทำใจได้ในที่สุด ทั้งเรื่องลูกและปัณฑารีย์

 

หลังจากที่อคิราห์และตีรณาออกมาแถลงข่าว ปัณฑารีย์จึงหลุดจากข้อกล่าวหาเรื่องเป็นมือที่สามระหว่างความรักของทั้งคู่ ทุกคนที่เคยเข้าใจผิดกลับมาให้กำลังใจเธอเหมือนเดิม ยกเว้นขวัญสุดาที่ไม่พอใจเพราะผิดแผนที่วางเอาไว้ เธอจึงพยายามปั่นตีรณาให้ผิดใจกับปัณฑารีย์ แต่กลับถูกหญิงสาวเมินใส่ทุกครั้ง ขวัญสุดาจึงเลิกหวังที่จะใช้ตีรณาเป็นเครื่องมือกำจัดคู่แข่ง และคิดหาหนทางอื่น

“ฝากดูแลโอโซนด้วยนะคะป้าณี แล้วขากลับปันจะซื้อปลาหมึกแห้งมาฝากค่ะ” ปัณฑารีย์ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มาวางไว้หน้าประตูบ้าน รอแท็กซี่ที่กำลังเดินทางมา

เธอได้รับเชิญให้ไปวิทยากรในค่ายสิ่งแวดล้อมของเยาวชน ซึ่งจัดขึ้นที่หัวหินเป็นเวลาสามวัน หญิงสาวตอบรับคำเชิญเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ไปให้ความรู้กับเด็กนักเรียนมัธยม และถือโอกาสพักผ่อนไปในตัว เพราะจะให้หาเวลาไปเที่ยวพักผ่อนจริงจังก็คงเป็นไปไม่ได้ในช่วงนี้ เนื่องจากมีภารกิจมากมายที่ต้องทำ การไปทำงานที่ต่างจังหวัดจึงถือว่าเป็นกำไรชีวิต และเธอยังจะได้มีโอกาสขอบคุณตีรณาที่ช่วยแก้ข่าวให้เธอจนหมดมลทิน เพราะทางเจ้าของงานได้เชิญตีรณาไปเป็นวิทยากรด้วยเหมือนกัน

“ป้าขอปลาหมึกแถวบนนะคะ เอาตัวใหญ่ๆ กินสะใจดี” ป้าวรรณียิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวจะซื้อของโปรดมาฝาก

“ได้สิคะ เอาไปเลยโลนึง กินให้ไตวายกันไปข้างนึงเลยค่ะ”

“แม่คับ รีบกลับมานะ โอโซนคิดถึง” เด็กน้อยวิ่งมากอดขาแม่อ้อนให้กลับไวๆ

“ครับผม เสร็จงานแล้วแม่จะรีบกลับมาเลย” เธอกอดลูกน้อยแน่น หอมแก้มซ้ายขวาวนไปวนมาจนแก้มน้อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง

เสียงแท็กซี่บีบแตรลั่นให้สัญญาณว่ามาถึงแล้ว ป้าวรรณีช่วยลากกระเป๋าเดินทางไปใส่ท้ายรถแท็กซี่ หญิงสาวโบกมือลาลูกชายก่อนจะขึ้นรถไปยังจุดนัดหมายการเดินทาง

รถตู้พาเธอและทีมงานมาถึงรีสอร์ตหรูริมทะเล ปัณฑารีย์ลงจากรถ สูดกลิ่นอายความเค็มของทะเลเข้าเต็มปอด นี่เธอไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานแค่ไหนแล้วนะ ตอนอยู่ที่อเมริกาก็ได้ไปอยู่บ้าง แต่ตั้งแต่กลับมาเมืองไทย นี่คือครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสกับธรรมชาติของทะเลอีกครั้ง

พนักงานช่วยขนกระเป๋าเธอเข้าไปในห้องพักที่อยู่ด้านหน้าติดกับชายหาด ห้องพักแต่ละหลังถูกกั้นไว้ด้วยสวนร่มรื่น หญิงสาวเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า คิดว่าจะไปเดินเหยียบทรายเล่นก่อนจะเริ่มประชุมงานกันช่วงเย็น วันนี้จึงเสมือนเป็นวันพักผ่อนก่อนการทำงาน เธอจึงคิดจะกอบโกยความสุขและอากาศสดชื่นให้ได้มากที่สุด

ปัณฑารีย์ในชุดแม็กซี่เดรสสีฟ้าครามลายดอกไม้เล็กๆ เดินเล่นบนหาดทรายขาวสะอาด แม้อากาศจะร้อนไปบ้าง แต่เธอก็ไม่สนใจ ชุดสวยพลิ้วไหวตามแรงลมจนหญิงสาวต้องจับชายกระโปรงรวบเอาไว้ไม่ให้ปลิวสะบัดจนอาจโป๊ได้ ผมยาวหยิกลอนของเธอถูกลมพัดจนยุ่งเหยิง เมื่อลมไม่เป็นใจ ปัณฑารีย์จึงก้มหน้าก้มตาวิ่งกลับเข้ามาในโรงแรม แต่แค่ไม่กี่ก้าวเธอก็ชนกับร่างใครบางคนจนเสียหลัก หญิงสาวหลับตาปี๋ตกใจร้องกรี๊ด แต่ก่อนที่ร่างจะร่วงไปกองกับผืนทราย มือใหญ่ของคนที่ชนกับเธอ รวบร่างบางเอาไว้ได้

“เป็นยังไงบ้างปัน” น้ำเสียงห่วงใยของชายหนุ่ม ทำเอาหญิงสาวเบิกตาโตด้วยความแปลกใจ

“พี่ซัน!” ใบหน้าของชายหนุ่มลอยอยู่ไม่ห่างจากใบหน้าสวยของเธอ หญิงสาวใจเต้นแรง รีบดันตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของเขา

“เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ลมแรงขนาดนี้มาเดินเล่นเดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก” เขาแกล้งดุหน้านิ่งๆ

“ทำไมพี่ซันมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ หรือว่ามาเที่ยว” โรงแรมที่หัวหินมีเป็นร้อย ทำไมถึงบังเอิญมาอยู่ที่เดียวกันได้

“เขามากับฉันค่ะ” ตีรณาเดินยิ้มสวยเข้ามาเกาะแขนชายหนุ่ม แสดงความเป็นเจ้าของ

ปัณฑารีย์หน้าเจื่อน ทางทีมงานบอกว่าตีรณาจะเดินทางมาเองพร้อมกับเพื่อน เธอไม่คิดว่าเพื่อนที่พูดถึงจะเป็นอคิราห์ อดีตคู่หมั้นที่เพิ่งประกาศถอนหมั้นกันไป

“อ๋อค่ะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องเตรียมเอกสารประชุมเย็นนี้ค่ะ” หญิงสาวรีบเดินออกมา ไม่อยากอยู่เป็นส่วนเกิน แต่ในใจห่อเหี่ยวเหมือนลูกโป่งที่หมดลม

“นี่คุณตั้งใจให้ผมมาเจอปันเหรอ คุณคิดอะไรกันแน่” เขาตั้งข้อสงสัยกับอดีตคู่หมั้นอย่างไม่ค่อยพอใจ

“ไม่ได้คิดอะไรนี่คะ ตี้ก็แค่อยากมาเที่ยวกับซันแค่นั้นเอง ถ้าจะชวนไปเที่ยวจริงจังตี้ก็ไม่มีเวลา ก็เลยต้องอาศัยเวลางานนี่แหละค่ะพักผ่อนไปด้วย” ตีรณายักไหล่ทำเหมือนไม่มีอะไรในกอไผ่

อคิราห์เดินหนีตีรณาเข้าห้องพัก ไม่อยากโต้เถียงด้วย เขารู้เจตนาของเธอแล้วว่าที่ชวนมาเที่ยว เพราะต้องการใช้เขาเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งปัณฑารีย์ ดังนั้น เขาคงต้องระวังตัวให้มากขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ

หลังการประชุมเตรียมงานเสร็จสิ้นลงก็กินเวลาไปจนถึงสามทุ่ม ปัณฑารีย์ที่กินอาหารไปเพียงนิดหน่อยเมื่อตอนเย็น จึงออกมาหาอะไรรองท้องก่อนเข้าไปพักผ่อน เธอเห็นบาร์ริมทะเลที่มีนักท่องเที่ยวใช้บริการอยู่ไม่มากนัก อาจเป็นเพราะดึกแล้ว

หญิงสาวนั่งลงที่โต๊ะอาหารทำจากหวาย ที่วางไว้ทั่วหาดทรายสีขาว แล้วสั่งอาหารง่ายๆ มากิน เสียงเพลงเบาๆ เคล้าเสียงคลื่นซัดสาดทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลาย เพลิดเพลินกับบรรยากาศที่แสนโรแมนติก นักท่องเที่ยวคนอื่นนั่งดื่มกันเป็นคู่กะหนุงกะหนิง บางคนมีอิงซบกันน่าอิจฉา

“เหม็นกลิ่นความรัก” หญิงสาวบ่นเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้

“ขี้อิจฉานะเราเนี่ย” อคิราห์นั่งลงข้างๆ แล้วเรียกบริกรมาสั่งเครื่องดื่ม

ปัณฑารีย์สะดุ้งโหยงที่อยู่ดีๆ ก็มีคนมานั่งเป็นเพื่อนโดยไม่ถามไถ่ก่อนว่าอยากให้นั่งด้วยหรือไม่ แถมยังหูดีได้ยินที่เธอบ่น

“ยังไม่นอนอีกเหรอคะ” เธอหาเรื่องคุยเพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัด

“นานๆ จะได้ออกมานอกโรงพยาบาลสักที พี่เลยอยากดื่มด่ำธรรมชาติให้เต็มทีเสียหน่อย” เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หวายด้ายท่าทางสบายๆ เหม่อมองทะเลยามค่ำคืนที่มืดมิด เห็นเพียงแสงไฟสีเขียวของเรือประมงจับปลาหมึก หรือที่เรียกว่าเรือไดหมึกเรียงเป็นแถวยาวอยู่ที่ปลายขอบน้ำ

บริกรนำอาหารที่ปัณฑารีย์สั่งไว้มาเสิร์ฟ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปหลายมุมอย่างตั้งใจ

“นี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นอีกเหรอ” เขาอมยิ้มกับท่าทางจดๆ จ้องๆ ถ่ายภาพของเธอ

“กินแล้วค่ะ แต่กินไปนิดเดียวเพราะรีบไปประชุม ใครจะไปคิดว่าจะเลิกดึกขนาดนี้ เออ จริงสิคะ แล้วคุณตีรณาเขาจะไม่หิวเหรอ พี่ซันไม่ถามเธอหน่อยเหรอคะ จะได้ชวนมากินด้วยกัน” หญิงสาวนึกขึ้นได้ว่าตีรณาเองก็ประชุมด้วยกันกับเธอ แล้วตอนนี้เธอหายไปไหน ทำไมปล่อยให้ชายหนุ่มมาเดินอยู่คนเดียว

“ตี้เขาคงนอนแล้วละ รายนั้นหลังหกโมงเย็นก็ไม่กินอะไรแล้ว ไม่เหมือนปันหรอก กินได้ตลอดเวลา ไม่กลัวอ้วนบ้างหรือไง” เขาแกล้งแซวเมื่อเห็นหญิงสาวม้วนเส้นสปาเกตตีใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย

“กลัวสิคะ แต่กลัวหิวมากกว่า” ปากตอบคำถามแต่มือยังง่วนม้วนเส้นไม่หยุด ในใจก็คิดว่าคู่นี้เขารู้ใจกันดีจัง

อคิราห์ยิ้มเมื่อเห็นซอสติดที่มุมปากของหญิงสาวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตากินด้วยความหิว เขาดึงกระดาษทิชชูบนโต๊ะออกมาแล้วเอื้อมไปเช็ดปากให้เธอ ปัณฑารีย์ชะงัก สัมผัสที่อ่อนโยนของเขาทำให้หัวใจของเธอสั่นไหว ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความเขินอาย

“ทำอะไรกันคะ”

ปัณฑารีย์ตกใจเมื่อได้ยินเสียงของตีรณา เธอรีบคว้ากระดาษทิชชูจากมือชายหนุ่มมาเช็ดเอง

“ผมนึกว่าคุณนอนแล้ว” ชายหนุ่มรับเครื่องดื่มจากบริกรที่มาเสิร์ฟพอดี แล้วยกจิบ ไม่สนใจที่จะตอบคำถามของตีรณา

“ยังค่ะ ตี้ไปหาคุณที่ห้องไม่เจอ ก็เลยเดินหา ที่แท้ก็นัดกันมานั่งดื่มที่นี่” สาวสวยนั่งลงข้างๆ ชายหนุ่ม สายตาเหลือบมองคนตรงข้ามด้วยแววตาไม่พอใจ

“เราไม่ได้นัดกันหรอกค่ะ ฉันมาหาอะไรกินก่อนเข้าไปนอน พอดีพี่ซันก็มาหาอะไรดื่มเหมือนกัน ก็เลยนั่งด้วยกันค่ะ คุณตี้ดื่มอะไรมั้ยคะ” ปัณฑารีย์ยกมือเรียกบริกร เพื่อจะสั่งเครื่องดื่มให้กับอีกฝ่าย

“ไม่ค่ะ ฉันไม่กินอะไรหลังหกโมงเย็น”

คำตอบของตีรณาทำเอาคนหวังดีชะงักมือทันที รีบส่งสัญญาณกับบริกรว่าไม่มีอะไร ไม่ต้องมาแล้ว

“ซันคะ ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนตี้หน่อยสิคะ ตี้อยากไปเดินเล่นริมทะเล แต่มันมืดไม่กล้าเดินคนเดียว ซันไปด้วยกันนะคะ” สาวสวยกอดแขนชายหนุ่มออดอ้อน

อคิราห์แอบมองปัณฑารีย์ กลัวเธอจะเข้าใจผิด แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสนใจแต่อาหารตรงหน้า เขาก็เลยคิดอยากจะแกล้งทดสอบความรู้สึกของเธอ

“ไปสิ ผมก็อยากเดินเล่นเหมือนกัน” เขาลุกขึ้นพาตีรณาไปเดินเล่นอย่างที่เธอต้องการ

ปัณฑารีย์วางช้อนลง มองดูตีรณาเดินกอดแขนอิงซบไหล่ของชายหนุ่มไปเดินเล่นที่ริมทะเล ท่าทางที่มีความสุขของทั้งคู่ เห็นชัดว่าอคิราห์และตีรณายังคงรักกันมาก มีแต่เธอเท่านั้นที่ฟุ้งซ่านคิดไปเองว่าเขาอาจจะมีใจให้ หัวใจของเธอเจ็บแปลบ เธอพยายามกล้ำกลืนน้ำตาที่กำลังเอ่อล้นออกมา แต่ก็ไม่สำเร็จ น้ำตาใสๆ หยดลงมาที่หลังมือ หญิงสาวไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอ จึงรีบก้มหน้าก้มตาเดินกลับห้องพักทันที

อคิราห์หันไปมองเห็นหลังของหญิงสาว เดินหายเข้าไปในความมืด ใบหน้าหล่อเหลาสลดลง พลางคิดว่าทำถูกหรือไม่ที่ไปลองใจปัณฑารีย์ ถ้าเธอไม่ได้คิดกับเขาเหมือนเดิมอีกแล้ว สิ่งที่ทำลงไปจะยิ่งไปตอกย้ำให้เธอถอยห่างจากเขามากขึ้น แต่ก็อาจเป็นสิ่งที่สมควรทำ ในเมื่ออีกไม่นานเธอกับอชิระก็คงลงเอยด้วยการแต่งงาน และเขาก็จะกลายเป็นส่วนเกินที่ไม่มีใครมองเห็นอีกต่อไป

คืนนั้นปัณฑารีย์นอนร้องไห้ทั้งคืน พยายามตัดใจจากผู้ชายที่หลงรักมาตลอดชีวิต แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะตลอดเวลาเธอเอาแต่คิดถึงใบหน้าของเขา ยิ่งอยากจะลบ ก็ยิ่งชัดเจนในความรู้สึก แต่ในเมื่อทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่หวัง เธอก็ต้องถอดใจและขอร้องให้เสียใจไห้เต็มที่ เมื่อตื่นมาในวันพรุ่งนี้ เธอก็จะพร้อมจะก้าวไปสู่ชีวิตใหม่ที่ไม่มีอคิราห์อีกต่อไป

 



Don`t copy text!