ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 2 : ยินดีต้อนรับกลับบ้าน

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 2 : ยินดีต้อนรับกลับบ้าน

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

6 ปีผ่านไป…

ดร.ปัณฑารีย์ในวัย 34 ปี ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ก้าวพ้นช่องทางออกผู้โดยสารระหว่างประเทศของสนามบินสุวรรณภูมิ ผู้คนมากมายกรูกันออกมา ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ บรรยากาศคึกคักวุ่นวาย เธอหยุดยืนมองไปรอบๆ หัวใจพองฟูที่ได้กลับประเทศบ้านเกิดเมืองนอน หลังจากไปศึกษาต่อและทำวิจัยเป็นเวลานานกว่าที่ตั้งใจไว้ หญิงสาวเห็นหลายคนโผกอดญาติพี่น้องที่มารอรับอย่างมีความสุข บางคนถึงกับน้ำตาไหลที่ได้เจอหน้าครอบครัว ปัณฑารีย์ยิ้มเยาะตัวเอง แม้จะหายไปนานแค่ไหนก็ไม่มีใครเฝ้ารอเธอ

“แม่ค้าบ โอโซนปวดฉี่”

เสียงเล็กๆ และแรงดึงเบาๆ ที่ขากางเกงทำให้หญิงสาวก้มลงไปมอง เด็กชายตัวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก ผมหยิกเป็นลอน ผิวขาวเนียน ในชุดเอี๊ยมยีนส์ ใช้มือน้อยๆ กุมเป้ากางเกง หน้าตาเหยเก

“โอเค ไปฉี่กันครับ” ปัณฑารีย์ฉีกยิ้มแล้วจูงมือเด็กน้อยตรงไปที่ห้องน้ำ แล้วคิดได้ว่าถึงเธอจะไม่มีใครมารับ แต่เธอก็มีคนที่รักที่สุดกลับมาด้วย

เจ้าตัวเล็กไม่ยอมเข้าห้องน้ำหญิง ยืนยันว่าเขาเป็นผู้ชายต้องเข้าห้องน้ำชายเท่านั้น ปัณฑารีย์อ่อนใจต้องยอมให้ลูกเข้าไปคนเดียว ส่วนตัวเองยืนเฝ้าหน้าห้องน้ำ คอยยื่นหน้าเข้าไปดูลูกด้วยความเป็นห่วง จนผู้ชายด้านในพากันหวาดระแวง ต่างเบี่ยงตัวหลบซ่อนมังกรน้อยในกางเกงกันยกใหญ่ คิดว่าเธอเป็นสาวโรคจิตมาแอบส่องของลับผู้ชาย แต่พอทุกคนเห็นเด็กชายผมหยิกเดินออกจากห้องน้ำมากอดขาของเธอ ทุกคนก็ลอบถอนใจโล่งอก ที่แท้ก็เป็นแม่มาคอยลูก

ปัณฑารีย์พาโอโซนกลับบ้าน แม้จะไม่ได้กลับมานาน 6 ปี แต่บ้านยังคงอยู่ในสภาพเรียบร้อยสมบูรณ์ เป็นเพราะหญิงสาวจ้างให้คนเข้าไปดูแลทำความสะอาดเดือนละครั้งตลอดระยะเวลาที่เธอไม่อยู่ โอโซนตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่ได้พบเห็น ตั้งแต่นั่งแท็กซี่จากสนามบินจนมาถึงบ้าน เขาถามแม่มาตลอดทางเมื่อเห็นหลายอย่างแปลกตาต่างจากประเทศที่เขาเกิด

“แม่ค้าบ! บ้านเราใหญ่เบ้อเร่อเลย” โอโซนกางมือออกจนสุดแขน แสดงให้เห็นถึงความใหญ่โตของบ้าน ปัณฑารีย์หัวเราะชอบใจคำพูดและท่าทางของลูกชาย ตอนอยู่สหรัฐอเมริกาเวลาอยู่กันสองคนเธอจะใช้ภาษาไทยกับลูก และมักใช้ภาษาที่ชาวบ้านต่างจังหวัดพูดกัน เพราะติดปากมาตั้งแต่เด็กจนโต แม้จะเข้ามาเรียนและทำงานในกรุงเทพฯ หลายปี แต่เธอก็ยังคิดว่าภาษาเหล่านี้มีเสน่ห์จึงไม่เคยคิดเปลี่ยน แม้จะถูกบางคนหัวเราะเยาะเวลาที่พูดออกมา แต่ปัณฑารีย์ก็ไม่เคยสนใจ

โอโซนตื่นเต้นดีใจกับห้องนอนใหม่ตกแต่งสไตล์อวกาศที่แม่จัดเตรียมไว้ให้ล่วงหน้า ช่วงที่ไปเรียนต่อและทำงานวิจัย หญิงสาวเช่าอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็กเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เด็กน้อยจึงเคยชินกับห้องเล็กๆ มาตั้งแต่เกิด เมื่อมีบ้านขนาด 70 ตารางวา พร้อมสนามหญ้าเล็กๆ ที่นี่จึงกลายเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่สำหรับโอโซน

เด็กน้อยรื้อกระเป๋าเดินทาง จัดเสื้อผ้าใส่ตู้เรียบร้อย วาง ‘บูบู้’ ตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดไว้บนที่นอน ในขณะที่คนเป็นแม่เทสิ่งของต่างๆ ในกระเป๋าลงบนเตียงแล้วนั่งมองข้าวของที่กระจัดกระจาย ก่อนจะแหวกของบนเตียงออกแล้วล้มตัวลงนอนหลับไป

หลังจากใช้เวลาพักผ่อนนอนขี้เกียจจนครบอาทิตย์ ปัณฑารีย์จึงเริ่มปฏิบัติภารกิจต่างๆ เริ่มจากพาโอโซนไปสมัครเรียนที่โรงเรียนอนุบาลใกล้บ้าน แล้วไปยื่นเอกสารที่มหาวิทยาลัยเดิมที่เคยสอน ตอนเรียนปริญญาเอก ปัณฑารีย์ทำผลการเรียนได้ดีเยี่ยม เธอสามารถตีพิมพ์ผลงานวิจัยในวารสารชั้นนำระดับนานาชาติได้ถึง 2 เรื่อง ทำให้อาจารย์ผู้สอนจ้างเธอทำวิจัยหลังปริญญาเอกต่ออีก 3 ปี เมื่อใกล้หมดสัญญา เจ้านายเก่าซึ่งเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยในเมืองไทยรู้ข่าวจึงติดต่อให้เธอกลับมาทำงานต่อทันที หญิงสาวตอบตกลงโดยไม่ต้องคิด เพราะตั้งใจแล้วว่าเมื่อหมดสัญญาจะพาลูกกลับเมืองไทย

แต่การกลับมาของปัณฑารีย์ครั้งนี้ ทำให้เพื่อนร่วมงานบางคนไม่ค่อยพอใจ เนื่องจากเธอได้โอกาสรับทุนไปเรียนต่อในขณะที่หลายคนผิดหวัง แต่พอไปเรียนต่อได้ไม่นาน ปัณฑารีย์กลับตัดสินใจยื่นใบลาออกจากมหาวิทยาลัย โดยให้เหตุผลว่าต้องอยู่ทำงานวิจัยหลายปี ในตอนนั้นเพื่อนอาจารย์บางคนถึงกับโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงที่เหมือนโดนเธอปาดหน้าแย่งเค้กที่อยากกิน แล้วเอาไปปาทิ้งให้เสียของ

 

“นี่คุณแต่งงานแล้วเหรอ…” คณบดีแปลกใจเมื่อในใบประวัติของปัณฑารีย์ระบุว่ามีบุตรแล้ว

หญิงสาวจึงเล่าให้ฟังว่า ไปเรียนต่อได้ไม่นานเธอก็ตรวจพบความผิดปกติในมดลูก หมอวินิจฉัยว่าต้องผ่าตัดมดลูกทิ้งภายใน 3 ปี ก่อนที่จะลุกลามกลายเป็นโรคร้าย ตอนนั้นเธอสับสนมาก เพราะความฝันของเธอคือการได้เป็นแม่ และเลี้ยงดูลูกด้วยความรัก ไม่ให้เหมือนกับแม่ที่เลี้ยงเธอมาอย่างไม่ใส่ใจ

ปัณฑารีย์จึงปรึกษาหมอและได้ข้อสรุปว่าเธอสามารถตั้งท้องได้ก่อนการผ่าตัด แต่ในเมื่อเธอไม่มีสามีหรือคนรัก จึงตัดสินใจซื้อน้ำเชื้อจากผู้บริจาคชาวเอเชียคนหนึ่งมาผสมเทียม ไม่นานเธอก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายที่แสนน่ารักสมความปรารถนา

เมื่อมีคนรัก ก็ต้องมีคนเกลียดเป็นธรรมดา เรื่องราวของเธอจึงถูกบางคนตั้งข้อสงสัย และพูดต่อกันไปเป็นคนละเรื่อง ไม่นานเรื่องราวของปัณฑารีย์ก็ถูกบิดเบือน กลายเป็นว่าเธอท้องไม่มีพ่อ จนต้องหอบลูกหนีความอับอายกลับเมืองไทย สร้างความเสียหายให้ตัวเธอไม่น้อย แต่เมื่อพูดความจริงไปไม่มีใครเชื่อ เธอจึงปล่อยเลยตามเลย อย่างน้อยผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานอีกหลายคนก็ยังคงมั่นใจในตัวเธอ โดยเฉพาะ อชิระ อาจารย์รุ่นน้องที่เข้ามาทำงานหลังจากที่เธอไปเรียนต่อ เขาแสดงท่าทีปลื้มปัณฑารีย์มาก แม้บางคนจะพูดกรอกหูทุกวันว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ดี แต่อชิระก็ไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น แถมยังออกโรงปกป้องเธอด้วยซ้ำ

“ดอกเตอร์ครับ บ่ายนี้มีประชุมนะครับ” อชิระเดินมาเกาะแผงกั้นระหว่างโต๊ะทำงานของปัณฑารีย์

“เลิกเรียกฉันว่าดอกเตอร์ได้มั้ยคะ” หญิงสาวรู้สึกแปร่งหูทุกครั้งที่อชิระเรียกเธอว่าดอกเตอร์ ปกติทุกคนในคณะฯ จะเรียกชื่อเล่นของเธอ หรือไม่ก็เรียกว่าอาจารย์ มีแต่อชิระที่เรียกเต็มยศ

“ก็คุณเป็นดอกเตอร์นี่ครับ ไม่งั้นจะให้ผมเรียกว่าอะไรล่ะ” เขาแกล้งทำตาใสซื่อ

อชิระเป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเนียนยิ่งกว่าผู้หญิง ส่วนหน้าตาไม่ต้องพูดถึง หล่อระดับพระเอกเกาหลี แต่งตัวทันสมัยไม่เหมือนอาจารย์ผู้ชายทั่วไป แถมยังมีนิสัยร่าเริงขี้เล่น คนส่วนใหญ่ที่ได้เจอจึงมักจะเข้าใจผิดว่าเขาเป็นนักศึกษามากกว่าอาจารย์ อาจารย์สาวทั้งในคณะ ต่างคณะ และบรรดานักศึกษาต่างพากันแอบปลื้ม และมุ่งมั่นว่าสักวันจะคว้าหัวใจของหนุ่มหล่อมาครอบครองให้ได้

“แต่คนอื่นๆ ก็เป็นดอกเตอร์เหมือนกันนี่คะ เอางี้ เรียกพี่ปันเหมือนคนอื่นก็ได้ค่ะ” อชิระอายุน้อยกว่าเธอ 2 ปี การเรียกว่าพี่น่าจะเป็นกันเองที่สุด

“ไม่เอาครับ มันทำให้เราดูห่างเหิน มีช่องว่างระหว่างวัย” ชายหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธด้วยเหตุผลประหลาด

“แล้วเรียกดอกเตอร์นี่ดูใกล้ชิดตรงไหนคะ เรียกพี่น่ะดีแล้วค่ะ ดูสนิทสนมจะตายไป”

“งั้นผมเรียกว่าปันเฉยๆ นะครับ ไม่ต้องมีพี่ มีดอกเตอร์ จะได้ดูสนิทสนมกันจริงๆ” อชิระยิ้มทะเล้น หญิงสาวเริ่มปวดหัว ขืนต่อรองกันไปเรื่อย ๆ คงไม่จบ

“ตามใจอาจารย์อชิระแล้วกันค่ะ อยากเรียกแบบไหนเอาที่สบายใจค่ะ” เธอทำหน้ายอมแพ้

“อ๊ะ ไม่ได้ครับ ผมตีสนิทขนาดนี้แล้ว ปันจะเรียกผมเต็มยศแบบนี้ไม่ได้ เรียกเดย์ก็พอครับ” ชายหนุ่มไม่ยอมหยุดความสนิทสนมไว้แค่นั้น

“โอเคค่ะ อาจารย์เดย์!” หญิงสาวเน้นเสียงหนักให้สมใจเจ้าของชื่อ แล้วยิ้มให้คนเรื่องเยอะที่ทำท่าพึงพอใจกับความสนิทสนมที่ได้รับ

“จะเที่ยงครึ่งแล้วนะครับ” หนุ่มหล่อหันมองนาฬิกาบนฝาผนัง

“ค่ะ” เธอก้มหน้าลงทำงานต่อเมื่อเห็นว่าหมดเรื่องคำนำหน้าชื่อเสียที

“ไปกินข้าวกันครับ เดี๋ยวกลับมาไม่ทันประชุม” ชายหนุ่มยิ้มเผล่

ปัณฑารีย์อยากจะกรี๊ดแล้วเอาหัวโขกโต๊ะให้เลือดอาบ เผื่อว่าผู้ชายตรงหน้าจะหวาดผวาแล้วหยุดวุ่นวายกับเธอเสียที แต่ดูแล้วคงเป็นไปได้ยาก หญิงสาวเหนื่อยใจไม่อยากต่อปากต่อคำ จึงยอมจำนนลุกขึ้นคว้ากระเป๋าเดินนำหน้าไปแบบเงียบๆ ส่วนคนข้างหลังเดินยิ้มร่ามีความสุข

ตั้งแต่วันนั้นทุกคนก็มักเห็นอชิระวิ่งไล่ตามปัณฑารีย์อยู่เสมอ จนเป็นที่หมั่นไส้ของอาจารย์สาวๆ ที่แอบหวังในตัวชายหนุ่ม หนึ่งในนั้นคือ ขวัญสุดา อาจารย์คณะเดียวกัน ขวัญสุดาอายุใกล้เคียงกับอชิระ แต่เข้าทำงานพร้อมปัณฑารีย์ ทำให้เธอเป็นรุ่นพี่ของเขาเรื่องการทำงาน

“อาจารย์เดย์คะ คืนนี้พวกเราจะไปเลี้ยงวันเกิดนิ่มกัน ไปด้วยกันนะคะ” ขวัญสุดายิ้มหวานขณะพูดกับหนุ่มหล่อ

“อาจารย์ปันไปด้วยหรือเปล่าครับ” คำถามของเขาทำเอาขวัญสุดาแทบจะหุบยิ้มทันที

“ไม่ทราบสิคะ ไม่รู้ว่าเจ้าของวันเกิดเขาชวนหรือยัง” ตอนนี้ในใจของเธอขุ่นคลั่กเหมือนน้ำโคลน แต่ต้องฝืนยิ้มสดใสให้ชายหนุ่ม

“ถ้าอาจารย์ปันไป ผมก็ไปครับ” อชิระเป็นผู้ชายชัดเจน ปากกับใจตรงกัน แม้บางครั้งความตรงของเขาจะทำให้หลายคนหน้าชามาแล้ว แต่ยิ่งร้ายก็ยิ่งดูมีเสน่ห์ควรค่าแก่การพิชิตใจในสายตาสาวๆ

ขวัญสุดายิ้มฝืด ปัณฑารีย์นับได้ว่าเป็นศัตรูทั้งเรื่องของหัวใจและเรื่องงาน หลายปีก่อน เธอเคยมีเป้าหมายว่าจะได้รับทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เมืองนอก แต่เมื่อทุนมีจำกัดและปัณฑารีย์คว้าไป เธอจึงหมดหวัง

แต่เมื่อปัณฑารีย์ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วอยู่ทำวิจัยต่อ ทำให้ทางคณะฯ ขาดบุคลากร จึงไม่อนุมัติให้บรรดาอาจารย์ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศ จนกว่าจะมีบุคลากรมาแทนตำแหน่งของปัณฑารีย์ แต่หลายปีผ่านไปทางคณะฯ กลับไม่เปิดรับเจ้าหน้าที่เพิ่ม ด้วยเหตุผลเพื่อประหยัดงบประมาณ ขวัญสุดาจึงทำได้แค่ศึกษาต่อในเมืองไทย แม้เธอจะได้ดอกเตอร์มานำหน้าชื่อ แต่ก็ไม่ใช่จากสถาบันต่างประเทศที่เธอเคยหวังไว้ หญิงสาวจึงคิดเสมอว่าปัณฑารีย์คือสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องสูญเสียโอกาสที่จะได้ปริญญาจากต่างประเทศ จึงเก็บความเจ็บแค้นไว้ในใจตลอดมา

เมื่อหนุ่มหล่อที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะคว้ามาเป็นคนข้างกายปฏิเสธที่จะไปงานเลี้ยงหากขาดปัณฑารีย์ ขวัญสุดาจึงฝืนใจให้เจ้าของวันเกิดชวนหญิงสาวไปด้วย ทีแรกปัณฑารีย์ปฏิเสธเพราะเป็นห่วงลูก แต่เมื่อถูกรบเร้ามากๆ จึงจำใจตอบรับคำเชิญเพื่อรักษามารยาท

หญิงสาวฝากลูกชายไว้กับป้าวรรณี แม่บ้านที่ไว้ใจ เธอตั้งใจว่าจะอยู่สักพักแล้วรีบกลับ แต่เอาเข้าจริงก็ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ เพราะถูกดึงรั้งไว้จากเพื่อนร่วมงาน ปัณฑารีย์เอาแต่มองนาฬิกาข้อมืออย่างกังวล เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้ว จึงพยายามคิดหาวิธีหลบออกมาโดยที่ไม่สร้างความขุ่นเคืองให้เจ้าของงานและคนอื่นๆ ขณะที่คิดว่าจะแกล้งเมาอาละวาด กับเดินนิ่งๆ เชิดหยิ่งออกไปเลย แบบไหนจะเสียหายน้อยกว่ากัน อชิระก็ผุดลุกขึ้นดื้อๆ

“ผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะครับทุกคน” เขาทำหน้าจริงจังจนเพื่อนร่วมงานที่กำลังกินดื่มอย่างสนุกสนานพากันชะงัก

“จะรีบไปไหนล่ะคะ ยังไม่เที่ยงคืนเลย รอเป่าเค้กก่อนสิ” ขวัญสุดารีบรั้งเอาไว้ ถ้าอชิระกลับไปแผนเมาอ่อยผู้ชายก็จบเห่กันพอดี

“งั้นรีบเป่าเลยครับ ผมเป็นเด็กอนามัยต้องนอนก่อนเที่ยงคืน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้สิวขึ้นหน้าครับ” หนุ่มหล่อโกหกหน้าตาย สาวๆ ได้ยินก็ตกใจกลัวว่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ความหล่อของชายหนุ่มแปดเปื้อน จึงรีบเอาเทียนมาปักเค้กจุด ใครบางคนวิ่งไปหานักดนตรีที่เวทีแล้วบอกให้ร้องเพลงวันเกิดเดี๋ยวนี้ นักดนตรีก็แสนดีรีบจัดการให้ตามคำขอ

เมื่อพิธีกรรมเป่าเทียนวันเกิดจบสิ้น อชิระก็คว้าข้อมือปัณฑารีย์แล้วชวนกลับบ้าน หญิงสาวมองหน้าเขาแบบอึ้งๆ แต่ก็เดินตามออกไปด้วยดี ทุกคนหันมาดื่มกินสนุกสนานกันต่อ มีเพียงขวัญสุดาที่แค้นใจจนแทบกรีดร้องออกมา

“เป็นห่วงลูกขนาดนี้ ทำไมไม่รีบหนีกลับล่ะครับ” เขาพูดขณะเดินมาส่งเธอที่รถ ปัณฑารีย์หยุดมองชายหนุ่ม สีหน้าแปลกใจ

“อย่าบอกนะคะ ว่าที่ไปเร่งให้เขาเป่าเค้ก เพราะจะช่วยฉัน” สาวสวยยิ้มพรายเมื่อรู้สาเหตุที่เขาทำเป็นรีบกลับ

“ก็เห็นปันกระสับกระส่ายมองนาฬิกาทั้งคืน ผมมันพวกเจ้าชาย ทนดูพสกนิกรทุกข์ร้อนไม่ได้ ต้องช่วยปัดเป่าทุกข์ บำรุงสุขครับ” ชายหนุ่มทำหน้าหล่อยืดคอแสดงเป็นเจ้าชาย ปัณฑารีย์หัวเราะชอบใจ

“ขอบคุณนะคะเจ้าชาย” หญิงสาวทำหน้าล้อเลียนก่อนเปิดประตูเข้าไปในรถแล้วสตาร์ตเครื่องเตรียมกลับบ้าน อชิระเคาะกระจกเบาๆ เธอกดกระจกลง หนุ่มหล่อยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ปัณฑารีย์ผงะถอยโดยอัตโนมัติ รู้สึกเขินที่จู่ๆ ก็มีผู้ชายตัวหอมมาชิดใกล้

“ขับรถดีๆ นะครับ ฝากกู๊ดไนท์ลูกชายปันด้วย” พูดจบเขาก็ยืดตัวตรงโบกมือลาพร้อมรอยยิ้มละมุนปนขี้เล่น หญิงสาวรีบปิดกระจกรถแอบถอนหายใจโล่งอกที่เขาแค่ฝากกู๊ดไนท์โอโซน ไม่ได้จะ Goodnight Kiss แม่โอโซน เหมือนที่พวกหนุ่มต่างชาติชอบทำยามที่ขอเธอออกเดต

 

หลังจากจัดการเรื่องเรียนของโอโซน และเรื่องงานของตัวเองลงตัวแล้ว ปัณฑารีย์ยังมีอีกเรื่องที่เธอจำเป็นต้องทำ แม้จะเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจก็ตาม

หญิงสาวขับรถเข้ามาในเส้นทางที่คุ้นชิน แต่หลังจากผ่านไปถึง 6 ปี ถนนในซอยเล็กๆ นี้ได้ขยายกว้างขึ้น มีบ้านเรือนใหม่ๆ รูปแบบทันสมัยเกิดขึ้นหลายหลัง เธอจำได้ว่าบ้านหลังที่เพิ่งผ่านมาเมื่อก่อนเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงของคุณตาใจดีที่เคยให้ขนมเธอกินเมื่อตอนเป็นเด็ก เมื่อคุณตาเสียชีวิตลงก็ถูกทิ้งร้างเพราะลูกหลานไปทำงานในเมืองหลวงกันหมด ตอนนี้ถูกรื้อสร้างใหม่กลายเป็นบ้านปูนสองชั้นตามสมัยนิยม พื้นที่ที่เคยเป็นสวนร่มรื่น ก็ถูกเทปูนทำเป็นลานจอดรถและมุมพักผ่อนที่ตกแต่งด้วยต้นไม้กระถาง

“แม่ค้าบ นี่บ้านใครเหรอ” เด็กน้อยทำหน้าสงสัยเมื่อแม่จอดรถที่หน้าบ้าน

ประตูรั้วไม้เก่าถูกปกคลุมด้วยดอกเฟื่องฟ้าหลากสี มองจากด้านนอกบ้านหลังนี้ยังคงเหมือนเดิม จะแตกต่างก็แค่ต้นไม้บางต้นที่เคยจำได้หายไปบ้าง หรือถูกเปลี่ยนเป็นต้นไม้ชนิดอื่น หญิงสาวคิดในใจว่าแม่ของเธอก็ยังเป็นพวกอนุรักษ์นิยมไม่เปลี่ยน

“บ้านแม่เองครับ” คนเป็นแม่ยิ้มให้ลูกชาย เธอมองบ้านด้วยความรู้สึกคิดถึง แต่เป็นความคิดถึงที่แฝงความเศร้า

ตั้งแต่ไปเรียนต่อแม่ไม่เคยติดต่อหาเธอเลยสักครั้ง ทั้งที่การสื่อสารสมัยนี้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย และแม่ของเธอก็เล่นโซเชียลเป็นประจำ ปัณฑารีย์เคยโทร.มาหาแต่แม่ก็ไม่รับสาย พอหลายครั้งเข้าเธอจึงเลิกโทร. แต่ยังสอบถามเรื่องราวของแม่ผ่านทางญาติพี่น้อง และเฝ้าติดตามข่าวคราวของแม่ทางหน้าโซเชียลมีเดียของญาติๆ เมื่อรู้ว่าแม่อยู่สุขสบายไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ทำให้คนไกลบ้านอย่างเธอสบายใจขึ้น

“บ้านแม่…” โอโซนสงสัยว่าทำไมแม่มีบ้านเยอะจัง

“จริงๆ เป็นบ้านคุณยายครับ แม่อยู่บ้านหลังนี้มาตั้งแต่เกิดเลยนะ”

“คุณยายใจดีมั้ยครับ” เด็กน้อยท่าทางประหม่า เมื่อได้ยินว่าในบ้านหลังนี้มีคุณยายที่เขาไม่รู้จัก

“…ใจดีสิ คุณยายใจดี ทำขนมอร่อยด้วยนะ” หญิงสาวยิ้มให้กำลังใจลูก ทั้งที่ใจของเธอก็หวั่นเกรง

ปัณฑารีย์จูงลูกเดินเข้าไปในบ้าน ยิ่งเข้าใกล้ตัวบ้าน เธอก็ยิ่งใจสั่นด้วยความประหม่า เพราะไม่รู้ว่าแม่ของเธอจะรู้สึกอย่างไรที่ลูกสาวจากไปถึง 6 ปี และกลับมาพร้อมหลานชายตัวน้อย จะดีใจหรืออาละวาดบ้านแตก คงต้องวัดดวงกัน

โอโซนตื่นเต้นกับบรรยากาศบ้านสวนที่เพิ่งเคยสัมผัสเป็นครั้งแรก ผีเสื้อสีเหลืองหลายตัวบินดอมดมดอกบานชื่นหลากสีที่บานรับแสงแดด เด็กน้อยวิ่งไล่จับผีเสื้อเล่นอย่างสนุกสนาน ปัณฑารีย์ปล่อยให้ลูกได้สนุกกับธรรมชาติของชนบท

“ใครน่ะ มีธุระอะไร” เสียงอารีย์ตะโกนถามออกมาจากในบ้าน โอโซนตกใจรีบเข้าไปเกาะขาแม่ หญิงสาวลูบหัวลูกเบาๆ ก่อนจะพาเดินเข้าบ้าน

อารีย์หยีตามองฝ่าแสงแดดไปยังคนที่กำลังเดินเข้ามา เมื่อเห็นชัดว่าเป็นลูกสาวที่เธอเฝ้ารอคอย แววตาแห่งความยินดีก็ส่องประกาย แต่เพียงวูบเดียวทิฐิในใจก็เปลี่ยนสายตาให้กลายเป็นขุ่นเคือง

“ปันเองแม่” หญิงสาวยกมือไหว้มารดา “โอโซนไหว้คุณยายสิลูก”

เด็กน้อยกระพุ่มมือเล็กๆ ไหว้อารีย์ตามคำสั่งแม่ อารีย์อ้าปากค้างมองเด็กชายหน้าตาน่ารักน่าชัง

“ลูก…นี่ลูกแกเหรอ” ผู้สูงวัยถาม ไม่แน่ใจว่าตัวเองหูเพี้ยนหรือจิตหลอนกันแน่ แค่เห็นลูกสาวที่หายหน้าไปหลายปีกลับมาบ้าน ก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่ยังมีลูกตามมาด้วย

“ค่ะ นี่ลูกชายปันเอง” สีหน้าจริงจังของลูกสาว ทำเอาคนเป็นแม่แทบช็อก

 

ปัณฑารีย์เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างไปเรียนต่อเมืองนอกให้แม่ฟัง อารีย์สับสน เรื่องที่ลูกเล่ามันฟังดูเหลือเชื่อสำหรับชาวบ้านอย่างเธอ ผู้หญิงที่ไม่มีสามีจะมีลูกได้ยังไง หญิงสูงวัยมองโอโซนที่กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้ออย่างสนุกสนาน เด็กคนนั้นหน้าตาน่ารัก ผิวพรรณขาวสะอาด การพูดจาก็ฉลาดเกินวัย ต่างจากเด็กหน้าตามอมแมมแถวบ้านโดยสิ้นเชิง

“คุณยายคับ อันนี้กินได้มั้ยคับ” โอโซนยื่นพุทราลูกเล็กๆ ให้อารีย์ดู คำว่ายายที่ออกจากปากเล็กๆ และรอยยิ้มสดใสของเด็กน้อยทำเอาคนแก่ใจอ่อนยวบ แต่ความโกรธความน้อยใจ จึงคิดว่าจะทำใจแข็งกับสองแม่ลูกให้ถึงที่สุด

“อันนี้เขาเรียกพุทรา อยากกินก็ลอง” อารีย์ปั้นหน้านิ่ง พูดเสียงห้วนดุ

โอโซนวิ่งเอาลูกพุทราไปล้างน้ำจนมั่นใจว่าสะอาดแล้วยกขึ้นกัดกิน เด็กน้อยหน้าเบ้เมื่อสัมผัสความเปรี้ยวผสมฝาดของพุทราบ้าน

“อร่อยมั้ยครับ” ปัณฑารีย์แกล้งถาม

“ไม่อร่อยคับ” โอโซนส่ายหน้าแล้วเอาพุทราที่เหลือทิ้งลงถังขยะ

อารีย์รู้สึกเอ็นดูความน่ารักน่าชังของหลานชายจนเผลอยิ้มออกมา แต่ก็รีบหุบยิ้มทันทีที่รู้ตัว

“แม่เป็นยังไงบ้าง ตอนที่ปันไม่อยู่ ดูแลตัวเองดีมั้ย” ปัณฑารีย์ถามทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าแม่ของเธอปกติสุขดี แต่ถ้าไม่ถามก็จะถูกกล่าวหาว่าใจดำ

“แกสนใจด้วยเหรอ” คนแก่เบือนหน้าหนี เพราะไม่อยากให้ลูกเห็นความยินดีที่ออกมาทางแววตา

“ไม่สนแล้วจะถามเหรอ” เธอเหนื่อยใจกับคำค่อนแคะของแม่

“แล้วนี่แกหายหัวไปตั้งหลายปี พอกลับมาก็หอบลูกมาโดยที่ไม่มีผัว ฉันจะบอกชาวบ้านยังไง”

“ก็บอกอย่างที่ปันเล่าให้แม่ฟังไง”

“ใครเขาจะเชื่อ เขาก็ต้องบอกว่าแกโดนผัวทิ้งมา แล้วฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน โอ๊ย! เป็นวัวเป็นควายหรือไงถึงได้ผสมเทียมอะไรเนี่ย” อารีย์โวยวาย ก่อนหน้านี้ใครๆ ก็พากันอิจฉาที่เธอมีลูกเป็นถึงดอกเตอร์ มีหน้าที่การงานดี แต่ถ้ารู้ว่าปัณฑารีย์หอบลูกกลับมาโดยปราศจากสามี ก็คงถูกชาวบ้านนินทาว่าลูกสาวของเธอท้องไม่มีพ่อ

“เบาๆ แม่ เดี๋ยวโอโซนได้ยิน” ปัณฑารีย์รีบกระซิบบอกแม่ เธอยังไม่อยากให้โอโซนรับรู้เรื่องการเกิดของเขาที่ไม่ธรรมดาเหมือนคนทั่วไป อารีย์หงุดหงิดแต่ก็ยอมหยุดแต่โดยดี

“ปันถึงได้มาบอกแม่แค่นี้ไง แล้วปันจะกลับเลย ไม่อยู่ให้ใครเห็นแล้วเอาไปนินทาหรอก” หญิงสาวน้อยใจที่แม่สนใจปากชาวบ้าน มากกว่าความรู้สึกของเธอและลูก จึงคว้ากระเป๋าเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ

เธอตั้งใจมาเพื่ออยากให้แม่รู้ความจริง และได้เจอกับหลานชาย แต่ก็รู้ดีว่าแม่กลัวการถูกชาวบ้านนินทายิ่งกว่าสิ่งใด ซึ่งเธอก็ไม่โทษแม่และรู้สึกเห็นใจด้วยซ้ำ เพราะสังคมชนบทเป็นสังคมแห่งการนินทาว่าร้ายอย่างไม่เกรงใจกัน ไม่ใช่ว่าสังคมเมืองจะไม่มีการนินทา เพียงแต่ว่ายังมีขอบเขตและความไม่ใส่ใจมากกว่า ปัณฑารีย์รู้ดีเพราะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้มาทุกสังคม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจแม่

“โอโซน กลับกันลูก” ปัณฑารีย์เรียกลูกที่กำลังเพลิดเพลินกับปลาหางนกยูงในบ่อบัว เด็กน้อยไปล้างมือแล้ววิ่งมาหาแม่

” ที่นี่มีของสนุกๆ เยอะเลย แม่พามาอีกนะคับ” โอโซนเสียดายที่แม่รีบกลับ เพราะยังสนุกกับสรรพสิ่งรอบตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

อารีย์มองเด็กน้อยที่แววตาเป็นประกายเมื่อเจอะเจอกับสิ่งใหม่ๆ ช่างเหมือนกับแววตาของปัณฑารีย์ในวัยเด็กไม่มีผิด

“โอโซนมาอีกได้มั้ยคับคุณยาย” เจ้าตัวเล็กหันมาส่งสายตาอ้อนวอนกับอารีย์

อารีย์ใจอ่อนวูบ เธอมองดูผมที่หยิกเป็นลอนอ่อนนุ่มของหลานชาย ปลิวไหวตามแรงลม เหมือนกับเส้นผมของลูกสาว แล้วยังสายตาที่มุ่งมั่นนั่นอีก ถอดแบบกันมาไม่มีผิด นอกนั้นโอโซนดูจะเหนือกว่าคนเป็นแม่ทุกอย่าง ทั้งผิวพรรณ หน้าตา และนิสัยรักสะอาด คนแก่มองเจ้าตัวเล็กด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ประดังกันเข้ามา ทั้งความขุ่นเคือง น้อยใจ ดีใจ แต่ในที่สุด ความขุ่นเคืองก็เป็นฝ่ายชนะ อารีย์เมินหน้าเดินหนีขึ้นบ้าน โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“แม่คับ คุณยายโกรธเราเหรอครับ” เด็กน้อยหน้าหงอย รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของคนเป็นยาย

“ไม่หรอกครับ คุณยายแค่ยังตกใจที่แม่กลับมาแล้ว” หญิงสาวหาข้ออ้างมาให้ลูกสบายใจ

“แม่กลับบ้าน คุณยายก็น่าจะดีใจสิคับ เวลาแม่กลับจากทำงาน โอโซนยังดีใจเลย” โอโซนพูดออกไปอย่างที่ตัวเองคิดและเข้าใจ

“เรากลับบ้านกันดีกว่าครับ ไว้วันหลังค่อยมาเยี่ยมคุณยายใหม่เนอะ” เมื่อไม่อยากอธิบายเรื่องยากๆ ให้ลูกฟัง ปัณฑารีย์จึงเปลี่ยนเรื่อง และจูงมือลูกเดินออกจากบ้าน

เด็กน้อยเดินตามแม่อย่างว่าง่าย ไม่ถามอะไรอีก แต่ยังอาลัยอาวรณ์สิ่งต่างๆ รอบบ้าน จึงหันหลังกลับมามอง เขาเห็นอารีย์ยืนอยู่ที่นอกระเบียง มองตรงมาที่พวกเขาสองแม่ลูก โอโซนยิ้มแป้นโบกมือลาคุณยาย แต่คนแก่กลับทำท่าชะงักและรีบเดินหนีเข้าไปในบ้านทันที เจ้าตัวเล็กหดมือลง หน้าเศร้า คิดว่าคุณยายคงไม่อยากเจอหน้าเขาอีกแล้ว

 



Don`t copy text!