ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 8 : คุณพ่อจำเป็น

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 8 : คุณพ่อจำเป็น

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

“สวัสดีค่ะคุณพ่อน้องโอโซน” ครูรัตน์กล่าวทักทายอคิราห์ที่มาในฐานะพ่อของลูกศิษย์ แม้จะรู้สึกแปลกใจว่าทำไมโอโซนถึงมีพ่อปรากฏตัวขึ้นมาได้ ในเมื่อปัณฑารีย์บอกเองว่าลูกชายเกิดจากการผสมเทียมจากน้ำเชื้อผู้บริจาคนิรนาม แต่ถ้าครอบครัวยืนยันเช่นนั้น เธอก็ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ

โอโซนยิ้มหน้าบานจูงมืออคิราห์แน่น เหมือนกลัวว่าถ้าปล่อยมือพ่อจะหายไปในพริบตา เด็กน้อยพาพ่อไปอวดเพื่อนๆ โดยมีปัณฑารีย์เดินคุมเชิงไม่ห่าง สองแม่ลูกยิ้มแย้มอย่างมีความสุข แต่สำหรับชายหนุ่มที่มาโดยไม่เต็มใจยิ้มไม่ออกเลยสักนิด อคิราห์พลาดท่าเสียทีให้กับปัณฑารีย์อย่างไม่ตั้งใจ ทำให้เขาต้องมารับบทบาทพ่อของโอโซนเป็นเวลา 1 เดือน ไม่ใช่ 1 วันอย่างที่เธอเคยขอร้องไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งหนุ่มหล่อไม่สามารถบิดพลิ้วได้ เมื่อมีคลิปเสียงเป็นหลักฐานมัดตัวแน่น

วันนั้นอคิราห์สวมเสื้อกาวน์และอธิบายถึงการทำงานของหมอโรคหัวใจให้กับเด็กๆ ฟัง ชายหนุ่มต้องพยายามอดกลั้น ปกปิดอาการไม่ปลื้มเด็กๆ ออกมา เพราะพ่อแม่จำนวนมากกำลังจับตาดูเขาอยู่ แต่เด็กที่นี่ส่วนใหญ่มีมารยาท เรียบร้อย ไม่ใช่เด็กแสบซนที่เขาเคยเจอมาก่อน ทำให้ชายหนุ่มสามารถกลั้นใจเข้าใกล้เด็กๆ ได้บ้าง

“คุณพ่อโอโซนหล่อเหมือนโอปป้าเลยค่ะ” ลูน่า สาวน้อยที่ชื่นชอบหนุ่มเกาหลีมองหน้าอคิราห์แววตาเคลิบเคลิ้มเกินเด็ก

“ขอบคุณครับ” หนุ่มหล่อยิ้มเขินที่ถูกชมต่อหน้า ในใจคิดว่าเด็กๆ ที่นี่ก็น่ารักดีนะ

“คุณลุงเพิ่งกลับจากเมืองนอกเหรอครับ ทำไมไม่เคยมารับโอโซนเลย” บิ๊กบอมถามชายหนุ่ม เด็กก็คือเด็กอยากรู้อะไรก็ถามออกไปตรงๆ

“ครับ เพิ่งกลับ” เขาไม่ถูกชะตากับเด็กอ้วนท่าทางแสบเข้าเส้น อยู่ดีๆ มาเรียกเขาว่าลุง ทั้งที่พ่อของเจ้าเด็กคนนี้หัวล้านไปครึ่งนึงแล้ว ควรจะเรียกเขาว่าน้าหรืออามากกว่าสิ หรือจะให้ดีควรเรียกว่าพี่ไปเลย

“โอโซนรักคุณอามากเลยนะคับ พูดถึงคุณอาทุกวันเลย” เพื่อนอีกคนของโอโซนยิ้มจนเห็นฟันหลอสองซี่

อคิราห์รู้สึกกระอักกระอ่วนที่รู้ว่าโอโซนเอาเขามาคุยอวดกับเพื่อนๆ ทุกวัน แต่อีกใจก็รู้สึกสงสารเด็กน้อย คงโหยหาพ่อมาก และคิดตำหนิปัณฑารีย์ที่ไม่ยอมพูดความจริงเรื่องพ่อตัวจริงให้ลูกฟัง ถึงแม้จะเลิกรากันไปแล้ว จะเกลียดกันแค่ไหน แต่เด็กก็มีสิทธิ์ที่จะรู้จักพ่อของตัวเอง และสมัยนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว ผู้คนยอมรับเรื่องการเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เด็กจำนวนไม่น้อยก็เติบโตขึ้นมาโดยมีแม่หรือพ่อเพียงคนเดียว เขาไม่เห็นความจำเป็นว่าทำไมหญิงสาวต้องปิดบัง

“ทำไมปันไม่บอกลูกไป ว่าพ่อของเขาเป็นใครล่ะ” เมื่อมีโอกาสที่อยู่กันโดยลำพัง ชายหนุ่มก็ถามสิ่งที่สงสัยมาตลอด

“ปันไม่อยากพูดถึงเรื่องอดีตค่ะ เพราะแค่คิดปันก็เจ็บปวดจะแย่แล้ว” หญิงสาวแกล้งตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ

“พี่เข้าใจนะว่าบางทีคนเราเมื่ออยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องเลิกรากันไป แต่ลูกก็มีสิทธิ์ที่จะรู้เรื่องพ่อของเขานะ ไม่สงสารลูกบ้างเหรอ ถ้าเขารู้ความจริงขึ้นมา พี่ว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่นะ” หนุ่มหล่อพยายามเกลี้ยกล่อมให้หญิงสาวพูดความจริงกับลูก แต่ยิ่งพูดปัณฑารีย์ก็ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เขาตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรอีก

“พี่ซันไม่เข้าใจความจำเป็นของปันหรอกค่ะ รอให้พี่มีลูกเมื่อไหร่พี่จะรู้เอง” ปัณฑารีย์เล่นละครทำเป็นสะอื้นเบาๆ เพื่อให้เขาหยุดตั้งคำถามและสั่งสอนเธอ

“พี่คงไม่มีวันเข้าใจความรู้สึกของคนมีลูกหรอก เพราะชาตินี้พี่จะไม่มีลูก” สิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกไป ทำให้คนฟังชะงักมองหน้าอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ ทำไมผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขา ถึงไม่อยากมีลูก ถ้าเด็กคนไหนได้เกิดเป็นลูกของเจ้าของน้ำเชื้อที่เพอร์เฟกต์แบบนี้ คงหน้าตาดีและอัจฉริยะเหมือนพ่อแน่ๆ

“ทำไมล่ะคะ” ความอยากรู้ทำให้เธอลืมไปว่ากำลังแกล้งบีบน้ำตาอยู่

“พี่ไม่ชอบเด็ก” คำตอบสั้นๆ ทำเอาปัณฑารีย์อึ้งหน้าหงาย ในใจก็ร้องโวยวายว่าทำไมไม่บอกแต่แรก เธอจะได้เปลี่ยนพ่อทันท่วงที นี่อะไร ปล่อยให้เธอเอาคนเกลียดเด็กมาเป็นพ่อของลูก หญิงสาวอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ แต่ถ้าจะเปลี่ยนตัวพ่อตอนนี้ โอโซนได้กลายเป็นเด็กสับสนมีปัญหา ต้องพึ่งพาจิตแพทย์เป็นแน่

ปัณฑารีย์ปวดหัวกับความจริงที่เพิ่งรับรู้ เธอไม่อยากรู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่ชอบเด็ก จึงเลือกปลีกตัวเดินหนีไปดูโอโซนที่กำลังวาดรูปอย่างตั้งใจ

“โอโซนวาดให้พ่อคับ” โอโซนยิ้มหน้าบานยื่นรูปวาดครอบครัวที่มี พ่อแม่ลูก และบ้านแสนสุขให้อคิราห์

ชายหนุ่มมองรูปนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เป็นภาพที่ทั้งน่ารักอบอุ่น และน่าขนลุก เขารู้สึกกลัวว่าถ้าปล่อยให้เด็กน้อยเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ มันจะดีหรือเปล่า แต่ถ้าพูดความจริงออกไป โอโซนจะยิ้มสดใสแบบในตอนนี้อีกหรือไม่ ซึ่งสำหรับเขาคงไม่มีผลกระทบอะไร แต่สำหรับเด็กคนนี้อาจจะมีบาดแผลใหญ่ที่รักษาไม่หายไปตลอดชีวิต และคนเป็นแม่อย่างปัณฑารีย์คงทำใจไม่ได้ ถ้าลูกต้องกลายเป็นเด็กอมทุกข์เพราะขาดพ่อ

ชายหนุ่มนึกถึงตัวเองตอนที่แม่ทิ้งไป ตอนนั้นเขา 5 ขวบ แม่ลากกระเป๋าออกจากบ้านไปตอนที่พ่อไม่อยู่ เขายืนร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด แม่ก็ไม่หันกลับมา ตั้งแต่วันนั้นเขาก็กลายเป็นเด็กที่แทบไม่มีรอยยิ้ม ไม่ออกไปเล่นกับเพื่อนๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้าน เพราะคิดถึงแม่ทุกวัน เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งแม่จะกลับมา แม้ว่าพ่อจะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้เขากับน้องไม่รู้สึกขาดความรัก แต่สำหรับลูกที่โหยหาแม่ความรักจากพ่อไม่เคยเพียงพอ อคิราห์จึงเข้าใจความรู้สึกของโอโซนได้เป็นอย่างดี

“วันนี้พ่อจะกลับบ้านกับเราใช่มั้ยคับ” โอโซนถามขณะเดินจูงมือแม่และพ่อกำมะลอออกมาจากห้องเรียน เด็กน้อยหวังเต็มเปี่ยมว่าพ่อของเขาจะกลับไปอยู่บ้านด้วยกัน

อคิราห์ตกใจมองหน้าปัณฑารีย์ที่มีอาการไม่ต่างกัน หญิงสาวทำหน้าเลิ่กลั่กคิดหาทางออก แต่สมองอันชาญฉลาดระดับดอกเตอร์กลับว่างเปล่า ให้คิดการสังเคราะห์สารใหม่ยังง่ายกว่านี้เยอะ

“ก็ได้ วันนี้ฉัน เอ่อ…พ่อจะกลับบ้านด้วย” อยู่ดีๆ ชายหนุ่มกลับตอบตกลงซะอย่างนั้น โอโซนดีใจกระโดดกอดเขาแน่น อคิราห์ขนลุกซู่ ลืมตัวผลักเจ้าตัวเล็กออก พอคิดได้ก็ดึงกลับมาใหม่

ปัณฑารีย์หันขวับมองชายหนุ่มตาเหลือก นี่เธอไม่ได้หูเฝื่อนไปใช่มั้ย ทำไมอยู่ดีๆ อคิราห์ถึงได้พูดออกมาแบบนั้น

“แต่ว่า พี่ซันไม่ต้องทำงานเหรอคะ ถ้างานยุ่งต้องนอนที่โรงพยาบาลก็ไม่เป็นไรนะคะ…ใช่มั้ยลูก” หญิงสาวพยายามหาวิธีช่วยชายหนุ่ม เธอไม่อยากให้เขาต้องฝืนใจทำอะไรมากไปกว่านี้ แค่สวมรอยเป็นพ่อให้กับลูกชาย เธอก็รู้สึกอายจนมองหน้าแทบไม่ติดแล้ว ถ้าต้องให้แสดงบทบาทพ่อถึงที่บ้านตลอดทั้งวันทั้งคืน เธอเกรงใจ ที่สำคัญถ้าต้องอยู่ร่วมบ้านเดียวกับรักแรก เธอเองก็คงทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน

“แต่พ่อบอกว่าจะไปด้วยนี่คับ” โอโซนหน้าสลดลงทันที

“ครับ แต่แค่วันนี้นะ เพราะพ่องานยุ่งมาก ต้องผ่าตัดคนไข้เยอะเลย” เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมปากเบาขนาดนั้น คงเป็นเพราะเข้าใจความรู้สึกของเด็กน้อยที่โหยหาความรักจากคนที่ไม่เคยมี

สรุปวันนั้นอคิราห์ก็กลับบ้านพร้อมสองแม่ลูก หญิงสาวรู้สึกแปลกๆ แม้จะตกลงให้มาเป็นพ่อของโอโซน แต่ก็ไม่อยากให้เขาเข้ามาวุ่นวายในพื้นที่ส่วนตัวของเธอ แต่เมื่อเป็นความต้องการของลูกชายและเขาเองก็เต็มใจทำ เธอจึงไม่สามารถปฏิเสธได้

อคิราห์ฝืนใจทำตัวเป็นพ่อที่น่ารัก ช่วยทำการบ้าน จากนั้นก็พากันไปเล่นฟุตบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่รู้สึกสบายใจเพราะทั้งสองฝ่ายเตะกันคนละมุม มีอย่างเดียวที่โอโซนร้องขอแต่ชายหนุ่มปฏิเสธเสียงแข็ง นั่นก็คือการอาบน้ำด้วยกัน เขาทำใจให้ใกล้ชิดกันขนาดนั้นไม่ได้

ระหว่างที่โอโซนเข้าไปอาบน้ำ หนุ่มหล่อก็มาช่วยปัณฑารีย์ทำอาหารเย็น หญิงสาวท่าทางกระฉับกระเฉง ทำอาหารคล่องแคล่วจนน่าแปลกใจ ส่วนใหญ่ที่เคยรู้จัก ผู้หญิงบ้างานมักจะทำอาหารไม่เป็น ตีรณาเองก็อยู่ในกฎนั้น แต่ผู้หญิงคนนี้แตกต่างออกไป

“ให้พี่ช่วยอะไรมั้ย”

“ช่วยเอาผักไปล้างให้หน่อยค่ะ” หญิงสาวชี้ไปที่ผักกองใหญ่บนโต๊ะ

เขาเอาผักไปจัดการล้างจนสะอาดหมดจด หมดน้ำไปเป็นถัง ก่อนที่จะเอาใส่ตะกร้าจัดเรียงแยกชนิดของผักไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หยิบใช้ง่าย สาวเจ้าของบ้านมองทึ่ง

หญิงสาวลงมือทำอาหารหลายอย่างด้วยความชำนาญ ไม่นานเมนูหน้าตาดีก็ถูกวางลงบนโต๊ะ โอโซนแววตาเป็นประกายเมื่อเห็นของโปรด

“ไข่เจียว บรอกโคลีกุ้ง ซุปตำลึง อ๊ะ! อันนี้อะไรคับ” เด็กน้อยชี้ไปที่จานแกงเขียวหวานเนื้อ

“แกงเขียวหวานเนื้อครับ จานนี้ของคุณลุง เอ้ย! คุณพ่อครับ” หญิงสาวรีบแก้คำพูดอย่างรวดเร็ว พูดไปก็เขินไป อยู่ดีๆ ก็มีพ่อของลูกนั่งร่วมโต๊ะอาหาร แถมยังเป็นคนที่เธอเคยบอกรัก และก็ถูก…หักอก

“โอโซนจะกินแกงเขียวหวานเนื้อเหมือนพ่อ” โอโซนยื่นช้อนออกไปจะตักแกงในถ้วย แต่ถูกมือใหญ่ขวางไว้

“จานนี้เด็กกินไม่ได้ มันเผ็ด” หนุ่มหล่อรีบห้าม

“กินได้ โอโซนกินได้ โอโซนอยากกินเหมือนพ่อคับ” เจ้าตัวเล็กยืนยันเสียงเข้ม คิดไปเองว่าถ้ากินสิ่งนี้ได้เขาจะกลายเป็นลูกของพ่อโดยสมบูรณ์

“ตามใจ อยากกินก็ลองดู” หญิงสาวไม่ห้าม ชายหนุ่มมองหน้าเธอแปลกใจว่าทำไมไม่ห้ามลูก หญิงสาวทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อลูกดื้ออยากลองเธอก็จะปล่อยให้ลอง แล้วเดี๋ยวเขาจะรู้เองว่า ทำไมผู้ใหญ่ถึงห้าม

โอโซนดีใจตักแกงขึ้นมาใส่ปาก พอรสแกงสัมผัสกับลิ้น เขาก็ทำหน้าเบ้ แม่ส่งแก้วน้ำให้อย่างใจเย็น เด็กน้อยดื่มน้ำอึกใหญ่ แลบลิ้นแดงแจ๋ออกมาเพื่อคลายความเผ็ด อคิราห์เผลอหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเด็กดื้อ และประทับใจกับวิธีการสอนที่ไม่ปกป้อง ประคบประหงม หรือเข้มงวดจนเกินไป แต่กลับใช้วิธีให้ลูกเรียนรู้ถึงผลของการกระทำด้วยตัวเอง

เมื่ออิ่มท้องกันหมดแล้ว โอโซนชวนอคิราห์ขึ้นไปอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอน ชายหนุ่มอิดออดไม่อยากไป ปัณฑารีย์ส่งสายตาอ้อนวอนจนเขาใจอ่อน เดินตามเด็กน้อยหายเข้าไปในห้อง

หญิงสาวเก็บล้างทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย ก็นึกขึ้นได้ว่าอคิราห์ไม่ชอบเด็ก แล้วเธอดันเผลอปล่อยพวกเขาไว้ตามลำพัง เธอลนลานจนเกือบตกบันไดรีบขึ้นไปดูความปลอดภัยของลูกชาย แต่เมื่อเห็นว่าลูกของเธอยังสบายดี แถมนอนหลับปุ๋ยอย่างมีความสุขกับนิทานที่คนตัวใหญ่กำลังอ่านอย่างเอาเป็นเอาตาย ไร้อารมณ์ เนิบนาบ หาความสนุกไม่ได้เลย ไม่บอกก็รู้ว่าคนคนนี้ไม่เคยอ่านนิทานให้เด็กฟังมาก่อน

อคิราห์เงยหน้าขึ้นมา เห็นหญิงสาวยืนพิงประตูห้องยิ้มขัน ชี้มือไปที่เตียงนอน เขาหันไปจึงเห็นว่าเด็กน้อยหลับไปแล้ว จึงวางหนังสือไว้บนโต๊ะ ปิดไฟหัวเตียง แล้วค่อยๆ เดินออกมาจากห้อง ตามปัณฑารีย์ลงไปข้างล่าง

“ขอบคุณมากนะคะพี่ซัน ที่วันนี้อุตส่าห์ปลอมตัวเป็นพ่อให้ลูกปันทั้งวันเลย” หญิงสาวกล่าวขอบคุณขณะที่เดินออกมาส่งรุ่นพี่รูปหล่อที่หน้าบ้าน

“จะขอบคุณทำไม พี่ไม่ได้เต็มใจทำสักหน่อย ดันเผลอไปทำสัญญากับซาตาน ซวยเลย” เขาโอดครวญขณะเปิดประตูรถเตรียมกลับบ้าน

“แต่พี่ก็ดูมีความสุขดีนี่คะ ยิ่งตอนอ่านนิทาน สนุกม้ากมาก อย่างกับคุณพ่อมืออาชีพเลยค่ะ” ปัณฑารีย์แซวไปขำไป

“ไม่ต้องมาแซะ พี่กลับก่อนนะ แล้วถ้าไม่จำเป็นไม่ต้องโทรตามล่ะ” เขากำชับสีหน้าจริงจัง “ผ่าตัดหัวใจง่ายกว่าเลี้ยงเด็กตั้งเยอะ” อคิราห์บ่นพึมพำไปตามประสาคนไม่ชอบเด็ก ปัณฑารีย์ยิ้มในใจ แม้ปากจะบอกว่าไม่ชอบเด็ก แต่เธอก็แอบเห็นมุมอ่อนโยนน่ารักของเขาเวลาที่อยู่กับโอโซน ถ้าวันหนึ่งมีลูก อคิราห์น่าจะเป็นพ่อที่ดีมากทีเดียว

บรรยากาศของโรงพยาบาลยามสายในวันธรรมดา เต็มไปด้วยคนไข้จำนวนมากที่รอพบหมอ ทั้งคนไข้ที่หมอนัดและที่ป่วยปัจจุบันทันด่วน รวมถึงพวกป่วยการเมืองที่ต้องการแค่ใบรับรองแพทย์ใช้ยืนยันการหยุดงาน ทำให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่ดูแคบไปในทันที

ตีรณาเดินอย่างมาดมั่นในรองเท้าส้นสูงราคาแพง ฝ่าดงคนไข้ที่มาใช้บริการ มุ่งตรงไปที่แผนกโรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อวานเธอไปหาอคิราห์ที่บ้านแต่ไม่พบ คนที่บ้านก็ไม่รู้ว่าอคิราห์หายไปไหน โทร.ไปไม่รับสายและไม่โทร.กลับ เธอหงุดหงิดจนนอนไม่หลับทั้งคืน สาวสวยถือวิสาสะนั่งรอเขาที่ห้องพักแพทย์ อคิราห์เดินเข้ามา ทำหน้าแปลกใจที่เห็นตีรณานั่งรออยู่

“มีอะไรหรือเปล่าครับ” คำถามที่ดูห่างเหินของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวน้อยใจ

“ถ้าไม่มีอะไร ตี้มาหาคุณไม่ได้เหรอคะ” ตีรณาตัดพ้อ

“ปกติคุณไม่ชอบกลิ่นโรงพยาบาลไม่ใช่เหรอ” เขาถอดเสื้อกาวน์สีขาวแขวน และนั่งลงทำงานต่อ

หญิงสาวเกลียดที่เขารู้ทันเธอแทบทุกเรื่อง แต่รู้ทันไม่ใช่รู้ใจ ดังนั้นคู่หมั้นของเธอจึงไม่เคยแสดงความใส่ใจความรู้สึกของเธอเลยสักครั้ง ก็อาจจะมีบ้างที่เขารับรู้ แต่สิ่งที่ตามมาคือความเย็นชาเฉยเมย ถึงรู้แล้วยังไงล่ะ ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง บางทีเธอก็ชื่นชมตัวเองที่อดทนคบกับผู้ชายไร้ความรู้สึกคนนี้มาได้ตั้งหลายปี

“เมื่อวานคุณไปไหนมาคะ ตี้ไปหาที่บ้านก็ไม่อยู่ โทรไปก็ไม่รับ” เธอถามอย่างไม่อ้อมค้อม ตลอดเวลาที่คบหากันมา เขาเหมือนมีกำแพงปิดกั้นจนเธอเข้าไม่ถึง เมื่อใดที่พยายามจะเข้าใกล้มากไป อคิราห์จะแสดงท่าทีผลักไสเธอออกมา เธอจึงรู้เรื่องของเขาน้อยมาก แต่ยังไงเขาก็ยังคงเป็นผู้ชายที่เธอมีใจให้มากที่สุดและเป็นคนที่อยากเดินเคียงข้างด้วยตลอดไป

“ผมไปธุระกับรุ่นน้อง ขอโทษทีนะ ผมไม่ได้สนใจดูโทรศัพท์เลย” คำตอบสั้นๆ ไร้ความใส่ใจ และรู้สึกผิดของเขา ทำให้สาวสวยหน้าชา

“ตี้รู้นะคะว่าคุณเป็นคนที่ไม่ใส่ใจกับอะไรทั้งนั้น แต่ตี้ก็เป็นคู่หมั้นนะคะ ช่วยหันมามองหน้าสบตากันบ้างก็ได้ คุณอย่าทำเหมือนตี้ไม่มีตัวตนสิคะ” ตีรณาพูดออกมาอย่างอัดอั้น เธอเป็นถึงหญิงสาวคนดัง ลูกนักการเมืองใหญ่ ที่ใครต่อใครปรารถนา แต่กลับไร้ค่าในสายตาคู่หมั้นของตัวเอง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากงานบนโต๊ะ สบตาคู่หมั้นสาว เขารับรู้ได้จากแววตาว่าเธอน้อยใจจริงๆ อคิราห์รู้สึกผิดที่เย็นชากับคู่หมั้นเกินไป

“ผมขอโทษ เดี๋ยวคุณรอผมหน่อยนะ มีเคสผ่าตัดอีกเคส เราค่อยไปกินข้าวที่โรงอาหารกัน”

“ไม่ดีกว่าค่ะ ตี้ไม่อยากกินข้าวที่นี่ ตี้กลับก่อนนะคะ” ตีรณาสะกดอารมณ์ตัวเองไม่ให้โกรธไปมากกว่านี้ แล้วเดินหันหลังออกจากห้องไป นอกจากไม่สนใจความรู้สึกของเธอแล้ว อคิราห์ยังทำเหมือนเธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาทั่วไปที่จะจับวางตรงไหนก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงความต้องการของเธอ เขาเองรู้ว่าเธอไม่ชอบกลิ่นและบรรยากาศของโรงพยาบาล แต่จะให้กินข้าวในโรงอาหารเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยคนไข้และหมอที่มีแต่กลิ่นน้ำยาทำความสะอาด อาหารก็ทำขึ้นมาง่าย ๆ กินกันตาย ไร้การรังสรรค์อย่างละเมียดละไม เธอทนไม่ได้กับสิ่งเหล่านี้

อคิราห์นั่งลงทำงานต่อ ไม่ได้สนใจคู่หมั้นที่เดินคอแข็งออกไปด้วยความไม่พอใจ เขารู้สึกโล่งอกด้วยซ้ำที่ตีรณาปฏิเสธคำชวน ชายหนุ่มอึดอัดทุกครั้งที่ต้องไปกินข้าว หรือทำสิ่งอื่นใดกับเธอ เขารู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ ต้องฝืนทำตามที่เธอต้องการตลอดเวลา ตีรณาต้องการความหรูหรา พิเศษ สมบูรณ์แบบ ส่วนเขาต้องการความเรียบง่ายธรรมดา อย่างที่มนุษย์ทั่วไปพึงอยู่พึงกระทำ การเป็นคนอีกระดับชั้นที่เหนือขึ้นไปบนยอดหอคอย ไม่ใช่ตัวตนของเขา ถึงแม้จะเกิดมาในตระกูลที่ร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องใช้ชีวิตดั่งเทวดาที่เท้าไม่ติดดิน

 

“ทุเรศที่สุด! ใช้วิธีสกปรกแบบนี้กันเลยเหรอ”

ปัณฑารีย์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อเห็นข้อความที่ส่งต่อกันมาในไลน์กลุ่มของคณะฯ เป็นข้อความที่กล่าวหาร้ายแรงว่าเธอปลอมแปลงสวมชื่อในผลงานวิจัยที่ไม่ใช่ของตัวเอง ไม่มีความเหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งใดๆ หญิงสาวถูกเรียกตัวเข้าพบคณบดีในทันที เธอชี้แจงว่าข่าวที่ส่งมาเป็นเรื่องไม่จริง เธอสามารถพิสูจน์ได้ว่าผลงานวิจัยนั้น ผลิตออกมาจากสมองและความสามารถของเธอ ไม่ได้ขโมยของใครมาตามที่ถูกกล่าวหา คณบดีหนักใจให้เอาหลักฐานมายืนยันจะได้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเธอ จะได้ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป

“คนที่กล้าทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ ต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการเขี่ยปันออกจากการชิงตำแหน่งแน่เลย” อชิระที่เห็นข่าวในไลน์กลุ่มรีบเข้ามาให้กำลังใจหญิงสาวในทันที เพราะเขาไม่เชื่อว่าเธอจะกล้าทำเรื่องทุจริตร้ายแรง

“มันน่าฟ้องสักสิบล้าน และก็จับกดน้ำซะให้เข็ด” หญิงสาวทำท่าทางประกอบคำพูดจริงจัง จนชายหนุ่มหัวเราะออกมา เธอเลยรีบสำรวมอาการ เวลาที่อยู่กับหนุ่มรุ่นน้องคนนี้เธอมักจะเผลอแสดงตัวตนที่แท้จริง อาจเป็นเพราะรู้สึกสบายใจ เหมือนกับการได้พูดคุยกับเพื่อนสนิทคนหนึ่ง

“กลัวจะไม่ได้ตำแหน่งจนต้องใช้วิธีสกปรก เลวมาก เดี๋ยวผมจะช่วยหาตัวให้ รับรองไม่เกินสามวันเจอแน่นอน” เขาอาสาหาตัวคนกุข่าวเพื่อเอาผิด

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ถึงจะไม่มีหลักฐาน แต่ฉันก็พอจะรู้ว่าใครทำ” หญิงสาวปฏิเสธ

“ปันสงสัยใครเหรอครับ” ชายหนุ่มรอฟังคำตอบ เพื่อที่จะได้ไปจัดการให้คนๆ นั้นด้วยตัวเอง

“ช่างเค้าเถอะค่ะ รู้ไปก็เท่านั้น ฉันจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเองว่า ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกนั้นโกหก”

ปัณฑารีย์แววตามุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ความจริงให้คนอื่นตาสว่าง ดีกว่าการไปตามล่าหาแม่มดชั่วร้าย แล้วตอบโต้กันด้วยความรุนแรง

“ก็ได้ครับ ผมจะคอยซัปพอร์ตคุณข้างหลัง ถ้าต้องการความช่วยเหลือ แค่หันมาสบตา ผมจะรีบไปอยู่ข้างๆ คุณทันที” อชิระประทับใจในวิธีการคิดของหญิงสาว

“เปลี่ยนจากสบตาเป็นสะกิดแทนได้มั้ยคะ สบตามันแปลกๆ” หญิงสาวแกล้งทำเป็นหยอกล้อ และรีบไล่ให้เขากลับไปทำงาน เพราะรู้สึกว่ากำลังเป็นเป้าสายตาของคนอื่นที่จ้องมองอย่างจับผิด

แค่เพียงไม่ถึงครึ่งวันปัณฑารีย์ก็สามารถเอาหลักฐานมายืนยันว่างานวิจัยที่เป็นประเด็น เป็นผลงานของเธอร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีการปลอมแปลงหรือขโมยมาตามที่ถูกกล่าวหา โดยมีอาจารย์จากสถาบันที่เธอเรียนจบมายืนยันด้วยตัวเองผ่านการประชุมออนไลน์ คณบดีสบายใจเมื่อมีได้รับการพิสูจน์ เขาเองก็อยากได้ตัวคนที่ปล่อยข่าวปลอม แต่เมื่อผู้เสียหายไม่ต้องการเอาความ จึงเป็นอันว่าจบเรื่องวุ่นวาย

แต่ถึงอย่างนั้น ปัณฑารีย์ก็ไม่อยากปล่อยให้คนร้ายได้ใจ เธอจึงออกมาแกล้งป่าวประกาศขู่ว่า คณะบดีกำลังหาตัวคนที่ปล่อยข่าว ถ้าเจอเมื่อไหร่อาจมีโทษถึงไล่ออก และเธอก็จะฟ้องให้หมดตัว หลายคนเห็นด้วย ช่วยกันส่งเสริมว่าต้องหาตัวคนผิดมารับผิดชอบให้ได้ ขวัญสุดาที่ซุ่มฟังอยู่เริ่มรู้สึกกลัว เพราะเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือของเธอเอง ที่ต้องการกำจัดปัณฑารีย์ออกไปจากมหาวิทยาลัย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าอาจเป็นเธอเสียเองที่ต้องโดนไล่ออกถ้าถูกจับได้

 



Don`t copy text!