ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 3 : อะไรที่พยายามไขว่คว้า (1)

ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 3 : อะไรที่พยายามไขว่คว้า (1)

โดย : หมอนอิงพิงหลัง

Loading

ถนนสายนี้มีแมวเหมียว โดย หมอนอิงพิงหลัง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาขอเอาใจนักอ่าน โดยเฉพาะนักอ่านทาสแมว กับเรื่องราวของ น้ำปิง  เจ้าพ่อแห่งความเพอร์เฟคที่โดนวงล้อโชคชะตาเล่นตลกและแมวสามสี….ที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับเรื่องราวสารพัดจนเขาหลงรักชีวิตแบบแมวๆ เข้าอย่างจัง น้ำปิงกับถนนสายแมวเหมียวจะเป็นอย่างไร อ่านกันได้เลยค่ะ

เมฆหมอกปกคลุมไปทั่วสถานที่แห่งนี้ ผมยืนรออะไรสักอย่างอยู่ที่ชานชาลา ในมือถือตั๋วสีทองอยู่หนึ่งใบ ทันใดนั้นก็มีรถไฟคันหนึ่งวิ่งมาจอดข้างหน้าพร้อมส่งเสียงหวูด วู้ด วู้ด พนักงานเก็บตั๋วก้าวออกมา ผมเลยยื่นตั๋วนั้นให้และขึ้นไปบนรถไฟ ผมกำลังกวาดสายตาหาที่นั่ง แต่รถไฟเริ่มออกตัวทะยานขึ้นฟ้าเขย่าไปมาและม้วนตัวลงเหมือนรถไฟในสวนสนุก ผมที่กำลังจะล้มถูกมือปริศนาทั้ง 5 เอื้อมมาพยุงไว้ แล้วสาวใช้ก็เดินออกมาพร้อมเสิร์ฟอาหารเข้าปากผมคำแล้วคำเล่า ไม่ ไม่ พอแล้ว อิ่มแล้ว อิ่มแล้ว ผมพยายามดิ้นรนขัดขืน

 

ผมฝันร้ายจนนอนถีบจักรยานอากาศอยู่ที่ศาลาท่าน้ำ แต่มีใครบางคนลูบหัวผมอยู่ พอลืมตาขึ้นมาก็เห็นส้มจุกนอนอยู่ข้างหน้ากำลังเอาจมูกถูหัวผมอยู่ มันใกล้เสียจนผมเห็นฟันหลอของเธออย่างชัดเจน

“ไปกันเถอะทองแต้มได้เวลาแล้ว เราต้องไปสวนกล้วยตาใหญ่กัน ไปเอาใบตองให้ยายคำมูล” ส้มจุกลุกขึ้นยืนแล้วก็หิ้วผมขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่เราเจอกัน

“ฮื้ย ทำไมตัวหนักกว่าเมื่อเช้าอีกล่ะเนี่ย” ส้มจุกบ่นพร้อมจับผมลงตะกร้าหน้าจักรยานคันเก่งคันเดิม ที่โบสีเหลืองออกตุ่นปลิวสะบัด

ฝันอะไรประหลาด หรือว่าเรากินเยอะไป ผมพร่ำบ่นกับตัวเอง ไม่หรอก ไม่เยอะหรอกกำลังดีแหละ ผมมองไปบนฟ้า พระอาทิตย์ฉายแสงแรงจ้า เงาสะท้อนเป็นรูปต้นไม้ตกตรงโคนต้น ธรรมดาเวลานี้ เป็นคนคงต้องร้อนตับแตก แต่สำหรับแมวนี่แสงแดดทำให้รู้สึกผ่อนคลายรู้สึกมีความสุข นอนเปิดพุงแตะกับไม้กระดานเย็นสบายเหลือเกิน แล้วเสียงฆ้องก็ดังขึ้น นี่เป็นเวลาเที่ยงแล้วสินะ มิน่าแดดถึงจ้าขนาดนี้

ระหว่างทางส้มจุกขี่จักรยานไป ผมนั่งมองวิวทิวทัศน์จากตะกร้าข้างหน้า ก็ได้ยินเสียงอ่านป้ายโฆษณาไปอย่างเจื้อยแจ้วมาจากข้างหลัง ยาแก้ปวดทันใจ ยาแก้ไอตราตะเข็บห้าตัว ยาหม่องตราลิงอมลูกท้อ ป้ายรับผ่อนเครื่องสักผ้า ทีวี ตู้เย็น ให้กู้ ให้เช่า รับแทงหวย รับทำ พ.ร.บ. เก่งแฮะ เจ้าเด็กน้อยนี่อ่านได้หมด แต่ฟังดูเหมือนส้มจุกจะสะกดตัว งอเงือ ไม่ได้ ออกเสียงไม่ชัด

 

แล้วเราก็มาหยุดอยู่ที่หน้าร้านขายขนมร้านหนึ่ง ที่ร้านมีเด็กๆ ออกันอยู่หลายคน ที่นี่ขายสารพัดขนมอย่าง ไม่ว่าจะเป็นกองทัพปลาหมึกย่างเสียบไม้ตัวจิ๋ว ที่ความจริงทำจากปลาแผ่นเรียงรายอยู่บนแผงกระดาษ โหลพลาสติกใส่หมากฝรั่งสีสันสดใสรูปนกยิ้มแฉ่ง โหลใส่ทอฟฟี่รสนมห่อด้วยกระดาษสดใสรูปกระต่ายยิ้มแฉ่ง กล่องรูปแมวดำนั่งยิ้มแฉ่งที่ข้างในเป็นหมากฝรั่งทรงบุหรี่เพิ่มความเท่ และบ๊วยแผ่นสีแดงรูปเหรียญบาท ไม่อร่อยแต่ให้เยอะ ผมไม่ค่อยแน่ใจทำไมสัตว์เหล่านี้ต้องฉีกยิ้มให้ลูกค้า หรือนี่เป็นการบอกใบ้ให้เด็กๆ รู้ว่า ขนมเหล่านี้ กินแล้วต้องแลกด้วยฟันที่พวกเค้ามี

ส้มจุกยืนดูอยู่ข้างหน้า เอามือล้วงกระเป๋ากำเหรียญสิบบาทไว้แน่นรอจนเด็กกลุ่มแรกไปหมด อาแปะเจ้าของร้านก็เดินมาหา ฉีกยิ้มให้เห็นฟันหลอ อ้าว! ไม่ใช่แค่เด็กเหรอที่ต้องแลกด้วยฟัน ผมรีบยกมือปิดปากตัวเองไม่ให้ขำออกมา

“อาส้มจุก วันนี้เอาเหมือนเดิมไหม” เสียงอาแปะใจดีดังมาขณะเขาเอื้อมไปหยิบขนมโก๋รูปปลาบนแผงกระดาษสีชมพูสดที่เรียงรายอยู่ข้างตู้เย็นสเตนเลสบานเลื่อนเป็นกระจก ในตู้เย็นนั้นเต็มไปด้วยแก้วน้ำเก๊กฮวยสีเหลืองสว่างกับน้ำโอเลี้ยง ขวดซุปไก่สกัด รังนก และขวดเครื่องดื่มชูกำลังอีกมากมายวางเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ

“อะ นี่ขนมโปรดของคุณลูกค้าประจำ เดี๋ยวซ้งแปะลดราคาให้ เหลือแปดบาท”

“ขอบคุณค่ะ ซ้งแปะ” ส้มจุกยกมือไหว้สวย

พอส้มจุกรับขนมและเงินทอนเสร็จ ก็รีบวิ่งไปนั่งข้างร้านแล้วค่อยๆ แกะห่อขนมออกด้วยมือเล็กๆ เธอบิขนมโก๋รูปปลาส่วนหางมาชิมหนึ่งคำ ผมเหล่มองซองขนมนั่นและคิดในใจว่าต้นทุนส่วนใหญ่ของขนม น่าจะหมดไปกับสีชมพูเรืองแสงของกระดาษแหง

“กินมั้ยทองแต้ม นี่ขนมโก๋ของโปรดส้มจุกเลยนะ ตรงตัวปลาส้มจุกจะเอาไปฝากยาย ส่วนนี้ของทองแต้ม” แล้วเธอก็บิให้ผมอีกหนึ่งคำ

ผมยังรู้สึกกล้าๆ กลัวๆ ไม่เคยกินขนมแบบนี้ แล้วชิ้นที่ส้มจุกแบ่งให้ก็มีสีชมพูติดด้วย แต่พอลองดมๆ เลียๆ ดูแล้วมันหอมหวาน ละลายในปากมีกลิ่นถั่วอ่อนๆ รสออกแป้งนิดหน่อย คล้ายขนมขี้หนูแต่เป็นคนละกลิ่นกัน เอ๊ะ ถึงสีจะดูน่ากลัวแต่ก็อร่อยเหมือนกันแฮะ พอกินเสร็จขนมที่ร่วงเป็นผงๆ ก็ติดตามหนวดผมไปทั่ว

ส้มจุกหัวเราะ พร้อมดึงเสื้อมาเช็ดหน้าผม จากนั้นก็เช็ดหน้าตัวเอง เธอค่อยๆ เก็บขนมไว้ในกระเป๋าเสื้ออย่างเบามือ เธอย้ำว่าเธอจะเก็บไปฝากยายแล้วหลังจากนั้นเราก็เดินทางกันต่อ

แล้วเราก็มาถึงสวนกล้วยของตาใหญ่ ตาใหญ่ ชื่อใหญ่ แต่แกเป็นชายไทยร่างเล็ก แกดูอายุรุ่นเดียวกับยายใส่กางเกงม่อฮ่อมขาก๊วย มีผ้าขาวม้าคาดที่สะเอว

“ตาใหญ่ ส้มจุกมาเอาใบตองแล้วจ้ะ” ส้มจุกไหว้สวัสดีอย่างอ่อนน้อม

“เอ้อ มานี่ลูก ตามีของฝากยายคำมูลด้วยนะ” ตาใหญ่พูดเสียงดังฟังชัดอมยิ้มเอ็นดูส้มจุกด้วยความปรานี “เดี๋ยวตาผูกใส่รถไปให้นะ”

ตาใหญ่แกมัดใบตองตานีไว้ที่ตะแกรงหลังอาน ของแถมก็คือกล้วยน้ำว้าหนึ่งหวีกับทุเรียนเล็กหนึ่งลูก คราวนี้ความซวยก็มาตกกับผม ตะกร้าใบเดิมที่ผมโดยสารมา ตอนนี้มีกล้วยและทุเรียนนั่งเป็นเพื่อน ส้มจุกยังขี่จักรยานไม่แข็ง ทุกครั้งที่เธอเสียหลักผมก็โดนลงทัณฑ์ทุเรียนไปด้วย ถนนลูกรังเส้นนี้ขากลับจึงยาวนานกว่าขามาเยอะเลย

จะว่าไปการใช้ชีวิตในชนบทก็สงบสุขดีนะ ผู้คนก็มีน้ำใจให้กัน น้ำในลำคลองก็ใสสะอาด วิถีชุมชนที่พึ่งพาอาศัยวัด ไม่ต้องเร่งรีบ ทุกคนเกื้อกูลกันถ้อยทีถ้อยอาศัย มันทำให้ผมเริ่มสงสัยว่าที่ผ่านมาความสุขที่เราพยายามไขว่คว้าคืออะไรกันแน่ หรือว่านี่คือคำตอบของคำอธิษฐานของผม ไม่น่าจะใช่มั้ง! ใครจะขอเป็นแมวกัน

 

พอกลับมาถึงตลาด ยายที่นั่งรออยู่ก็ชูปลาตะเพียนตัวใหญ่ที่ตาหลวยแบ่งมาให้ดู ทั้งส้มจุกและยายยิ้มกว้างดีใจ นอกเหนือจากนั้นยายยังขายขนมจนหมดเกลี้ยงด้วย พอยายเก็บข้าวของขึ้นรถเข็นเรียบร้อยพวกเราก็เดินกลับบ้านกัน

เรากลับบ้านกันผ่านถนนเส้นเดิม ส้มจุกอารมณ์ดีร้องเพลงพร้อมส่ายหัวไปมา ผมเห็นผมแกละทรงน้ำพุทั้งสองข้างของเธอเด้งไปมาดูน่าเอ็นดู ตอนนี้ตะกร้ารถจักรยานเต็มไปด้วยของที่คนในชุมชนแบ่งปันให้กัน ผมเลยได้นั่งรถเข็นขนมยายกลับบ้านแทน

มาถึงบ้านผมมองดูเวลาบนนาฬิกาข้างฝาตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองโมง ยายถอยรถเข็นจอดในบ้าน ทำความสะอาดและเก็บถาดขนม และหยิบปลาตะเพียนตัวอ้วนออกมาล้างน้ำ ส้มจุกรีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยยาย ถึงเธอจะเป็นเด็กตัวเล็กแต่ก็ขยันไม่ใช่น้อย

“เดี๋ยวยายจะเอามาทอดน้ำปลาให้กินได้ทั้งตัว คู่กับไข่เจียวดอกโสนดีไหมลูก ส้มจุก”

“เอาจ้ะ” เธอวิ่งเข้าไปกอดยาย

“หนูรักยายที่สุดเลย” ยายลูบหัวกลับ ส้มจุกยิ้มอารมณ์ดี แล้วก็ไปเข็นจักรยานเก็บที่มุมห้อง

 

ระหว่างเตรียมทำอาหาร ยายก็เล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้ส้มจุกฟังว่า

“ตะเพียนขาวเป็นปลาพื้นบ้าน ชอบอยู่ตามลำคลองที่น้ำนิ่ง ฝูงปลาเขาชอบน้ำใสสะอาด เมื่อก่อนแถวนี้คลองใสมาก ปลาตะเพียนขาว ตะเพียนหางแดงชุกชุม จนเขาต้องเอาไว้ทำตะเพียนต้มเค็มเพื่อเก็บไว้กินได้นานเลยทีเดียว แต่สมัยนี้มีไม่มากเหมือนก่อนแล้วละ” ยายพักมือหันมามองหาส้มจุก แต่เธอไปเล่นที่อื่นแล้ว ยายเลยหันมามองผมแล้วเล่าต่อให้ฟังว่า

“การเตรียมปลานะทองแต้ม เราต้องเอาปลามาล้างน้ำ ควักไส้ ขอดเกล็ดจากหางมาทางหัว เสร็จแล้วก็ล้างน้ำสะอาดอีกรอบ ก่อนลงมือบั้งปลา” ระหว่างบรรยาย ยายก็โชว์ฝีมือให้ดูไปด้วย

เพราะผมสนิทกับคนครัวที่โรงแรม จึงเข้าใจได้ว่าปลาตะเพียนมีก้างเยอะ ผมเห็นว่ายายระมัดระวังในการเตรียมปลาเพราะกลัวส้มจุกกับผมจะโดนก้างตำคอ ถ้ายายบั้งปลาให้ถี่ แล้วทอดให้เหลืองทอง ปลาจะกรอบจนกินได้ทั้งตัว แล้วก็เป็นตามนั้นจริงๆ ยายลงมีดอย่างแม่นยำ รอยบั้งแต่ละครั้งเรียงสวยห่างกันไม่เกินครึ่งข้อนิ้ว นี่มันฝีมือระดับกุ๊กในโรงแรมเลยทีเดียว พอบั้งเสร็จยายก็บีบน้ำมะนาวใส่อ่างเพื่อล้างคาวปลาอีกรอบหนึ่ง นี่ก็เป็นเทคนิคที่ทำให้หมดคาวปลา ฝีมือทำอาหารยายนี่ไม่ธรรมดาเลย



Don`t copy text!