มนตร์เบญจรงค์ บทที่ 3 : ความหลังครั้งเก่า

มนตร์เบญจรงค์ บทที่ 3 : ความหลังครั้งเก่า

โดย :

Loading

มนตร์เบญจรงค์ เรื่องราวของน้ำทอง หญิงสาวอาศัยอยู่ในบ้านทรงไทยไม้สักทองหลังงามกลางสวน กับการได้ครอบครองเบญจรงค์โบราณลายเทพบุตรทรงกลมแป้นที่ได้มาในราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ และเบญจรงค์ใบนี้ทำให้เหตุการณ์ในบ้านอันสงบสุขของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นิยายออนไลน์ โดย จรัสพร ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

…………………………………………

-3-

 

เช้าวันเสาร์ กังไสนำรถตู้มารับน้ำทองที่เรือนไทยกลางสวน ก่อนจะไปรับ ดร.ลงยา โถเบญจรงค์ทั้งสองใบถูกนำใส่ถุงกำมะหยี่สีดำ ดร.ลงยาวันนี้มาในชุดไทยพระราชทานแขนสั้น ผ้ากาบบัวสีเทาทอลายในตัวงดงาม เข้าชุดกับกางเกงผ้าไหมสีเทาเข้ม น้ำทองถึงกับตาโตเมื่อได้เห็นเสื้อผ้ากาบบัวของชายหนุ่ม วันนี้หล่อนทะมัดทะแมงมาในกางเกงยีนส์ขาด สวมเสื้อผ้าฝ้ายยาโน ปักลวดลายเทคนิคคัตเวิร์กเป็นลายก้นหอยทั้งตัวด้วยเส้นใยกัญชง บ่งบอกเอกลักษณ์และความเป็นตัวตนจนลงยานึกทึ่งในมาดอันแสนเท่ของหญิงสาว สำหรับกังไสนั้นแฟชั่นอาตี๋ขายยามาเหมือนเดิม เสื้อเชิร์ตแขนสั้นสีขาว สอดชายไว้ในกางเกงดำเรียบสนิท  

รถตู้พาคนทั้งหมดเข้ามาในเขตจังหวัดกาญจนบุรี กังไสบอกให้คนขับรถแวะรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านครัวธรรมชาติ ร้านอร่อยเจ้าประจำที่เขาและน้ำทองต่างคุ้นเคยกันดี หากแต่ปัญหามาตกอยู่ที่ ดร.ลงยา ชายหนุ่มผู้ต้องพกสำรับส่วนตัวมาด้วย วันนี้ก็เช่นกัน ชายหนุ่มออกตัวว่าเขาจะรับประทานอาหารที่นำมาจากบ้านในรถตู้เพราะไม่เคยชินที่จะรับประทานอาหารนอกบ้าน

“ผมขอรับประทานอาหารกลางวันคนเดียวบนรถตู้ คุณกังไสและคุณน้ำทองคงไม่ว่าอะไรนะครับ” ชายหนุ่มกล่าวพร้อมเตรียมยกตะกร้าอาหารที่เตรียมมาจากบ้านออกมาเตรียม วันนี้เขาต้องจัดสำรับเองเพราะไม่สามารถนำคุณคำนึงมาด้วยได้ กังไสหันมาชวนให้ลงไปรับประทานอาหารในร้านจะสะดวกกว่า

“ลงมารับประทานด้วยกันในร้านเถอะครับดอกเตอร์ ป้าเจ้าของร้านกับผมคุ้นเคยกันดี เผื่อจะได้ลองชิมเมนูเด็ดๆ ฝีมือป้าดูบ้างรับรองจะติดใจนะครับ” ดร.ลงยาจำต้องถือตะกร้าบรรจุอาหารคาวหวานส่วนตัวเดินตามน้ำทองและกังไสลงมาจากรถตู้

ร้านครัวธรรมชาติเป็นร้านอาหารพื้นบ้านบรรยากาศดีอยู่ติดแม่น้ำแควใหญ่ บรรยากาศร่มครึ้มในสวนป่าธรรมชาติ เมนูอาหารที่นี่เป็นเอกลักษณ์สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนที่ไม่เคยมาเป็นอย่างมาก น้ำทองสั่งปลาช่อนยัดไส้ปูเผา ห่อหมกยัดไส้ปลาทูทอด แกงส้มผักบุ้งสอดไส้กุ้งสด กังไสสั่งกุ้งอบสมุนไพรและผัดเผ็ดไก่

ดร.ลงยาลำเลียงสำรับคับค้อนของเขาออกมาจากตะกร้าผิวไผ่ลายพิกุลสานละเอียดยิบ วันนี้ที่บ้านเขาเตรียมข้าวกับน้ำพริกตาแดง เนื้อเค็มฉีกฝอยผัดน้ำตาล ไข่เป็ดต้มยางมะตูมและผักสด ของหวานเป็นส้มเขียวหวานแกะกลีบลอกเยื่อลอยแก้วมาเรียบร้อย เนื่องจากเป็นอาหารปิกนิกจึงมีอาหารน้อยอย่าง เมื่อเขานำขวดแก้วเจียระไนใส่น้ำล้างมือออกมาจากตะกร้า น้ำทองหันมาเห็นเข้าถึงกับเบือนหน้าหนี นึกถึงวันที่ได้ดื่มน้ำล้างมือดอกเตอร์เข้าไปอย่างเต็มรัก เห็นแล้วรู้สึกพิพักพิพ่วนชวนกินของอร่อยไม่ลง ชายหนุ่มหันมาเห็นหน้าของหญิงสาวก็ยิ่งอยากจะแกล้ง จึงบรรจงล้างมืออย่างช้าๆ กังไสผู้ไม่รู้ความเห็นขวดเจียระไนใบสวยจึงถามด้วยความสนใจ

“นี่ขวดเจียระไนยุคไหนครับดอกเตอร์ งามจริงๆ ละเอียดยิ่งกว่าของสวารอฟสกี้อีกนะครับ”

“น่าจะเป็นของสมัยพระพุทธเจ้าหลวงนะครับ คุณกังไส อันนี้เป็นชุดมากับอ่างแก้วลายหนามขนุนเป็นสมบัติเก่าของคุณแม่ผม ว่ากันว่าอ่างแก้วใบนั้นเป็นอ่างอาบน้ำตอนทำขวัญเดือนของคนในตระกูลผมทุกคนเลย ขวดนี่ก็เข้าชุดกัน ผมเห็นสวยดีเลยเอามาใส่น้ำล้างมือตอนรับประทานอาหาร คุณน้ำทองสนใจจะชมไหมครับ” ดร.ลงยาถามพลางปรายตาเย้าหญิงสาว น้ำทองได้แต่เมินหน้าหนีไม่พูดอะไร

เมื่ออาหารที่สั่งมาเสิร์ฟจนครบ ทั้งหมดก็รับประทานกันอย่างออกรส กังไสพยายามชี้ชวน ให้ ดร.ลงยา รับประทานอาหารของทางร้าน พอโดนคะยั้นคะยอหนักเข้าเขาจำต้องลองชิมดูด้วยมารยาท หากแต่เมื่อได้ลิ้มรสแล้วก็ติดใจ เนื่องจากอาหารของร้านนี้นอกจากจะมีสูตรอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว รสชาติยังอร่อยอย่างหาจับตัวยากอีกด้วย ชายหนุ่มเปิบข้าวเข้าปากพร้อมพูดคุยกับสองหนุ่มสาวอย่างผ่อนคลาย น่าแปลกที่ปกติเขาจะเป็นคนถือตัวและไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใคร หากแต่กับกังไสและน้ำทอง เขากลับสามารถปล่อยตัวตามสบายได้เหมือนกับอยู่กับเพื่อนสนิท

เมื่ออิ่มหนำสำราญกันเรียบร้อยแล้วทั้งหมดก็ขึ้นรถเตรียมเดินทางต่อ บ้านพ่อครูสะยามินนั้นอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองกาญจนบุรีอีกประมาณสองร้อยกว่ากิโลเมตร แถวๆ ด่านเจดีย์สามองค์ ซึ่งต้องใช้เวลาอีกประมาณชั่วโมงเศษๆ จึงจะถึงที่หมาย กังไสนั่งหน้าคู่คนขับรถเพื่อบอกทาง ส่วนน้ำทองและ ดร.ลงยานั่งมาด้วยกันในตอนหลังรถตู้ ชายหนุ่มนั่งชมธรรมชาติสองข้างทางอย่างเพลิดเพลิน ขณะที่หญิงสาวเสียบหูฟังเพลงและพักตาไปจนถึงที่หมาย

เมื่อถึงบ้านหนองลู รถก็เลี้ยวเข้าทางแยกตรงข้ามกับทางที่จะไปด่านเจดีย์สามองค์ สองข้างทางเป็นป่า นานๆ จะเห็นบ้านคนสักหลัง วิ่งเข้ามาตามถนนดินแดงนานพอสมควรรถตู้ก็มาจอดอยู่หน้าเรือนไม้ใต้ถุนสูงหลังหนึ่ง กังไสลงจากรถ เสียงหมาเห่าเกรียว เจ้าตูบสามสี่ตัวออกมาต้อนรับ น้ำทองมองจากกระจกหน้าต่างรถตู้ขึ้นไปบนเรือนหลังนั้น หล่อนเห็นเงาดำวูบวาบอยู่บนเรือนเต็มไปหมดดูก็รู้ว่าเป็นเหล่าสัมภเวสี หญิงสาวสวดบทแผ่เมตตาอุทิศให้วิญญาณเหล่านั้นเป็นการผูกมิตร ดร.ลงยาถือห่อโถเบญจรงค์ของเขาลงมาจากรถ ตามด้วยน้ำทองที่ถือห่อโถของหล่อนลงมาเช่นกัน ทั้งคู่เดินเข้าไปในบริเวณบ้าน ชายชราผมขาวนุ่งโสร่งสวมเสื้อผ้าป่านออกมาต้อนรับหนุ่มสาวทั้งสาม กังไสแนะนำให้ เพื่อนของเขารู้จักกับพ่อครูสะยามิน และเดินตามพ่อครูขึ้นไปบนเรือน

เมื่อก้าวเข้าไปในห้องก็พบกับโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ นอกจากมีพระพุทธรูปแล้ว ดร.ลงยาสังเกตว่าที่นี่ยังเต็มไปด้วยเทวรูปและรูปเคารพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นองค์พระพิฆเนศ ท้าวเวสสุวัณ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ ท้าวรตรฐ องค์แม่ตู่รัสสะตี่ ฤๅษีต่างๆ ล้วนเป็นรูปสลักด้วยไม้ดูงดงามและเข้มขลังยิ่งนัก และยังมีของศักดิ์สิทธิ์ที่หายากยิ่งของพม่าคือ เสดอ ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่งกลมปลายเรียวดูคล้ายยอดเจดีย์ มีทั้งแบบปลายแหลมและปลายตัดปิดทองทั้งองค์ มีขนาดประมาณข้อนิ้วก้อย ซึ่งเป็นของขลังที่หาดูได้ยากยิ่ง ดร.ลงยาเพิ่งเคยเห็นของจริงวันนี้

กังไสบอกวัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้กับพ่อครูสะยามิน พ่อครูจึงบอกให้นำโถเบญจรงค์ออกมาจากห่อผ้าและเริ่มจุดธูปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และนำโถมาพิจารณาทีละใบ ก่อนที่จะนั่งหลับตาบริกรรมคาถาด้วยเสียงเข้มชัดถ้อยชัดคำทุกอักขระหน้าอ่างน้ำมนต์ใบใหญ่ เมื่อการบริกรรมคาถาผ่านไปราวยี่สิบนาที พ่อครูสะยามินก็นำเทียนน้ำมนต์ขึ้นมาจุดแล้วว่าคาถาต่อพร้อมหยดเทียนลงไปในขันราวกับจะทำน้ำมนต์ สักครู่ใหญ่จึงหยุดบริกรรม

“พวกเจ้าลองมองลงไปในอ่างน้ำมนต์ แล้วจะรู้ที่มาของโถทั้งสองใบนี้” พ่อครูกล่าวกับทั้งสามคน

ภาพที่ ดร.ลงยา น้ำทอง และกังไสได้เห็นในอ่างน้ำมนต์นั้นราวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจอภาพยนตร์

ย้อนไปในสมัยกรุงศรีอยุธยา พ่ออิน เป็นลูกชายคหบดีจีนผู้มั่งคั่ง มีคนรักคือแม่จันทร์ ลูกสาวนายด้วง ที่ไม่มีใครทราบที่มา นายทอง บิดาของพ่ออินนั้นค้าขายเครื่องถ้วยเบญจรงค์ให้กับราชสำนัก โดยนำเครื่องเบญจรงค์จากจีนลงสำเภามาขายและรับสั่งทำเครื่องเบญจรงค์ลายพิเศษที่ใช้กันในหมู่เจ้านาย พ่ออินได้โถเบญจรงค์ลงยาสีฟ้าแปลกตาลายเทพบุตรและลายเทพธิดามาเป็นคู่กันสองโถ จึงนำมาให้แม่จันทร์เป็นของกำนัล

เมื่อมาถึงบ้านหญิงสาว เขาก็แอบได้ยินพ่อของคนรักกำลังพูดคุยเรื่องการซ่องสุมกำลังพม่าเพื่อเข้ามาโจมตีกรุงศรีอยุธยา กับทหารพม่าที่ลักลอบเข้ามา โดยไม่รู้ว่านายด้วงนั้นเป็นกองสอดแนมพม่าซึ่งเข้ามาแฝงตัวเป็นไส้ศึก ถึงแม้พ่ออินจะมีเชื้อสายจีนอยู่ในตัว แต่ก็มีจิตใจรักชาติ เขาจึงวางโถเบญจรงค์ไว้ตรงชานเรือน แล้วเดินเข้าไปต่อว่านายด้วง

“พ่อท่านเหตุใดทำเยี่ยงนี้ ข้าได้ยินที่ท่านเจรจากับพวกม่านหมดแล้ว ท่านทรยศแผ่นดินไทย จะให้พวกมันมาย่ำยีเยี่ยงนี้ข้าคงยอมไม่ได้” พ่ออินพูดกับบิดาสาวคนรักด้วยความผิดหวังและแค้นเคือง

“พ่ออินฟังข้าก่อน เรื่องทั้งหลายที่เจ้าได้ยินจงลืมเสีย ทุกอย่างไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้าเลย ถึงเวลาเจ้าก็พาแม่จันทร์ลงสำเภาหนีไปกับพ่อแม่เจ้า ไปอยู่เมืองจีนเสีย เรื่องทางนี้เป็นการศึกของอโยธยากับพม่า เจ้าไม่เกี่ยว” พ่อด้วงพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

“เราคงจบกันเพียงนี้แหละ ข้าไม่อยากจะอยู่เห็นหน้าคนทรยศแผ่นดิน ถ้าจะให้ข้าลืมมีอยู่ทางเดียว พ่อท่านฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น แล้วข้าจะลืมเรื่องที่ได้เห็นและได้ยินในวันนี้เสีย” เมื่อพ่ออินพูดจบ ทหารพม่าเอาดาบปักทะลุหลังว่าที่ลูกเขยของนายด้วงขาดใจตายคาที่ เมื่อความลับแตกถึงแม้จะมีใจเอ็นดูพ่ออินอยู่มาก แต่พ่อด้วงก็ไม่สามารถจะไว้ชีวิตว่าที่ลูกเขยได้จึงไม่ได้ว่าอะไรที่ทหารพม่าทำเช่นนั้น

“คุณพ่อเจ้าคะ นี่มันอะไร เกิดอะไรขึ้น พี่อิน…ตายแล้ว… เหตุใดคุณพ่อทำเยี่ยงนี่เจ้าคะ”  แม่จันทร์ออกมาเห็นเหตุการณ์พอดี

“พ่อไม่ได้ตั้งใจลูก พอดีมีเรื่องวิวาทกันเพื่อนพ่อเลยพลั้งมือไป” นายด้วงตอบลูกสาว เขาเองก็เสียใจไม่น้อยที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ขึ้นมา นายด้วงดึงดาบที่แทงพ่ออินออกมาจากร่างที่ไร้วิญญาณ แม่จันทร์เห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าหาดาบที่พ่อถือ คมดาบแทงทะลุอกตายตามไปอีกคน

พ่อด้วงเสียใจมากที่เห็นลูกสาวตายไปต่อหน้าต่อตา แต่ด้วยหน้าที่ที่มีต่อประเทศชาติทำให้เขาต้องตัดใจ หันไปสั่งทหารพม่า ให้ไปเชิญพ่อครูปุ๊ปุ๊ขิ่น ผู้เรืองเวทมาปรึกษาเรื่องการสะกดวิญญาณของทั้งคู่เพื่อไม่ให้ออกมาขัดขวางการทำงานของเขา

เมื่อพ่อครูมาถึงจึงได้เตรียมทำพิธีการสะกดวิญญาณพ่ออินและแม่จันทร์โดยให้พ่อด้วงไปหาหม้อหรือโถมาขังวิญญาณของสองหนุ่มสาวเอาไว้ พ่อด้วงหันมาเห็นโถเบญจรงค์ที่พ่ออินเอามาวางไว้พอดี จึงนำมาให้พ่อครูใช้เป็นที่กักขังดวงวิญญาณ พ่อครูปุ๊ปุ๊ขิ่นเริ่มตั้งโต๊ะทำพิธีและร่ายมนตร์สะกดวิญญาณ ไว้ในโถเบญจรงค์ คนละใบ  

“เซ๊ะคุมาซะร๊ะ หม่าเซ่งตอ ท๊ะม๊ะยุ๊ ธัมมะตา มีกอ ป๊ะรูเป่ตอ ป๊ะร๊ะต๊ะลอ ว๊ะร๊ะต๊ะลอ ว๊ะร๊ะตอ เตตุ๊เหม่ว๊ะรัม โองเก๊าะน่าโกง พญา เตวาเส่ โองก๊ะต๊ะป๊ะ พญา เตวาเส่ โองเก๊าะต๊ะม๊ะ พญา เตวาเส่ โองอารีเม็จต๊ะย๊ะ พญา เตวาเส่” วิญญาณพ่ออินและแม่จันทร์ต่างกรีดร้องโหยหวนลงไปอยู่ในโถเบญจรงค์คนละใบ พ่ออินลงไปอยู่ในโถรูปหน้าเทพบุตร แม่จันไปอยู่ในโถรูปหน้าเทพธิดา

“เจ้าจงนำโถทั้งสองใบนี้แยกกันไปไว้คนละที่ อย่าให้ได้พบได้เจอกันอีก และอย่าให้ใครพบเห็นเป็นอันขาด ส่วนร่างของมันทั้งคู่เอาไปแยกเผาเสียให้สิ้นซาก อย่าได้ทำบุญใดๆ อุทิศให้มันมีพลังขึ้นมาอีก ไม่เช่นนั้นการศึกของเราจะไม่สำเร็จ เพราะผีตายโหงลูกเจ้าและไอ้หนุ่มนี่แหละจะเป็นตัวขัดขวาง” พ่อครูปุ๊ปุ๊ขิ่น กล่าวกับนายด้วง

เขาจึงจัดการนำโถเบญจรงค์ที่มีวิญญาณของพ่ออินไปถ่วงน้ำและโถเบญจรงค์ที่มีวิญญาณของแม่จันทร์ให้นำไปฝังดินแยกจากกันชั่วกาลนาน…

ดร.ลงยาและน้ำทองรู้สึกสลดใจกับชะตากรรมของพ่ออินและแม่จันทร์ยิ่งนัก ทั้งสองคนคิดตรงกันว่าควรหาทางช่วยปลดปล่อยวิญญาณพ่ออินและแม่จันทร์ออกจากโถเบญจรงค์ จึงขอปรึกษาพ่อครูสะยามินถึงเรื่องการทำพิธีปลดปล่อยวิญญาณ และขอให้พ่อครูอ่านอักขระที่เขียนอยู่ก้นโถทั้งสองใบให้ฟัง

“นี่คือคาถาสลักใส่วิญญาณ ข้าจำได้ไม่มีผิด…เซ๊ะคุมาซะร๊ะ หม่าเซ่งตอ ท๊ะม๊ะยุ๊ ธัมมะตา มีกอ ป๊ะรูเป่ตอ ป๊ะร๊ะต๊ะลอ ว๊ะร๊ะต๊ะลอ ว๊ะร๊ะตอ เตตุ๊เหม่ว๊ะรัม โองเก๊าะน่าโกง พญา เตวาเส่ โองก๊ะต๊ะป๊ะ พญา เตวาเส่ โองเก๊าะต๊ะม๊ะ พญา เตวาเส่ โองอารีเม็จต๊ะย๊ะ พญา เตวาเส่”

เมื่อพ่อครูอ่านคาถาที่ก้นโถจบลง เสียงกรีดร้องของวิญญาณพ่ออินและแม่จันทร์ก็ดังขึ้นด้วยความทุกข์ทรมาน ทำให้ ดร.ลงยา น้ำทอง และกังไสถึงกับหน้าถอดสี น้ำทองสงสารวิญญาณทั้งสองมากๆ จึงถามพ่อครูสะยามินถึงวิธีที่จะช่วยในการปลดปล่อยพันธนาการวิญญาณสองดวงจากมนตร์เบญจรงค์

“พ่อครูคะ มีวิธีที่จะทำให้พ่ออินและแม่จันทร์หลุดพ้นจากการจองจำได้ไหมคะ”

“นั่นสิครับพ่อครู ผมอยากช่วยปลดปล่อยวิญญาณในโถทั้งสองใบให้เป็นอิสระ พวกเขาโดนจองจำมาเป็นร้อยปี ควรจะได้ไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีนะครับ” ดร.ลงยากล่าวสนับสนุนคำของน้ำทอง

พ่อครูสะยามินและกังไสสบตากันอย่างมีเลศนัย ก่อนที่พ่อครูจะกล่าวว่า

“ข้าทำได้ ถ้าข้าได้ทำ พวกเจ้าจะได้เห็นข้าปลดปล่อยวิญญาณในวันแรมสิบสี่ค่ำเดือนสิบเอ็ด พวกเจ้าจงมาร่วมพิธี”

“ได้เลยค่ะพ่อครู ค่าใช้จ่ายอะไรไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะจัดการให้ค่ะ” น้ำทองรีบบอกพ่อครู

“เดี๋ยวผมสำรองจ่ายไว้ก่อนก็ได้นะครับ เผื่อจะต้องเตรียมของที่จะใช้ในพิธี” ดร.ลงยารีบกล่าวสนับสนุนน้ำทอง

“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำพิธีเรื่องเล็ก เดี๋ยวใกล้ๆ วันผมจะมาหาพ่อครูอีกครั้ง แล้วจะจัดการไปก่อน ท่าทางเครื่องเซ่นสังเวยและดอกไม้บายศรีคงใช้อยู่ไม่ใช่น้อย” กังไสผู้ที่เงียบมาตลอดได้กล่าวขึ้นมา เมื่อเห็นเพื่อนๆ ของเขาต่างกระตือรือร้นที่จะช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณพ่ออินและแม่จันทร์

“วันที่มาประกอบพิธี ข้าขอให้เจ้าทั้งสองเตรียมชุดขาวมาเปลี่ยนเพื่อร่วมพิธีด้วย  เพราะกุศลจิตของเจ้าทั้งสองเป็นพลังอันสำคัญที่จะช่วยให้พิธีปลดปล่อยวิญญาณของข้าสำเร็จได้โดยง่าย และวิญญาณที่ถูกจองจำจะได้ไม่ทรมานนานเกินไป” พ่อครูกล่าว

ทั้งน้ำทองและลงยาต่างรับคำพ่อครู และมีความยินดีที่จะได้มีส่วนร่วมในพิธีกรรมอันเป็นกุศลครั้งนี้อย่างเต็มใจ โดยไม่ทันได้สังเกตท่าทีของกังไสและพ่อครูสะยามินเลยว่าทั้งคู่ต่างสบตากันอย่างสมใจ ทั้งหมดขอลาพ่อครูกลับกรุงเทพฯ ในเวลาใกล้ค่ำ

ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ของ ดร.ลงยาและน้ำทองที่ต้องการจะปลดปล่อยวิญญาณที่ถูกจองจำให้พ้นทุกข์ทรมาน โดยทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้รู้เลยว่า ชะตากรรมอันแสนเลวร้ายกำลังจะเกิดขึ้น…



Don`t copy text!