มนตราตะเกียงแก้ว บทที่ 3 : เธอ..น่าสงสารจริง
โดย : โสภี พรรณราย
มนตราตะเกียงแก้ว โดย โสภี พรรณราย เรื่องราวของเมืองเวทย์มนตร์และมนตราสำคัญที่ผนึกอยู่ในตะเกียงของท่านยาย เมื่อวันหนึ่งตะเกียงถูกขโมยไป อันตรายใหญ่หลวงกำลังคุกคามโลกเวทย์มนตร์ หัวขโมยจะนำเอามนตราที่อยู่ในตะเกียงแก้วไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด…นิยายออนไลน์ น่าติดตามอีกเรื่องที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
………………………………………….
-3-
เมืองมนุษย์…คฤหาสน์บ้านดำรงอิทธิ
เรนี่นั่งอยู่หน้ากระจกในห้องนอน ภาพในกระจกคือสาวน้อยที่สวยมาก ตาคมกลมโต คิ้วเข้ม จมูกโด่ง ริมฝีปากแดงที่เม้มสนิท
หล่อนเป็นสาวลูกครึ่ง ที่ถูกปู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์เสมอว่า
“ลูกฝรั่งหัวแดงน่าชัง!”
หล่อนผิดหรือที่ไม่ใช่ไทยแท้
ทำไมเกือบทุกคนในบ้านจึงชิงชังหล่อน
เพราะหล่อนเป็นลูกเมียน้อย!
เพราะหล่อนทำให้พ่อล้มป่วย?
เพราะหล่อนทำให้กิจการของตระกูลซวดเซขาดทุน?
โทษหล่อนทำไม…หล่อนกำพร้าแม่นะ
น้ำใสๆ คลอเต็มเบ้าตา จวนเจียนจะหยด
ร้องไห้…ให้น้ำตาเป็นเพื่อน เจ็บใจและเจ็บปวด พูดกับตัวเองเสมอ
“เรนี่…เรนี่…เรนี่ที่น่าสงสาร…”
วันนี้วันเกิด…แต่บ้านยังเงียบเหงา ไม่มีงานฉลองวันเกิดให้สักปีเดียว
หล่อนเป็นหลานชังของปู่!
อยากได้ของขวัญวันเกิด จากพ่อ จากปู่ จากพี่ๆ
อย่าหวังเลย…ฝันไปเถอะ
ทุกคนลืมด้วยซ้ำ ไม่ใช่แกล้งลืม แต่ลืมจริงๆ บางครั้งทำเสมือนหล่อนไม่มีตัวตนในบ้านนี้
ปล่อยน้ำตาให้ไหลเป็นทางยาว
สาวสวยตรงหน้าทำไมอาภัพนัก ชีวิตติดขัดทุกอย่าง
ปีนี้หล่อนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้ายแล้ว แต่ผลการเรียนแย่มาก ถ้ายังขืนเกรดไม่ดีต่อไป อาจถูกไล่ออก และเรียนไม่จบ
ชบา…สาวใช้ที่ใกล้ชิดของหล่อน นั่งพับเพียบอยู่หน้าเตียงกล่าวขึ้น
“คุณเรนี่ อาหารเช้าตั้งโต๊ะแล้ว ไปทานอาหารเช้าเถอะค่ะ”
เจ้าของห้องเบ้ปาก
“ฉันไม่หิว…”
“เร็วเถอะค่ะ เดี๋ยวพวกคุณๆ ท่านๆ ขึ้นโต๊ะก่อน คุณเรนี่จะถูกดุ”
“คนพวกนั้นมีเรื่องดุฉันได้ทุกวันล่ะ”
“คุณเรนี่ พยายามอย่าให้โดนดุสิคะ เร็วนะคะ…คุณ…”
เร่งอย่างไร หญิงสาวยังเฉื่อยชาเหมือนเดิม กว่าจะยอมยกมือปาดน้ำตา ดวงตาแดงคู่นั้นยังงดงามนัก แม้มีร่องรอยแห่งความเศร้า
อีกครู่ หญิงสาวจึงยอมออกจากห้องมาที่ห้องอาหาร
หล่อนช้าอีกแล้ว
ตระกูลดำรงอิทธิ มีคุณปู่อำนวยเป็นประมุขบ้าน ท่านมีลูกสองคนคือ คุณสุมิต กับ บงกช
สุมิตแต่งงานกับยุวดี มีลูกชาย…วิชา และลูกสาว…เกศรา
เรนี่เป็นลูกสาวของสุมิต ที่เกิดกับเมียข้างทาง
เมื่อยี่สิบปีก่อน สุมิตพบอแมนด้าที่อ้างตนเป็นชาวยิปซีเร่ร่อนและอยู่ตัวคนเดียว
สาวน้อยอแมนด้าตั้งโต๊ะทำนายโชคชะตาอยู่หน้าห้างสรรพสินค้าซาร่า ซึ่งเป็นห้างของตระกูลดำรงอิทธิ
สุมิตในขณะนั้นอายุสามสิบแล้ว แต่งงานและมีลูกสองคนแล้ว แต่กลับหลงรักอแมนด้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ยอมขัดแย้งกับบิดาและภรรยาตัวเอง รับสาวแปลกหน้าชาวยิปซีเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นภรรยาอีกคน
อแมนด้าถึงเป็นภรรยาน้อย แต่ได้รับความรักจากสุมิต แต่ต้องรับความกดดันจากคุณอำนวย และภรรยาหลวงยุวดี
ไม่นานอแมนด้าตั้งท้อง และสุขภาพของสุมิตอ่อนแอ อย่างที่หมอก็ไม่ทราบสาเหตุ
วันที่เรนี่เกิด วันนั้น…อแมนด้าหายไปจากโรงพยาบาล และไปจากบ้านดำรงอิทธิ
เรนี่กลายเป็นเด็กกำพร้าแม่
อาบงกชเป็นสาวใหญ่ไม่แต่งงาน เป็นคนเดียวที่เวทนาสงสารและช่วยเลี้ยงดูเรนี่ตั้งแต่ทารกจนตราบวันนี้ วันที่หล่อนอยู่มหาวิทยาลัยปีสี่
บนโต๊ะอาหาร สมาชิกอยู่ครบ
ปู่อำนวย พ่อสุมิต แม่ใหญ่ยุวดี อาบงกช และพี่วิชา พี่เกศรา
“เป็นคุณนายสายตามเคย เหมือนตัวเองคิดว่าสำคัญนะจึงยุรยาตรมาเป็นคนสุดท้าย” เกศราพูดลอยๆ
เรนี่ยักไหล่
นึกว่าหล่อนจะแคร์เหรอ กลัวหรือ…
ถูกกัด ถูกจิก เจ็บๆ แสบๆ คันๆ จนชาชิน
“เธอคิดว่าเธอเป็นคนสวย คนสวยก็ต้องแต่งตัวนานหน่อย” วิชาเสริม น้ำเสียงประชดประชัน
“ค่ะ…คนสวยก็แบบนี้ มาช้าทุกวันยังไม่ชินอีก” เรนี่ตอบโต้
“เธอมีอะไรดี สมองก็ขี้เลื่อย จะถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ยังทำเป็นอวดเก่ง”
“แล้วไงคะ มันหนักส่วนไหนของพี่ชา!”
“เธอมันเกินเยียวยาแล้ว”
หล่อนเชิดหน้า เม้มริมฝีปาก
“แล้วพี่ชามีอะไรดีมาสั่งสอนน้อง คุณปู่คุณพ่อให้พี่วิชาบริหารงานห้างซาร่าก็ขาดทุน เก่งจริงทำให้ได้กำไรสิ”
“มันก็ขาดทุนมาทุกปี ตั้งแต่รุ่นไหนแล้ว”
“ก็ได้ เรื่องงานไม่ยอมรับ พูดเรื่องส่วนตัว พี่ชาเป็นเพลย์บอย เจ้าชู้ เที่ยวเตร่ ผลาญเงินไปเท่าไหร่คะ พี่ชา?” ตอนท้ายเน้นคำและทำหน้ายียวนกวนประสาท
“มันไม่เกี่ยวกับเธอ!”
“แล้วพูดเรื่องเรียนของเรนี่ทำไมล่ะ”
“ดู…ดู…ไอ้น้องคนนี้” วิชากัดฟัน
เกศราโพล่งขึ้นช่วยพี่ชายว่า
“รู้นิสัยของเรนี่มันดีนี่คะ พี่ชา มันแน่ะปากเสีย เป็นแกะดำในบ้านอยู่ตัวเดียว!”
เรนี่อดทน พยายามจะหยุดตัวเองอย่าตอบโต้รุนแรงนัก เพราะอยู่ต่อหน้าปู่กับบิดา ถ้าไม่มีผู้ใหญ่ รับรองเจอดีแน่ คำพูดต้องรุนแรงกว่านี้แน่
คุณอำนวยกับสุมิตยังอดทนฟังเงียบๆ และทานอาหารเช้าอย่างช้าๆ
บงกชปรามหลานสาวว่า
“เรนี่หยุดเถอะนะ เกรงใจคุณปู่บ้าง”
หยุด แต่ไม่วายบ่น
“ไม่อยากมากินด้วยซ้ำ!”
คุณอำนวยนั่งเงียบอย่างอดทน มองบุตรชายสุมิตวัยห้าสิบที่ค่อยๆ กลืนอาหารอย่างเหลือทน
สุมิตเป็นคนเงียบขรึม ป่วยออดๆ แอดๆ เข้าออกโรงพยาบาลจนเกือบเป็นบ้านหลังที่สองแล้ว
ยุวดีก็คอยเอาใจสามี กล่าวว่า
“คุณต้องทานเยอะๆ นะคะ อาทิตย์หน้ามีนัดพบหมอ ขืนน้ำหนักลด ไม่มีเรี่ยวแรงล่ะก็ หมอจะจับคุณนอนโรงพยาบาล”
“นอนบ้านก็เหมือนกัน นอนทำไมโรงพยาบาล เบื่อจะตาย”
ป่วยมานานร่วมยี่สิบปี ตรวจสารพัด ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ ทั้งที่เขาไร้เรี่ยวแรง เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด
คุณอำนวยเคยพูดว่า ลูกชายเป็นโรคตรอมใจ
ตั้งแต่อแมนด้าจากไป ลูกชายล้มป่วย แถมกิจการค้าห้างสรรพสินค้าซาร่าก็ขาดทุน
ดวงเกิดของเรนี่ ทำให้ชะตาบ้านดำรงอิทธิตกต่ำ
หมอดูเคยทำนายไว้ คุณอำนวยเองเกือบตายเพราะดวงเรนี่ แต่ยังดีพอจะเอาตัวรอดได้ แต่ให้ระวังหลานสาวคนเล็กนี้ไว้
เรนี่จึงไม่ใช่หลานรัก
ท่านมองหญิงสาวเหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ใกล้ๆ
ปีนี้ท่านอายุเจ็ดสิบห้าแล้ว แต่ยังต้องไปบริหารงานห้างสรรพสินค้า ยังไปร่วมประชุมผู้ถือหุ้น ส่วนสุมิตวันไหนพอมีเรี่ยวแรงจะไปทำงาน แต่ส่วนใหญ่จะนอนพักผ่อนที่บ้าน
งานบริษัทจึงเป็นของบงกช สาวใหญ่วัยสี่สิบที่ไม่แต่งงาน กับหลานวิชาและเกศรา
เรนี่เรียนบริหารธุรกิจอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย ด้วยคะแนนเกือบถูกรีไทร์ จนผู้ปกครองถูกเชิญให้พบหลายครั้ง มีบงกชเป็นตัวแทนผู้ปกครอง
พ่อสุมิตไม่ยุ่ง สุขภาพอ่อนแอ
แม่ใหญ่ยุวดีเองก็ไม่ชอบเรนี่ มีหรือจะยอมเป็นผู้ปกครองให้
ในบ้านนี้ถ้าไม่มีอาบงกชสักคน เรนี่คงอยู่ไม่ได้
ถ้าไม่มีเสียงหลานถกเถียงกัน บนโต๊ะอาหารจะค่อนข้างเงียบ
เรนี่มองไปรอบๆ หวังสุดท้าย ตะโกนในใจ
‘วันนี้วันเกิดเรนี่ค่ะ มีใครจำได้มั้ย?’
เศร้าจัง
วันเกิดเหงา ก็เหมือนวันอื่นๆ ล่ะ หมดหวัง
ไร้ของขวัญจากญาติทุกคน!
ปู่คะ…พ่อคะ…เหมือนอยู่คนละโลกเลย
เมื่อมันเงียบขนาดนี้ เรนี่จึงลุกจากโต๊ะทั้งที่เพิ่งทานได้สองสามคำ
“ขอโทษนะคะ เรนี่อิ่มแล้วค่ะ”
ไปแอบร้องไห้คนเดียวก็ได้ แต่ยังไม่ทันร้องไห้ ก็มีของขวัญยื่นมาให้ตรงหน้า
“สุขสันต์วันเกิด หลานเรนี่ของอา”
หญิงสาวเบ้ปาก
“อากช!”
“ห้ามร้องไห้นะ เด็กดี”
“มีอาคนเดียวที่ไม่ลืม”
“อารู้ว่าเรนี่คาดหวังกับคนอื่นแค่ไหนจ้ะ”
“คนอื่น…เป็คนอื่นจริงๆ”
“อาเคยบอกแล้วอย่าคิดมาก”
“ไม่มีใครรักเรนี่” แผ่วเบามาก
บงกชถอนใจยาว
“ฟังอานะ ทุกคนมีภาระหน้าที่ของแต่ละคน จะให้ทุกคนเอาใจเรนี่ไม่ได้ เรนี่เองก็ไม่เคยเอาใจใครเลย”
“แม่ใหญ่กับพี่ๆ ไม่รักเรนี่ ไม่เป็นไร เพราะเรนี่เป็นลูกเมียน้อย แต่คุณปู่กับคุณพ่อน่าจะแสดงออกบ้าง กลับทำเหมือนเรนี่เป็นตัวอะไร เป็นส่วนเกินในบ้านนี้ เรนี่เป็นหลานเป็นลูกแท้ๆ นะคะ” เจ็บปวดเหลือเกิน
“คุณปู่ปีนี้อายุเจ็ดสิบห้าแล้ว ท่านเป็นคนก่อตั้งห้างซาร่า ห้างซาร่าเหมือนลูกท่านเลย ท่านแก่แล้ว น่าจะวางมือพักผ่อนได้ แต่ทำไมล่ะ ยังต้องดำรงตำแหน่งเป็นประธาน ยังต้องไปร่วมประชุม ถ้าห้างมีกำไรท่านคงสบายใจ แต่นับวันการแข่งขันสูง ห้างของปู่กำลังจะถูกกลืน ท่านจึงมองภาพรวมใหญ่ของทุกคนในครอบครัวมากกว่าจะมองเรื่องหยุมหยิม ทุกวันยังพอใช้เงินจากห้างมาบ้าง ถ้าห้างล้ม พวกเราจะไม่มีแม้บ้านอยู่ ส่วนพี่สุมิตก็ป่วย สามวันดีสี่วันไข้ น่าสงสาร ทรมานทั้งกายและใจ”
ตอนท้ายเสียงบงกชแผ่วเบา
ทรมานใจ!
รู้กันว่าสุมิตไม่เคยลืมอแมนด้า สาวที่ว่าเป็นยิปซีลึกลับ ที่เข้ามาในชีวิตเขาเพียงแค่มอบ ‘เรนี่’ ให้ แล้วก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย
ทิ้งให้สุมิตป่วยกายและป่วยใจ
ทิ้งให้เรนี่เป็นลูกกำพร้าแม่
“พ่อสุมิตของเรนี่รักแม่ของเรนี่มากนะ มากกว่ารักพี่ยุวดีเสียอีก พออแมนด้าจากไป พ่อของเรนี่ก็ทำใจไม่ได้เลย” อาบงกชเน้น
“โรคตรอมใจ”
“อาไม่รู้จะเรียกว่าโรคอะไร แต่เกี่ยวกับใจแน่นอน”
“อากชคะ แม่อแมนด้าเป็นคนแบบไหนคะ?”
เรนี่ไม่มีภาพ ‘แม่’ อยู่ในสมองเลย
“เอ้อ…เป็นคนลึกลับ เป็นผู้หญิงสวยมาก คมเข้ม เธอว่าเธอเป็นยิปซีเร่ร่อนตัวคนเดียว ตั้งโต๊ะทำนายดวงให้คนด้วยลูกแก้ววิเศษ ตอนนั้นอยู่ใกล้ๆ หน้าห้างซาร่า แว่วว่าแม่นมาก ลูกค้ามาก จนพี่สุมิตต้องไปลองวิชาแล้วเกิดตกหลุมรักยิปซีสาวเสียเอง ทั้งที่ตอนแรกว่าจะลองวิชา ไม่เชื่อความแม่นยำและจะไล่ให้ไปทำนายที่อื่น ไม่ยอมให้อยู่ใกล้ห้าง กลับกลายเป็นพาเข้ามาอยู่ในบ้านเลย เลี้ยงดูเป็นเมียน้อย พ่อเธอถูกกดดันหนักมากจากคุณปู่และพี่ยุวดี แต่ความรักในยิปซีสาวลึกลับไม่ทำให้พี่สุมิตหวั่นไหวเลยสักนิด”
“ค่ะ…แม่สวยมาก”
หล่อนมีภาพพ่อกับแม่อยู่บนโต๊ะ ภาพเดียวที่เห็นท้องของอแมนด้ามีเรนี่ในท้องด้วย
“หน้าเหมือนฝรั่ง เรนี่เลยหน้าออกเป็นฝรั่ง ลูกครึ่ง”
“นิสัยแม่ล่ะคะ?”
“ถามเป็นครั้งที่ร้อยแล้วนะจ๊ะ”
“เรนี่อยากฟังเรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ”
“นิสัยอแมนด้าน่ารักนะ เป็นเมียน้อยที่เจียมเนื้อเจียมตัว เอาล่ะ อาต้องไปทำงาน ต้องไปห้างแล้ว” บงกชตัดบท “ของขวัญของอาถือว่าเป็นของทุกคนในครอบครัวนะจ๊ะ”
“วันนี้เรนี่ขอตามไปเดินห้างด้วยนะคะ”
“จะไปเรอะ…ไปสิ ห้านาทีเจอกันที่รถ”
* * *
เรนี่มาเดินเล่นที่ห้างสรพสินค้าซาร่า
วันเกิดได้ของขวัญจากอาบงกชชิ้นเดียว เรนี่มาซื้อให้ตัวเองก็ได้ ไม่ง้อหรอก
มองไปรอบๆ ห้างกว้างใหญ่ ยิ่งบริเวณโถงกลางที่มีบันไดเลื่อนวนเวียนขึ้นไปแต่ละชั้น ห้างมีเจ็ดชั้น มองดูสูงลิ่ว แต่ทว่าคนน้อยนัก
แทบจะนับคนมาเที่ยวเดินได้เลย ดูก็รู้ว่ากิจการย่ำแย่แล้วจริงๆ เข้าขั้นวิกฤต
แบบนี้ชักกังวล ถ้าห้างล้ม และบ้านถูกยึด หล่อนจะไปอยู่ที่ไหน ชักกลัวๆ แล้วสิ
แต่พอมองไปเห็นเกศราบนบันไดเลื่อนชั้นห้า ความคิดเลวร้ายบังเกิดขึ้น
เกลียดพี่เกศ!
จิกกัด รังแก ดูถูก เรนี่มาตั้งแต่เล็กจนโต
บันได้เลื่อนลงจากชั้นห้า…ต้องมาถึงชั้นสี่
อยู่ๆ เรนี่ก็เบิกตากว้าง เกลียด…ความชิงชังทวีคูณจนเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน อยู่ๆ ตัวสั่น ร้อนผะผ่าว ดวงตาเบิกกว้าง เหมือนตัวเองมีพลังอำนาจพิเศษบางอย่างเกิดขึ้น
ความเจ็บปวดน้อยใจในชีวิต แปรเป็นความเคียดแค้น จ้องมองเกศราและถึงเวลาเอาคืน
“จงตกลงมา!”
* * *