มนตราตะเกียงแก้ว บทที่ 5 : หลังตกบันไดเลื่อน
โดย : โสภี พรรณราย
มนตราตะเกียงแก้ว โดย โสภี พรรณราย เรื่องราวของเมืองเวทย์มนตร์และมนตราสำคัญที่ผนึกอยู่ในตะเกียงของท่านยาย เมื่อวันหนึ่งตะเกียงถูกขโมยไป อันตรายใหญ่หลวงกำลังคุกคามโลกเวทย์มนตร์ หัวขโมยจะนำเอามนตราที่อยู่ในตะเกียงแก้วไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใด…นิยายออนไลน์ น่าติดตามอีกเรื่องที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
………………………………………….
-5-
แม่มดเซเลน่าท่าทางไม่ค่อยพอใจ บูดบึ้ง
พ่อมดเปเลสเองก็สงสัย กล่าวว่า
“นั่นสิ…เธอเป็นคนธรรมดานะ พามาเมืองเวทมนตร์ เสี่ยงมากนะเพื่อน”
“ฉันแค่อยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง” พ่อมดวิลชี้แจง “เรนี่ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ เธอมีพลังลึกลับ มีพลังเหมือนพวกเรา”
“คนบนโลกเห็นๆ” แม่มดเซลิน่าว่า “ถึงจะมีพลังลึกลับอะไรก็ตาม ก็ไม่ควรพามาที่นี่”
“ฉันจะระวังตัว ฉันต้องรีบไปแล้ว” พ่อมดวิลตัดบท
“วิลจะไปไหน?”
“ไปรายงานยายทาฮิร่า” พ่อมดวิลร้อนใจจึงร่ายคาถาหายตัว ไม่ได้เหาะไปกับไม้กวาดอย่างที่ควรจะทำ
แม่มดเซลิน่ากับพ่อมดเปเลสร่ายคาถาตามไปอย่างใกล้ชิด
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ยายทาฮิร่า เจ้าชิกเก้นเห็นจึงตะโกนบอกเจ้าของบ้าน
“ยาย…ยาย…พ่อมดแม่มดมาแล้ว”
“ใคร…ใคร…” ยายทาฮิร่าก้าวออกจากห้อง พลางบ่นพึมพำ “ชีวิตข้าจะได้สงบสุขกับเขาบ้างมั้ยเนี่ย ใครมา อ๋อ…พ่อมดวิล พ่อมดเปเลส และแม่มดแสนสวยของยาย แม่มดเซลิน่า”
ทั้งสามก้มศีรษะทำความเคารพแม่มดอาวุโส
“ว่าไง วิล ได้ข่าวตะเกียงแก้วบ้างมั้ย?” เจ้าของบ้านรีบถาม
“ตะเกียงแก้วเกี่ยวพันกับผู้หญิงมนุษย์ที่ชื่อเรนี่ ทุกครั้งที่ผมใช้เวทมนตร์ค้นหาตะเกียงแก้ว จะมีภาพเรนี่เสมอครับ”
“เรนี่?”
วิลจึงอธิบายถึง ‘เรนี่’ อย่างละเอียด ถึงประวัติความเป็นมา รวมทั้งนิสัยใจคอ ตลอดจนพฤติกรรมล่าสุดที่เขาพบว่า เรนี่มีพลังพิเศษจนเกือบฆ่าเกศรา
เรนี่…เรนี่…
แม่มดอาวุโสพึมพำ พยายามจะเพ่งมอง ‘ร่างใน’ ของหญิงสาวตลอดเวลาที่พ่อมดวิลพูดถึง
เรนี่เป็นลูกสาวใครกันแน่?
จากประวัติที่วิลสืบมา พ่อคือ คุณสุมิตที่ป่วยออดๆ แอดๆ ตลอดมาตั้งแต่ลูกสาวเกิด กับภรรยายิปซีที่หายสาบสูญไปในวันที่เรนี่กำเนิด
“ยิปซีคนนั้นชื่ออะไร?”
“อแมนด้าครับ”
“ตอนเรนี่เกิด ทำไมแม่ต้องหนีไปด้วย?”
“เธอเป็นภรรยาน้อยครับ อาจทนแรงกดดันไม่ไหว หรือเธอจะมีสายเลือดเร่ร่อน ไม่อาจอยู่ประจำที่ ไม่มีใครล่วงรู้ประวัติอแมนด้าครับ”
“ปัญหาอยู่ที่เด็กสาว…เรนี่”
“ครับ…ยาย ปัญหาหนักแน่ๆ เรนี่เธอเป็นมนุษย์ แต่กลับมีอำนาจวิเศษ โดยตัวเธอเองยังงงๆ สับสน สำหรับผมอาจเป็นคาถาเวทมนตร์ แต่เธอไม่มีแน่ ไม่เคยเรียนแน่ครับ”
“ต้องเฝ้าจับตาดูเรนี่อย่างใกล้ชิด”
“ผมว่าเรนี่คนนี้ล่ะที่จะพาเราไปหาตะเกียงแก้วได้ครับ”
“นั่นแน่ะสิ ต้องหาตะเกียงแก้ววิเศษของยายกลับให้ได้ก่อน”
“ผมจะจับตามองเรนี่ครับ”
แม่มดเซลิน่าพึมพำ แต่ดังไปหน่อยว่า
“คงอยากจับตามองล่ะนะ สวยขนาดนั้น”
พ่อมดวิลหันมาทางแม่มดสาว
“เธอพูดอะไร?”
แม่มดสาวแสยะปาก ถึงจะแสดงท่าทางน่าเกลียดอย่างไร เธอยังเป็นแม่มดแสนสวยอยู่ดี
“ลิน่าว่าเรนี่สวยนะ”
“สวยแต่จิตใจโหดร้าย ฉันว่าความสวยก็ไร้ความหมาย”
“สวยแต่จิตใจดีล่ะ เจ้าว่าไงล่ะ?”
แอบถามหรือ…หมายถึงตัวเองนะ เขินจัง
พ่อมดวิลไม่ตอบคำถาม กลับพูดเรื่องอื่นแทนกับยายทาฮิร่า
“ผมรู้สึกว่ารอบตัวเรนี่ร้อนไปหมด อยู่ใกล้เธอผมไม่สบายตัว แต่สิ่งที่เชื่อมั่นก็คือ ตะเกียงแก้วของยายอยู่ใกล้ตัวเธอครับ”
“นั่นสิ…ยายเริ่มรู้สึกแบบวิลเหมือนกัน เห็นเงารางๆ เงาตะเกียงแก้วของยายกับเรนี่”
“ถ้าเธอเป็นมนุษย์ธรรมดา เราคงอ่านเธอได้มากกว่านี้ครับ”
แม่มดเซลิน่าแทรกขึ้นมาอีกแล้วอย่างหมั่นไส้มนุษย์ที่ชื่อเรนี่จนสุดอดกลั้น
“เอาเข้าไป คนธรรมดาก็พยายามจะสร้างให้เธอเป็นผู้วิเศษให้ได้ ยกให้เป็นนางฟ้าเลยดีมั้ย นางฟ้าเกรดสูงกว่าคนกับแม่มด เวลาเจอตัวอย่าลืมก้มลงกราบไหว้ด้วยล่ะ” พูดประชดประชัน
เจ้าชิกเก้นจึงพูดเบาๆ กับตัวเองว่า
“แบบนี้เรียกว่าอิจฉาหรือเปล่าหนอ”
พ่อมดเปเลสที่อยู่ใกล้เจ้าแมวเปอร์เซียได้ยินและสนับสนุน
“อิจฉานิดๆ ริษยาหน่อยๆ แต่ยังน่ารักมาก…ก…”
“แหะ…แหะ…ขืนเธอได้ยิน จะเอาเรื่องนะ”
ได้ยินจนได้จึงหันมาตวาด
“เจ้าแมวดำ กับ เปเลส ระวังตัวไว้เถอะ จะสาปให้พูดไม่ได้เลย”
เจ้าชิกเก้นจึงกระโดดถอยหลังพลางว่า
“ไม่อยากถูกสาป เวลาแม่มดหึงหวงกระแสแรงจังจนน่ากลัว”
เปเลสคอย่น ไม่ชอบคำว่าหึงหวง
“ฉันก็หวงของฉันเหมือนกัน แต่มีสิทธิ์หวงหรือเปล่า แอบรักเขาข้างเดียว”
แม่มดทาฮิร่าหันมาถามแม่มดสาวแสนสวยว่า
“เป็นอะไรหรือเปล่า เซลิน่า?”
“ไม่เป็นไรค่ะ ยาย…แต่รู้สึกว่าทำไมพวกเราชอบไปยุ่งเกี่ยวกับเมืองมนุษย์ เราอยู่เมืองเวทมนตร์ของเราดีๆ ก็ได้”
แม่มดอาวุโสถอนใจยาว
“นั่นสินะ เขาว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม พวกเราก็สังคม จริงๆ แล้วมนุษย์กับแม่มดก็แค่เส้นบางๆ ขวางกั้น ยายรู้ว่าเมืองมนุษย์กับเมืองเวทมนตร์ไม่สามารถแยกกันได้เด็ดขาดหรอก ยายรู้มาเป็นพันปีแล้วล่ะ และยังสังหรณ์เหมือนวิลว่า ตะเกียงแก้ววิเศษของยายไปอยู่ที่เมืองมนุษย์โดยยายไม่เต็มใจ ทุกครั้งที่ยายส่งตะเกียงแก้วไปเมืองมนุษย์ ยายเต็มใจนะ แต่ครั้งนี้ยายไม่เต็มใจ และยายถือว่าคนที่นำไปเป็นขโมย!”
เจ้าชิกเก้นเสริมว่า
“ใช่…ใช่…ยาย แถมคนที่ขโมยไป ต้องมีวิชาคาถาอาคมไม่แพ้ยายด้วย จึงสามารถปิดบังจนยายไม่เห็นตะเกียงแก้ว ทั้งๆ ที่เป็นสมบัติล้ำค่าของยาย”
ยายทาฮิร่าค้อนชิกเก้น
“เออ…เออ…ไม่ต้องมาย้ำหรอก เจ้าอยู่กับข้ามานาน ช่วยอะไรข้าได้บ้างล่ะ”
“ช่วยสิยาย ชิกเก้นจะช่วย ชิกเก้นจะช่วยพ่อมดวิลตามหาตะเกียงแก้วของยาย”
“เออ…ช่วยได้ก็ดี”
“จะให้ไทเกอร์เพื่อนรักช่วยด้วย”
“เออ…ใครก็ได้ จะพ่อมด แม่มด จะแมวตัวไหนได้หมด เอาตะเกียงแก้วมาคืนข้า!”
* * *
ซื้อหนังสือที่ www.naiin.com ไม่ว่าเล่มใดก็ตาม
ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา
ทางด้านเมืองมนุษย์
ห้างสรรพสินค้าซาร่า ภายในห้องพยาบาล มีทั้งหมอและพยาบาลประจำกำลังดูแลรักษาเกศราอย่างใกล้ชิด
ทุกคนร้อนรนและกังวล
ข่าวที่ว่าเกศรา…ลูกสาวคนโตของคุณสุมิตกับคุณยุวดีตกบันไดเลื่อนห้างจากชั้นสี่ลงมาชั้นหนึ่ง บรรดาพนักงานต่างแอบคุยกันกระซิบกระซาบ
คุยว่าเป็นปาฏิหาริย์อัศจรรย์ว่าเธอไม่เป็นอะไรเลย
ตอนยามมาอุ้มไปห้องพยาบาล ยังเห็นเธอคุยได้อยู่ หล่อนเฝ้าแต่ถามหาผู้ชายชื่อ…วิล
คนที่ช่วยชีวิตเธอ
คนที่รับร่างของเธอทัน ก่อนจะตกกระแทกพื้นชั้นล่าง
ในห้องพยาบาล ครอบครัวมากันพร้อมหน้าอย่างตกใจ ทั้งคุณปู่อำนวย คุณพ่อ คุณแม่ อาบงกช พี่วิชา และเรนี่
เรนี่ที่ยังงงๆ และยืนอยู่ห่างสุด
หล่อนเฝ้าถามตัวเอง…เกิดอะไรขึ้น หล่อนสับสนไม่แพ้เกศรา
เกิดอะไรขึ้น?
พี่เกศตกบันไดเลื่อน!
เอ้อ…เอ้อ…เพราะหล่อนหรือ?
จำได้ว่าหล่อนอยากให้เป็นเช่นนั้น หล่อนไม่พอใจเกศรา เกลียดพี่สาวคนนี้ด้วยซ้ำ จนคิดร้าย อยากให้ตกจากบันไดเลื่อน
แล้วพี่คนละแม่ก็ตกลงมาจริงๆ
ไม่จริง!
แต่จริง…จริง และจริง!
มีคนรับเกศราทัน เป็นไปได้อย่างไรจะบังเอิญขนาดนี้
เกศราไม่เป็นไร และครอบครัวก็รุมล้อมถามอาการ
“เกศ…หนูไม่เป็นไรแน่นะ เกศลูกแม่” คุณยุวดีเฝ้าถามลูกสาวแสนรัก
“ค่ะ…เกศไม่เป็นไร”
“ทำอย่างไรถึงตกลงมาได้ล่ะ?”
หล่อนโคลงศีรษะ
“เกศไม่รู้ตัวเลยค่ะ”
“ปวดหัวหรือเปล่า?”
“เอ้อ…เกศไม่รู้จริงๆ ค่ะ…คุณแม่”
“มีคนบอกว่าเห็นลูกชะโงกหน้า ชะโงกทั้งตัว…หนูชะโงกดูอะไรลูก?”
มีอะไรน่าดูล่ะ ในเมื่อหล่อนคุ้นเคยกับห้างสรรพสินค้าดี วิ่งเล่นตั้งแต่เด็กจนโต ภาพทุกซอกทุกมุมในห้างอยู่ในสมองหล่อนหมด บอกให้หลับตาเดินยังได้
สับสนว่ามีคนเรียกให้ชะโงกหน้า
เรียกให้หล่อนเอี้ยวตัวบนบันไดเลื่อน
รู้ทั้งรู้ว่าอันตราย หล่อนยังทำ จนพลาดตก
“เกศคงเผลอค่ะ คุณแม่”
วิชามองหน้าน้องสาว ก่อนกล่าวว่า
“เมื่อกี้พี่คุยกับหมอ หมอสงสัยว่าเธอคงปวดศีรษะ หรือไม่ก็หน้ามืด ไม่งั้นคนปกติสบายดีจะไม่ตกลงมาหรอก”
“งั้นมังคะ” ปากรับว่า ‘ใช่’ แต่ใจยังเฝ้าครุ่นคิดถึงคนที่ช่วยเหลือ
เหมือนกับฝัน…เหมือนกับเขารับหล่อนกลางอากาศ
กลางอากาศ…และลอยละล่องลงมาอย่างช้าๆ…ช้าๆ มากๆ จนร่างสัมผัสพื้นชั้นล่างอย่างนุ่มนวล
โถงกลางห้างนั้นเป็นที่ว่างเปล่า สูงเท่ากับจำนวนชั้นในห้างที่มีเจ็ดชั้น สามารถมองขึ้นไปจนเห็นโดมใหญ่ครอบกลางห้อง
บริเวณโถงกลาง สำหรับเป็นที่จัดกิจกรรมพิเศษ ทั้งขายสินค้า ทั้งโชว์การแสดง ทั้งเปิดตัวงานต่างๆ
แน่นอนว่าตอนตกลงมาย่อมมีคนเห็น ทั้งคนกลางโถง ทั้งคนที่อยู่บนบันไดเลื่อน บันไดเลื่อนแบ่งเป็นสองด้าน ทั้งซ้ายกับขวา และอีกด้านยังมีลิฟต์ข้างอีกตัว สำหรับคนที่ต้องการความสะดวก
จะมีใครเห็นหรือไม่ว่า เขารับร่างหล่อนกลางอากาศ
หล่อนต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ
“ยาม…ยาม…อยู่ไหน มีใครเห็นบ้าง คนที่ช่วยเกศ เขาอยู่ไหน เขาสามารถลอยมารับเกศกลางอากาศ” หล่อนมองหาพนักงานรักษาความปลอดภัย
“เกศ…หนูพูดอะไรแน่ะ?”
“จริงๆ นะคะ เขาชื่อ วิล เขาช่วยเกศค่ะ ลอยมากลางอากาศค่ะ”
คุณยุวดีหันมาทางสามี
“ลูกสาวเราตกใจจนเพี้ยนไปแล้ว”
“จะเพี้ยนไม่เพี้ยน ขอให้ปลอดภัยก็ดีแล้วนี่”
เกศราจึงหันมาทางบงกช เพราะบงกชเป็นญาติคนแรกที่วิ่งเข้ามาในห้องพยาบาล
“อากชคะ อากชเห็นคนข้างนอกพูดอย่างไรกันบ้างคะ?”
“อาตกใจแทบตาย” ตอบไม่ตรงคำถาม
“อาเห็นคุณวิลหรือเปล่าคะ?”
“อาแค่รู้ว่ามีคนรับเธอทันก่อนเธอจะตกถึงพื้น แค่นี้ก็ถือว่ามหัศจรรย์มากแล้ว เธอไม่ใช่เด็กนะ น้ำหนักตัวเธอขนาดไหน เขารับเธอได้เขาต้องแข็งแรงมาก”
“น้ำหนักเกศแค่สี่สิบโลเอง”
“เธอไม่ทับคนรับตายก็ดีแล้ว รับไม่ดีเขาจะสาหัสกว่าเธอนะจ๊ะ”
“แล้วเขาอยู่ไหนคะ?”
“ดูแลตัวเองก่อนเถอะ”
“เกศอยากพบเขาค่ะ”
“เดี๋ยวเปิดดูกล้องวงจรปิดก็รู้เองว่าเกิดอะไรกับเธอ”
“ดีค่ะ…ดี…จะได้เห็นว่าเขารับเกศกลางอากาศ เราลอยลงมาด้วยกัน”
“จ้ะ…จ้ะ…” ไม่เชื่อเลย แต่รับคำให้คนพูดสบายใจ
“รีบเปิดเลยสิคะ”
“เธอต้องตรวจอย่างละเอียดก่อน หมอว่าเธอควรไปโรงพยาบาล”
“ไม่ค่ะ…เกศไม่อยากไป”
ปู่อำนวยที่มองเหตุการณ์ในห้อง ท่านถอนใจยาวพูดกับบงกชและวิชาว่า
“ปิดข่าวอย่าให้มีข่าวออกไป ห้างยิ่งคนน้อยๆ อยู่ ถ้ามีเรื่องไม่ดี ใครอยากมาเที่ยวล่ะ”
คุณยุวดีได้ยินก็พูดกับสามีว่า
“คุณพ่อคิดอย่างไงของคุณพ่อ หลานสาวเกือบตายยังนึกถึงกิจการห้าง ห่วงคนไม่เที่ยวห้างมากกว่าชีวิตยัยเกศ”
คุณสุมิตแย้งภรรยาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า
“พวกเรากำลังประชุมกันอยู่นะ พอยามโทรแจ้งขึ้นไป คุณพ่อก็รีบมาดูหลานทันที คุณยังว่าคุณพ่อไม่ใส่ใจหลานอีกเรอะ”
“ค่ะ เรื่องเงินสำหรับท่านนำหน้าเสมอ”
สามีแค่นหัวเราะ
“ท่านแก่เจ็ดสิบกว่าแล้ว ท่านยังต้องหาเงินมาจุนเจือคนทั้งบ้าน คนทั้งบริษัท ผมยังเหนื่อยแทนคุณพ่อ”
ภรรยาค้อนสามีเห็นๆ
“ก็คุณอ่อนแอนี่นา คุณพ่อเลยคุมอำนาจบริหารอยู่อย่างงั้น”
“ผมไม่ไหวจริงๆ นะ แค่ออกมาวันนี้ผมก็รู้สึกเหนื่อย”
“คุณพ่อเรียกกลับไปประชุมแล้ว คุณต้องแข็งแรงไปประชุมต่อนะคะ”
เกิดเป็นภรรยาของสุมิต ยุวดีทั้งเหนื่อยกายแรงใจ
***