ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (2)

ซ่อนรักในรอยกาล “ลวปุระ ทวารวดี” บทที่ 4 : เจ้าชายแห่งไชยา (2)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

ซ่อนรักในรอยกาล โดย พิมพ์อักษรา กับผลงานนวนิยายอิงประวัติศาสตร์อ่านง่าย ว่าด้วยทฤษฎีหนึ่งในตำนานประวัติพระนางจามเทวีกับพระสวามีที่แทบไร้หลักฐาน ผ่านเกมการเมืองในอาณาจักรทวารวดี อันมีชายปริศนาแฝงตัวเข้ามาอยู่เบื้องหลังเกมชิงบัลลังก์ครั้งใหญ่นี้ ติดตามได้ในเพจ อ่านเอา และ anowl.co

บุรุษที่ก้าวออกจากกระท่อมหลังน้อยมีผิวสีเข้มจัดหากเนียนละเอียดเสมอกันทั้งตัว เขาเริ่มปลดหนังเสือที่คลุมเฉียงบ่าออก ตามด้วยผ้าโพกศีรษะ เรือนผมดำสนิทจึงทิ้งตัวยาวประบ่า แลเมื่อเขากำลังปลดผ้าคลุมหน้า อีกฝ่ายก็ตรัสห้ามไว้ก่อน

“อย่า…ประเดี๋ยวคนมาพบเข้า”

ชายผิวเข้มแสยะยิ้ม ส่งเสียงในลำคอ “ข้ากำลังพักผ่อนในที่พำนักอันแสนคับแคบของตนเอง เป็นเวลาอันน้อยนิดที่ข้าจักเป็นตัวของตัวเองได้ เจ้าพี่ทรงถือวิสาสะเข้ามาแล้วยังบังคับลิดรอนเวลาของข้าอีก เจ้าอุปราชรามราชช่างยิ่งใหญ่คับฟ้าคับแผ่นดินเหลือเกิน”

“มิต้องมาประชดประชัน เจ้าย่อมรู้ดีว่ากระทำสิ่งใดลงไปข้าถึงต้องมาพบเจ้าถึงที่”

ชายผิวเข้มเลิกคิ้วยียวน “ข้าเป็นเพียงไพร่ปลายแถว คอยรับใช้นักพรตไปวันๆ จักทราบได้อย่างไร”

“มิต้องมาเล่นลิ้นเขนน้อย ฝีมือเจ้าทั้งนั้น เจ้าเป็นผู้สับเปลี่ยนรายงานของข้าก่อนวันอภิเษกอุปราช”

“เจ้าพี่ล้อเล่นอันใดอยู่กระมัง” อีกฝ่ายยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ “ผู้ใดจักอุกอาจเช่นนั้นได้…ผิวมืดเข้มดุจคืนเดือนดับเช่นข้านี้น่ะหรือจักเข้าไปโดยมิมีผู้สังเกตเห็นได้”

“เฮอะ” กัษษกรแค่นสุรเสียง “ก็คนอย่างเจ้าไงเล่า ข้าสังหรณ์ใจอยู่แล้ว ตั้งใจจักสะสางความกับเจ้าแต่แรก หากก็สู้อุตส่าห์ปล่อยไปเพราะเห็นใจ แต่แทนที่เจ้าจักคิดได้ กลับยิ่งย่ามใจ มิยอมหยุด”

“เช่นนั้นข้าต้องกราบกรานพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของเจ้ารามราชเช่นนั้นฤๅ” อีกฝ่ายแค่นหัวเราะ

“ข้าทำสิ่งใดอีกหรือเจ้าข้า”

“ข้าเคยเห็นดวงเจ้าหญิงตีรณามาก่อน ข้าทราบดีว่าพระชะตาของพระนางเป็นคุณกับผู้ใด ซึ่งมิใช่ข้า” พระหัตถ์อุปราชชี้ไปทางเจ้าของกระท่อม “แต่เจ้า…ปลอมดวงพระนาง ทำให้โหรภามผูกดวงพลาด พระมเหสีจึงเข้าพระทัยว่าดวงพระนัดดาส่งเสริมข้าอย่างไรเล่า คนที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็มีแต่เจ้าที่รับใช้ใกล้ชิดเหล่าโหร”

“เท่านั้นเองน่ะหรือถึงหาว่าข้าเป็นผู้กระทำ…อา เจ้าพี่ก็ทรงพระปรีชาอยู่ไม่น้อย มิเช่นนั้นจักได้เป็นอุปราชได้อย่างไร อย่ากระนั้นเลย พระบารมีเจ้าพี่เขนหลวงยิ่งใหญ่ปานนี้ แลทรงได้ทุกอย่างที่ทรงปรารถนาแล้ว ถึงข้าใคร่ทำอันใดก็คงทำมิได้แม้แต่ระคายวรกาย แต่หากระคายพระทัยได้บ้างก็คงดี”

“เขนน้อย! เจ้ายอมรับออกมาแล้วปะไร พูดมาบัดเดี๋ยวนี้ว่าเจ้าทำสิ่งใดอีก”

“ข้าจักทำสิ่งใดได้ ข้าก็เป็นแค่ข้ารับใช้ฤๅษี กระนั้นที่นี่ก็เป็นเรือนพักของข้า เปรียบเสมือนอาศรมนักบวชแห่งหนึ่ง แลบัดนี้ข้าต้องการพักผ่อน มิปรารถนาต้อนรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญ ท่านกลับไปเสียเถิด”

“อาศรม…เฮอะ” เจ้าชายกัษษกรพยายามระงับพระโทสะ “ตั้งแต่รุธีฤๅษีล้มป่วยใกล้ละสังขารไป เจ้าก็เริ่มคิดสถาปนาตนเองเป็นดาบสฤๅษีบ้างสินะ เริ่มทำสิ่งเกินตัว อย่าคิดว่าข้ามิรู้ทัน”

“ฤๅข้ามิใช่ดาบสเล่า…” เขาโต้กลับด้วยน้ำเสียงดุดัน แววตาแข็งกร้าว “เจ้าพี่ลืมไปหรืออย่างไรว่าข้าถูกสาปให้เป็นดาบสตั้งแต่ถือกำเนิด ครั้นมาถึงละโว้กลับยิ่งถูกลดค่าลงให้เป็นเด็กรับใช้นักบวช ทั้งชีวิตนี้เจ้าพี่จักมิให้ข้าเป็นผู้ใดทั้งสิ้นเลยกระนั้นหรือ”

เจ้าชายกัษษกรนิ่งไปครู่ใหญ่ สะเทือนพระทัยในถ้อยความนั้น หากกระนั้นก็ยังสุรเสียงแข็ง

“ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเอง รัตตกร เพื่อสุขสวัสดิ์ของราชสำนักไชยา”

“ข้าหาใช่รัตตกรอีกแล้ว” น้ำเสียงเขาขมขื่น เงยหน้าขึ้นมองเจ้าอุปราช “มิมีผู้ใดจดจำนามนั้นได้อีกแล้ว…ไม่มี”

อีกครั้งที่เจ้าชายกัษษกรมิอาจเปล่งสุรเสียงใดได้ ด้วยนัยนาของบุรุษผู้เปรียบดั่งเงาสะท้อนของพระองค์ได้ฉายแววอ้างว้างล้ำลึกดุจห้วงสมุทรไพศาลแห่งไชยา…

ประหนึ่งให้พระองค์ได้ล่องนาวาความทรงจำบนมหาธารากลับสู่วัยเยาว์บนดินแดนมาตุภูมินั้นแล

 

ตั้งแต่ครั้งบรรพกาลที่ดินแดนสะการามาเซ็นทางทะเลใต้ยังเป็นพื้นที่ป่า ไม่มีเมืองหรือชุมชนเจริญตั้งอยู่ มีเพียงชาวป่าชาวเขาอาศัยนั้น บริเวณอันเป็นที่ตั้งของเมืองไชยากลับเจริญรุ่งเรืองมาก่อน เนื่องจากมีภูมิประเทศเอื้ออำนวย ทั้งพื้นที่ราบเหมาะแก่การเพาะปลูกเก็บเกี่ยว หาดทรายกว้างยาว ไปจนถึงมีเวิ้งอ่าวมากมายสำหรับจอดเรือพักสินค้าและติดต่อค้าขายกับอาณาจักรใกล้ไกลในแผ่นดิน กับนครใหญ่น้อยบนหมู่เกาะทางทะเลใต้ พวกเขาค่อยๆ สั่งสมความมั่งคั่งมั่นคงทีละน้อย

จนกระทั่งเมื่อชาวชวาจากหมู่เกาะข้ามอพยพมาตั้งถิ่นฐานบนดินแดนสะการามาเซ็นเรื่อยมา จึงเริ่มเกิดแคว้นใหญ่แคว้นน้อยเติบโตขึ้นมากมาย ก่อนจะกลายเป็นดินแดนการค้าทางทะเลอันคึกคัก ผู้คนลืมเลือนนามสะการามาเซ็นหรือทะเลเค็มรกร้างกันดาร หากแต่เรียกขานกันว่าแผ่นดินมลายูอันยิ่งใหญ่ บางเมืองที่มีแนวคิดการปกครอง วิถีชีวิต และผลประโยชน์การค้าเดียวกันเริ่มรวมกลุ่มกันเป็นพวกพ้องให้แข็งแกร่งขึ้น เช่น กลุ่มอาณาจักรศรีวิชัย

เมื่อนั้นไชยาก็กลายเป็นดั่งราชธานีแห่งศรีวิชัย แลเปรียบดุจมหาอำนาจแห่งแดนมลายูไปโดยปริยาย

การค้าทางทะเลของไชยากำลังเฟื่องฟูจนเริ่มอยู่ตัว เมื่อถึงรัชสมัยของพระเจ้าหริศวรจนถึงพระเจ้าหริมิตร ทั้งสองพระองค์จึงเริ่มเปลี่ยนนโยบายมุ่งเน้นขยายดินแดนไปทางหมู่เกาะทะเลใต้ที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้บ้านเมืองแทน เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับการบำรุงกองทัพเรือ การฝึกปรือยุทธนาวี และวางโครงสร้างการปกครองให้เป็นระบบเหมาะแก่การขยับขยายมากขึ้น พระบรมวงศานุวงศ์รุ่นหลังทุกพระองค์ถูกกวดขันให้มีเลือดนักรบนักปกครองมากกว่าเป็น ‘พ่อค้า’ ดังเดิม บรรดาเจ้าชายเจ้าหญิงจึงวัดความเป็นใหญ่จากตำแหน่งขุนศึก ซึ่งมักสงวนไว้ให้ราชนิกุลชั้นสูงอย่างราชบุตร ลดหลั่นกันลงมา

เมื่อเจ้าหญิงตาราทรงพระครรภ์ จึงมิใคร่มีผู้ใดเห็นเป็นภัย เพราะยามนั้นราชสำนักมีเจ้าชายสินมหัต ราชโอรสอันประสูติแต่อัครเทวีมัณยาภาแล้ว มิรวมโอรสธิดาจากพระสนมชายาอื่นอีกมากมาย หากด้วยความที่พระนางตาราสืบสายสกุลเก่าแก่ จึงมีผู้ให้ความเคารพนับถืออยู่มาก แลคาดการณ์ว่าโอรสหรือธิดาในพระครรภ์ก็คงมิแคล้วถูกวางองค์ให้ดำรงตำแหน่งทรงศักดิ์ใกล้เคียงราชบุตรสินมหัต

ในราตรีกาลอันควรมีแสงนวลสว่างจากจันทร์เพ็ญ ทว่าท้องนภากลับมืดมิดสนิทดุจน้ำหมึกข้น พระนางตารามีประสูติกาลพระโอรสสองพระองค์…พระกุมารแฝดผู้ถือกำเนิดขึ้นในคืนจันทรคราส

พระองค์หนึ่งลืมพระเนตรส่งเสียงร้องออกมาในยามที่พระราหูกลืนกินจันทราไปจนผืนนภามืดสนิท อีกพระองค์ยังทรงอยู่ในครรภ์ มิยอมออกมาจนพระมารดาพักตร์ซีดขาวแทบหมดแรง ก่อนจะค่อยล่วงผ่านประตูสู่โลกาเมื่อจันทราหวนกลับมาเปล่งแสงนวลกระจ่างอีกครั้ง

ตามธรรมเนียมสืบกันมานั้น แฝดที่คลอดออกมาทีหลังจักนับเป็นพี่ ด้วยมีตำแหน่งด้านบนในครรภ์ เจ้าชายแฝดผู้ถือกำเนิดยามจันทราส่องนภา ขับไล่ความอนธการจึ่งนับเป็นเชษฐา มีพระนามตามดวงจันทร์ว่ากัษษกร อีกพระองค์จึ่งนับเป็นอนุชา มีพระนามว่ารัตตกรตามความมืดมิดในยามประสูติ

“พระชะตาของเจ้าชายกัษษกรนับว่าแปลกประหลาด ประสูติยามราหูคายจันทร์พอดิบพอดี ตามตำราว่าไว้ จักนำความร่มเย็นผาสุกมาสู่แผ่นดิน ค้ำจุนให้มั่นคง อีกทั้งยังช่วยแผ่พระราชอำนาจศรีวิชัยให้กว้างไกลยิ่งขึ้น แลอาจไปได้ไกลถึงเจ้าแผ่นดินที่ไชยาครอบครองได้ในภายหน้าก็เป็นได้พระเจ้าข้า”

โหรกราบทูลด้วยรอยยิ้ม “ทว่าก็ขัดกับพระอัชฌาศัยอ่อนโยน รักความสงบ อันมิได้เหมาะกับการสู้รบทำศึกสงคราม มิสอดคล้องกับลักษณะที่จักต้องปกครองได้ดิบได้ดีในต่างแดน กระหม่อมจึงยังไขความเรื่องนี้ได้มิกระจ่างนัก กระนั้นอย่างไรก็นับเป็นคุณ เป็นมิ่งมงคลต่อแผ่นดินยิ่งแล้วพระเจ้าข้า”

ครั้นมาถึงกุมารแฝดน้อง โหรนิธูรกลับขยับตัวไปมาอย่างอึดอัด

“เจ้าชายรัตตกรประสูติยามเดือนมืดถูกกลืนกินจนสิ้น ทำให้พระพลานามัยมิแข็งแรง พระอุปนิสัยใจร้อน นิยมความรุนแรง แลอาจตลบตะแลงหักหลังคนใกล้ชิดได้เสมอ…สุดท้าย จักทำลายราชบัลลังก์ไชยา ถือเป็นกาลกิณีพระเจ้าข้า”

เจ้าหญิงตาราทอดพระเนตรยุวกุมารที่มิรู้เรื่องรู้ราวอันใดด้วยพระทัยหนักอึ้ง ทรงใคร่กรีดร้องและลุกขึ้นตัดลิ้นผู้ทำนายสิ่งอัปมงคลนั้นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด หากทรงทำได้เพียงระงับสุรเสียงสั่นเครือยามตรัสถาม “มีทางแก้อันใดบ้างฤๅ”

“พอมีพระเจ้าข้า” โหรเองก็ลำบากใจ “เจ้าชายรัตตกรต้องถือเพศนักบวช ร่ำเรียนอย่างนักพรต จักมิมีโอกาสดำรงตำแหน่งรัชทายาท ราชบุตร หรือกระทั่งราชนิกุลแห่งบัลลังก์ไชยาได้อีก จักต้องปกปิดตัวตนดุจคนในเงามืด เช่นนั้นจึงจักบรรเทาได้พระเจ้าข้า”



Don`t copy text!