นิลนาคินทร์ บทที่ 4 : อาคตวิสนะโฆระวิสะ
โดย : อลินา
นิลนาคินทร์ หนึ่งในนิยายชุด นวหิมพานต์ นิยายออนไลน์ แนวแฟนตาซีเหนือจริง ภายใต้นามปากกา อลินา เรื่องราวสุดจินตนาการที่ อ่านเอา อยากให้ทุกคนได้ อ่านออนไลน์
—————————————————
รุทรใช้ห้องทำงานเล็กที่มหาเทวีของเขาเป็นผู้ตกแต่งให้ จนเป็นห้องที่ดูอบอุ่นและผ่อนคลายเป็นที่ประชุม ภวัคค์เดินตามปิดท้ายขบวนจัดแจงปิดประตูตามหลังเขาอย่างแน่นหนา เมื่อมั่นใจว่าไม่มีสาวใดตามมา เขาก็กระวีกระวาดถือจานขนมเข้าไปในห้องน้ำ อึดใจเดียวก็กลับออกมาพร้อมจานที่ว่างเปล่าและสีหน้าผ่องใสเป็นอันมาก
“กินเร็วนะ ชิ้นใหญ่ขนาดนั้นกินหมดในพริบตาเหมือนกวาดลงชักโครกเลย เจ้าแสงคงปลื้ม” พิทยาธรแกล้งแหย่
นรสิงห์ขนทองถลึงตามองอสูรหมายเลขสองอย่างดุเดือด แต่ไม่เอ่ยอะไร แค่เดินไปยืนประจำที่อยู่ด้านหลังบรอสูรเท่านั้น
“ษรมีเรื่องอะไรจะปรึกษาพวกพี่หรือ” อสูรหนุ่มถามขึ้น
“พี่รุทรได้รับรายงานเรื่องศพถูกเผาที่ถูกส่งมาให้ตรวจสอบจากพายัพมณฑลหรือเปล่าคะ” หฤษรเทวีถามกลับ
“ผ่านตาอยู่เหมือนกัน แต่เห็นว่าอาจจะเป็นฟ้าผ่าหรือไม่ก็ถูกไฟฟ้าดูด พี่เลยไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก” บรอสูรตอบตามตรง ตามตำแหน่งเขาต้องดูแลความเรียบร้อยมากมายในนวหิมพานต์ แค่เฉพาะในนวหิมพานต์วันๆ ก็เกิดเรื่องมากมายแล้ว อย่าว่าแต่หัวเมืองโดยรอบเลย เพียงแต่เรื่องนี้เขาสะดุดตาเพราะอสูรรักษาเมืองของพายัพมณฑลแจ้งว่าสภาพศพนั้นเหมือนถูกเผาจากภายใน จึงอยากขอให้ทางนิติเวชของไกรลาสคีรีช่วยตรวจสอบ
“รายนั้นแหละค่ะ วันนี้แพทย์นิติเวชกับษรชันสูตรแล้ว ษรยังไม่ได้ยืนยันเต็มร้อยนะคะ แต่คิดว่าคนธรรพ์รายนี้ละสังขารเพราะพิษนาคี”
นอกจากภวัคค์ที่มาจากหิมพานต์แล้ว ชายที่เหลือสามรายนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนพิทยาธรจะเอ่ยเจื้อยแจ้วเหมือนเด็กท่องอาขยานว่า
“คุณครูสอนว่า ครุฑและนาคนั้นทะนงคิดว่าตนเป็นเจ้าแห่งเวหาและเจ้าแห่งนที จึงไม่หวั่นเกรงมหาอัคคี ไม่หลบหนีจากหิมพานต์ จึงต้องมอดม้วยมรณัง นวหิมพานต์จึงไร้เจ้าเงาบนฟ้าและปราศจากการเคลื่อนไหวในน้ำ เอวัง”
สายตาสี่คู่มองที่อสูรหนุ่มเป็นตาเดียว และทุกคู่เหมือนจะซ่อนความอ่อนใจไว้ไม่มิด
“อะไร แค่ท่องอาขยานวิชาพื้นฐานเผ่าพันธุ์ในนวหิมพานต์หน่อยเดียวทำไมมองกันด้วยสายตาชื่นชมแบบนั้น”
หฤษรเทวีผู้เยือกเย็นถอนใจนิดหนึ่ง ยอมรับว่า
“บางทีษรก็ไม่เข้าใจ เทพีสาวิณีทนพี่พิทยาธรได้ยังไง”
พี่ชายคนรองของหล่อนเลิกคิ้วใส่ บอกอย่างเย่อหยิ่งว่า
“มันเป็นอิทธิพลของความรัก”
“อย่าไปใส่ใจเลยษร” รุทรตัดบท “เข้าเรื่องดีกว่า… ชายผู้นั้น… คนธรรพ์ใช่ไหม… ละสังขารด้วยพิษนาคี แต่ในนวหิมพานต์ไม่มีนาค”
“นั่นคือสิ่งที่ผมบอกทุกคน” พิทยาธรตีมืออย่างมีชัย
“อาขยานของพี่พิทยาธรนี่กี่ปีแล้วคะ ท่องกันมาหลายร้อยปีแล้ว ตั้งแต่นวหิมพานต์สร้างเมืองใหม่ กำแพงมนตร์ก็แน่นหนา แต่เวลาผ่านมาขนาดนี้อาจจะเป็นไปได้ว่ามีนาคหรือครุฑหรือเผ่าพันธุ์หิมพานต์อื่นๆ ผ่านรอยแยกของกำแพงเข้ามา”
“ที่ษรว่ามาก็มีเหตุผล นี่แสดงว่านอกจากตอนนี้นวหิมพานต์จะมีนรสิงห์แล้ว เรายังมีนาคด้วย”
เทวีสาวลังเลเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างเป็นกลางที่สุดว่า
“นวหิมพานต์อาจจะมีเผ่าพันธุ์อื่นๆ อีกมากมายที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนเผ่าพันธุ์ไว้ อาจจะมีมานานแล้ว เพียงแต่พวกเขาไม่ได้แสดงตัวออกมาเท่านั้น”
“ก็เป็นไปได้” ศิวนฤบดียอมรับก่อนถาม “แต่คุณษรแน่ใจใช่ไหมครับว่าเป็นพิษนาคี”
“ค่ะสักกะ สภาพร่างไหม้เกรียมจากภายใน เสื้อผ้าและผมยังคงสภาพเดิม ฉะนั้นไม่ใช่เพราะไฟหรือไฟฟ้าแน่นอนค่ะ แถมผู้ละสังขารยังเหมือนทรมานอย่างหนักจากความร้อนก่อนสิ้นใจอย่างรวดเร็ว”
สองบรหนึ่งนรสิงห์ดวงตาสว่างวาบ ก่อนบรเทพจะเอ่ยขึ้นว่า
“อาคตวิสนะโฆระวิสะ”
หฤษรกะพริบตาปริบ ในขณะที่พิทยาธรร้อง… ฮะ…
“มันคืออะไร”
“วิธีแพร่พิษของพญานาคที่อันตรายถึงแก่ชีวิต อัคคิมุขะเป็นนาคที่กัดผู้ใดแล้วจะเกิดความร้อนในตัวดุจไฟเผา เหมือนมีแผลไฟไหม้จากในตัว ส่วนอาคตวิสนะโฆระวิสะพิษที่แผ่ไปทั่วตัวผู้ถูกกัดอย่างรวดเร็วและรุนแรง” ศิวนฤบดีอธิบาย
“อ้อๆ” ผู้สำเร็จวิชาการเรือนร้องเหมือนๆ จะเข้าใจหน้าตาขึงขัง แต่พอเห็นสายตารู้เท่าทันของพี่ชายและน้องสาวเขาก็เปลี่ยนเป็นบ่นกระปอดกระแปดว่า “ภาษาโบราณเข้าใจยากจะตายไป!”
“ษรจำได้ไหมว่าพี่เคยเล่าว่าพบพ่อหมอคนธรรพ์ที่เรือนคันธบาลเพราะพ่อหมอถูกตามตัวมารักษาพิษที่อดิศรและองค์รักษ์เทพได้รับจากน้ำโสม”
“ค่ะ เห็นบอกว่าใช้เพชรนาคีที่มีสรรพคุณรักษาสารพัดพิษบดละเอียดกับสมุนไพร กวนด้วยขนครุฑ ษรฟังแล้วยังทึ่ง… อยากได้เพชรนาคีกับขนครุฑมาวิจัย เผื่อจะหายาต้านพิษรวมได้”
“นั่นแหละ… ตอนนั้นนายอดิศรถูกพิษนาค แถมเป็นอาคตวิสนะโฆระวิสะด้วย”
“อาคตวิษณะ…ไม่สิ อาคตวิสนา… เฮ้อ… ยอม” พิทยาธรที่พยายามทวนคำของพี่ชายส่ายหน้าอย่างจนปัญญา นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ได้เป็นบร ความจำเขาไม่ดีเท่ากับบรรดาบรทั้งหลายตรงหน้า
“อาการของอดิศรตอนนั้นคือเหมือนคนไข้ขึ้นสูง ทุรนทุราย รูขุมขนเปิด เหงื่อออกท่วมตัว และตัวเขาแดงมาก แดงเหมือนกำลังถูกย่างให้สุก ถ้าพ่อหมอคนธรรพ์ไม่ได้ลงมือรวดเร็ว เทพที่ฤทธิ์พอตัวอย่างเขาก็คงต้องละสังขารแน่นอน” ศิวนฤบดีรายงานอาการของอดิศรหรืออติรูปให้หมอสาวฟังเพื่อให้เทียบกับศพที่อยู่ในห้องดับจิตไกรลาสคีรี
“อันที่จริงถ้าพ่อหมอไม่ช่วย ปล่อยให้ไอ้โจรพันพักตร์มันละสังขารเสียในหิมพานต์คงไม่มีเรื่อง” พิทยาธรว่าอย่างเข่นเขี้ยว
“ค่ะ แต่ถ้าหมออดิศรละสังขารไปเสียตั้งแต่ตอนนั้น กัญจน์คงไม่มาอยู่ที่ปราสาทอสูร พี่พิทยาธรก็คงไม่ได้ไปอุดรพนากับเทพีสาวิณี และคงไม่มีพ่อแม่พิมพ์ประทับ พี่พิทยาธรก็ยังเป็นโสด แถมสักกะก็คงไม่ได้มากินอาหารค่ำที่ปราสาทอสูรอาทิตย์ละวันสองวันแบบนี้”
“จริงด้วย” บรอสูรที่เคยหวงน้องสาวคนเล็กและยังห่วงอยู่เอ่ยอย่างเห็นด้วย “นี่ถ้าย้อนกลับไปได้…”
“ย้อนไม่ได้” อสูรหมายเลขสองรีบขัดหนักแน่น
“อะไรที่เกิดแล้วย่อมดีที่สุด” บรเทพตัดบทอย่างเย็นชา
“ค่ะ คงจะเป็นอย่างนั้น…” เทวีสาวยอมรับ พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะห้ามไม่ให้แตะลงตรง ‘กระดูกงอก’ บนลิ้นปี่ของตัวเอง
“สรุปว่าตอนนี้เรากำลังเจอนาคที่สังหารคนธรรพ์ ยังไงพี่จะให้พวกนิติอสูรเร่งหาหลักฐานเกี่ยวกับผู้ละสังขารรายนี้ว่าเป็นใครมาจากไหน”
“วิวัฒน์” หฤษรบอกออกไป “พี่รุทรลองให้ตรวจสอบชื่อนี้ดูนะคะ และคนธรรพ์รายนี้เป็นหมองู เป็นพวกควบคุมงูด้วยมนตร์ดนตรี”
ดวงตาสีดำสนิทของบรอสูรมองน้องสาวอย่างสนใจ
“ษรรู้ได้ยังไง เจอหลักฐานอะไรในตัวผู้ละสังขารหรือ”
เทวีสาวส่ายหน้า
“ในตัวไม่มีหลักฐานเลยค่ะ แต่มีคนบอกษร…” ตัวดำ… นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะรักษาสัญญาของเรา ถ้านิติอสูรได้เบาะแสว่านายมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ฉันก็ไม่อาจรักษาคำพูดที่ให้ไว้กับนายได้อีกต่อไป “เขาว่าเคยพบกับคนธรรพ์รายนี้ ยังไงพี่รุทรลองให้พวกนิติอสูรค้นจากจุดนี้ก่อนเลยนะคะ”
“ได้”
“อีกอย่างศพถูกส่งมาจากพายัพมณฑล ตามข้อมูลจากอสูรรักษาเมืองที่นั่นบอกว่าพบศพในบึงมรกต…” หฤษรเทวีเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุด บรอสูรจึงเอ่ยต่อแทนว่า
“มีข่าวลือมานานแล้วว่าในบึงอาจมีรอยแยกกำแพงมนตร์ หมองู พิษนาคี นาคที่ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มีในนวหิมพานต์ พี่คงต้องส่งอสูรมือดีทางนี้ลงไปตรวจสอบ”
“ผมจะส่งนิติเทพไปด้วย เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” ศิวนฤบดีเสนอ
การที่กำแพงมนตร์เกิดประตูหรือรอยแยกถือเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าไม่มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ชาวนวหิมพานต์อาจจะแห่กันเข้าไปแสวงโชคในดินแดนที่ถูกปิดตายมานานอย่างหิมพานต์ ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครอีกคนหรือสองสามคนที่รู้จักประโยชน์ของสุวรรณผลและนำออกมาผลิตยาลวงตาอีก ดังนั้น ทั้งฝ่ายปกป้องและฝ่ายปกครองจึงต้องร่วมมือกันดูแลสกัดกั้นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตตรงนี้อย่างเต็มที่
สองบรคุยกันเรื่องตรวจสอบนาคและเผ่าพันธุ์จากหิมพานต์อื่นๆ ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาเทพอสูรไว้ ทำให้หฤษรเทวีโล่งใจที่พี่ชายไม่ได้ซักถามรายละเอียดอะไรกับหล่อนอีก มีเพียงตกลงเรื่องจะให้พ่อหมอคนธรรพ์ไปช่วยชันสูตรศพอีกที
ถ้ายืนยันชัดเจนว่าเป็นพิษนาคี และเป็นพิษที่เกิดจากการกัดโดยตรง อาจจะต้องมีการรายงานเรื่องนี้เข้าสภาเทพอสูรเพื่อพิจารณากันอีกที
การประชุมกลุ่มย่อยจบลง หฤษรเทวีออกจากห้องประชุมเล็กอย่างรวดเร็ว พิทยาธรกลับมาแหย่นรสิงห์เท้ากรงเล็บต่อยามเมื่อทั้งสองเดินตามเทวีสาวไปยังห้องพักผ่อน ศิวนฤบดีดูเวลาแล้วตั้งใจว่าจะชวนมหาเทพีของเขากลับปราสาทเทพ แต่รุทรรั้งเขาไว้ด้วยการเอ่ยถามว่า
“เคยไปตลาดเกาะใต้ไหม”
บรเทพที่เยือกเย็นจนเข้าขั้นเย็นชากลับยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยคล้ายกับเป็นรอยยิ้มยามตอบ
“ครั้งหนึ่ง”
ครั้งเดียว… แถมยังไปแบบไม่รู้สึกตัวเสียด้วย แต่ที่ตลาดเกาะใต้นี่เอง อสุรีเทวีนางหนึ่งสังเกตเห็นเขา ลงมาช่วยเหลือเขาจนถูกจับไปเกาะเมืองอกแตกด้วยกัน และตอนนี้เทวีผู้งดงามกำลังรอเขาอยู่ในห้องพักผ่อนด้านนอก
“ว่ากันว่า…” รุทรลากเสียงเล็กน้อย “เจ้าของผู้ไม่ยอมเปิดเผยตัวของตลาดเกาะใต้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วเป็นเศรษฐีใหญ่จากเกาะทางใต้ บางเสียงกระซิบว่าเขาร่ำรวยขึ้นมาจากการปล้นสินค้าที่กำลังส่งมายังนวหิมพานต์ บางเสียงก็ว่าเพราะเขาโชคดีสามารถขุดค้นทรัพย์สมบัติมหาศาลจากโลกเดิมที่จมอยู่ในทะเลลึกได้ และบางเสียง… ลือกันพอสมควรในหมู่คนธรรพ์ว่าเศรษฐีเกาะใต้ผู้นี้มีเชื้อสายนาคี”
ผู้ที่ไม่ชอบอยู่กับพี่ภรรยาตามลำพังและอยากกลับไปหาภรรยาเต็มทนนิ่งไปครู่ก่อนเอ่ยว่า
“มีควันย่อมมีไฟ ผมจะให้นิติเทพลองสืบดูอีกทาง”
ค่ำคืนในปราสาทอสูรสงบเงียบ ลมพัดจากทางเหนือลงมาทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย ดอกไม้ราตรีในสวนส่งกลิ่นหอมรื่นรมย์ หฤษรเทวีอาบน้ำสวมชุดนอนสีเขียวอ่อนนั่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ หล่อนวางมือลงบนจุดที่มีรอยนูนขึ้นเล็กน้อย… จนแทบสังเกตไม่เห็น
ความปลอดภัยในปราสาทอสูรนั้นดีเยี่ยม มีการร่ายมนตร์กั้นสะกดผู้รุกรานจากภายนอก ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าไม่มีใครสามารถแอบเข้ามาหาหล่อนในยามค่ำคืนได้
แต่กับเรือนพักที่พายัพมณฑลเมื่อหลายสิบปีก่อนนั้นต่างจากนี้มาก ท่านลุงกับท่านป้าเป็นเพียงอสูรชั้นสูงที่ถูกส่งมาดูแลความเรียบร้อยของเมือง ตำแหน่งเหมือนสูงแต่จริงๆ เป็นเพียงผู้เฝ้าสังเกตการณ์เท่านั้น ดังนั้น ในเรือนพักจึงมีเพียงอสูรบริการเพียงไม่กี่ราย แม้ในค่ำคืนวุ่นวายที่คุณหนูหฤษรถูกสัตว์มีพิษกัดจนไข้ขึ้นสูง ในห้องนอนอสุรีน้อยก็ยังมีเพียงแค่พี่เลี้ยงคนเดียวคอยดูแล
ท่านลุงท่านป้าหน้าดำคร่ำเครียดปรึกษากับหมอที่เก่งที่สุดในพายัพมณฑล หมอทั้งหลายส่ายหน้ารักษาไม่ได้ แนะนำว่าคงต้องนำอสุรีน้อยเข้านวหิมพานต์อย่างเร่งด่วน การให้น้ำเกลือ ประคบน้ำแข็งตามร่างกายและให้ดื่มน้ำเป็นระยะช่วยบรรเทาพิษได้เพียงชั่วครั้งคราวเท่านั้น
‘นี่ถ้าคุณหนูหฤษรไม่ใช่อสูรชั้นสูง คงรั้งไว้ไม่อยู่แล้ว นี่คงต้องส่งเข้าโรงพยาบาลใหญ่ในนวหิมพานต์ ทางนั้นอาจจะมียารักษา’
ท่านลุงสั่งเตรียมรถเพื่อจะเดินทาง พี่เลี้ยงของหฤษรเทวีไปเก็บของเตรียมเดินทาง หล่อนสั่งให้อสุรีบริการรายหนึ่งมาเฝ้าคุณหนูไว้ อสุรีรายนั้นเห็นว่าน้ำแข็งที่ใช้ประคบตัวคุณหนูหมดจึงออกจากห้องไปเอาน้ำแข็ง
จังหวะนี้เองที่งูน้อยตัวหนึ่งถือโอกาสที่เฝ้ารอมานานเลื้อยผ่านช่องลมเข้ามาในห้อง
ตัวดำมองร่างเล็กๆ ที่นอนเหงื่อชุ่มโชกบนเตียง ใบหน้าเล็กๆ นั้นซูบตอบดวงตาลึกโหลขอบตาดำคล้ำ ไร้เรี่ยวแรงแม้จะบิดกายด้วยความเจ็บปวด ได้แต่กลอกตามอง น้ำในตัวเหือดแห้งจนไม่อาจหลั่งน้ำตาได้
ปากที่แห้งแตกจนเลือดไหลซึมขยับเป็นคำพูด… ไม่ได้ทรยศ
อสุรีน้อยไม่ได้เสียน้ำตา แต่เป็นตัวดำเองที่สะอื้น เขาว่า
‘ฉันไม่ได้ตั้งใจ’
ตัวดำหายไปจากสายตา หูอสุรีน้อยได้ยินแว่วๆ เหมือนเสียงดิ้นรนฮึดฮัดด้วยความเจ็บปวด ไม่นานเด็กชายก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ตัวเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อสีแดงใสจางๆ หน้าตาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ความร้อนที่ขึ้นสูงในตัวเหมือนร่างกายจะปริแตกออกทุกเมื่อทำให้อสุรีน้อยมองอะไรไม่ถนัด กำลังอ้าปากจะถามไถ่ ตัวดำก็ยัดอะไรบางอย่างเข้าไปในปากที่แห้งแตกของหล่อน เขากระซิบ
‘กินนะแล้วจะหาย’
เสียงอสุรีบริการเดินกลับเข้ามาในห้องพร้อมถังน้ำแข็ง ตัวดำกลายเป็นงูน้อยเลื้อยปราดๆ หายไปทันที
หฤษรอมของแข็งๆ ขนาดเท่าปลายนิ้วไว้นิ่ง พออสุรีบริการป้อนน้ำแข็งใส่ปากที่แห้งผาก น้ำแข็งก็ละลายเป็นน้ำอย่างรวดเร็วและหล่อนก็กลืนมันลงไปพร้อมกับของที่ตัวดำป้อนให้
หลายครั้งที่นึกถึงตรงนี้… เทวีสาวมักจะเยาะหยันตัวเองว่ายามเด็กหล่อนช่างเชื่อคนง่ายเสียจริง ตัวดำทำร้ายกัดหล่อนจนเจ็บปวดปางตาย แต่พอเขาป้อนอะไรไม่รู้เข้าปาก หล่อนก็ยอมกินโดยง่ายดาย
โชคดีที่การเชื่อคนง่ายครั้งนั้นมีแต่ผลดี ทันทีที่อะไรบางอย่างนั้นไหลผ่านลำคอ อสุรีน้อยก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลผ่าน ไม่ใช่ความเย็นที่เกิดจากสิ่งนั้น… แต่เป็นเพราะเจ้าสิ่งนั้นดึงความร้อนที่สุมเร้าออกจากตัวหล่อน
ของนั่น… ที่หฤษรเดาว่าน่าจะเป็นเพชรนาคีเคลื่อนมาหยุดอยู่ที่กลางอกหล่อน ฝังลึกอยู่ตรงนั้นและเริ่มดึงพิษที่แพร่กระจายไปทั่วร่างไปที่มัน
เพียงเวลาไม่นานท่านลุงท่านป้าก็พากันถอนใจยาวอย่างโล่งอก อสุรีน้อยพ้นขีดอันตรายแล้ว…
หลังจากหายป่วยได้ไม่นาน หฤษรก็เริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงรอบตัว นกและสัตว์เล็กๆ ไม่กล้าเข้าใกล้หล่อน สัตว์ที่มีพิษร้ายอย่างงู แมลงป่องหรือแม้แต่ผึ้งก็ยังหลบเลี่ยงหล่อน….
ทุกอย่างล้วนเกิดจากเพชรนาคีที่ฝังอยู่ในตัว
หฤษรเทวีอยากรู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ตัวดำป้อนให้หล่อนเป็นสีอะไร อยากรู้ว่าทำไมมันถึงได้มีสรรพคุณวิเศษนัก แต่จะให้ผ่าออกมาเพื่อศึกษา เทวีสาวก็ยังไม่แน่ใจว่าพร้อมจะเปิดอกและตัดกระดูกตัวเองออกมาเพื่อการศึกษา…
ก่อนเข้านอนหมอสาวแปรงผมดำสนิทที่ตัดสั้นเพื่อสะดวกในการทำงานจนเรียบลื่น ไล้ผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่สกัดจากน้ำมันมะพร้าวและเกสรดอกไม้จากเกาะทางใต้ ปลายนิ้วหยุดนิดหนึ่งที่ริมฝีปากนุ่ม
แผลที่ถูกกัดวันนี้มองไม่เห็นแล้ว แต่ทำไมหล่อนยังคงรู้สึกได้…
ช่างเถอะ แค่จูบเดียว แค่รอยกัดอีกครั้ง…ก็แค่นั้น หล่อนรอดจากการกัดครั้งแรกของเขา การกัดครั้งนี้ก็เหมือนไม่สำคัญอะไร ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนจะใส่ใจ…
แม้รอบปราสาทอสูรจะมีมนตร์สะกดเพื่อป้องกันผู้บุกรุก แต่ต้นไม้ใหญ่ที่ตรงกับห้องนอนของหฤษรเทวีกลับมีงูพันร่างใหญ่โตกับคาคบไม้ เกล็ดของมันเป็นประกายเหมือนเพชรจนน่าแปลกที่ไม่มีใครสังเกตเห็น หงอนใหญ่แดงก่ำดั่งพลอยน้ำงาม ลิ้นแลบเลียในอากาศเพื่อสัมผัสกลิ่นหอมของดอกไม้ราตรี
และกลิ่นของอสุรีเทวี
หลายปีที่เขาเพียงเฝ้าตามข่าวของเพื่อนคนแรกในชีวิตอยู่ห่างๆ
ทว่าวันเดียวกลับเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ลงเขี้ยวไปแล้ว แม้เพียงน้อยนิดแต่กลับเป็นการประกาศอย่างชัดเจน
หฤษรเทวีเป็นของเขา
ซือ… ซือ…
เป็นของเขา!