ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 1 : เจิดจันทร์

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 1 : เจิดจันทร์

โดย : เอมอักษร

Loading

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที

เจิดจันทร์เป็นลูกสาวคนกลางในบรรดาพี่น้องสามใบเถา ที่ไม่เข้าพวกที่สุดจนดูแปลกแยกมาตั้งแต่เกิด

เริ่มตั้งแต่รูปร่างหน้าตาก่อน ทั้งพี่สาวน้องสาวล้วนได้รับแต่ส่วนที่ดีที่สุดของพ่อแม่ นับแต่ผิวขาวและปากบางแดงอย่างลูกจีนทางฝั่งแม่ ผนวกคิ้วเข้มตากลมโตจมูกโด่งเรียวอย่างลูกครึ่งแขกทางฝั่งพ่อ จนพี่สาวคนโตมีแมวมองชวนไปถ่ายโฆษณาตั้งแต่เดินเตาะแตะ ส่วนน้องสาวคนเล็กก็เป็นเจ้าแม่งานประกวดต่างๆ ขึ้นชื่อเทพีหนูน้อยที่กวาดรางวัลเล็กใหญ่มานับไม่ถ้วน

ส่วนเจิดจันทร์กลับได้ผิวสองสีค่อนไปทางคล้ำจากพ่อ และจมูกแบนตาชั้นเดียวถอดแบบแม่ จนดูประดักประเดิด จะว่าคมเข้มก็ไม่ถนัด จะว่าหมวยก็พูดไม่ถูก เวลาพี่น้องสามสาวเดินมาด้วยกัน คนมักนึกว่าเจิดจันทร์เป็นเพื่อนข้างบ้าน หรือร้ายกว่านั้นก็เป็นเด็กในบ้านไปเลย

นี่ยังไม่นับความโชคร้ายที่เหมือนถูกยัดเยียด อย่างชื่อ “เจิดจันทร์” ที่เจ้าตัวแสนเกลียด ก็ได้มาเพราะคุณปู่เกิดป่วยหนักในช่วงที่เธอเกิด พ่อเลยขอให้คุณปู่ตั้งชื่อหลานสาวเพื่อสร้างกำลังใจ พ่อเล่าว่าคุณปู่คิดอยู่เป็นนาน เพราะอยากได้ชื่อที่เพราะที่สุด ทันสมัยที่สุด…ในยุคของท่าน

“เจ้านี่มันเกิดคืนพระจันทร์เต็มดวงพอดี สมัยพ่อหนุ่มๆ มีเสภาเพราะมาก ขับว่าพระจันทร์สวยแจ่ม แอร่มเต็มฟ้า แต่จะชื่อแจ่มจันทร์ก็เชย เอาเป็นเจิดจันทร์ดีกว่า ทันสมัยกว่า คล้องกับชื่อพี่สาวมันด้วย จอจาน เหมือนกัน”

แม่ที่อุ้มเจิดจันทร์อยู่ได้แต่ยิ้มแหยๆ นึกสงสารลูกสาวตัวน้อยอยู่เหมือนกันที่สีผิวไม่เข้ากับคำว่าดวงจันทร์เท่าไร มิหนำซ้ำชื่อที่ว่าคล้องกับพี่สาวก็ห่างกันไกล เพราะแม่เป็นคนตั้งชื่อลูกสาวคนโตเองว่า “เจณิสตา” ตามค่านิยมเก๋ไก๋กลิ่นอายเมืองนอกที่แม่เคยร่ำเรียนมา

แม่ไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย พอลูกสาวคนเล็กเกิด คุณปู่เสียไปแล้ว แม่เลยรีบแจ้งชื่อ “เจนนินทร์” กับคุณพยาบาลตั้งแต่แรกคลอด ด้วยความโล่งใจเป็นล้นพ้น ด้วยเหตุนี้ พี่น้องสามสาวจึงเป็น “พี่เจ ยัยเจิด หนูเจน” ติดปากใครต่อใครตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยก

“แม่บ้านที่โรงเรียนยังชื่อเพราะกว่าหนูเลย” เจิดจันทร์เคยร่ำร้องเมื่อพอรู้ความ “ชื่อพลอยนภัสอะแม่คิดดู แล้วทำไมหนูชื่อเจิดจันทร์ ชื่อเล่นก็เจิด ยังกะชื่อคนสวนในละคร”

แม่ต้องปลอบว่าเป็นชื่อที่คุณปู่ตั้งใจตั้งให้ ส่วนชื่อเล่นก็เพราะปู่เรียกติดปากว่า “ยัยเจิด” มาตั้งแต่เกิด ไม่เคยมีหลานคนไหนที่ปู่เรียกใกล้ชิดสนิทสนมแบบนี้ นับว่าเป็นมงคลมาก นอกจากนี้ พ่อยังไม่ยอมให้เจิดจันทร์เปลี่ยนชื่อโดยเด็ดขาด เพราะสงสารคุณปู่ที่นั่งคิดนอนคิดชื่อให้หลานสาวเป็นนานทั้งที่ไม่สบาย

แต่ความเชื่อที่ว่าปู่รักเจิดจันทร์นักหนา กลับไม่หนักแน่นเท่าเสียงลือเสียงเล่าปากต่อปากจากญาติพี่น้อง ลอยมาเข้าหูเจิดจันทร์ตั้งแต่ยังเล็ก ว่าที่จริงคุณปู่ไม่ปรารถนาหลานสาวนัก เพราะใฝ่ฝันจะได้หลานชายสืบสกุล พอแม่คลอดลูกคนที่สองเป็นผู้หญิงอีก ปู่จึงผิดหวังขนาดหนัก เจิดจันทร์เลยเชื่อหมดใจว่าที่ชื่อของเธอไม่ไพเราะเท่าที่ควร เป็นเพราะปู่ไม่มีกะจิตกะใจจะยินดีเมื่อเธอเกิดมา

แล้วคนเราถ้าลองเกิดมาไม่สวย ชื่อก็เชยไปแล้วสองอย่าง ความซวยอย่างอื่นก็ทยอยตามมาสมทบได้ไม่ยาก

“เจิดเป็นอะไร เทอมนี้ซ่อมอิงค์มาสองครั้งแล้วนะลูก” พ่อบ่นเมื่อเห็นใบแจ้งผลคะแนน “เรียนพิเศษเพิ่มอีกหน่อยเป็นไง ภาษาอังกฤษมันสำคัญนะเจิด เดี๋ยวนี้เด็กอนุบาลอินเตอร์พูดฝรั่งควบจีนกันปร๋อ สำเนียงดีกว่าพวกครูคนไทยอีก”

เจิดจันทร์หน้าจ๋อย รู้ดีว่าพ่อเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องการเรียนเป็นพิเศษ เพราะด้วยตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายในรัฐวิสาหกิจใหญ่ นอกจากทำงานตามหน้าที่แล้ว การอวดลูกก็เป็น kpi สำคัญอย่างหนึ่ง

ส่วนแม่ไม่เข้มงวดเท่าพ่อ อาจเพราะไม่มีเวลามาสอดส่องด้วยก็ได้ เพราะแม่กลายเป็นคนขับรถรับส่งและผู้จัดการคิวงานให้เจณิสตาและเจนนินทร์ไปเรียบร้อยแล้ว แทบไม่มีเวลาอยู่บ้านทั้งเจ็ดวัน

เจิดจันทร์อยากให้แม่เป็นคนติวภาษาอังกฤษให้มากกว่าครูสอนพิเศษ เพราะแม่เคยเรียนไฮสกูลถึงสามปีที่อเมริกา ดังนั้นเรื่องฟังพูดอ่านเขียนไม่มีปัญหา แต่แม่ก็ไม่มีเวลาพออยู่ดี

“แม่สื่อสารได้ แต่ไม่แม่นแกรมมาร์” แม่ว่าอย่างนี้ เมื่อสามีกับลูกสาวคนกลางไปยื่นข้อเสนอ “ให้ครูสอนน่ะชัวร์สุด เจิดอยากเรียนวันไหนก็ว่ามา แม่จะพาไป แต่เว้นจันทร์ พุธ ศุกร์ ไว้หน่อยนะ พี่เจเรียนบัลเลต์กับเปียโน เออ เสาร์อาทิตย์หนูเจนเขาก็ไปแคสต์งานบ่อย บางทีได้งาน แม่ก็ต้องเลือกวันถ่ายเสาร์อาทิตย์ หรือไม่งั้นก็ต้องถ่ายพฤหัสกับอังคาร ที่ไม่ชนกับพี่เจ”

เจิดจันทร์ฟังอย่างเพลียใจ ดูเหมือนไม่มีวันไหนว่างสำหรับเธอ ส่วนพ่อที่ทำท่าเดือดเนื้อร้อนใจมาแต่แรกก็เริ่มเนือยลง เมื่อตระหนักว่าภาระจะกลายเป็นของตัวเองถ้าแม่ไม่มีเวลาจริงๆ

เพราะมัวแต่รอกันไปมาให้คนนั้นคนนี้ว่าง เจิดจันทร์จึงโตมาด้วยคะแนนภาษาอังกฤษตกๆ หล่นๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งเรียนไม่รู้เรื่อง นั่นทำให้เธอไม่กล้าสอบโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนต่างชาติเหมือนพี่สาวน้องสาว เพราะกลัวการสื่อสารกับฝรั่งจับใจ

ส่วนคะแนนวิชาอื่นๆ ของเจิดจันทร์พอใช้ได้ แต่ก็ใช้ได้ในระดับมหาวิทยาลัยเอกชนที่ขึ้นชื่อว่าค่าเทอมแรง และ “จ่ายครบ จบแน่” เท่านั้น ดังนั้น เมื่อจบปริญญาตรี ในขณะที่เจณิสตาพี่สาว มีอาชีพหลักเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินดังของญี่ปุ่น ควบงานอดิเรกเป็นอินฟลูเอนเซอร์ประเภทความสวยความงาม มีผู้ติดตามหลักแสน ส่วนเจนนินทร์น้องสาวที่เรียนอยู่ปีสาม ก็มีทีท่าว่าไม่ต้องเหนื่อยหางาน เพราะรับจ็อบเป็นนักแสดงอิสระค่าตัวไม่ธรรมดามาตั้งแต่มัธยม เจิดจันทร์ก็ทำได้ดีที่สุดคือสมัครเป็นลูกจ้างในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่บิดาทำงานอยู่ อาศัยความหวังว่าจะใช้ “เส้น” พ่อสอบบรรจุเป็นพนักงานในสักวันหนึ่ง

“เจิด แกได้ข่าวหรือยัง” หมูยอ เพื่อนสนิทหนึ่งเดียวของเจิดจันทร์ ซึ่งร่วมชะตากรรมเป็นลูกจ้างรอสอบบรรจุ และเข้าข่ายสมาชิกแก๊งลูกเป็ดขี้เหร่เหมือนกัน โผล่หน้าเข้ามาบอกในเช้าตรู่วันจันทร์ด้วยท่าทีลุกลน  “ฉันเพิ่งเห็นหัวหน้าร่างบันทึก ประมาณว่าจะเปิดสอบบรรจุพนักงานรอบพิเศษอีกสองอาทิตย์ รับแค่ยี่สิบคน…อีกสองอาทิตย์เองนะแก๊ แล้วคนมีสิทธิ์สอบเป็นพัน ใครมันจะไปอ่านหนังสือทัน”

“ฮะ” เจิดจันทร์แตกตื่น “พ่อไม่เห็นบอกฉันเลย ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ล่ะ”

“สงสัยมีพวกเส้นใหญ่ แบบหญ่ายยสุดๆๆ รอบรรจุละมั้ง ถึงเปิดสอบไม่มีปี่มีขลุ่ยแบบนี้” หมูยอส่ายหน้าด้วยท่าทีท้อแท้ “แล้วเห็นว่าพนักงานตัวจริงยังแน่นเอี้ยด หลังจากรุ่นนี้คงไม่เปิดสอบลูกจ้างอีกหลายปีแหงๆ ก็แน่อยู่แล้ว เศรษฐกิจแบบนี้ ใครมันจะลาออก”

“โอ๊ย เซ็งว่ะหมูยอ มันอะไรนักหนาวะชีวิตฉันเนี่ย” เจิดจันทร์ลากเพื่อนสนิทไปคุยที่มุมห้อง เพราะเรื่องมันซีเรียสเกินกว่าจะเม้ามอยนั่งชิลล์ที่โต๊ะได้อีก “ถ้าครั้งนี้ฉันสอบไม่ได้ พ่อเอาตายแน่เลย ฉันไม่ได้แตะหนังสือติวมาเป็นปีแล้วแกรู้มั้ย ใครจะนึกว่าเปิดสอบปุบปับแบบนี้ ทำไมฉันถึงได้ซวยโคตรๆ แบบนี้วะ”

“แกคนเดียวที่ไหน ฉันยิ่งแย่กว่าแกอีก” หมูยอถอนหายใจเฮือก “เจิด บ้านแกยังรวย พ่อก็เป็นถึงฝ่าย ยังไงแกก็มีโอกาสมากกว่าฉันอยู่แล้ว หรือต่อให้แกเป็นลูกจ้างต๊อกต๋อยอย่างนี้ไปตลอดชีวิต ที่บ้านก็เลี้ยงแกได้ ฉันสิ จะกินแกลบแทนข้าวอยู่แล้ว”

“ไม่จริงหรอกหมูยอ แกรู้มั้ยว่าการที่ฉันเป็นลูกจ้างอยู่แบบนี้ พ่อเค้าอายคนจะตาย วันก่อนฉันเห็นพ่อยืนคุยกับพวกที่ทำงานสาขา ฉันก็เดินอยู่แถวนั้น พ่อยังไม่แนะนำสักคำว่าฉันเป็นลูก” หญิงสาวชักน้ำตาปริ่ม เมื่อหวนนึกถึงความน้อยใจที่สะสมทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่จนเต็มกระบุง “เขายังเปรยๆ เลยว่าคิดผิด น่าจะส่งฉันไปอยู่กรมกับป้ามากกว่า จะให้แปลว่าอะไร นอกจากเขาอายที่ฉันมันไม่สวยไม่เก่ง”

“เอาน่า พ่อเขาอาจไม่ทันเห็นแกก็ได้…ฉันสิ ไม่รู้จะทนขับรถมาทำงานได้ถึงเมื่อไหร่ เงินเดือนหมื่นกว่าบาท ค่าทางด่วนก็ปาไปสองพันละ ไหนจะค่าน้ำมัน ค่ากินอีก” หมูยอรำพึง แล้วทำตาโต “เออ เพิ่งนึกขึ้นได้ มัวแต่ตกใจเรื่องสอบจนลืมไปเลย จะถามว่าวันอาทิตย์ปลายเดือนนี้แกว่างมะ ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อย ลูกพี่ลูกน้องฉันจะแต่งงาน ยัยเปเป้ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังอะ”

“ฮะ จะแต่งแล้วเหรอ” เจิดจันทร์จำเจ้าของชื่อได้ทันที เพราะเปเป้เป็นหัวข้อสนทนาสุดโปรดที่หมูยอยกมากระแนะกระแหนบ่อยๆ เวลากลับมาจากงานรวมญาติ เพราะลูกพี่ลูกน้องของหมูยอคนนี้เป็นคนสวยของตระกูล แม่เจ้าหล่อนมักอวดเสมอว่าลูกสาวทำงานเงินเดือนดี แถมมีแฟนเป็นนายตำรวจอนาคตไกล “ไหนแกว่าเปเป้เอาแต่ใจตัวเองสุดๆ ยังไงผู้ชายก็ทนไม่ไหวต้องเลิกไง”

“ไม่รู้ เกิดท้องขึ้นมามั้ง” หมูยอค้อนปะหลับปะเหลือก แล้วก็ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “แต่…ยังไงก็เหอะ มันก็ยังได้แต่งงาน เข้าบ่าวก็นายตำรวจคนเดิมนั่นแหละ เห็นว่าจะไปซื้อบ้านเดี่ยวแถวบางนาเป็นเรือนหอ ป้าฉันมาอวดว่าได้สินสอดเป็นรถป้ายแดงอีกคันด้วย โอ๊ย ถ้าแกได้รู้จักมันนะเจิด แกจะสงสัยว่านังเป้มีชีวิตรอดจนถึงมีผัวได้ยังไง ทั้งเอาแต่ใจ ปากไม่ดี แถมขี้เหยียดอีกต่างหาก มันน่าจะโดนเพื่อนตบปากตายไปตั้งนานละ”

เจิดจันทร์หัวเราะขำๆ แต่ก็เจื่อนลงเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย

“แต่มันก็ยังมีชีวิตดีๆ แบบนี้ได้ ทั้งหมดนี้…ก็เพราะมันสวยแค่นั้นเอง”

 



Don`t copy text!