ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 12 : ปู่ไกร

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 12 : ปู่ไกร

โดย : เอมอักษร

Loading

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที

เจิดจันทร์ชะงัก รีบยันตัวเองให้ลุกขึ้นนั่ง เหลียวซ้ายแลขวาแล้วเงี่ยหูฟัง

นานจนเธอนึกว่าตัวเองหูแว่วหรือประสาทหลอน เสียงเดิมก็ดังแผ่วเบาอีกครั้ง

“ปู่เอง ยัยเจิด”

“คุณปู่” คราวนี้หญิงสาวตะโกนลั่น ลุกลนมองไปรอบตัว พลางถาม “คุณปู่ หมายถึงปู่ไกรเหรอคะ ปู่อยู่ไหนคะ ทำไมเจิดมองไม่เห็น”

“ปู่อยู่ข้างหน้าเจิด”

เจิดจันทร์พยายามระงับความตื่นเต้น แล้วนั่งจ้องเป๋งไปที่อากาศว่างเปล่าตรงหน้า นานจนเกือบสงสัยว่าสมองตัวเองฟั่นเฟือน เธอจึงมองเห็นกรอบร่างบางเบาของ…รูปทรงน่าจะเป็นมนุษย์ นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเธอ

เจิดจันทร์เพ่งแล้วเพ่งอีก ร่างนั้นชัดขึ้นอีกเล็กน้อย พอจะเห็นโครงจมูกโด่ง ทรงผมลอนอ่อนๆ และรอยยิ้มอ่อนโยน อันเหมือนกับรูปถ่ายของปู่ที่อุ้มเธอขณะยังเป็นทารก แม้เจิดจันทร์จะจำตัวจริงของปู่ไกรไม่ได้ เพราะปู่เสียไปตั้งแต่เธอยังไม่เต็มสามเดือน

“ปู่ นี่ปู่ไกรจริงๆ ใช่ไหมคะ” หญิงสาวเอื้อมมือไปที่กรอบเงาจางตรงหน้า แม้ไม่อาจสัมผัส แต่ความเต็มตื้นและยินดีท่วมท้นจนน้ำตาปริ่ม ประหนึ่งคนหลงทางกระเซอะกระเซิงเดียวดายใกล้ตายอยู่กลางป่า แล้วมาเจอคนนำทางโดยไม่คาดฝัน

“ปู่ช่วยเจิดด้วยค่ะ เจิดไม่รู้ว่าเจิดกลายเป็นวิญญาณแบบนี้ได้ยังไง แต่เจิดต้องรีบหาทางเข้าร่าง อ้อ เมื่อกี้พ่อพูดว่าเจิดหยุดหายใจแล้ว” หญิงสาวนึกขึ้นมาได้ ความตระหนกก็กลับมาอีก “ต้องรีบแล้วค่ะปู่ เจิดกลัวเขาฉีดยาดองศพ แล้วเอาเจิดไปเผา”

ปู่ไกรส่ายหน้าช้าๆ สายตามองหลานสาวอย่างเวทนา “ใจเย็นๆ ก่อนยัยเจิด หนูยังออกไปจากบ้านนี้ไม่ได้”

“ทำไมล่ะคะ แล้วต้องทำยังไงถึงออกไปได้ เจิดไม่มีเวลาแล้ว ปู่ต้องช่วยเจิดนะคะ”

“ถ้าเจิดฆ่าตัวตายหรือตายแบบมีห่วง วิญญาณเจิดจะติดอยู่ที่บ้านนี้ตลอดไป จนกว่า…ปู่เองก็ไม่รู้ เพราะปู่ก็วนเวียนอยู่ที่นี่มาหลายสิบปีแล้ว”

แม้เป็นเพียงเงาจาง แต่เจิดจันทร์ก็สัมผัสความสลดเศร้าหมองของปู่ไกรได้อย่างชัดเจน หญิงสาวอ้าปากค้าง ผวาเข้าไปเขย่าแขนปู่ แต่ถลาไปในความว่างเปล่าจนหน้าคะมำ

“ปู่ ปู๊” หญิงสาวลุกลนมองรอบตัว พยายามเพ่งจนตาแทบถลน แต่เงาของผู้เป็นปู่หายไปแล้ว “ปู่ มาพูดให้ใจเสีย แล้วหายไปดื้อๆ แบบนี้ได้ไงคะ ปู๊ กลับมาก๊อน ปู่มาหาเจิดแล้ว ปู่ต้องอยู่ช่วยเจิดนะ อย่าทิ้งกันไปแบบนี้ เจิดยังไม่อยากตายนะปู่” เจิดจันทร์ปล่อยโฮ “ปู่ต้องรับผิดชอบชีวิตเจิดนะ เพราะปู่นั่นแหละ ตั้งชื่อเชยๆ ให้เจิด เจิดถึงเกิดมาโชคร้ายแบบนี้ สวยก็ไม่สวย เรียนก็ไม่เก่ง แถมมาตายแบบอิหยังวะอีก ไม่รู้ละ ปู่ต้องช่วยเจิดให้ได้ เพราะปู่เป็นสาเหตุความซวยของเจิด”

เจิดจันทร์กรีดร้องเรียกอีกสองสามตลบ ร่างเงาของปู่ไกรก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เข้มขึ้นจนเห็นเสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวที่ปู่สวม รวมถึงใบหน้าเศร้าหมอง ปะปนกับความยุ่งยากใจ

“โธ่ ยัยเจิด” เสียงปู่ฟังคล้ายตัดพ้อ “ปู่สู้อุตส่าห์คิดชื่อที่เพราะที่สุดอยู่สามวันสามคืน กลายเป็นแกเกลียดชื่อนี้เสียอีก”

“เจิดไม่ได้เกลียดชื่ออย่างเดียว เจิดเกลียดคนตั้งด้วย” เจิดจันทร์ตะโกนสวน นึกสะใจเล็กๆ ที่ผู้เป็นปู่ผงะไป ใบหน้าเศร้าสลดยิ่งหมองคล้ำจนกลายเป็นเงามืด “ปู่ไม่ต้องมาโกหก เจิดรู้นะว่าปู่อยากได้หลานชาย พอเจิดเกิดมาเป็นผู้หญิงเลยผิดหวัง ปู่เลยแกล้งตั้งชื่อซะน่าเกลียด”

“ชื่อเจิดจันทร์ มันน่าเกลียดตรงไหน” ปู่ไกรถามเหมือนคราง “แล้วใครบอกว่าปู่ไม่อยากได้หลานสาว”

“เจิดรู้ก็แล้วกัน ญาติๆ เขาพูดกันอย่างนี้ทั้งนั้น เขาเมาท์กันว่า ก่อนปู่ตาย ปู่แอบไปหาเมียน้อยให้พ่อ    จะได้มีหลานชายด้วยซ้ำ” เจิดจันทร์รัวไม่ยั้ง เมื่อเห็นกรอบเงาโปร่งใสของปู่กลายเป็นสีทึบขึ้นทุกที ก็เดาว่าปู่คงสำนึกผิดขึ้นมา

หญิงสาวตัดสินใจเผด็จศึก “ในเมื่อปู่ทำให้เจิดซวยแบบนี้ ปู่ต้องช่วยเจิด ปู่จะทำยังไงก็ได้ ให้เจิดได้ออกไปจากที่นี่ ให้เจิดเข้าร่างตัวเองได้ทัน เจิดถึงจะอภัยให้ปู่”

ปู่ไกรส่ายหน้าไปมาช้าๆ พึมพำเสียงเศร้า “ถ้าปู่ทำได้ ปู่คงไม่ต้องติดอยู่ที่นี่มาเป็นสิบๆ ปีหรอก” มือสองข้างของปู่ไกรเอื้อมมาข้างหน้า ราวกับอยากโอบกอดหลานสาว แต่ทั้งสองก็ไม่อาจสัมผัสกันได้ “ปู่เองก็อยากช่วยเจิดใจจะขาด แต่ปู่ก็อยู่ตรงนี้ไม่ได้นาน เดี๋ยวก็ต้องกลับไปโลกของปู่แล้ว”

เจิดจันทร์เห็นแววสยองแวบหนึ่งในดวงหน้าอ่อนเศร้าของปู่ แต่หญิงสาวไม่สนใจอื่นใด นอกจากเร่งเร้าอย่างกระวนกระวายมากขึ้น…ป่านนี้เจ้าหน้าที่อาจกำลังเตรียมฉีดฟอร์มาลินใส่ร่างเธอแล้วก็ได้ จะให้ใจเย็นยังไงไหว

“ยัยเจิด” ปู่ไกรพูดช้าๆ ขณะโครงร่างเริ่มเลือนลาง “ฟังปู่นะ ปู่มีอีกโลกที่ต้องกลับไป แต่เมื่อใดที่ปู่อยากมาที่นี่ มาหาคนในครอบครัว ปู่ต้องรวบรวมสมาธิมากๆ”

เจิดจันทร์ใจหายวาบ ร่างของปู่กลายเป็นโปร่งใสจนเกือบมองไม่เห็นอีกครั้ง

“ต้องเป็นสมาธิที่ตั้งมั่นมาก มากจนไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย นอกจากสิ่งที่ต้องการ” เสียงปู่เร่งร้อนขึ้น หากแต่แผ่วเบาตามโครงร่างที่เลือนหาย “เจิดต้องตั้งสมาธิ คิดถึงสิ่งเดียว สิ่งที่ต้องการ…”

ร่างปู่ไกรหายวับไป

เจิดจันทร์นั่งแปะกับพื้นอย่างมึนงง สมองหมุนติ้วจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

อะไรคือการตั้งสมาธิ อะไรคือการคิดถึงสิ่งเดียวที่ต้องการ ไม่เห็นจะเข้าใจ เธอต้องทำอะไรกันแน่ ปู่ไกรก็ชิงหายตัวไปในช่วงเข้าด้ายเข้าเข็ม ราวกับปรมาจารย์ที่กระอักเลือดตายตอนจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้กับลูกศิษย์พอดี

เจิดจันทร์ล้วงกระเป๋ากางเกงอย่างเคยชิน แล้วก็ถอนใจเพราะไม่มีโทรศัพท์มือถืออยู่ตรงนั้น ถ้าเพียงแต่เธอมีโอกาสเสิร์ชกูเกิล คำตอบอาจอยู่ในกระทู้พันทิปหรือคลิปติ๊กต่อกของใครสักคนก็ได้

หญิงสาวเร่งเค้นสมอง ตอนนี้เธอเหลือแต่ตัวเองเป็นที่พึ่งแล้ว ยังไงก็ต้องหาทางแก้ปริศนาของปู่ให้ทันเวลาจงได้

เอ ปู่พูดคำว่า “สมาธิ” คุ้นๆ ว่าตอนอยู่ประถมหนึ่งครูเคยให้นั่งสมาธิทุกเช้าก่อนเข้าเรียน ตอนมัธยมก็เคยไปเข้าค่ายธรรมะเพราะสอบตกวิชาพุทธศาสนาอยู่สองวัน ตอนนั้นเธอทำอะไรบ้างนะ อ้อ ใช่แล้ว ครูให้นั่งสมาธิ ก็คือการนั่งเฉยๆ หลับตา ไม่พูดคุยกับเพื่อน

ปั๊ดโธ่ เจิดจันทร์ยิ้มให้ตัวเองอย่างโล่งใจ ไม่เห็นจะยากตรงไหน ยิ่งตอนนี้ไม่มีทั้งคนทั้งผีให้พูดคุย ยิ่งทำสมาธิง่ายเข้าไปใหญ่ เมื่อกี๊มัวแต่ตกใจจนลืมความรู้วัยเด็กไปเสียหมด

เจิดจันทร์ขยับตัวนั่งขัดสมาธิอย่างกระฉับกระเฉง หลับตาพริ้ม มั่นใจว่าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอจะหายตัวไปอยู่ตรงหน้าร่างของตัวเองแล้วอย่างแน่นอน

 



Don`t copy text!