ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 13 : เพื่อน (คน) ตาย

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 13 : เพื่อน (คน) ตาย

โดย : เอมอักษร

Loading

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที

พันตำรวจตรีสุรชาติถอนหายใจยาว จากหลักฐานเบื้องต้นตรงหน้าทำให้เห็นแนวโน้มการคิดฆ่าตัวตายของนางสาวเจิดจันทร์ เริ่มตั้งแต่การเปรยกับคนใกล้ชิดอยู่บ่อยครั้งถึงความน้อยใจในหน้าตาและความรู้ความสามารถของตนเอง จนกระทั่งมีเรื่องผิดหวังอย่างรุนแรงในวันเกิดเหตุ ทะเลาะกับครอบครัว ลั่นวาจาว่าจะลาจากโลกนี้ไป ขังตัวเองอยู่ในห้องเพียงลำพัง ก่อนจะเสิร์ชข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการฆ่าตัวตายในมือถือส่วนตัว ปิดท้ายด้วยร่องรอยการทานวิตามินหรือยาประจำตัวปริมาณมากเกินจำเป็น หลักฐานชั้นต้นพวกนี้ เข้าข่ายสัญญาณเตือนบุคคลที่เสี่ยงฆ่าตัวตายของกรมสุขภาพจิต

อย่างไรก็ตาม ผู้กำกับหนุ่มใหญ่ก็ไม่ทิ้งความน่าสงสัยหลายประการในสถานที่เกิดเหตุ ทั้งกุญแจไขประตูห้องนอนชั้นบนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย รวมถึงการยกคัตเอาต์ตัดไฟกล้องวงจรปิดทั้งบ้าน ที่ยังจับมือใครดมไม่ได้

ส่วนบุคคลในบ้านที่เป็นพยานแวดล้อม ล้วนมีอาการน่าหนักใจ เพราะทุกคนอยู่ในภาวะโศกเศร้า จนไม่อาจให้การอะไรที่เป็นประโยชน์ได้มากนัก

“เอาละครับ” นายตำรวจต้องเป็นฝ่ายปลอบใจ “คุณเรืองรุจีทำใจดีๆ ไว้ก่อน ยังไงคุณเจิดจันทร์ก็อยู่ในการดูแลของหมอแล้วครับ”

“ค่ะ แต่…” เรืองรุจีสะอื้นฮัก “ยัยเจิดหยุดหายใจไปพักใหญ่เลย กว่าจะปั๊มกลับมาได้ ดิฉันกลัวว่า…”

“อย่าเพิ่งคิดอะไรในทางร้ายเลยครับ” ผู้กำกับหนุ่มใหญ่รีบปราม นับตั้งแต่เขาและลูกน้องขับรถมาถึงโรงพยาบาล เจอความโกลาหลเพราะคนไข้สาวหยุดหายใจกะทันหัน กระทั่งปั๊มหัวใจกลับมาได้แต่ยังไม่พ้นขีดอันตราย เรืองรุจีผู้เป็นมารดาก็ฟูมฟายไม่ได้สติแทบตลอดเวลา ภาคภูมิก็นั่งซึมสลับกับเอ็ดตะโรภรรยา ส่วนพี่น้องสองสาวก็อยู่ในอาการช็อก โดยเฉพาะพี่สาวนามว่าเจณิสตา ที่ร้องไห้ตัวสั่นจนไม่เป็นอันตอบคำถามใดๆ

“ผลเลือดและของเหลวในกระเพาะอาหาร ต้องรออีกสองสามวันนะครับผู้กำกับ” คุณหมอเจ้าของไข้เดินมาบอกด้วยสีหน้ายุ่งยากใจ “ทางแล็บมีปัญหานิดหน่อย แต่จะเร่งให้เร็วที่สุดครับ” เขาหันไปมองภาคภูมิและเรืองรุจีอย่างเห็นใจ “ทางครอบครัวกลับไปพักผ่อนก่อนได้นะครับ ถึงอย่างไรคุณเจิดจันทร์ก็ยังต้องอยู่ในไอซียู ครอบครัวไม่สามารถค้างคืนที่โรงพยาบาลได้ครับ”

คุณหมอรีบกล่าวย้ำ “ทางเราจะดูแลคนไข้อย่างดีที่สุด และคอยรายงานทุกระยะครับ”

สมาชิกในครอบครัวมองหน้ากัน เรืองรุจีส่ายหน้าอย่างดื้อดึง ภาคภูมิฮึดฮัดแล้วก็พยักหน้าเรียกลูกสาวทั้งสอง “กลับบ้านกันก่อน แล้วค่อยมาใหม่ ส่วนคุณจะนั่งอยู่ตรงนี้ก็ตามใจ อีตอนลูกขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่เห็นสนใจ ทีตอนนี้จะมานั่งเฝ้าหาอะไร”

เรืองรุจีมองสามีตาค้าง พูดอะไรไม่ออก ได้แต่มองอีกฝ่ายสะบัดหน้าเดินฉับๆ ออกไปจากหน้าห้องแผนกฉุกเฉิน ทั้งหมอและตำรวจต่างทำหน้ากระอักกระอ่วน แล้วค่อยๆ ขอตัวตามออกไป

เจนนินทร์เข้ามาประคองมารดา ซึ่งยืนกรานจะรออยู่หน้าห้องไอซียู

“เจนอยู่เป็นเพื่อนแม่ก็ได้ค่ะ” ลูกสาวคนเล็กช่วยตัดสินใจ “พี่เจกลับบ้านไปกับพ่อ เผื่อมีอะไรช่วยได้”

เจณิสตาพยักหน้า แล้วคว้ากระเป๋าวิ่งตามบิดาออกไป ภาคภูมิรอลูกสาวอยู่หน้าประตูทางออก ก่อนพากันขึ้นรถ

ร่างสูงที่นั่งแอบอยู่มุมเสาขยับตัวทันที ปราดขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ด้านหน้าโรงพยาบาล ก่อนจะพาสองล้อตามรถเก๋งของสองพ่อลูกไปอย่างรวดเร็ว

 

เจิดจันทร์ลืมตาเป็นครั้งที่ร้อย…จริงๆ ก็ไม่ได้นับหรอก แต่เธอคิดมันคงมากน้อยกว่านั้นไม่เท่าไร ในเวลาสองชั่วโมงที่ฝืนทนนั่งขัดสมาธิอยู่กับที่

หญิงสาวทำเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจ ทุกครั้งที่ลืมตาขึ้น ภาพตรงหน้าก็ยังเป็นสนามหญ้าหน้าบ้านเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยน ไม่มีวี่แววว่าจะหายตัวแวบไปโผล่ที่ไหนๆ ได้เหมือนในละคร ยิ่งเวลาผ่านไปจากนาทีเป็นชั่วโมง เธอก็เริ่มกระสับกระส่ายมากขึ้น แม้ในสภาพวิญญาณจะไม่มีความรู้สึกปวดขาเหน็บชาใดๆ แต่ความร้อนรนเพราะไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งทำให้เธอทนนั่งเฉยแทบไม่ได้

เจิดจันทร์สูดลมหายใจลึก บังคับตัวเองให้หลับตา พยายามเพ่งไปในความมืดมิดอีกครั้ง แต่เพ่งแล้วเพ่งอีกก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีแสงสว่างวาบ หรือรู้สึกว่าร่างกายขยับเคลื่อนที่ไปไหน หญิงสาวมั่นใจว่าตนเองมีสมาธิเต็มที่แล้ว ก็ไม่ได้อ้าปากพูดอะไรกับใครแม้สักคำ แล้วทำไมเธอถึงยังอยู่ที่เดิม

จริงสิ เจิดจันทร์เพิ่งฉุกคิด ปู่ไกรพูดมาอีกคำหนึ่งนี่นา ให้ “คิดถึงสิ่งที่ต้องการ…”

ตอนนี้เธอต้องการกลับเข้าร่างของตนเองเป็นที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เธอต้องคิดก็คือ…ภาพของตัวเองใช่ไหม หรือภาพของโรงพยาบาล ว่าแต่เธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าร่างอยู่โรงพยาบาลไหน ถ้าเป็นโรงพยาบาลใกล้บ้านก็พอนึกออก แต่เธอเคยไปติดต่อแค่แผนกผู้ป่วยนอกเท่านั้น ไม่เคยโผล่ไปแผนกฉุกเฉิน หน้าตาเป็นอย่างไรอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้…หรือดีไม่ดี ถ้าร่างเธอไปอยู่ในห้องดับจิตแล้วล่ะ

เจิดจันทร์สยองวาบจนต้องดุตัวเอง ไม่เอา อย่าคิดอะไรน่ากลัวแบบนั้น…คิดสิคิด มีทางอื่นอีกไหมนะ เช่นบทสวดหรืออะไรสักอย่าง เหมือนเวลาหมอผีทำพิธี เพื่อเรียกวิญญาณให้กลับเข้าร่าง

หญิงสาวลืมตาเป็นครั้งที่ร้อยเอ็ด ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด เธอเพิ่งรู้สึกว่าไอ้คำสั้นๆ อย่าง “สมาธิ” มันยากกว่าที่คิด เพราะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร และต้องทำอย่างไรเพื่อให้มันเกิดขึ้น ที่ทำไปแล้วถูกหรือผิดก็สุดจะรู้ได้ แถมตอนนี้ก็ไม่มีอุปกรณ์ตัวช่วยอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีเบาะรองหลังนุ่มๆ แสงแดดก็สว่างโร่แยงตา ที่สำคัญคือปราศจากมือถือ ค้นหาภาพที่ต้องการก็ไม่ได้ จะหาบทสวด หรือแอปพลิเคชันช่วยทำสมาธิก็หมดสิทธิ์

เจิดจันทร์อัดอั้นตันใจจนร้องกรี๊ด ทนไม่ไหวจนต้องเรียกหาปู่ไกรอีกครั้ง นี่ก็อีกคน เธอไม่เข้าใจว่าปู่หายไปไหน ทำไมถึงไม่อยู่ช่วยเธอให้ตลอดรอดฝั่ง ที่ลุงป้าน้าอาแอบพูดกันว่าท่านเกลียดหลานสาวคงไม่ผิดความจริง เพราะขนาดเธอเดือดร้อนคาบเส้นความเป็นความตายอยู่ขณะนี้ ปู่ก็ยังไม่คิดจะดูดำดูดี

หญิงสาวตัดสินใจร้องเรียกชื่อปู่ซ้ำๆ ดังลั่นโหยหวนจนหากใครได้ยินคงต้องเรียกกู้ภัย ในความรู้สึกของเธอมันช่างยาวนานกว่ากรอบเงาจางของปู่จะปรากฏขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

“ยัยเจิด” เสียงปู่พร่าเบา แต่กังวานเหน็ดเหนื่อยฟังชัด “ใจเย็นๆ หน่อยหลาน ถ้าเจิดไม่มีสติ ก็ทำอะไรต่อไม่ได้”

“ถ้าปู่เป็นเจิดจะเย็นไหวไหม” เจิดจันทร์สวน “เจิดลองนั่งสมาธิแบบที่เคยเรียนแล้ว ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นเลย”

“เจิดเรียนมาว่ายังไง” ปู่ไกรถามทันที แววตาเป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง

“ก็นั่งขัดสมาธิแล้วหลับตาไงคะปู่ อ้อ แล้วห้ามคุยกับเพื่อน เจิดเคยนั่งแบบนี้ตอนปอหนึ่ง ตอนนั้นครูยังชมเลยว่าเจิดนั่งเก่ง ไม่กระดุกกระดิกเลย”

“โธ่” ปู่ไกรถอนหายใจ “อย่างนั้นยังไม่ใช่สมาธิหรอกหลาน”

“เจิดฟังปู่นะ ปู่เองก็คนห่างวัด ถึงไม่มีความรู้อะไรจะช่วยตัวเองยามอับจนแบบนี้ แต่ปู่ลองผิดลองถูกเองจากที่พยายามมาเป็นสิบๆ ปี มันยากเหลือเกินเจิด” ปู่นิ่งไปอึดใจ พยายามเรียบเรียงคำพูด “สมาธิที่ได้ผลของปู่ คือปู่ต้องคิดถึงสิ่งเดียวจริงๆ ไม่ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นเลย ถ้าเผลอคิดก็ต้องรู้ตัวให้เร็ว แล้วกลับมาคิดเรื่องเดิม มันใช้เวลานานมาก เพราะสมองปู่คอยแต่จะคิดเรื่องอะไรไปเรื่อย และนับวันมันก็ยิ่งยาก เพราะ…”

เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้นกะทันหัน เจิดจันทร์สะดุ้ง มองไปที่ประตูรั้ว แล้วอุทานอย่างดีใจ

“หมูยอ!”

 



Don`t copy text!