
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 16 : ด้วยแรงสมาธิ
โดย : เอมอักษร
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที
ทันทีที่กรอบรูปล้มลง เจิดจันทร์ทรุดฮวบลงกับพื้น ทั้งร่างร้อนจัดราวมีเปลวไฟสุมอยู่ข้างใน หญิงสาวรู้สึกหมดเรี่ยวแรงและอ่อนล้าเหมือนโดนสูบพลังออกไปจนหมด แต่ความเหนื่อยทั้งปวงสู้ความดีใจสุดชีวิตที่บังเกิดขึ้นไม่ได้
“ฉันทำได้” เจิดจันทร์เปล่งเสียงระโหย น้ำตาไหลพรากอย่างปลื้มปีติ “ฉันขยับของได้แล้ว” เธอเงยหน้ามองเพื่อนสาวที่ยืนอ้าปากค้างตกตะลึงอยู่หน้าตู้ “หมูยอ แกเห็นไหม ฉันอยู่นี่ แกอย่าทิ้งฉันนะ ช่วยฉันด้วย”
หมูยอถอยหลังจากหน้าตู้โชว์ ยังคงจ้องกรอบรูปที่ล้มคว่ำอยู่ที่เดิม โดยไม่กล้าเข้าไปขยับเขยื้อน
“เจิด” หญิงสาวส่งเสียงเบาอย่างขลาดๆ “นั่นแกหรือเปล่า หรือบังเอิญวะ โอ๊ย แต่จะมาบังเอิญอะไรตอนนี้” หมูยอเหลียวซ้ายแลขวา “แล้วนี่มันกลางวันแสกๆ ปกติผีไม่ออกมาตอนนี้นี่นา”
หมูยอชะงักกึก ใจหายวาบ “ผี! หมายความว่าแกตายแล้วเหรอเจิด”
รู้สึกถึงมือเย็นเฉียบมาแตะที่แขนเบาๆ หญิงสาวเผลอกรี๊ดลั่น พลอยทำให้เจ้าของมือร้องตามไปด้วย
“โธ่ ป้าแก้ว มาเงียบๆ หนูตกใจหมด” หมูยอหันไปมองป้าแม่บ้าน ถอนใจอย่างโล่งอก “ทีหลังให้เสียงหน่อยสิคะ”
“ป้ายืนมองคุณหมูยออยู่ตั้งนานแล้วนะคะ” กิ่งแก้วแย้งเสียงอ่อย “เห็นคุณมองตู้แล้วพึมพำอะไรอยู่คนเดียว มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ” หมูยอตอบโดยอัตโนมัติ แต่แล้วก็เหลือบมองตู้อีกครั้งอย่างลังเล “เอ ว่าแต่ในตู้โชว์นี่เคยมีหนูมีจิ้งจกเข้าไปบ้างไหมคะป้าแก้ว”
“อุ๊ย ไม่มีหรอกค่ะ ป้าทำความสะอาดอยู่ทุกวัน แล้วตู้มันแน่นหนาออก ไม่มีตัวอะไรเข้าไปได้หรอกค่ะ” กิ่งแก้วบอกอย่างแข็งขัน แล้วทำหน้าฉงนเมื่อเห็นกรอบรูปล้มอยู่ “อ้าว ทำไมรูปนั้นล้มลงมา”
กิ่งแก้วเปิดบานกระจกตู้โชว์ เอื้อมมือไปยกกรอบรูปขึ้น แล้วชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของเจิดจันทร์ยิ้มหวานมองตอบออกมา แม่บ้านสาวใหญ่หันมามองเพื่อนสนิทเจ้าของภาพที่ยืนทำหน้ากระอักกระอ่วน
“ค่ะ รูปเจิดล้มลงมา แต่หนูไม่ได้ไปจับรูปเลยนะคะ”
กิ่งแก้วมือสั่นเล็กน้อย ขณะจัดกรอบรูปให้เข้าที่
หมูยอมองแม่บ้านอย่างลังเล ก่อนตัดสินใจเดินไปใกล้ กระซิบถามเสียงแผ่ว
“ป้าแก้วคะ หนูถามจริงๆ เมื่อวานที่เจิดฆ่าตัวตาย มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ เจิดทะเลาะกับพ่อใช่ไหมคะ เรื่องสอบตก”
กิ่งแก้วอึกอัก เสไปจัดกรอบรูปชิ้นอื่นในตู้ “ป้าก็ไม่ค่อยรู้รายละเอียดหรอกค่ะ แต่…ก็ได้ยินเสียงเถียงกันดังอยู่ค่ะ คุณเจิดก็คงเสียใจเรื่องสอบมาก”
แม่บ้านปิดหน้าบานตู้โชว์ ซับน้ำตาที่ไหลซึมอีกครั้ง ส่ายศีรษะช้าๆ “โธ่เอ๊ย คุณเจิด ไม่น่าหุนหันเลย”
“แต่หนูได้ยินว่า การฆ่าตัวตายของเจิด มีอะไรผิดปกติตั้งหลายอย่างนี่คะ” หมูยอแย้ง
“อุ๊ย” กิ่งแก้วหันขวับมามอง เบิกตาอย่างตกใจ “คุณหมูยอไปได้ยินมาจากไหนคะ แล้วอะไรหรือคะที่ผิดปกติ”
“คืออย่างนี้ค่ะ” หญิงสาวกระซิบเบากว่าเดิม “หนูแอบเห็นตำรวจมาด้อมๆ มองๆ หน้าบ้านเมื่อกี้ แล้วได้ยินเขาคุยกันแว่วๆ ว่าการตายของเจิดน่าจะผิดปกติ แต่หนูไม่รู้รายละเอียดหรอกนะคะ”
กิ่งแก้วอุทาน “จริงเหรอคะ…เอ แต่จะเป็นไปได้ยังไง ก็คุณเจิดอยู่ในบ้านตัวเองแท้ๆ แล้วในบ้านก็มีแต่พวกเรา ไม่มีคนอื่นเข้ามาเลย” แม่บ้านสาวใหญ่ถอนใจ “แต่ยังไงก็เถอะค่ะ ขอให้คุณเจิดฟื้นอย่างปลอดภัยขึ้นมาก่อน เรื่องอื่นช่างมัน ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตคุณเจิดอีกแล้ว”
หมูยอพยักหน้า กิ่งแก้วยิ้มให้หญิงสาว “เดี๋ยวป้าจะไปตลาด มัวแต่ตกใจเรื่องคุณเจิด ลืมดูเลยว่าของสดของแห้งเกลี้ยงบ้าน เดี๋ยวไม่มีอะไรทานกัน คุณหมูยอจะกลับยังไงคะ ติดรถป้าไปลงปากซอยไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูเอารถมา จอดแอบไว้ทางนู้น” หมูยอบุ้ยปากไปฝั่งตรงข้าม กิ่งแก้วจึงเดินนำหญิงสาวออกจากบ้าน กดล็อกประตู ก่อนจะขับรถเก๋งคันเล็กออกไป
“หมูยอ หมูย๊อ เดี๋ยวก่อน แกอย่าเพิ่งไป” เจิดจันทร์ตื่นตระหนกจนสมาธิแตกกระเจิงอีกครั้ง เมื่อเห็นเพื่อนสาวค่อยๆ ผลักประตูรั้วบ้าน เดินไปยังยานพาหนะคู่ใจที่จอดอยู่ฝั่งบ้านที่เยื้องกัน วิญญาณสาววิ่งเร็วจี๋ตามหลังเพื่อน ก่อนจะต้องหยุดแค่รั้วบ้านเหมือนเคย
หมูยอเร่งเดินไปที่อีกฟากถนน ไม่ได้ตั้งใจสร้างความเดือดร้อนโดยการจอดรถขวางหน้าบ้านคนอื่นหรอก แต่นังหนูแดงลูกสาวรุ่นเก๋าของเธอเป็นโรคกลัวความร้อน ถ้าจอดตากแดดนานๆ ครั้งใด ก็จะมีอาการเป็นไข้ชักกระตุก สตาร์ตไม่ติดแทบทุกครั้ง เธอจึงต้องอาศัยไม้ใหญ่หน้าบ้านฝั่งตรงข้ามซึ่งปลูกเป็นดงครึ้มให้ร่มเงา
หมูยอถอนใจเฮือก ตัดสินใจว่าต้องแวะไปดูอาการเพื่อนสาวที่โรงพยาบาลโดยด่วน ภาพกรอบรูปเจิดจันทร์ที่จู่ๆ ล้มลงตรงหน้ายังติดแน่นในสมอง ใจส่วนเหตุผลบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่มีสาเหตุได้ร้อยแปด แต่ใจข้างอารมณ์ที่เสียงหนักแน่นกว่า บอกว่านั่นคือสัญญาณจากเพื่อนสนิท เจิดจันทร์กำลังสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ
สมัยหมูยอยังเด็ก เคยมีคุณป้าที่เสียชีวิตกะทันหัน เธอไม่ได้ไปร่วมงานศพด้วย แต่ญาติที่ไปงานกลับมาล้อมวงซุบซิบกันกระหึ่มว่า ดวงตาคุณป้าเบิกโพลงค้าง ทำอย่างไรก็ปิดไม่สนิท แถมรูปหน้าโลงก็ล้มลงมาอีก ทำเอาแขกเหรื่อขวัญกระเจิง มาสันนิษฐานภายหลังว่า แกห่วงลูกชายคนเล็กที่ไม่สมประกอบ เพราะทรัพย์สมบัติส่วนใหญ่อยู่ในความดูแลของลูกชายคนโต ก่อนแกเสียชีวิตก็มีเรื่องมีราวกัน เพราะพี่ชายไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลน้องเท่าที่ควร
แม้ทางการแพทย์จะอธิบายไว้ว่า อาการ “ตายตาไม่หลับ” เป็นเพียงสรีรวิทยาตามธรรมชาติ เป็นเรื่องของกล้ามเนื้อเปลือกตาหย่อนอะไรสักอย่างตามที่เคยอ่านมาผ่านๆ ซึ่งฟังแล้วก็ดูมีเหตุมีผลดี แต่หมูยอมั่นใจว่าถ้าเป็นคนไทยแท้แต่กำเนิด ไปเจอศพตาเหลือกค้างเอาซึ่งๆ หน้า ร้อยละเก้าสิบย่อมคิดถึงภาวะวิญญาณมีห่วงก่อนอย่างอื่น ยิ่งถ้ามีเหตุการณ์ประเภทรูปหล่นโลงตกแตกมาประกอบด้วยแล้วละก็ ใครไม่วิ่งนับว่ายอดคน
หญิงสาวเข้าไปนั่งหลบแดดภายในรถ มองไปยังบ้านหลังสวยของเพื่อนสนิท พยายามทบทวนว่าระยะหลังเจิดจันทร์พูดถึงใครหรือมีอะไรผิดปกติบ้าง แต่นอกจากบ่นน้อยใจชีวิตเป็นพักๆ สติแตกเรื่องสอบ กับอาการเขินอายยามพูดถึงหนุ่มในฝันที่เป็นเพื่อนของพี่สาวแล้ว เจิดจันทร์ก็ดูปกติทุกอย่าง
“ก๊อกๆ”
เสียงเคาะบานกระจกดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำเอาหมูยอสะดุ้งโหยงใจหายวาบ หันขวับไปมองเจ้าของเสียงตาเขียว จะหลุดปากด่าออกไปแล้วโทษฐานที่ทำให้ตกใจ แต่ร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกระจกรถคนขับทำเอาหญิงสาวอึ้ง
“Hi! May I help you?”
ตายละโว้ย! หมูยออุทานในใจ ร่างสูง ผมทอง ตาสีฟ้าบนใบหน้าตกกระที่ยิ้มแฉ่งอยู่ข้างรถ แถมสำเนียงชัดเป๊ะแบบเจ้าของภาษา บ่งบอกว่าเจ้าของเสียงเป็นฝรั่งแท้แน่นอนไม่มีสารเจือปน อันเป็นสิ่งมีชีวิตที่หมูยอและเจิดจันทร์เห็นตรงกัน ว่าน่าเกรงขามและน่าขยาดเป็นที่สุด
ชายหนุ่มผมทองพูดอะไรอีกสองสามคำ แล้วชี้มือไปยังบ้านที่หมูยอจอดหลบแดดอยู่ โอย หรือตาฝรั่งนี่เป็นเจ้าของบ้าน เขาคงมาไล่ให้ไปจอดที่อื่นซะละมั้ง
หมูยอตัดสินใจยกมือไหว้ แล้วหันไปสตาร์ตรถมือไม้สั่น
เจ้ากรรม! หมุนกุญแจอยู่สองสามชึ่งก็ยังสตาร์ตไม่ติด นังหนูแดงเกิดมาทำพิษได้พอดิบพอดี ในช่วงเวลาวิกฤติกับฝรั่งมังค่าเสียด้วย
ฝรั่งเคาะกระจกอีก หมูยอยิ่งลนลาน หญิงสาวหันไปเปิดประตูแล้วสตาร์ตรถให้ดูต่อหน้า พลางพูดซ้ำ “ซอรี่ๆๆ”
“calm down, calm down” ชายหนุ่มผมทองยกมือโบกไปมา แล้วพูดอะไรอีกยาวเหยียด ชี้มือไปที่กระโปรงหน้ารถ
เขาคงจะบอกว่ารถเสีย หรือไม่ก็ขอดูเครื่องยนต์ให้ละมัง หมูยอคิด แต่อย่าเลย ไม่ได้รู้จักมักจี่กัน แถมสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เท่านี้ก็เครียดแทบตายแล้ว หญิงสาวโบกมือปฏิเสธพัลวัน หันไปทำท่ายุ่งกับโทรศัพท์ คิดหนักว่าจะขอความช่วยเหลือจากใครดี พ่อของเจิดจันทร์คงไม่เหมาะ ป้ากิ่งแก้วก็ขับรถไปตลาดเสียแล้ว
ฝรั่งยังยืนรีรออยู่ข้างรถ พอหมูยอเหลือบไปมองอย่างเกรงๆ ชายหนุ่มก็ยิ้มแป้นใส่ ชี้มือเข้าไปในบ้าน พลางพูดอะไรอีกสองสามคำ
หมูยอส่ายหน้าดิก หันไปก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์ไม่ใส่ใจเขาอีก ร่างขาวราวน้ำนมเลยเดินไปไขประตูรั้วเข้าไปในบ้าน ฝรั่งคนนี้คงเป็นเจ้าของ หรือเช่าบ้านหลังที่หมูยอจอดรถแอบอยู่นั่นเอง
หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ พอความเครียดพ้นสายตาไปแล้ว เลยพอมีสติคิดได้ว่าต้องโทร.หาช่างเจ้าประจำ รถรุ่นเก่าเกือบยี่สิบปีอย่างนังหนูแดงไม่ใช่จะซ่อมได้ง่ายๆ ช่างรับสายแล้วบอกว่าให้เธอรออีกหนึ่งชั่วโมง เพราะอู่อยู่ไกลเกือบจะคนละมุมเมือง
หมูยอพิงพนักรถอย่างหมดแรง เปิดประตูอ้าเพื่อรับลม ขณะที่แดดเริ่มไล่ตรงมาที่รถ ทวีความร้อนระอุขึ้นทีละน้อย
ฝั่งตรงข้าม วิญญาณเจิดจันทร์เพ่งมองเพื่อนสาวตาเขม็ง พยายามสุดชีวิตอีกครั้งที่จะส่งสัญญาณให้หมูยอ นับว่าโชคช่วยที่รถสตาร์ตไม่ติด เพื่อนของเธอคงยังอยู่หน้าบ้านอีกพักใหญ่ แต่เพราะระยะห่างเกินไปหรือเธอหมดพลังแล้วก็ไม่แน่ เพื่อนสาวจึงไม่มีอาการว่ารับรู้
เจิดจันทร์ไม่ยอมแพ้ เพ่งสมาธิไปยังร่างขาวท้วมที่นอนทำท่าละเหี่ยใจอยู่บนรถ พลางเรียกชื่อเพื่อนซ้ำๆ ไม่ยอมหยุด
แวบหนึ่ง จู่ๆ เจิดจันทร์ก็รู้สึกว่า นี่อาจเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เธอตั้งใจทำอะไรจริงจังแบบมีเป้าหมาย และไม่ท้อถอยเพียงแค่อารมณ์เหนื่อยหรือขี้เกียจที่มักเข้ามาเป็นเจ้าเรือนอยู่เสมอ ความรู้สึกอิ่มเอมเล็กๆ ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้หญิงสาวมีกำลังใจที่จะเพ่งความจดจ่อไปที่เพื่อนสาวอย่างต่อเนื่อง แม้ร่างกายจะเริ่มอ่อนล้าจนรู้สึกได้
หมูยอเอนเบาะ นอนเหม่อมองต้นไม้ใหญ่หน้าบ้านฝรั่ง สายลมเอื่อยพัดมานานๆ ที ไม่ได้ช่วยขับไล่ความระอุจากไอแดด แม้กระนั้นความว่างก็ยังทำให้หนังตาเริ่มหนัก
หญิงสาวหลับตา รอบกายสงบเงียบอย่างที่เด็กยุคใหม่อย่างเธอไม่ค่อยได้สัมผัสนัก กลิ่นหอมบางอย่างลอยมาเบาๆ น่าจะเป็นดอกสีขาวจากต้นไม้ใหญ่ที่รถเธอหลบแดดอยู่ หอมแปลกดีเหมือนกัน แต่เธอไม่รู้จักชื่อ จะว่าไปเธอรู้จักชื่อต้นไม้ดอกไม้น้อยมาก บางชนิดไม่เคยเห็นต้นจริงๆ ของมันด้วยซ้ำว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เวลาไปซื้อกะเพราที่ตลาดให้แม่ ก็มักสับสนกับโหระพาทุกที
ความคิดเพลินพาหญิงสาวล่องลอยไป พร้อมกับที่ความง่วงงุนเริ่มพาเข้าสู่ภวังค์
กำลังจะเคลิ้มหลับ ก็ได้ยินเสียงแว่วที่ข้างหู เป็นเสียงที่คุ้นเคยเหมือนได้ยินอยู่ทุกวัน “หมูยอ...”
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 17 : หลักฐาน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 16 : ด้วยแรงสมาธิ
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 15 : เฮี้ยน!
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 14 : เงื่อนงำ
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 13 : เพื่อน (คน) ตาย
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 12 : ปู่ไกร
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 11 : เสียงที่คุ้นเคย
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 10 : สืบอลหม่าน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 9 : และแล้ววิญญาณ...ก็อลเวง
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 8 : วันวิกฤต
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 7 : คำอำลา
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 6 : เราสองสามคน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 5 : เซอร์ไพรส์
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 4 : ฟางเส้นสุดท้าย
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 3 : ความกดดัน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 2 : คนแรกของหัวใจ
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 1 : เจิดจันทร์