ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 38 : ปาฏิหาริย์

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 38 : ปาฏิหาริย์

โดย : เอมอักษร

Loading

ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที

เรืองรุจีบิดผ้าขนหนูในน้ำอุ่นอย่างบรรจง เหยาะน้ำหอมประเภทกลิ่นบำบัดลงไปเล็กน้อยพอชื่นใจ  ก่อนยกกะละมังเล็กๆ นั้นออกมาจากห้องน้ำ

“เดี๋ยวหนูทำให้เองค่ะ” พยาบาลสาวประจำวอร์ด ที่บัดนี้คุ้นหน้ากันดีแล้ว ปรี่เข้ามารับกะละมังจากมือคุณแม่สาวใหญ่ที่ยังงามหมดจด หากแต่อีกฝ่ายเบี่ยงมือหลบ ยิ้มละไม

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่อยากทำเอง”

เรืองรุจีทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง พยาบาลสาวถอดเสื้อส่วนบนรอไว้เรียบร้อยแล้ว เรืองรุจีจึงใช้ผ้าขนหนูหมาด ค่อยๆ ซับไปตามร่างกายลูกสาวอย่างเบามือ

“แรงอีกนิดก็ได้ค่ะ จะได้สะอาด” พยาบาลบอกอย่างเอ็นดู

เรืองรุจีหัวเราะออกมาเล็กน้อย “ได้ค่ะ พี่ก็กลัวลูกจะเจ็บเรื่อย”

ผู้เป็นแม่เช็ดตัวลูกสาวไปทีละส่วน ปากก็พูดไปเรื่อยๆ อย่างชวนคุย “รู้ไหมคะ ว่าพี่แทบไม่ได้อาบน้ำเช็ดตัวลูกเลย พี่มีลูกสามคนค่ะ คนกลางยังไม่โตเท่าไหร่ คนเล็กก็เกิด พี่ไปดูคนเล็กเป็นส่วนมาก เพราะแกไม่สบายบ่อย ส่วนคนกลางมีแม่บ้านช่วยดู พี่…ไม่เคยรู้เลยนะคะ ว่าลูกมีไฝตรงนี้ด้วย แล้วผิวแกก็แห้งเชียว”

ปลายเสียงสลดลง พยาบาลสาวเหลือบมองอย่างเห็นใจ รีบเสชวนคุยเรื่องอื่น ไปพร้อมกับที่จัดแจงเตรียมอุปกรณ์บำบัดสำหรับคนไข้สาวด้วย

คนไข้รายนี้ นับว่าเป็นอีกเคสปาฏิหาริย์ของโรงพยาบาล เพราะหญิงสาวถูกส่งตัวมาด้วยเหตุผูกคอตาย หัวใจเต้นอ่อนจนหยุดเต้นไปถึงสามรอบ รอบสุดท้ายนั้นน่าจะหมดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะกระตุ้นด้วยเครื่องไฟฟ้าเท่าไรสัญญาณชีพก็ไม่กลับมา จนคุณหมอออกไปแจ้งกับญาติคนไข้เรียบร้อย จากนั้นเสียงร้องไห้คร่ำครวญก็ระงมทั้งแผนกฉุกเฉิน จนเจ้าหน้าที่ที่อยู่บริเวณนั้น หดหู่ใจไปตามๆ กัน

แล้วจู่ๆ ร่างที่หมดลมไปแล้วก็กระตุกขึ้น และหัวใจกลับมาเต้นอ่อนๆ อีกครั้ง เป็นที่โกลาหลของทั้งแผนกอีกรอบ ยื้อยุดกันอยู่ยาวนานหลายวัน จนในที่สุดหญิงสาวก็สามารถออกจากห้องวิกฤต และถูกส่งตัวมารักษาต่อที่แผนกประสาทและสมองแห่งนี้

เพราะในความโชคดี ก็มีความโชคร้าย…ด้วยภาวะที่สมองขาดออกซิเจนหลายช่วง คนไข้สาวรายนี้จึงเกิดภาวะแทรกซ้อนหลายประการ

พยาบาลมองคนไข้สาวที่ขณะนี้ตื่นเต็มที่แล้ว กำลังมองตาแป๋วไปที่มารดา ดูจากภายนอก นางสาวเจิดจันทร์คล้ายปกติดีทุกอย่าง แต่เมื่อมารดาเงยหน้าแล้วยิ้มให้ลูกสาว รอยยิ้มตอบของอีกฝ่ายกลับแข็งเกร็ง ริมฝีปากสั่นระริกด้วยความพยายามฉีกรอยยิ้มแต่ไม่สามารถอ้าปากออกได้เต็มที่ ระหว่างที่กล้ามเนื้อต่อสู้กันไปมา น้ำลายก็ไหลหยดย้อยออกมาเปื้อนคาง

เรืองรุจีอุทาน น้ำตาปริ่มขึ้นมาอีก จนพยาบาลต้องรีบใช้ทิชชูซับน้ำลายด้วยท่าทีปกติ พลางสำรวจดูว่าเนื้อตัวสะอาดดีแล้ว จึงสวมเสื้อให้ ก่อนชวนคนไข้สาวบีบลูกบอลออกกำลังมือ เป็นกายบริหารเบื้องต้น สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงและทำงานผิดปกติ

เจิดจันทร์รับลูกบอลมาไว้ในมือ ยังออกแรงบีบไม่ได้ แต่กำเอาไว้แน่น

“คุณแม่ ดูสิคะ น้องอาการดีขึ้นนะคะ” พยาบาลเอ่ยด้วยเสียงแจ่มใส “วันแรกๆ น้องเจิดยังกำลูกบอลไม่ได้เลย หล่นตลอด ตอนนี้กำได้แน่นแล้ว” ก่อนจะเอ่ยย้ำหนักแน่น “คุณแม่ต้องมีกำลังใจนะคะ น้องจะได้มีแรงสู้ นี่เพิ่งฟื้นฟูไม่เท่าไหร่ น้องก็อาการดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เรืองรุจีกระวีกระวาดเช็ดน้ำตาที่ไหลซึม เอื้อมมือไปลูบผมลูกสาว “เก่งมากลูก เก่งมาก ทำต่อนะคะ”

เสียงประตูเปิดออก พร้อมกับผู้เป็นบิดาหอบของพะรุงพะรังเข้ามา พยาบาลเลี่ยงออกไปจากห้องเพื่อดูแลอาหารเช้า เรืองรุจีหันมายิ้มรับสามี ชี้ไปที่ลูกบอลในมือลูกสาว

“คุณน้องพยาบาลบอกว่ายัยเจิดอาการดีขึ้น นี่กำลูกบอลได้แล้วเห็นไหมคะ”

ภาคภูมิวางของไว้บนโต๊ะ เดินปราดมาลูบศีรษะบุตรสาวทันที

“เก่งมากลูก ตั้งใจฝึกนะ อีกไม่นานก็หายแล้ว” เขาชี้ไปกองถุงสารพัดบนโต๊ะ “นี่พ่อซื้อของกินมาฝาก ของที่หนูชอบทั้งนั้น กินอาหารโรงพยาบาลทุกวันคงเบื่อ มีเยอะแยะ เผื่อแม่เขาด้วย ดีไหมล่ะลูก”

เจิดจันทร์พยักหน้าแข็งๆ พยายามยิ้มเกร็งๆ อีกครั้ง พร้อมกับออกเสียงพูดช้าๆ

“ชะ ชา เคียว”

“ใช่ลูก ชาเขียวที่หนูชอบ” ภาคภูมิฝืนยิ้ม อึ้งไปเมื่อเห็นน้ำลายไหลย้อยที่มุมปากลูกสาว เขาเอื้อมมือเช็ดอย่างไม่รังเกียจ หากใบหน้าสลดลง

เรืองรุจีมองสามีอย่างเข้าใจ เธอลุกขึ้นจัดข้าวของ พร้อมกันเอ่ยด้วยเสียงพยายามสดใส

“ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณมาแต่เช้า ไม่มีประชุมเหรอคะ”

ภาคภูมิปั้นยิ้มแห้งแล้งพอกัน “อ้อ มีตอนสิบโมง เห็นชาเขียวยี่ห้อนี้แล้วคิดถึงลูก เลยซื้อมาให้เสียก่อน ของอื่นๆ คุณเอาไว้ทานนะ ผมซื้อมาเยอะหน่อย เพราะเดี๋ยวพี่เจแลนดิ้งตอนบ่าย ก็ว่าจะเข้ามาเยี่ยมน้อง ส่วนหนูเจนผมไปรับที่กองถ่ายเองตอนเย็น แล้วเข้ามาค่ำๆ หน่อย”

เรืองรุจีหันมายิ้ม คราวนี้เริ่มมีแววยินดีแท้จริง

“ขอบคุณค่ะ ดีจังเลย ยัยเจิดจะได้เจอทุกคนพร้อมหน้า”

สามีภรรยาแอบสบตากัน เป็นที่เข้าใจว่าเมื่อลูกทั้งสามประสบเหตุเช่นนี้ โดยเฉพาะลูกสาวคนกลางที่ผ่านวิกฤตความตายมาหยกๆ ราวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทานโอกาสให้อีกครั้ง ผู้เป็นหลักอย่างพ่อแม่จะโกรธเกรี้ยวห้ำหั่นกันด้วยเรื่องส่วนตัวก็ไม่ใช่เรื่อง ทั้งคู่จำใจวางความขุ่นเคืองจนถึงขั้นตัดสินใจจะหย่าร้างเอาไว้ก่อน แล้วหันมาช่วยกันประคบประหงมฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจลูกๆ ทั้งสาม

แต่แล้วก็พบว่า…เมื่อทั้งคู่หันมาใส่ใจคนในครอบครัวอย่างจริงจัง ต่างฝ่ายต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย พยายามเข้าใจความทุกข์ของอีกฝ่าย พร้อมกับเพลาความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวเองลง ความสัมพันธ์กลับค่อยกระเตื้องขึ้นทีละนิด

“ถ้าคุณพอมีเวลา ไปกันเลยไหมคะ” เรืองรุจีเปรยเบาๆ ภาคภูมิอ้าปากจะถาม แต่แล้วก็เข้าใจ เขาเหลือบมองนาฬิกา แล้วพยักหน้าทันที

“ไปเลยก็ดีคุณ เราจะได้…รู้ว่าต้องทำยังไง” เขาหันมายิ้มกว้างให้ลูกสาว “เดี๋ยวพ่อมาหาเจิดอีกทีตอนเย็นนะลูก พ่อกับแม่ไปคุยกับคุณหมอก่อน”

เจิดจันทร์พยักหน้าแข็งๆ ตามเดิม บิดามารดาเข้ามาช่วยขยับตัวให้ลูกสาวอยู่ในท่านอนพิงสบาย แล้วก็พากันออกไปจากห้อง

ผ่านไปพักใหญ่ เสียงประตูเปิดขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันไปมอง แล้วก็เบิกตากว้างอย่างดีใจ เพราะภาพตรงหน้าคือเพื่อนสาวคนสนิทที่เดินยิ้มร่าเข้ามาในห้อง หอบถุงของกินเต็มสองมือ ด้านหลังคือชายหนุ่มตาน้ำข้าวผมทอง ที่ถือช่อดอกไม้น่ารักช่อเล็กด้วยรอยยิ้มกว้างขวางปานกัน

“เจิด โอ๊ย ดีใจจังที่เจอแกสักที” หมูผอโผเข้ามาหา หน้าตาตื่นเต้น “ตั้งแต่รู้ข่าวว่าแกฟื้น ก็พยายามมาหาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่พ่อแม่แกยังไม่ให้เยี่ยม วันนี้ลองเสี่ยงมาอีกที” สาวร่างท้วมใบหน้าร่าเริง ชะโงกหน้าซ้ายขวาดูเพื่อนสาวทั่วทั้งตัว “เอ๊ หน้าตาแกดูสดใสแล้วนี่ จะหายแล้วใช่ไหม คงได้ออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ นี้แหละ”

หมูยอลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียง ขณะที่เจมีก็ตามมานั่งข้างๆ ด้วย ทักทายหญิงสาวด้วยภาษาไทยแปร่งพอประมาณ

“เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นเพื่อนซี้กัน” หมูยอตวัดนิ้วโป้งไปที่ชายหนุ่ม “ไม่ใช่ว่าพูดฝรั่งได้หรอกนะ ก็งูๆ ปลาๆ เหมือนเดิม แต่เจมีเขาก็อยากเรียนภาษาไทยเหมือนกัน เขาถูกบริษัทแม่ที่อังกฤษ ส่งมาเป็นวิศวกรประจำเมืองไทยตั้งห้าปีแน่ะ แล้วบอกว่า ถ้าพูดถ้าฟังภาษาไทยไม่ได้เลย มันก็ทำงานลำบาก ทีนี้ ต่างคนต่างก็เลยช่วยกันสอนภาษา” หมุยอหัวเราะกิ๊ก “เลยไม่ต้องเขินเท่าไหร่ เพราะฉันก็พูดอังกฤษห่วย เขาก็พูดไทยห่วย มันก็พอๆ กันแหละ แต่พอพูดกับฟังกันไปนานๆ เออ แปลกนะ บางทีมันก็เข้าใจได้เอง”

เจิดจันทร์พลอยยิ้มนิดๆ ไปกับเพื่อนด้วย หมูยอเอียงคอมองเพื่อนสาว

“แกไม่เห็นพูดเลย เหนื่อยหรือเจ็บคอหรือเปล่า…เออ แต่ไม่เป็นไร ฟังฉันเล่าไปละกัน ฉันไม่ได้เม้าท์กับแกตั้งเดือน อัดอั้นจะตายอยู่ละ มีเรื่องอัปเดตเพียบเลย”

“ก่อนอื่นเลย เรื่องไอ้ปรีเมธ ไม่รู้มีใครเล่าให้แกฟังหรือยัง ว่ามันทิ้งศพป้าแก้วไว้ที่คอนโดนั่นละ ส่วนตัวมันก็เผ่นไป แต่ไม่ต้องกลัวว่าตำรวจจะต้องเดือดร้อนตามมันนะ เพราะยังไม่ทันออกจากคอนโด มันก็โดนพวกนักเลงบ่อนอุ้มไปซะก่อน” หญิงสาวทำหน้าเสียวไส้ “มันหายไปเกือบเดือนมั้ง ฉันนึกว่ามันคงหนีรอดไปได้แล้ว ที่ไหนได้ เมื่อวานมีข่าวเจอศพชายนิรนามขึ้นอืดในตึกร้าง โอ๊ย แกเอ๊ย สยองแบบฮันนิบาลชิดซ้าย ก็แขนไปทาง ขาไปทางอะ หนังหน้าโดนถลก แถมลำตัวโดนกรีดยับเลย ไอ้พวกนั้นมันคงทรมานไอ้ปรีน่าดูกว่าจะตาย นี่ตำรวจมาเจอกระเป๋าตังค์ตกอยู่แถวนั้นนะ ไม่งั้นคงไม่รู้ว่าเป็นใคร ศพเละจนไม่เหลือซาก”

“มูยอ น่ากัว” เจมีส่งเสียงปราม พยักพเยิดไปทางเจิดจันทร์ที่ทำหน้าพะอืดพะอม

“โอ๊ย ตาย ขอโทษเจิด ฉันแค่อยากเล่าให้แกฟัง แกจะได้สบายใจว่าคนชั่วมันหนีไม่พ้นเวรกรรมที่มันก่อหรอก แถมยังสนองทันตาเห็นเลย” หมูยอยิ้มแหย แล้วเปลี่ยนเรื่องด้วยเสียงสดใสขึ้น

“แกหยุดงานไปเป็นเดือน รู้มั้ยว่าฉันคิดถึงแกแทบตาย แถมพอแกไม่อยู่ หัวหน้าก็ใช้งานฉันหัวปักหัวปำเลย เช้าสายบ่ายเย็นเรียกแต่นังหมูยอ แต่ก่อนเราสองหัวก็ยังช่วยกันได้ แต่ตอนนี้เหลือฉันคนเดียว เวลาเกิดเรื่องก็ไม่รู้จะปรึกษาใครเหมือนกัน คนอื่นเขาก็งานเต็มมือ บางทีฉันก็ร้องไห้คิดถึงแกเลยนะเจิด” หญิงสาวถอนใจยาว “ล่าสุด โดนให้ไปเป็นพิธีกรงานต้อนรับน้องใหม่ เพราะคนอื่นดันลากันหมด โอ๊ย ฉันเครียดจนเกือบจะลาออกอยู่แล้ว แกก็รู้ว่าฉันพูดเก่งแต่กับเพื่อน พวกงานทางการจริงจังทำได้ที่ไหน อ้อนวอนยังไงหัวหน้าก็ไม่ยอม บอกให้ฉันลองฝึก ฉันต้องทำสคริปต์เอง หาข้อมูลเอง แทบตายแน่ะเจิด ก็คนมันไม่เคยทำ”

หมูยอเล่าอย่างเมามัน “เออ แต่พอต้องทำ มันก็ทำได้นะ ถึงจะไม่ดีมากก็เหอะ แต่คนก็ให้กำลังใจฉันเยอะเลย ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ย ว่าตัวเองพอเป็นพิธีกรได้” หญิงสาวยิ้มอิ่มเอม “พอได้ลองทำอะไรเอง กล้าทำอะไรใหม่ๆ อย่างเป็นเพื่อนกะเจมี หรือเป็นพิธีกรเงี้ย ฉันก็ว่าพวกเรามันไม่ได้ห่วยแตกนักหรอกเจิด ถ้าเราตั้งใจทำอะไร มันก็คงทำได้นะ นี่ฉันก็เลย…ว่าจะลองไปสอบเข้าราชการดูสักที นี่วันนี้ก็แอบลางานมา พอเยี่ยมแกเสร็จ ก็จะไปยื่นใบสมัคร แล้วไปซื้อหนังสือติวด้วย”

หมูยอเอื้อมมาจับแขนเพื่อนสนิท ดวงตาเป็นประกายวาววับอย่างตื่นเต้น “แกสมัครกับฉันด้วยไหม เดี๋ยวฉันซื้อใบสมัครมาให้ชุดหนึ่ง แล้วมานั่งติวด้วยกัน ลองดูเหอะน่าเจิด สอบไม่ติดก็ช่างมัน มีตั้งหลายที่ ดีกว่าเรานั่งบ่นนั่งทนอยู่ที่เดิม มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น” ก่อนจะแอบขยิบตาให้นิดหนึ่ง “แล้วฉันจะชวนแกทำช่องยูทูบด้วย ก็ไอ้เรื่องที่เราสองคนสื่อสารกันได้ตอนแกเป็นวิญญาณอะ มันอะเมซิงมากนะ แถมเป็นของจริงเจ๋งๆ ใครที่ไหนจะมีประสบการณ์เหมือนเรา ไหนๆ เราก็ชอบฟังเรื่องผีกันทั้งคู่ มาทำช่องกันเลยดีกว่า”

เรืองรุจีจับลูกบิดประตู ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วจากในห้อง จะว่าเสียงโทรทัศน์ก็ไม่ใช่เด็ดขาด เพราะเธอขอให้โรงพยาบาลนำออกไปจากห้องแล้ว

พอเปิดประตูเข้ามาก็ใจหายวาบ เพราะเพื่อนสนิทลูกสาวและฝรั่งหัวทอง กำลังนั่งคุยข้างเตียงอย่างออกรส แต่เป็นการคุยข้างเดียวเสียมากกว่า เพราะลูกสาวเธอไม่มีทางโต้ตอบอะไรได้…



Don`t copy text!