สะพานข้ามรุ้ง : บทนำ
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
ในโลกกว้างใหญ่ใบนี้มีเรื่องราวลึกลับมากมายที่วิทยาศาสตร์หาคำตอบไม่ได้…หาไม่ได้ไม่ใช่ว่าไม่มีอยู่จริง มองไม่เห็นด้วยตาไม่ใช่ว่าสัมผัสไม่ได้…เราอาจมีตัวตนมีลมหายใจ มีร่างกายอยู่ในโลกปัจจุบัน แต่ใครจะรู้ว่าเราจะไม่มีชีวิตหรือจิตวิญญาณในอีกโลกที่อยู่ถัดไป คนในโลกปัจจุบันหวาดกลัวการก้าวข้ามไปสู่อีกภพภูมิหรือที่เรียกว่าความตาย…ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงหวาดกลัวที่จะก้าวข้ามโลกนี้ไปทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าในโลกหน้าจะดีหรือร้าย…ทำไม…
“พี่ คนไข้อะเรส (arrest) ค่ะ” สิ้นเสียงตะโกนบอกกันของเจ้าหน้าที่พยาบาลความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในหอผู้ป่วย ทั้งแพทย์และพยาบาลวิ่งวุ่นเพื่อช่วยฟื้นคืนชีพคนที่นอนนิ่งหัวใจหยุดเต้นอยู่บนเตียงผู้ป่วย พยาบาลคนแรกที่เห็นเหตุการณ์กำลังขึ้นกดปั๊มหัวใจคนไข้เพื่อยื้อชีวิต
“ขอช็อกไฟฟ้าหน่อยครับ” เสียงแพทย์เจ้าของไข้ออกคำสั่งหลังจากใช้หูฟังตรวจจับเสียงการเต้นของหัวใจแล้ว
“เทสต์ค่ะ” พยาบาลอีกคนที่ลากเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจเข้ามาบอกกับเพื่อนร่วมทีม “สองร้อยจูนค่ะ”
“พร้อมนะครับ” เสียงนายแพทย์บอกก่อนที่ทุกคนจะถอยห่างออกจากเตียง เครื่องกระตุ้นหัวใจทาบลงที่หน้าอกของคนที่นอนนิ่งใบหน้าเผือดซีด ความแรงของไฟฟ้าที่ถ่ายทอดลงที่ผิวหนังทำให้ร่างที่นอนนิ่งสนิทกระตุกตามแรงจ่ายไฟฟ้าจนตัวโยน นายแพทย์เข้าประจำที่มองจอมอนิเตอร์ที่แสดงคลื่นชีวิต
“อีกครั้งนะครับ พร้อมนะครับ” เสียงบอกของนายแพทย์คนเดิมดังขึ้นอีกครั้งหลังพยาบาลที่ร่วมทีมขึ้นปั๊มหัวใจไปอีกรอบ ทุกคนในทีมถอยหลังอัตโนมัติ
เด็กสาวผิวขาวซีดถอยหลังพิงกำแพงอย่างหมดแรง ภาพที่เห็นเบื้องหน้าสำหรับคนที่ไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ชวนให้เสียขวัญและพานให้หมดแรงไปเสียดื้อๆ เธอพิงตัวให้น้ำหนักกดลงไปที่กำแพงรู้สึกหมดแรงจนยืนไม่อยู่ ไม่ใช่หมดแรงจากอาการป่วยหนักที่เพิ่งผ่านพ้นไปหรือความอ่อนเพลียหลังฟื้นตัวขึ้นมา แต่หมดแรงกับภาพชวนตกใจของการยื้อชีวิตระหว่างความเป็นกับความตายที่เธอเผอิญได้ผ่านมาเจอ
“ฮือ ฮือ” เสียงร้องไห้เบาๆ ดังอยู่ใกล้ๆ ตรงที่เด็กสาวยืนอิงกำแพง ก่อนหน้านั้นเธอไม่เห็นมีใครยืนอยู่ข้างๆ ตอนที่เดินออกจากห้องพิเศษเพื่อหลีกหนีความจำเจจากการนอนอยู่บนเตียงนานๆ จนเดินเลยมาทางห้องผู้ป่วยรวม ก็พอดีกับที่เห็นเจ้าหน้าที่พยาบาลวิ่งวุ่นผ่านไปมา เลยเผลอเดินมาดูและเห็นเหตุการณ์นี้
“ฮือ ฮือ” เสียงร้องไห้เดิมดังอยู่ใกล้ๆ เสียงไม่ดังมากนัก เด็กสาวใบหน้าขาวซีดหันไปมอง คนข้างๆ เป็นผู้หญิงสาวรูปร่างค่อนข้างผอม ผมยาวของเธอหลุดลุ่ยลงมาปรกข้างแก้มทำให้เห็นใบหน้าไม่ถนัดนัก ร่างของเธอสั่นเทาไปทั้งร่างราวกับคนจับไข้หนัก
“พี่เป็นญาติกับคนนั้นเหรอคะ” เด็กสาวชี้มือไปที่เตียงและถามอย่างเอื้อเฟื้อแม้ร่างกายตัวเองจะไม่เอื้ออำนวยให้ช่วยเหลือใครได้ อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมาแต่ยังร้องไห้ไม่หยุด
“อ้อ คงเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของคนนั้นสินะคะ” เด็กสาวพยายามดันกายที่อ่อนแอออกจากผนังกำแพง เธอลากเสาน้ำเกลือมาใกล้ๆ หมายใจจะเดินไปปลอบโยนหญิงสาวที่ยืนร้องไห้อยู่ อีกฝ่ายค่อยๆ หันหน้าที่มีผมปรกมาช้าๆ เธอส่ายหน้าปฏิเสธ…แน่ละ เธอไม่ใช่ทั้งญาติ ไม่ใช่ทั้งเพื่อน…แน่ละ
“กรี๊ด” เสียงกรีดร้องของเด็กสาวผิวซีดดังมาจากมุมห้องตรงที่เธอยืนอิงกำแพงก่อนจะล้มพับไป ใบหน้าหญิงสาวคนที่หันมานั้นเต็มไปด้วยคราบน้ำตา…ใบหน้านั้นละม้ายกับร่างที่นอนนิ่งบนเตียง