สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา…ตีสอง

สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา…ตีสอง

โดย : แก้ว การะบุหนิง

Loading

สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4  มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”

“หูย คีย์ อ่านข่าวนี้สิ น่าสงสารมาก ฆ่าตัวตายทั้งครอบครัว แต่กลายเป็นว่าตัวเองตายคนเดียว เหลือภรรยากับลูก”

เวลาตีสองในหอผู้ป่วยอายุรกรรม ในห้องทำงานพยาบาลยังเปิดไฟสว่างจ้า มาคีในชุดพยาบาลแยกชิ้นเสื้อกางเกงกำลังยืนผสมยาในบริเวณจัดไว้ผสมยาฉีด

ผ่านมาห้าปีหลังจากอุบัติเหตุและพ่อเสียชีวิต ส่วนมาคีนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่พักใหญ่ วันนี้เธอเรียนจบและกลับมาทำงานในหอผู้ป่วยอายุรกรรมในตำแหน่งพยาบาล วันที่เดินออกจากโรงพยาบาลและกลับไปเรียนมาคีตั้งใจแล้วว่าเธอจะอุทิศตัวเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นแบบที่ตอนเธอลืมตาตื่นมาและพบพี่ๆ พยาบาลยืนอยู่ข้างๆ และคอยช่วยเหลือเธอ

“อ่านอะไรน่ะพี่ฝัน ไม่จรรโลงใจสักนิด” มาคีส่ายหน้า

“ก็เปิดหน้าเฟซบุ๊ก ข่าวก็ขึ้นมาเองแล้ว” เหมือนฝันบอกพร้อมกับก้มหน้าอ่านเนื้อหาต่อ

เนื้อหาในข่าวบรรยายถึงครอบครัวพ่อแม่ลูกสามคน ได้ดื่มอาหารผสมสารฆ่าแมลง สาเหตุมาจากความเครียดเรื่องเศรษฐกิจ แต่พลาดที่ภรรยาและลูกสาววัยแปดปีกินเข้าไปน้อย พลเมืองดีนำส่งโรงพยาบาลจึงช่วยชีวิตภรรยาและลูกสาวไว้ได้ ส่วนสามีที่เป็นผู้ลงมือวางยาทั้งครอบครัวได้ถึงแก่กรรมแล้ว

“แล้วแบบนี้ภรรยาและลูกสาวจะใช้ชีวิตยังไงหนอ หัวหน้าครอบครัวมาจากไปก่อน” เหมือนฝันทอดถอนหายใจ

“หดหู่จริงๆ นะพี่ ตอนนี้ภรรยาเลยต้องเผชิญปัญหาคนเดียว” มาคีถอนหายใจ

“เฮ้อ บางเรื่องเราไม่ใช่เขา เราก็ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แค่หวังว่าคนที่ยังอยู่จะเจอทางออกที่ดี” เหมือนฝันพูด ก่อนจะวางโทรศัพท์ก้มหน้าเขียนเอกสารอาการผู้ป่วยต่อ

บรรยากาศในหอผู้ป่วยอายุรกรรมในเวลาตีสอง ในส่วนเตียงผู้ป่วยขณะนี้ได้ปิดไฟเหลือเพียงไฟหรี่เพื่อรบกวนผู้ป่วยน้อยที่สุด คืนนี้อาการของผู้ป่วยคงที่ มีคนไข้หนักที่นอนเตียงบริเวณหน้าที่ทำงานพยาบาลเพียงสามคน นอกนั้นเป็นคนไข้ที่ช่วยเหลือตัวเองได้กระจายนอนในส่วนที่ห่างออกไป

มาคี… กับการทำงานในหอผู้ป่วยอายุรกรรมหลังจบพยาบาลขณะนี้เป็นปีที่สาม มาคีเลือกทำงานที่นี่เพราะผูกพันกับสถานที่ และที่นี่ยังมีพี่สาวที่สนิทคือเหมือนฝันประจำอยู่ ถึงแม้ตารางการทำงานจะไม่ตรงกันทุกครั้ง แต่มาคีก็ได้เจอเหมือนฝันแทบทุกวัน ทำให้เด็กสาวที่ขาดความมั่นใจเมื่อหลายปีก่อน กลายเป็นหญิงสาวที่มีความมั่นใจในตัวเองขึ้นมาบ้าง

“เดี๋ยวหยุดนี้เราไปทะเลกันไหม” เหมือนฝันเปลี่ยนเรื่อง เดือนนี้ทั้งสองคนมีวันหยุดตรงกันสามวัน

“พี่อยากไปไหนล่ะคะ” มาคีถาม

“หยุดแค่สามวันจะไปไหนไกลได้ ไปชลบุรีกันเนาะ ใกล้ๆ” อีกฝ่ายเสนอ คนที่รับฟังไม่ได้ตอบอะไรได้แค่พยักหน้าให้อีกฝ่ายรับรู้

“คีย์ไปฉีดยาตีสองก่อนนะ” มาคีเลื่อนรถฉีดยาออกจากห้องทำงานพยาบาล

ในขณะที่ผู้ป่วยหลับใหล ตารางงานของพยาบาลยังวนไป ทั้งการฉีดยา การปรับยา การบันทึกสัญญาณชีพ แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่จัดให้ผู้ป่วยได้พักผ่อน พยาบาลเวรดึกจึงต้องทำงานไปเงียบๆ ถ้าไม่มีความจำเป็นก็ไม่เปิดไฟให้สว่างนัก คืนนี้ก็เช่นกัน ยาที่ให้ทั้งหมดเป็นยาที่ให้ทางสายน้ำเกลือได้ มาคีเลยเดินตรวจชื่อ ตรวจยาโดยใช้ไฟหรี่ที่เปิดสว่างขึ้นเล็กน้อย

“ลุงเพ็ง ฉีดยาลดกรด เคลือบกระเพาะนะคะ” ที่เตียงเบอร์สามในส่วนผู้ป่วยสังเกตอาการ ผู้ป่วยชายวัยเจ็ดสิบปีนอนอยู่ที่เตียงนี้มาร่วมสิบวัน ผู้ป่วยมีอาการสับสน หลงลืม บางวันหลับมากเกินไป บางคืนแทบไม่หลับ แพทย์วินิจฉัยว่ามีภาวะเสียสมดุลเกลือแร่ร่วมกับภาวะสมองเสื่อม

“ความดันปกตินะคะร้อยกับเจ็ดสิบ” มาคีวัดสัญญาณฉีดและแจ้งผู้ป่วย แม้ลุงเพ็งจะนอนเฉยราวกับไม่รับรู้แต่มาคีก็ปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพอย่างเคร่งครัด หญิงสาวกำลังจรดปลายกระบอกฉีดยาเข้ากับข้อต่อ

“อย่า ไม่ อย่านะ” เสียงร้องโวยวายดังลั่นจนมาคีสะดุ้ง ไฟกลางห้องสว่างวาบ เหมือนฝันวิ่งมาหาพร้อมกับผู้ช่วยพยาบาล

“ลุงเพ็ง ลุงเพ็งใจเย็นๆ ค่ะ นี่พยาบาลนะคะ” เหมือนฝันช่วยจับคนที่กำลังดิ้นไปมาจนน่ากลัวว่าจะลุกขึ้นกระโดดลงจากเตียง

“อย่านะ ไป กลัวแล้ว กลัว” ผู้ป่วยสูงวัยตาเบิกโพลง สายตาจับจ้องไปข้างหน้า

“ไม่ต้องกลัวค่ะ ไม่มีใครทำร้ายลุงนะคะ ที่นี่โรงพยาบาล” มาคีแจ้งข้อเท็จจริงให้ผู้ป่วย

“ไป อย่านะ กลัวแล้ว” ชายสูงวัยเอามือบีบรอบคอพร้อมกับดิ้นพราดๆ

“เป็นอะไรกันลุงเพ็ง อย่าบีบคอตัวเองสิคะ” เหมือนฝันพยายามดึงมือของชายสูงวัยออก ผู้ช่วยพยาบาลรีบวิ่งเขาไปช่วย แรงมากมายมาจากไหนหนักหนา ร่างผอมๆ นั่นถึงมีเรี่ยวแรงเกินกว่าคนป่วยคนเดิม

“ไม่ไหวแล้วคีย์ โทรไปรายงานหมอเวร ขอยาให้คนไข้สงบหน่อยไป พี่ปล่อยมือไม่ได้” เหมือนฝันสั่ง

“คีย์” พยาบาลรุ่นพี่ทำเสียงดุที่อีกฝ่ายยังยืนเฉย

“คีย์”

 

“อย่านะ อย่าทำแบบนั้น ปล่อยมือ อย่าทำร้ายลุง” ในความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น ผู้ชายร่างท้วมกระโดดขึ้นบีบคอลุงเพ็งแน่น แม้อีกฝ่ายจะพยายามแกะมือนั้นออกแต่กลับเหมือนชายคนนั้นกลับบีบแน่นขึ้นไปอีก

“ปล่อยนะ ทำแบบนี้ผิดกฎหมายนะ” มาคีย์พูดพยายามแกะมืออีกฝ่าย

“อย่ามายุ่ง” เสียงแหบเอ็ดหญิงสาว

“คุณทำร้ายคนแก่ทำไม คุณอย่าทำร้ายลุงเพ็งนะ” มาคีฉุดมือนั้นสุดแรง

“บอกว่าอย่ามายุ่ง” น้ำเสียงขุ่นเคืองและแหบพร่า

“จะมาทำแบบนี้กับคนป่วยในโรงพยาบาลไม่ได้นะ” มาคีขึ้นเสียง ในความสับสนอลหม่าน เหมือนฝันกับผู้ช่วยพยาบาลอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ออกมาช่วย ไม่เห็นหรืออย่างไรว่ามีคนมาทำร้ายคนป่วย

“กูไม่สน กูจะฆ่ามัน” ชายร่างท้วมหันมามองมาคี ดวงตาแดงก่ำ ที่หัวตามีเลือดสีแดงไหลรินออกมา ริมฝีปากม่วงคล้ำไม่ต่างจากใบหน้าที่ม่วงคล้ำจนน่ากลัว

“กรี๊ด…” มาคีเผลอร้องเพราะความตกใจสุดขีดกับภาพตรงหน้า เข่าอ่อนจนทรุดลงไปกองกับพื้น มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

 

“คีย์ คีย์ คีย์” เสียงคุ้นเคยทำให้มาคีลืมตา อาการหัวหมุนชวนอาเจียน มาคีค่อยๆ จับภาพ ความทรงจำกลับมาที่หอผู้ป่วยอายุรกรรม เหมือนฝัน เธอทำงานเวรดึก

“ลุงเพ็ง ลุงเพ็ง” มาคีรีบลุกพรวดไปที่เตียงสังเกตอาการเตียงสาม ภาพของชายสูงวัยที่นอนหลับอย่างอ่อนเพลียอยู่บนเตียงดูปกติดี “มันเกิดอะไรขึ้น” มาคีเสียงสั่น

“เกิดอะไรขึ้น ก็คีย์เป็นลมไง” เหมือนฝันบอกพร้อมกับขมวดคิ้ว ก่อนที่เธอจะวิ่งออกมาดูมาคีที่เข็นรถฉีดยาออกมาฉีดยาผู้ป่วย มีเสียงดังตึงเหมือนของหนักล้ม เมื่อเหมือนฝันวิ่งออกก็เจอมาคีนอนกองอยู่ที่ข้างเตียงสาม

“ไม่ใช่ มันไม่ใช่” มาคีขมวดคิ้วมองไปที่ลุงเพ็ง คนที่นอนบนเตียงนั้นหลับสนิทจนดูซีดขาว ที่คอปรากฏรอยสีม่วงคล้ำเล็กๆ รัดรอบคอ มาคีสบตาเหมือนฝันที่เลิกคิ้วตั้งคำถาม เหมือนฝันคล้ายกับไม่เห็นความผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับคนไข้อย่างที่มาคีเห็น

 

“พ่อผมจะดีขึ้นไหมครับ” ชายวัยสี่สิบต้นสอบถามด้วยใบหน้าเคร่งเครียด คิ้วขมวดมุ่นจนเห็นร่องลึกที่หน้าผาก ใบหน้าซูบโรยจากการอดนอนมาหลายคืน มือของชายคนนั้นยังจับมือของชายที่นอนไร้สติบนเตียงแน่น

นายเพ็ง เพิ่มพูนโชค ชายวัยเจ็ดสิบปี เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรมร่วมสัปดาห์ด้วยภาวะอ่อนเพลีย หายใจหอบเหนื่อยตลอด ผลการตรวจเลือดพบสารเกลือแร่ในร่างกายต่ำเพียงเล็กน้อย และผลการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ พบมีภาวะสมองเสื่อมตามวัย ซึ่งทั้งสองอย่างไม่สัมพันธ์กับอาการที่นำมาโรงพยาบาล

อาการเหนื่อยหอบตลอดเวลาได้รับการเอกซเรย์ปอดก็พบว่าปอดทำงานปกติ มีเพียงระดับออกซิเจนในเลือดเท่านั้นที่ต่ำลง ไม่ว่าจะได้รับออกซิเจนทางสายยางหรือได้รับออกซิเจนแบบเข้มข้นร่างกายของลุงเพ็งก็ไม่รับ นับวันอาการยิ่งแย่และเมื่อคืนนี้ออกซิเจนในเลือดต่ำจนแพทย์ตัดสินใจใส่ท่อช่วยหายใจ

“อาการของคุณพ่อคุณตอนนี้เราทำได้เพียงช่วยเสริมออกซิเจนทางท่อช่วยหายใจ มันน่าแปลกที่เราตรวจไม่พบความผิดปกติอะไรเลย” แพทย์เจ้าของไข้ยอมรับด้วยใบหน้าเคร่งเครียด

“พ่อผมเป็นคนแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวครับ” ลูกชายพูด มือยังบีบมือคนที่นอนนิ่งแน่น แต่ไม่มีการตอบรับจากอีกฝ่าย เสียงเครื่องช่วยหายใจบีบอัดลมเป็นจังหวะ

“เราจะพยายามเต็มที่ครับ” น้ำเสียงของแพทย์หนักแน่นและให้คำสัญญา “ผมขอตัวไปดูคนไข้คนอื่นก่อนนะครับ”

ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมในส่วนสังเกตอาการ เช้านี้มีคนไข้สามคน ชายที่ได้รับการรักษาด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจถูกย้ายจากเตียงสามมาเตียงหนึ่งใกล้ห้องทำงานพยาบาล เสียงเครื่องวัดความดัน เครื่องควบคุมสารน้ำดังเป็นพักๆ ในหอผู้ป่วยเช้านี้คนป่วยไม่แน่นมากและญาติที่เฝ้าไข้ไม่มากเกินไปทำให้บรรยากาศเศร้าซึมไม่ต่างจากความรู้สึกของคนป่วยและญาติเวลานี้

 

“ขอให้อาหารคนป่วยหน่อยนะคะ” เหมือนฝันเข็นรถที่มีอุปกรณ์ให้อาหารทางสายยางเข้าไป

“เชิญครับ” ลูกชายคนป่วยรีบลุก

“หิวไหมคะ เดี๋ยวสักพักก็อิ่มแล้วนะ” แม้จะพูดกับคนป่วยไปด้วยแต่มือก็ทำงานอย่างคล่องแคล่ว

“ไม่รู้เมื่อไหร่คุณพ่อจะตื่นมากินข้าวได้นะครับ” ลูกชายทอดเสียงเศร้า รู้สึกหดหู่ที่เห็นพ่อต้องกินอาหารทางสายยางให้อาหาร

“คุณหมอกำลังหาทางวินิจฉัยอย่างเต็มที่ค่ะ คุณต้องเข้มแข็งไว้นะคะ” น้ำเสียงจริงจังนั้นทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจยาว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการให้กำลังใจหรือพ่อดีขึ้นจริงๆ เขาก็ขอเข้าข้างตัวเองก่อนว่าพ่อต้องหายป่วย

“ก่อนป่วยบ่นอยากกินปูนึ่ง ถ้าหายป่วยจะพาไปกินร้านดังใกล้ๆ รีสอร์ตเรานะพ่อ” ลูกชายยืนยันกับคนที่นอนไร้สติ

เหมือนฝันยืนให้อาหารและยาทางสายยางอยู่เกือบสิบนาที โดยมีลูกชายยืนจับมือพ่อพร้อมกับสัญญาว่าจะพาไปเที่ยว ไปหาอะไรอร่อยกินถ้าพ่อหายป่วย…นี่สินะ คนเราตอนที่ยังแข็งแรงอยู่ให้รักกันให้มาก ใช้เวลาด้วยกันให้มาก เพราะไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้เราจะยังได้คุยกัน ได้ออกไปไหนด้วยกันหรือเปล่า

ไม่ว่าโลกจะขับเคลื่อนไปอย่างไร ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน งานของพยาบาลยังขับเคลื่อนหมุนเวียนเพื่อให้การพยาบาลคนเจ็บป่วยไปเรื่อยๆ

 

“สวัสดีทะเล คิดถึงจัง” มาคีตะโกนแทรกเสียงคลื่นที่กระหน่ำเข้าซัดชายหาดหลายระลอก

“คิดถึงจังเลย” มาคีตะโกนอีกรอบ รู้สึกหัวใจพองโต เธอไม่ได้มาทะเลเกือบปีแล้ว ตั้งแต่จบมาทำงานก็เหมือนเวลาทั้งหมดหยุดอยู่ที่งานเท่านั้น

“อะไรก็ไม่รู้ยัยคีย์” เหมือนฝันหัวเราะ

“เย็นนี้ไปหาร้านอาหารทะเลอร่อยๆ กินกัน” คนพูดทำเสียงหมายมั่น

“ร้านเจ๊แดงอาหารทะเล ที่นี่เขาดัง” เหมือนฝันบอก

“หืม พี่ฝันเคยไปแล้วเหรอคะ ไม่เห็นเล่าให้ฟังมาก่อนเลย” ตอนตกลงมาเที่ยวด้วยกัน ทั้งสองคนวางแผนวันหยุด ที่พัก กิจกรรม รวมทั้งอาหาร แต่เหมือนฝันก็ไม่ได้พูดเจาะจงแบบนี้

“คุณภาคินัยบอกน่ะ” อีกฝ่ายยิ้มให้ ลมทะเลพัดแรงจนผมปลิวช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

“คุณภาคินัยไหนเหรอคะ” มาคีถาม ตลอดปีมานี้ เหมือนฝันกับมาคีแทบจะตัวติดกันตลอด ทั้งสองคนสนิทกันได้เร็วเพราะรู้จักกันตั้งแต่มาคีเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า จนตอนนี้ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ มาคีนับถือเหมือนฝันเป็นพี่สาวไปแล้ว

“ก็ลูกชายลุงเพ็งไง”

“อ้าว พี่ไปคุยกับเขาถึงเรื่องร้านอาหารเลยหรือ” มาคีอดแปลกใจไม่ได้ เมื่อนึกถึงภาคินัยที่วันๆ เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่นตอนที่ไปเยี่ยมพ่อที่นอนป่วยอยู่

“พอดีคุณภาคินัยเขามีรีสอร์ตอยู่ตรงเส้นทางไปร้านเจ๊แดง เขาเลยรู้” เหมือนฝันเล่า “เสียดายเรารู้ช้าไป ไม่อย่างนั้นจองที่พักของคุณภาคินัย จะได้อุดหนุนเขาหน่อย”

“อ้อ”

มาคีทำเสียงรับรู้ในลำคอ ไม่ได้แปลกใจที่คุณภาคินัยมีรีสอร์ตริมทะเลนี่ แค่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงพาพ่อไปรักษาไกลถึงกรุงเทพฯ ในเมื่อบ้านของเขาอยู่ที่นี่…แต่ก็นั่นแหละ เขาอาจเป็นเพื่อนกับใครสักคนที่ทำงานที่โรงพยาบาลเลยแนะนำให้ไปก็ได้

 

“พี่อย่าเอาเงินหนูไปเลยค่ะ หนูไหว้ละ” เสียงขอร้องปนสะอื้นทำให้มาคีและเหมือนฝันที่เพิ่งเดินออกจากร้านอาหารหันไปมอง เด็กหญิงรูปร่างผอม อายุไม่น่าเกินสิบขวบยืนหอบดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ มีเด็กชายที่โตกว่ายืนขวางทาง

“อ้าว วาวา แกก็รู้นี่ว่าต้องจ่ายค่าที่” เด็กชายที่เริ่มเสียงแตกหนุ่มบอก น้ำเสียงหงุดหงิด

“วันนี้หนูขอได้ไหมพี่ แม่ไม่สบาย พรุ่งนี้หนูจะพาแม่ไปหาหมอ” เด็กหญิงบอกพร้อมกับร้องไห้ ในตลาดขายของยามราตรีมีผู้คนเดินสวนกันไปมา แต่ไม่มีใครที่หันไปสนใจเด็กข้างถนนกลุ่มนั้น

“อย่ามาบีบน้ำตา ไม่งั้นเจ็บตัว” หนึ่งในสามเด็กชายผลักเด็กหญิงจนล้ม เด็กหญิงที่ร้องไห้อยู่พยายามประคองดอกกุหลาบไม่ให้ช้ำ

“หนูขอร้อง แค่สองสามวันเท่านั้นหนูจะพาแม่ไปหาหมอ” เด็กหญิงนั่งพับเพียบพร้อมกับยกมือไหว้ อีกฝ่ายไม่ลดละตรงเข้าผลักไหล่อีกรอบ

“หยุดนะ นี่มันอะไรกัน” มาคีอดไม่ได้จนต้องแทรกตัวเข้าไปขวาง มีเหมือนฝันเดินตามไปติดๆ  สำหรับสองคนนี่ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นถ้าเป็นเรื่องการถูกเอาเปรียบ ไม่มีใครห้ามใครมีแต่ยุส่ง เช่นเดียวกับเรื่องนี้ที่เด็กหญิงกำลังถูกรังแก ถ้ามาคีไม่ออกตัวก่อนก็จะเป็นเหมือนฝันนั่นแหละที่ทำ

“เป็นเด็กเป็นเล็กทำตัวเป็นนักเลงนะ” เหมือนฝันทำเสียงเข้ม

“พวกคุณเป็นใคร เกี่ยวอะไรเรื่องพี่น้อง” หนึ่งในสามเด็กชายถามกลับท่าทางก้าวร้าว

“ไม่เกี่ยวอะไรกับใครหรอก ทะเลาะวิวาทเนี่ยเกี่ยวกับตำรวจไหม” เหมือนฝันถามกลับ เด็กชายสามคนไม่พูดแต่ท่าทางไม่ยอมถอยเช่นกัน “ไป ไปโรงพักกัน มาทะเลาะวิวาทในชุมชน ก่อความรำคาญแบบนี้นอนคุกสักคืนดีไหม” เหมือนฝันเข้าต้อนเด็กชายสามคน

“ไม่ไปหรอก คุณมีสิทธิ์อะไรมาสั่ง” อีกฝ่ายเถียงเสียงแข็ง

“ก็ฉันเป็นตำรวจไง บอกไปก่อนหน้าแล้วนี่ เกี่ยวกับตำรวจไหม” คนพูดเดินเข้าหาเด็กทั้งสามแต่ไม่ทัน ทั้งสามคนถอยร่นและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

“กลับมาก่อน จะหนีไปไหน” เหมือนฝันทำเสียงเข้ม “อย่าให้เห็นว่าทำตัวแบบนี้อีกนะ ครั้งหน้าไม่ปล่อยให้หนีแน่” เหมือนฝันสำทับไล่หลังก่อนจะแอบยิ้ม ไม่ต่างจากมาคีที่แอบยิ้มให้กับความช่างคิดของพี่สาว เวลาคับขันเหมือนฝันมักเป็นคนที่คิดหาทางเอาตัวรอดได้เร็วต่างจากมาคีที่ถึงแม้เธอจะเห็นสิ่งที่คนอื่นเห็นอยู่เสมอ แต่ความคิดและการตัดสินใจของเธอก็ไม่เร็วเช่นเหมือนฝัน

“หนู หนูเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” ตำรวจแอบอ้างโผเข้าไปหาเด็กหญิงที่นั่งร้องไห้อยู่

“คุณตำรวจอย่าเพิ่งจับหนูนะคะ แม่หนูไม่สบายมาก” เด็กหญิงยกมือไหว้

“เดี๋ยวนะ ไม่ร้องไห้ มาคุยกันดีๆ  พี่ไม่จับหนูหรอก” เหมือนฝันบอก “ไหนเล่าให้พี่ฟัง แม่เป็นอะไรคะ ทำไมมาเดินขายของดึกๆ มันอันตรายนะ” เหมือนฝันรัวคำถาม เป็นเรื่องไม่ดีเลยที่เด็กหญิงกำลังโตเริ่มแตกเนื้อสาวออกมาเร่ร่อนขายของในเวลาดึกดื่น แถมต้องมาเผชิญกับพวกนักเลงวัยรุ่นที่คอยไถเงิน

“เราไปนั่งร้านน้ำปั่นตรงโน้นก่อนเนาะ” เหมือนฝันชวน เด็กหญิงพยักหน้าแม้จะยังร้องไห้อยู่แต่ก็ไม่ต่อต้านใดๆ  “คีย์ คีย์ มาคี” เหมือนฝันเรียกคนที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวที่ตอนนี้ยืนมองท่าทางเลื่อนลอย

“คีย์ คีย์เป็นอะไร” เหมือนฝันจับมืออีกฝ่ายเขย่า มือนั้นเย็นเฉียบแต่มีเหงื่อชุ่ม “คีย์ คีย์”

ที่ข้างๆ เด็กหญิง ร่างกำยำเป็นเงาทะมึนยืนอยู่ ริมฝีปากสีคล้ำม่วงเหมือนใบหน้า กำลังจ้องมาที่มาคี สายตานั้นทำให้หญิงสาวเหมือนถูกสะกด รู้สึกชาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มาคีอยากวิ่งหนีแต่ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดออกมา ร่างทะมึนนั้นเอื้อมมือไปที่เด็กหญิง

“อย่านะ อย่า” มาคีกรีดร้องเสียงดังอย่างตกใจ ร่างนั้นกำลังจะทำร้ายเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว…

 

“ของฝากนะครับ” เสียงทุ้มดังมาจากกระจกบานเลื่อนที่หน้าเคาน์เตอร์พยาบาล

“อุ๊ย ขอบคุณนะคะ” เหมือนฝันที่กำลังตรวจสอบยาและผสมยาเตรียมฉีดรอบบ่ายสองโมงหันมาตามเสียง ชายวัยกลางคนสวมเสื้อโปโลสีน้ำเงินกับกางเกงสแล็กสีออกเทา

“ผมขอไปเยี่ยมพ่อก่อนนะครับ” คนพูดบอกก่อนจะเดินหลบมาทางเตียงผู้ป่วย

เกือบเดือนที่ชายสูงวัยมานอนรักษาตัวที่หอผู้ป่วยอายุรกรรม ลูกชายของคนป่วยมาเยี่ยมสม่ำเสมอ ทุกครั้งที่มาก็ไม่ลืมติดของฝากมาให้พยาบาล ถึงแม้เจ้าหน้าที่จะบอกว่าไม่ขอรับของฝากแต่ก็ไม่มีครั้งไหนเลยที่ลูกชายของคนป่วยจะไม่หยิบติดมือมา

“บ้านนี้เขาเรียบร้อยกันจังเลย คุณภาคินัยไม่เคยแต่งตัวหลุดเทรนด์นี้เลยเนาะ แถมสุภาพมาก” พยาบาลร่วมเวรเปรย เหมือนฝันพยักหน้ารับ ถือว่าเป็นญาติผู้ป่วยที่มีน้ำใจจริงๆ

“อยากให้ลุงเพ็งดีขึ้นไวๆ  สงสารลูกชายแก” พยาบาลคนเดิมเปรย

ในหอผู้ป่วยทุกที่ การที่ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและได้กลับบ้านไปอยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอีกครั้งถือว่าเป็นเป้าหมายของการรักษาพยาบาล ยิ่งครอบครัวที่มีความผูกพันกัน เจ้าหน้าที่ทั้งหอผู้ป่วยยิ่งอยากเห็นผู้ป่วยเดินออกจากโรงพยาบาล หลายครั้งการภาวนาก็ได้ผล แต่หลายครั้งก็ต้องยอมรับว่าทุกชีวิตย่อมต้องจากไปนั่นคือสัจธรรมของโลก ขณะนี้ทุกคนต่างก็เอาใจช่วยชายวัยเจ็ดสิบปีที่นอนหมดสติ ใส่ท่อช่วยหายใจให้อาการดีขึ้นเร็วๆ

 

“ช่วงนี้ที่รีสอร์ตคนไม่เยอะเท่าไหร่ เราเลยต้องหยุดจ้างพนักงานรายวันหลายคน” ภาคินัย ลูกชายนายเพ็งวัยสี่สิบนั่งเล่าเรื่องสัพเพเหระให้ชายที่นอนเฉยฟัง คนเป็นลูกไม่รู้หรอกว่าพ่อจะได้ยินเรื่องที่ตัวเองพูดไหม เขาแค่หวังว่าคนที่นอนนิ่งจะได้ยินแล้วรีบฟื้นเร็วๆ

“ผมเลยมีเวลามาเยี่ยมพ่อบ่อยๆ”

นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาบ่ายสองโมง ภาคินัยมาเยี่ยมพ่อตั้งแต่บ่ายโมง ทุกครั้งที่เขามาจะนั่งจับมือและเล่าความเป็นไปในชีวิตของเขาให้คนเป็นพ่อฟัง

นายเพ็ง เพิ่มพูนโชค ชายวัยเจ็ดสิบปี เจ้าของรีสอร์ตที่ชลบุรี ผ่านชีวิตมาอย่างสมบุกสมบัน เดิมทีเขาเป็นลูกกำพร้า อยู่กับแม่สองคน ฝ่ายพ่อหนีหายไปตั้งแต่แม่ตั้งท้อง นายเพ็งในวัยเด็กจึงมีชีวิตที่ลำบาก แต่เขาก็มุมานะจนเก็บเงินซื้อที่ดิน เริ่มทำบังกะโลเล็กๆ สองสามหลังจนตอนนี้ขยับขยายพื้นที่เปิดเป็นรีสอร์ตหรูและโด่งดังที่ชลบุรี

ภาคินัย เพิ่มพูนโชค บุตรชายคนเดียวที่ตอนนี้เข้ามารับช่วงกิจการต่อ ในวัยเด็กเขาไม่เคยลำบาก พ่อจัดการทุกอย่างให้เขาสบายที่สุดเท่าที่ฐานะพ่อจะหาได้ ภาคินัยจบการศึกษาปริญญาโทและมาช่วยพ่อทำงานที่รีสอร์ต จริงๆ เขาก็ไม่ได้อาศัยความขยันหรืออดทนอะไรเพราะพ่อได้จัดการทุกอย่างไว้ให้เขาแล้ว เขามีหน้าที่เพียงสานต่อสิ่งที่พ่อทำเท่านั้น

การที่นายเพ็งป่วยไม่ได้สติสร้างความลำบากและสับสนให้ภาคินัยไม่น้อย เพราะงานที่รีสอร์ตทั้งหมดถูกโอนมาหาเขา งานบริหารรีสอร์ต การดูแลลูกน้อง ไหนจะการจัดโฆษณาประชาสัมพันธ์ในช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อย

“ผมคิดถึงพ่อมากๆ” ภาคินัยบีบมือชายสูงวัย

“ขออนุญาตเจาะน้ำตาลที่ปลายนิ้วนะคะ” เป็นช่วงบ่ายสองที่มาคีทำงานเวรเช้าในตำแหน่งพยาบาลที่ดูแลเรื่องยาต่างๆ ในหอผู้ป่วย

“เชิญครับ” ภาคินัยขยับลุกให้

“ระดับน้ำตาลเก้าสิบ ปกติดีนะคะ ขอให้น้ำระหว่างมื้อก่อน” มาคีบอก ในคนไข้ที่ต้องรับอาหารทางสายยาง ระหว่างมื้อคนไข้ก็ต้องได้รับน้ำไม่ต่างจากที่คนปกติกระหายน้ำ

“เอ่อ…” มาคีชะงัก

“ครับ เชิญครับ” ชายวัยสี่สิบขยับตัวหลบ

“ติ๊ด ติ๊ด” อุปกรณ์ตรวจสอบการเต้นของหัวใจดังติดๆ กันด้วยเสียงที่แปลกไป

“เอ่อ…” มาคีสูดลมหายใจถี่ “เอ่อ คุณภาคินัยรบกวนรอข้างนอกสักครู่นะคะ คุณเพ็งหัวใจเต้นผิดจังหวะ”

ลูกชายที่ยืนงงกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วรีบล่าถอยออกไปจากห้องให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงาน ก่อนออกไปเขาได้ยินเสียงพยาบาลพูดผ่านปุ่มเรียกพยาบาลคนอื่น

“ตามแพทย์เวรหน่อยค่ะ คนไข้เตียงหนึ่งวีแท็ก”

หลังจากนั้นความวุ่นวายปานกลางก็เกิดขึ้นในหอผู้ป่วยหัวใจ เสียงเครื่องช่วยชีวิตหลายเครื่องผลัดเปลี่ยนกันร้อง

“หนึ่ง สอง สาม เคลียร์นะครับ” เสียงแพทย์เวรก้องออกมา

ภาคินัยเดินไปเดินมาหน้าหอผู้ป่วย ความสับสนและร้อนใจทำให้เขาแทบจะป่วยตามพ่อ ประตูฝ้าทึบทำให้ไม่สามารถเห็นกิจกรรมในหอผู้ป่วยได้แต่เขารู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

“คีย์ คีย์” เหมือนฝันเขย่าตัวมาคีหลังจากที่เรียกชื่อหลายครั้งแล้ว หญิงสาวยังยืนตัวสั่นหลังจากที่กรีดร้องเสียงดัง

“คีย์ เป็นอะไร” เหมือนฝันตั้งคำถาม รู้สึกกังวลกับอาการของมาคี แต่ก็กังวลเกี่ยวกับเด็กหญิงมากกว่าเพราะเกรงว่าจะตกใจกลัวมาคีจนวิ่งหนีไป

“ไปเถอะ ไปกันพี่ฝัน ไปบ้านวาวา วาวาพาพี่ไปหาแม่เร็ว” มาคีเร่งรัด

“อะไรกันคีย์ ใจเย็นสิ เล่ามาก่อนว่ามีอะไรอีก” เหมือนฝันงุนงงและไม่รู้ว่าควรจะทำตามที่มาคีบอกดีหรือไม่

“เราต้องรีบไป เร็วๆ” มาคีเร่งเร้า

“ไปก็ไป ไปวาวาลูก ไปบ้านหนูกัน” คนที่อายุมากกว่าถอนหายใจ ถึงจะแคลงใจไม่น้อยกับท่าทางแปลกๆ ของมาคีแต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนตรงหน้าเป็นแบบนี้ และทุกครั้งที่แสดงท่าทางแบบนี้ก็มักเกิดเรื่องขึ้น

 

“ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจร้องกระชั้น

“สองร้อยจูน หนึ่ง สอง สาม เคลียร์” แพทย์เวรส่งสัญญาณ พยาบาลและผู้ช่วยพยาบาลที่ยืนรอบเตียงอีกสี่คนถอยออกห่าง รวมทั้งมาคีด้วย

“คีย์ ผมขอเวเลี่ยมสิบมิลลิกรัม” นายแพทย์หันไปบอกมาคี

“ค่ะ” หญิงสาวรับคำพร้อมกับรีบหักขวดยาเพื่อให้ผู้ป่วยที่ขณะนี้หัวใจเต้นผิดจังหวะและได้รับการช็อกไฟฟ้าจนภาวะหัวใจเต้นเริ่มดีขึ้น

บนเตียง ชายร่างทะมึนยืนเหยียบที่หน้าอกของลุงเพ็งที่ซีดเซียวหมดสติ มาคีชะงัก

“แบบนี้นี่เอง”

แล้วคำตอบที่ว่าอยู่ดีๆ นายเพ็งที่นอนสงบก็มีภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เต้นรัวจนเกือบช็อกก็ปรากฏ มาคีมือสั่นเล็กน้อยแต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเห็นเรื่องเช่นนี้ หญิงสาวพร่ำคำสวดภาวนา ในใจไม่ลืมสวดอุทิศส่วนกุศลให้

“โอ๊ย” มาคีร้องอย่างเจ็บปวด

“อะไรคีย์” พยาบาลเพื่อนร่วมเวรที่ยืนประจำตำแหน่งเครื่องช็อกไฟฟ้าถาม “ตายแล้ว เข็มแทงเหรอ” เลือดสีแดงซึมออกมา

“นิดเดียว เดี๋ยวเปลี่ยนเข็ม” มาคีบอกเสียงสั่น

“ดีนะที่เข็มยังไม่ได้ใช้” คนพูดถอนหายใจ

มาคีพร่ำสวดในใจต่อ มันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก ตอนที่เธอจรดเข็มฉีดยา ร่างทะมึนนั่นเข้าขวางไม่ให้เธอช่วยชีวิตลุงเพ็ง แต่…ลุงเพ็งเองที่เป็นคนมาขวางไม่ให้ร่างกำยำนั่นเข้าทำร้ายเธอ เงาดำทะมึนสองเงากอดรัดกันไปมา มาคีผสมยาใหม่แต่ยังสั่นไปทั้งตัวกับภาพน่ากลัวนั้น ร่างกำยำนั้นคือใคร ทำไมมาทำร้ายหมายชีวิตลุงเพ็ง แล้วลุงเพ็งเป็นอะไรถึงปรากฏตัวเหมือนคนตาย แล้วรู้ได้อย่างไรว่าร่างนั้นมาทำร้ายร่างที่นอนป่วยของลุง แล้วก่อนหน้านั้นลุงเพ็งไปไหนมา

 

“ไม่นะ ไม่” เสียงผู้หญิงสามคนร้องเสียงหลงสะท้อนไปมา เพราะเป็นยามค่ำเสียงร้องเลยดังชัดเจน

“แม่คะ แม่ อย่าทำแบบนี้” หนึ่งในเสียงร้องเป็นเสียงเด็กหญิงที่กรีดร้องพร้อมกับสะอื้นแทบจับความประโยคที่พูดไม่ได้

“คีย์ หามีดหรือกรรไกรให้หน่อย” เหมือนฝันเข้าประชิดร่างนั้นที่ตอนนี้แทบจะอยู่ในท่าแขวนคอเพราะเพิ่งเตะเก้าอี้นั่งตัวเล็กออกแต่มีเหมือนฝันเข้าไปอุ้มไว้แทนไม่ให้ร่างนั้นห้อยโยนอยู่กับขื่อ

“วาวา หยิบเก้าอี้มาให้พี่” เหมือนฝันสั่งพร้อมกับพยักหน้าไปทางเก้าอี้นั่งตัวสูงที่ซุกไว้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เด็กหญิงรีบวิ่งไปยกเก้าอี้ทั้งๆ ที่ยังร้องไห้หนักอยู่

“เอารองไว้ที่เท้าลูก” เหมือนฝันบอก

“คีย์ เจอมีดรึยัง เร็วๆ หน่อย พี่จะไม่ไหวแล้ว” ตอนนี้กล้ามเนื้อที่หัวไหล่คนอุ้มร่างนั้นเริ่มปวดและล้าจากน้ำหนักที่ทอดลงมาและอาการเกร็งที่ต้องพยุงร่างนั้นไม่ให้ร่วงพับลงมาเป็นอันตราย

“เจอแล้ว เจอแล้ว” มาคีตะโกนลั่นพร้อมกับวิ่งมาอย่างรวดเร็ว

“ตัดเลย” เหมือนฝันบอก ตอนนี้ไหล่ทั้งสองของเธอสั่นเทิ้มไปหมดแล้ว มาคีไม่รอให้อีกฝ่ายออกคำสั่งซ้ำ เธอรีบปีนขึ้นบนเก้าอี้ ตัดเชือกเส้นเขื่อง และช่วยพยุงร่างนั้นลงมาอย่างระมัดระวัง

“แม่ แม่อย่าเป็นอะไรนะ ถ้าแม่ตายแล้ววาวาจะอยู่กับใคร” เด็กหญิงร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน ร่างของคนที่พยายามฆ่าตัวตายถูกอุ้มและค่อยๆ วางให้นอนราบกับพื้น

มาคีและเหมือนฝันมองหน้ากัน รู้สึกโล่งอกจนต้องถอนหายใจยาวพร้อมกัน ไม่คิดว่าจะเป็นโชคดีที่มาคีและเหมือนฝันช่วยให้วาวากลับบ้านเร็วขึ้น ถ้าหากวาวาไม่เจอทั้งสองคนและต้องกลับบ้านมาคนเดียว หากต้องมาเจอสภาพของแม่ที่กำลังฆ่าตัวตายจะเป็นอย่างไร…ถ้ามาช้ากว่านี้อีกเพียงครึ่งชั่วโมง เหตุการณ์ต้องกลับกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าของเด็กหญิงวาวาแน่ๆ

“แม่อย่าทำแบบนี้อีก แม่ไม่อยู่วาวาจะทำยังไง” วาวาเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดมือหลังจากคนเป็นแม่ลืมตาตื่นมาอีกครั้ง

“แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษจริงๆ ” อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาที่ไหลรินตลอดเวลาไม่แพ้ลูกสาว ทั้งสองกอดกันแน่นพร้อมกับร้องไห้อย่างหนัก

 

“เกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย” เหมือนฝันถามหลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างน่าจะคลี่คลาย เวลาล่วงมาเที่ยงคืนกว่า ตอนนี้หญิงสูงวัยแม่ของวาวาดูใจเย็นลงมาก

“ฉันต้องขอโทษคุณสองคนจริงๆ ค่ะ ไม่น่ามาเห็นเรื่องที่ฉันทำไปเมื่อกี้นี้เลย น่าอายจริงๆ” คนพูดยิ้มมุมปากน้อยๆ  แต่รอยยิ้มนั้นกลับดูเศร้ายิ่งขึ้นไปอีก

“พี่สัญญาได้ไหมคะว่าจะไม่ทำแบบนั้นอีก สงสารวาวา” เหมือนฝันคาดคั้น

“สัญญาค่ะ จะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” คนพูดสะอื้นอีกรอบ

“มีอะไรให้เราสองคนช่วย เล่าได้นะคะ” มาคีพูด น้ำเสียงและสายตาหมายความตามนั้นจริงๆ

“ไม่เป็นไรค่ะ เรื่องเมื่อกี้แค่อารมณ์ชั่ววูบจริงๆ” อีกฝ่ายยืนยัน “คือ เจ้าของห้องเช่านี้เขาจะให้พี่ออกภายในอาทิตย์หน้าเพราะพี่ค้างค่าเช่าเขามาสามเดือน แต่พี่ไม่มีเงินไปเช่าที่อื่น ที่นี่ถูกที่สุดแล้ว” หญิงสูงวัยกว่าเริ่มเล่าถึงเรื่องราวที่นำไปสู่การฆ่าตัวตาย

“แล้วพี่จะทำอย่างไรคะ” มาคีถามรู้สึกเศร้าไปกับเรื่องของครอบครัวนี้

“ก็คงจะเร่ร่อนสักพัก แต่ไม่เป็นไร ชลบุรีมีคนเร่ร่อนอยู่เหมือนกัน เขาอยู่ได้พี่กับลูกก็ต้องอยู่ได้ แล้วค่อยหาทางรับจ้างรายวัน” น้ำเสียงคนพูดปลดปลงแต่หนักแน่น

“เป็นผู้หญิงจะไปเร่ร่อนได้ยังไงคะ” เหมือนฝันทำเสียงไม่เห็นด้วย

“ก็จนกว่าพี่จะมีงานประจำ ก่อนหน้านี้พี่ก็มีงานนะ เป็นพนักงานขายของที่ห้าง แต่เจอพิษโรคระบาดช่วงนี้เลยตกงาน” คนพูดยิ้มเศร้า “แต่ไม่เป็นไร สักวันมันต้องดีขึ้น”

มาคีมองห้องเช่าเล็กๆ  ห้องนี้เป็นห้องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กนิดเดียวมีห้องน้ำและระเบียง ที่ตั้งห้องเช่าก็ไม่ได้อยู่ในพื้นที่ค้าขาย ดูแล้วค่าเช่าก็ไม่น่าแพงมาก ห้องเช่านี้แทบไม่มีอะไรเลย มีตู้เสื้อผ้าที่น่าจะเป็นของใช้ที่เจ้าของห้องจัดหาไว้ให้ผู้เช่า บนหลังตู้เสื้อผ้ามีรูปผู้ชายคนหนึ่งส่งยิ้มมาให้

“นั่นคุณพ่อน้องวาวาหรือคะ” มาคีถาม

“ใช่ค่ะ เสียไปเมื่อห้าปีก่อน ถ้าเขายังอยู่เราสองคนแม่ลูกคงไม่ลำบากแบบนี้” คนพูดจ้องที่รูปของสามีด้วยสายตารักใคร่ ใบหน้านั้นดูเศร้าและอมทุกข์

“เรื่องอื่นค่อยคิดพรุ่งนี้ละกันค่ะ คืนนี้พี่กับวาวาไปนอนกับเราสองคนที่รีสอร์ตละกัน คีย์ไม่วางใจ”   มาคีบอก

“ฝันเห็นด้วยค่ะ เราเช่าบ้านรีสอร์ตไว้หลังนึงมีสองห้องนอน คืนนี้พี่กับวาวาไปนอนกับเราก่อนนะ คืนนี้นอนพักพรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางใหม่” เหมือนฝันเสริมน้องสาว เพราะอย่างไรเสียถ้าคืนนี้ปล่อยสองคนแม่ลูกไว้ที่ห้องเช่าเธอคงนอนไม่หลับ

“ไม่เป็นไรค่ะ พี่เกรงใจ อีกอย่างพี่ไม่ทำแบบนั้นอีกแน่ๆ” คนพูดยืนยันหนักแน่น

“ไม่ต้องเกรงใจค่ะ บางทีพรุ่งนี้ฝันจะช่วยพี่หางานนะ ที่พัทยามีเครือข่ายโรงพยาบาลที่ฝันทำงานด้วย ฝันจะโทรถามฝ่ายบุคคลว่ารับแม่บ้านไหม” เหมือนฝันทำท่าคล้ายเพิ่งนึกได้

“จริงหรือคะ คุณจะช่วยพี่หางานหรือ” อีกฝ่ายพูดน้ำเสียงกระตือรือร้นขึ้นอย่างมีความหวัง

“ถ้าเป็นแม่บ้าน ทำความสะอาดพี่ทำได้ไหมคะ” เหมือนฝันถาม “งานไม่เหมือนพนักงานขายเลยค่ะ”

“ได้ค่ะได้ งานอะไรก็ได้ที่หาเงินได้และสุจริต คุณพักกันที่ไหนคะ” เมื่อพูดถึงความหวังที่จะได้งานแม่ของวาวาก็ดูจะโอนอ่อนตามความเห็นของมาคีและเหมือนฝัน

 

“รีสอร์ตนี้สวยจังเนาะพี่ฝัน” แม้จะเป็นยามดึกแต่แสงไฟประดับที่หน้ารีสอร์ตหนึ่งที่รถสองแถวขับผ่านก็สวยงาม

“ใช่ๆ  นี่ไง…”

“สวยแต่ขี้โกง คุณอย่าไปพักนะคะ” วิภาวรรณพูดแทรก

หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ห้องเช่า มาคีและเหมือนฝันได้พูดโน้มน้าวจนแม่ของวาวายินยอมมาพักที่     รีสอร์ตที่ผู้หญิงสองคนพัก เธอแนะนำชื่อตัวเองว่าวิภาวรรณ ทั้งสองคนเรียกเธอสั้นๆ ว่า ‘วิภา’

“คะ?” เสียงลมพัดอึงจนได้ยินอะไรไม่ชัดเพราะทั้งสี่คนนั่งที่ตอนหลังของรถสองแถว

“ไม่ว่าจะมาชลบุรีกี่ครั้ง คุณสองคนก็อย่ามาพักรีสอร์ตนี้นะคะ ขี้โกง” วิภาวรรณยืนยัน เธอพูดอะไรต่ออีกสองสามประโยคแต่มาคีและเหมือนฝันไม่ได้ยินเพราะเสียงลมกลางคืนปะทะแรง

 

“เขาตามเรามาตั้งแต่ออกจากบ้านเช่า” มาคีบอกเหมือนฝันหลังจากที่ส่งสองแม่ลูกเข้านอน และกำชับวาวาว่าไม่ให้ล็อกกลอนประตู

“ใคร” เหมือนฝันขมวดคิ้ว รู้สึกเมื่อยขบเพราะอาการเครียดจัดจากเหตุการณ์ก่อนหน้า

“วิญญาณใครก็ไม่รู้” มาคีกระโดดขึ้นเตียง

“หา อะไรนะ” เหมือนฝันรีบผละจากการหวีผมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กระโดดขึ้นเตียงตามมาคี “ใคร เขาเป็นใคร” หญิงสาวคาดคั้น

“ไม่รู้เลยพี่” มาคีบอกพร้อมกับทำสีหน้ายุ่งยาก

“ยัยคีอย่ามาทำให้พี่กลัวนะ เล่ามา” เหมือนฝันทำเสียงดุ ไม่ชอบเหตุการณ์แบบนี้ เธอไม่รู้อะไรเลยนอกจากรอฟังเรื่องเล่าผ่านมาคี ซึ่งน่าอึดอัดใจอย่างที่สุด

“มองเห็นไม่ชัด รู้แต่ว่าเป็นผู้ชาย เขาตามเรามาตั้งแต่ออกบ้านเช่า ตอนนี้ยืนอยู่นอกบ้าน” มาคีพยักหน้าไปทางประตู เหมือนฝันหน้าซีด ทั้งกลัวทั้งอยากรู้

“พ่อน้องวาวาหรือเปล่า” เหมือนฝันสันนิษฐาน

“น่าจะใช่ เขาไม่ได้คิดทำร้ายใคร ก็น่าจะพ่อน้องวาวา” มาคีเดา

“น่าสงสารนะ มีห่วงหนักเหลือเกิน เห็นพี่วิภาว่าแกเสียมาห้าปี” คนพูดพยายามระลึกความ “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นวิญญาณเร่ร่อนมาห้าปีแล้วสิ”

“เราช่วยอะไรเขาได้ไหม” เหมือนฝันถาม ความรู้สึกปะปนทั้งกลัวทั้งสงสาร

“เรื่องบางเรื่องเราก็ช่วยไม่ได้หรอกพี่ฝัน มันเป็นเวรกรรมของเขา” มาคีถอนหายใจ “ว่าแต่ที่พี่วิภาบอกว่ารีสอร์ตข้างๆ เราขี้โกง พี่ฝันกำลังจะบอกอะไร คีย์ไม่ได้ยินเสียงรถมันดัง” มาคีถาม

“พี่จะบอกว่ารีสอร์ตข้างๆ นี่เป็นของคุณเพ็ง พ่อคุณภาคินัยไง” เหมือนฝันบอก

“อ้าวเหรอ” อีกฝ่ายพึมพำ ทั้งสองคนมองหน้ากันรู้สึกหน่วงๆ เพราะคุณภาคินัยที่ทั้งสองรู้จักเป็นคนสุภาพ มีน้ำใจ และกตัญญู แต่คืนนี้ทั้งสองคนกลับได้รับฟังอีกมุมจากวิภาวรรณ คนที่กำลังจะฆ่าตัวตายคงไม่กุเรื่องไร้สาระขึ้นมาพูดหรอก นอกจากจะมีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันทำให้อีกฝ่ายจำฝังใจเช่นนั้น

 

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจดังกระชั้นในเวลาห้าทุ่มกว่า

เวรบ่ายวันนี้มาคีขึ้นเวรคู่กับเหมือนฝัน คนไข้ในหอผู้ป่วยอายุรกรรมมีเยอะแต่ไม่เต็มทุกเตียง ผู้ป่วยเตียงหนึ่งยังเป็นนายเพ็ง และยังใส่เครื่องช่วยหายใจ หน้าจอควบคุมสัญญาณชีพแสดงผลค่าออกซิเจนในเลือดต่ำ ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ

“ทำไมออกซิเจนต่ำนะ” เหมือนฝันไล่ตรวจอุปกรณ์ช่วยหายใจ ไม่มีตรงไหนรั่วหรือข้อต่อหลุด การแสดงการทำงานของเครื่องปกติ ออกซิเจนยังถูกบีบอัดปกติ…

“ทำไมคุณต้องทำร้ายลุงเพ็งด้วย” แทนที่มาคีจะช่วยเหมือนฝันหาจุดเสียของอุปกรณ์ช่วยหายใจ หญิงสาวกลับตั้งคำถามขึ้นมาเฉยๆ

“อะไรคีย์” เหมือนฝันถาม

“ก็วิญญาณใครไม่รู้มาทำร้ายลุงเพ็ง หลายครั้งแล้ว คุณต้องการอะไร จะให้เราทำบุญไปให้ไหมคะ” มาคีถาม เหมือนฝันผละจากเครื่องช่วยหายใจมายืนมองที่เตียง ร่างหมดสติของลุงเพ็งนอนกระสับกระส่าย

“คุณอยากได้อะไร ฉันจะทำบุญไปให้ พอเถอะ อย่าสร้างเวรกรรมต่อเลย” เหมือนฝันพนมมือไหว้ เพราะเป็นเวรกลางคืน คนไข้ในหอผู้ป่วยหลับไปแล้ว ตอนนี้เจ้าหน้าที่มีแต่พยาบาลสาวสองคนจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็นมาคีพูดคนเดียว

“ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องช่วยหายใจร้องเตือนห่างไป หน้าจอที่กะพริบสีแดงก็เริ่มห่างขึ้น

“เขาโอเคแล้วใช่ไหม” เหมือนฝันกระซิบ

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” จากที่เครื่องเริ่มเงียบไป ครั้งนี้กลับร้องกระชั้นและดังกว่าเดิม

“อะไร ทำไมล่ะ” เหมือนฝันเลิ่กลั่กมองซ้ายขวาทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเธอไม่มีทางมองเห็นสิ่งที่มาคีเห็น

“ลุงเพ็งมา เขา…เหมือนจะสู้กัน”มาคีบอก สายตายังจับที่เตียงนิ่ง

“อะ อะไรนะ” เหมือนฝันทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ  วิญญาณมาตีกันในหอผู้ป่วยอย่างนั้นหรือ “ทำไม”

“เหมือนวิญญาณอีกดวงจะพยายามเข้าร่างลุงเพ็ง” มาคีกระซิบ

“อะไรนะ บ้าไปแล้ว เข้าร่างแบบสิง ผีสิงน่ะหรือ” เหมือนฝันทำท่าเหมือนจะเป็นลม แค่นึกภาพตามที่มาคีเล่าก็รู้สึกหายใจไม่ออก

“นั่นสิพี่ฝัน นี่มันเรื่องอะไรก็ไม่รู้” มาคีคราง เธอเองก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร เรื่องของลุงเพ็งสับสนเกินไป ลุงเพ็งที่นอนหมดสติอยู่นั่นมีวิญญาณปองร้ายหมายเอาชีวิต แต่ก็มีวิญญาณของลุงเพ็งปกป้องร่างกายของลุงไว้อีกที แล้วสถานการณ์พิสดารแบบนี้จะจบลงอย่างไร มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้…

 

“อ้าว พี่วิภาวรรณมาได้ไงคะ” มาคีที่เพิ่งเสร็จจากการวัดสัญญาณชีพคนป่วยทัก หญิงสาวเห็นวิภาวรรณก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องทำงานพยาบาล

“สวัสดีพี่คีย์หรือยัง” วิภาวรรณเตือนเด็กหญิงวาวาที่ตอนนี้พนมมือไหว้มาคีแล้ว ท่าทางเด็กหญิงออกจะตื่นเต้นมาก

“สวัสดีค่ะวาวา” มาคียิ้ม “พี่ฝันอยู่ข้างในเข้ามาก่อนสิคะ”

“พี่อยากคุยกับคุณคีย์ค่ะ วาวาไปนั่งรอตรงโน้นก่อน” วิภาวรรณพยักหน้าไปทางเก้าอี้ยาวที่ทางเข้าหอผู้ป่วย เด็กหญิงทำตามอย่างว่าง่าย

“มีอะไรหรือเปล่าคะ หรือว่างานที่หาให้ไม่โอเค” มาคีถามอย่างสงสัย และกังวลเกรงว่างานแม่บ้านของโรงพยาบาลจะหนักเกินไปสำหรับคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างวิภาวรรณ

“คุณเพ็งรักษาตัวอยู่ที่นี่หรือคะ” วิภาวรรณตั้งคำถามจู่โจม มาคีมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย…

“คุณวิภาวรรณรู้จักคนชื่อเพ็งหรือคะ” มาคีตั้งคำถามกลับ ข้อมูลผู้ป่วยไม่ใช่เรื่องที่สมควรเปิดเผย

“คุณเพ็งเป็นเจ้าของรีสอร์ตที่ชลบุรีใกล้ๆ ที่คุณคีย์ไปพัก” อีกฝ่ายอารัมภบท มาคีขมวดคิ้วอย่างสงสัย วันนี้หอผู้ป่วยอายุรกรรมคนป่วยไม่มาก ไม่มีคนป่วยอาการหนักที่ต้องติดตามอาการตลอดเวลา มาคีเลยมีเวลาคุยกับวิภาวรรณ

“คะ” พยาบาลสาวตอบรับพร้อมกับเน้นเสียงให้อีกฝ่ายพูดต่อ

“ที่ดินครึ่งหนึ่งของรีสอร์ตเป็นของคุณดนัย” คนพูดถอนหายใจ “สามีพี่ เขาเป็นน้องชายคนละแม่กับคุณเพ็ง”

“ค่ะ” มาคีตอบรับ พยายามคิดตามเรื่องที่อีกฝ่ายต้องการสื่อสาร

“คือ” วิภาวรรณดูอึกอัก “มันมีเรื่องโกงมรดกกัน” หลังคนพูดได้ปลดปล่อยเรื่องที่อยากพูด วิภาวรรณดูผ่อนคลายขึ้น

“คุณดนัยน่ะ หวังในที่ดินผืนนี้เพื่อใช้ทำกินมาก สุดท้ายไม่ได้อะไร แล้วแกก็ฆ่าตัวตาย จริงๆ ทางคุณเพ็งมีสมบัติเก่าจากพ่อเขามาก แต่เขาจงใจยึดที่ดินผืนนี้เพราะโกรธแทนแม่ที่มามีอนุภรรยาคือแม่คุณดนัย” วิภาวรรณพูด

“เอ่อ…” มาคีพึมพำ ก่อนจะหันไปมองที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง คนที่นอนอยู่บนเตียงหายใจสงบตามการบีบของเครื่องช่วยหายใจ

“แล้วคุณวิภาวรรณ คือ…” มาคีรู้สึกอึดอัดที่จะต้องพูด “ต้องการอะไรคะ ถึงมาตามหาคุณเพ็ง”

“พี่รู้ว่าคุณคีย์รู้ว่าคุณดนัยยังอยู่นะ”

“อ่ะ เอ่อ” มาคีเลิกคิ้ว ไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรดี จริงๆ ก็เพิ่งรู้ว่าวิญญาณที่วนเวียนทำร้ายลุงเพ็งคือน้องชายต่างมารดาของลุงเพ็งเอง และวิญญาณที่ตามติดมาคีที่ชลบุรีที่บ้านวาวาคือคุณพ่อของวาวา

“แล้วคุณวิภาวรรณจะทำยังไงต่อคะ” เหมือนฝันพูดมาจากประตูห้องทำงาน หญิงสาวได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ก็น่าจะนานพอที่จะจับใจความได้

“พี่อยากให้คุณดนัยอโหสิกรรมให้คุณเพ็งเสียที พี่สงสารเขา เขาทุกข์ทรมานจากความแค้นมาก พี่อยากให้เขาอโหสิกรรม ดวงวิญญาณเขาจะได้สงบเสียที” วิภาวรรณพูด

“พี่รู้ได้ยังไงคะว่าคุณดนัยยังอยู่” เหมือนฝันสงสัย ตัวเธอเองถึงแม้จะสนิทกับมาคีแต่ไม่ได้สัมผัสดวงวิญญาณบ่อยๆ เหมือนน้องสาว

“สามีภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกันนั่นแหละค่ะ พี่รู้ ไม่อย่างนั้นพี่จะรู้ว่าคุณคีย์เห็นคุณดนัยได้ยังไง” วิภาวรรณมองหน้ามาคีที่ไม่พูด ไม่มีคำตอบอะไร “เขาห่วงวาวา ก่อนที่พี่จะเจอคุณสองคน คุณก็เห็นว่าวาวาต้องออกไปขายของตอนกลางคืน ต้องรับจ้างสารพัด ตอนนั้นลำบากขนาดที่วาวาต้องลาออกจากโรงเรียน” วิภาวรรณเช็ดน้ำตา

“ลำบากขนาดนั้นแล้วพี่ให้อภัยคุณเพ็งได้หรือ” เหมือนฝันถาม

“พี่ให้อภัยได้ เพราะคุณเพ็งไม่ได้ทำร้ายพี่เหมือนทำร้ายคุณดนัย พี่อยากให้สามีพี่สุขสงบสักที” คนพูดหันไปมองวาวา

“อุ๊ย ขอโทษค่ะ” เด็กหญิงตัวผอมยกมือไหว้ชายผู้เข้ามาใหม่ น้ำในแก้วกระดาษหกเลอะเปื้อนกางเกงอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรลูก” คนพูดยิ้มให้ “มาเยี่ยมใครเอ่ย กินขนมไหม” อีกฝ่ายค้นขนมในตะกร้าที่เตรียมมา

“คุณภาคินัย” ทั้งมาคีและเหมือนฝันอุทาน น้ำเสียงออกจะตกใจ ไม่ทันตั้งตัวที่คู่กรณีปรากฏตัวในเวลาเดียวกัน

“ลูกชายคุณเพ็ง” วิภาวรรณพูด

“คุณรู้จักหรือคะ” มาคีถาม

“ก็ต้องรู้จักสิคะ” วิภาวรรณยิ้ม มองไปที่ชายวัยสี่สิบที่ยื่นกล่องขนมเค้กให้เด็กหญิงวาวาในขณะที่อีกฝ่ายส่ายศีรษะปฏิเสธ

“คุณแม่อนุญาตนะครับ” ภาคินัยเงยหน้าถามวิภาวรรณ ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่าย

“เอ่อ…” ชายผู้เข้ามาใหม่คล้ายอ้ำอึ้งไม่รู้จะวางตัวอย่างไร แสดงว่าเขาคงไม่รู้จักเด็กหญิงวาวา

“ขอบคุณคุณลุงหรือยัง” วิภาวรรณพูด น้ำเสียงไม่ได้ตะขิดตะขวงใดๆ “นี่หนูวาวา ลูกสาวคุณดนัยค่ะ”

“อ้อ หนูวาวา” ภาคินัยยื่นกล่องขนมเค้กให้

 

“ตื๊ด ตื๊ด” เสียงอุปกรณ์ทางการแพทย์เตือนเสียงดังรัว มาคีและเหมือนฝันหันไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งทันที ช่วงนี้ไม่มีใครที่อาการขึ้นๆ ลงๆ เท่าลุงเพ็งอีกแล้ว

“พ่อ พ่อเป็นอะไรครับ” ภาคินัยทำหน้าตื่น

ที่เตียงหมายเลขหนึ่งเหตุการณ์เดิมที่มาคีเห็นกลับมาอีกครั้ง ร่างที่นอนนิ่งของนายเพ็งมีเงาดำทะมึนคร่อมบีบคอจนออกซิเจนในร่างกายลดต่ำจนน่ากลัว เครื่องช่วยหายใจไม่สามารถบีบอัดอากาศเข้าปอดได้จึงร้องรัวเร่งเร้า แต่เหตุการณ์เกิดไม่นาน ร่างทะมึนอีกร่างปรากฏ เข้าดึงต่อสู้กันพัลวัน คนที่นอนนิ่งดิ้นไปมาเหมือนคนที่กำลังขาดอากาศ

“พี่ลองพูดกับคุณดนัยนะคะ” มาคีบอก

“เขาอยู่ตรงนั้นหรือคะ” วิภาวรรณเบิกตาโพลง มาคีพยักหน้ารับ

“พี่ดนัยพอเถอะค่ะ หยุดเถอะ อโหสิกรรมต่อกันเถอะนะคะ ฉันดูแลลูกได้ ฉันจะหาทางให้ลูกเรียนหนังสือสูงๆ ไม่ให้ลาออกอีกแล้ว” คนพูดพูดไปเช็ดน้ำตาไป วิภาวรรณเห็นเพียงร่างคนป่วยที่นอนดิ้นไปมาอย่างทุรนทุราย

“หยุดสร้างกรรมเถอะนะคะ พี่วิภาวรรณดูแลน้องวาวาได้แน่ๆ  ตอนนี้พี่วิภาวรรณมีงานทำแล้ว”   มาคีบอก ร่างทะมึนทั้งสองยังเข้าต่อสู้กันชุลมุน

“เขาหยุดหรือยังคะ” วิภาวรรณถามมาคี อีกฝ่ายส่ายศีรษะ

“พี่หยุดเถอะนะ วันนี้ฉันพาลูกมาหา มาขอร้องพี่ อยากให้พี่สุขสงบ บางทีในชาติหน้าเราสามคนพ่อแม่ลูกอาจกลับมาเจอกันอีก”

“นี่เกิดอะไรขึ้นครับ” ภาคินัยถามน้ำเสียงร้อนรน

“ฉันสัญญาว่าจะช่วยดูแลพี่วิภาวรรณกับวาวานะคะ คุณไม่ต้องห่วงทั้งสองคน” เหมือนฝันยืนยันอีกคนแม้จะมองไม่เห็นความวุ่นวายตรงหน้า

“มีอะไรที่ผมช่วยได้ไหมครับ” ภาคินัยทำหน้าเลิ่กลั่ก

“บอกให้พ่อคุณขอโทษ ขออโหสิกรรมคุณดนัยสิ” วิภาวรรณบอก เสียงเครื่องช่วยหายใจร้องเตือนดังลั่น

“อะ อะไรนะครับ” ลูกชายนายเพ็งยังสับสนกับเหตุการณ์ตรงหน้า

“อาดนัยอยู่นี่หรือครับ” ภาคินัยเรียกอีกฝ่ายว่าอาในฐานะน้องต่างมารดาของพ่อ แม้อายุจะไม่ห่างจากตัวเองมากนัก “แล้วที่พ่อผมเป็นแบบนี้เพราะอาดนัยหรือครับ” น้ำเสียงภาคินัยขุ่นเคืองจนจับได้

“ทำไมอาต้องทำร้ายพ่อด้วย เป็นพี่น้องกันทำร้ายกันจนตายได้หรือ” ชายวัยสี่สิบพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“พี่น้องกันทำร้ายกันจนตาย” วิภาวรรณพูดตาม “นั่นสิ ทำไมพี่น้องกันทำร้ายกันจนตาย คำถามนี้ต้องถามพ่อคุณนะ โกงน้องจนน้องเครียดฆ่าตัวตาย ทำไมทำแบบนั้น”

“ฮะ อะไรนะ คุณพูดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง” ภาคินัยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่พอใจ “ผมไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้” ภาคินัยเสียงแข็ง “พ่อผมมีสมบัติเยอะแยะ จะไปโกงสามีคุณทำไม” คนเป็นลูกชายเถียงแทนพ่อ

“ถามพ่อคุณสิ ทำไมทำร้ายน้องชายที่ไม่มีทางสู้ บีบเขาจนเขาฆ่าตัวตาย” วิภาวรรณพูดเสียงดังสั่นเครือ ในใจเต็มไปด้วยความอัดอั้น

“ฆ่าตัวตายเพราะพ่อผม” ภาคินัยขมวดคิ้ว จ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างคาดคั้น แต่สายตาของวิภาวรรณแน่วนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นไม่มีทีท่าของคนโกหกแต่อย่างใด

“หลังคุณดนัยตาย ครอบครัวเราลำบากที่สุด ลำบากขนาดวาวาต้องออกจากโรงเรียน ฉันยอมรับว่าตอนนั้นฉันเองก็แค้น อยากให้ครอบครัวของคุณหายนะ”

“แล้วทำไมอาดนัยไม่เคยบอกผม” ภาคินัยพึมพำ ใจหนึ่งก็เสียความรู้สึกที่ได้ฟังด้านร้ายของพ่อ อีกใจก็รู้สึกผิดที่เขาไม่เคยสังเกตอะไรเลย ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอาดนัยมีลูกสาวชื่อวาวา และมีชีวิตลำบากขนาดนั้น

“นี่มันเรื่องจริงหรือครับ” แม้ว่าเขาจะลังเลกับเรื่องที่ได้ยิน แต่ภาพลักษณ์ของพ่อที่แสนดีในสายตาเขาก็ไม่อาจลบไปได้ ภาคินัยได้แต่ตั้งคำถามอย่างสงสัย

“ถ้าคุณไม่เชื่อว่าดนัยฆ่าตัวตายเพราะถูกโกง คุณก็ดูสภาพฉันกับลูกเอาเองเถอะ ว่าภาพตรงหน้าคุณมันโกหกไหม” วิภาวรรณพูด เธอไม่ได้ต้องการให้ใครเชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องระหว่างนายเพ็งและดนัยเพราะเธอหมดใจเรื่องนี้ไปนานแล้ว สิ่งที่เธอทำได้ตอนนี้คือหาทางมีชีวิตอยู่ดูแลลูกสาวให้ได้เรียนหนังสือแค่นั้น

“อาดนัยครับ ผมภาคินัยนะครับ” ภาคินัยยกมือไหว้ไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งที่นายเพ็งนอนดิ้นทุรนทุราย “ผมขออโหสิกรรมแทนพ่อได้ไหม อย่าจองเวรกันอีกเลย ผมสัญญาจะดูแลครอบครัวอา จะคืนรีสอร์ตทั้งหมดให้หนูวาวา”

ร่างทะมึนยืนนิ่งคล้ายรับฟัง แต่ก็ไม่นานเพราะอีกร่างกลับจู่โจมทำร้าย

“คุณภาคินัยบอกพ่อคุณหยุดและอโหสิกรรมนะคะ วิญญาณคุณเพ็งไม่ยอมอโหสิกรรมตามที่คุณบอก” มาคีบอกภาคินัยเมื่อเงาดำอีกเงาเข้าทำร้าย

“พ่อครับ พอเถอะนะครับ อโหสิกรรมให้อาดนัย ทั้งสองจะได้ไปสงบและเห็นทางสว่าง อโหสิกรรมให้กันและกันนะครับ” ภาคินัยเดินไปยืนข้างๆ ร่างของนายเพ็ง “ผมไม่อยากให้พ่อทรมานอีกแล้ว” ลูกชายกุมมือพ่อที่ตอนนี้เกร็งไปทั้งแรง

“พ่อขา ไม่ต้องห่วงหนูนะ หนูจะเป็นเด็กดี จะดูแลแม่” เหมือนว่าทั้งกลุ่มจะลืมไปว่าเด็กหญิงวาวายืนอยู่ด้วย จนเมื่อเด็กหญิงร่างผอมเข้าไปยืนข้างๆ ภาคินัยและพูดกับวิญญาณของดนัย

ร่างทะมึนร่างหนึ่งหันมาพร้อมกับยืนนิ่งคล้ายร่างนั้นกำลังร้องไห้อย่างหนัก แต่อีกร่างกลับทำตรงกันข้าม เข้ารุมทึ้งร่างที่ยืนสงบไม่หยุด

“พอแล้วคุณเพ็ง อโหสิกรรมต่อกันนะ ประตูเปิดแล้ว” มาคีบอก ที่ไม่ไกลหญิงสาวเห็นแสงสว่างวาบขึ้นมาที่ปลายทางสะพานทอดไกลปรากฏ “คุณภาคินัยบอกคุณเพ็งให้ขอโทษ และอโหสิกรรมสิ จะไม่ทันแล้ว” มาคีบอกน้ำเสียงร้อนรน

“ไม่ ไม่มีวัน ไอ้ลูกเมียน้อย” เงาดำนั้นสบถ สองมือยังบีบคออีกร่างแน่น

แสงสว่างวาบปะทะมาอย่างแรง ร่างทะมึนแยกจากกัน เงาของร่างหนึ่งกระเด็นไปยังทางสว่างปรากฏเป็นชายวัยล่วงห้าสิบแต่งกายสะอาดสะอ้านหันมามองมาคี

“ฝากบอกวิภาวรรณด้วยว่าผมรักเธอมาก บอกวาวาว่าพ่อรักหนูที่สุด” ดนัยพูดกับมาคี อีกฝ่ายพยักหน้ารับและสื่อสารให้สองแม่ลูกที่ตอนนี้กอดกันร้องไห้เพราะสัมผัสได้ถึงการจากลาอย่างแท้จริง

“พ่อผมล่ะ พ่อผม” ภาคินัยพร่ำพูดอย่างตกใจ อากาศที่อยู่ๆ เย็นจัดกะทันหันสื่อให้รู้ว่ามีเหตุการณ์ที่เขามองไม่เห็นกำลังดำเนินอยู่ตรงหน้า

เงาทะมึนอีกร่างถูกผลักไปยังเส้นทางมืดมน บนเส้นทางเต็มไปด้วยไฟที่ร้อนรนแต่ไม่สว่างพอให้มองเห็นปลายทาง

“พ่อคุณกำลังจะไปค่ะ” มาคีบอก

“พ่อไปดีใช่ไหม” ภาคินัยถาม หันมามองหน้ามาคีที่ขมวดคิ้วแทนคำตอบ “ผมต้องทำยังไง ทำยังไงดี” ชายวัยสี่สิบทรุดลงไปนั่งกับพื้น “พ่อผมไปแบบไม่สงบใช่ไหม” แทนคำตอบมาคีหลบสายตานั้น

“ผมเป็นลูกที่เลว ช่วยพ่อไม่ได้”

“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ไม่มีใครเลือกทางให้ใครได้นอกจากตัวเอง คุณเพ็งเลือกที่จะยึดติดกับความเคียดแค้น” มาคีมองลูกชายลุงเพ็งที่นั่งร้องไห้ไม่หยุด “คุณทำได้แค่ทำบุญและขออโหสิกรรมให้คุณเพ็ง”

แสงสว่างของสะพานเริ่มเลือนหาย ดนัยเดินไปตามสะพานข้ามรุ้งที่สว่างหลังจากตกอยู่กับความอาฆาตแค้นมาห้าปี ตอนนี้วิญญาณของเขาอโหสิกรรมและปล่อยวาง สะพานสว่างกำลังจะพาเขาไปในที่สว่าง ในอีกด้านความมืดหม่นกลืนกินเงาทะมึน ไฟแค้นระอุกำลังแผดเผาร่างนั้น

หน้าจอเครื่องติดตามสัญญาณชีพของเตียงสังเกตอาการหมายเลขหนึ่งสับสนไปมา เริ่มจากจังหวะการเต้นของหัวใจที่เต้นเร็วไม่เป็นจังหวะจนลดต่ำลง ความดันโลหิตก็เช่นกัน จากที่พุ่งสูงในตอนแรก ตอนนี้กลับลดต่ำจนวัดสัญญาณชีพไม่ได้…ร่างบนเตียงดิ้นพล่าน แผ่วลง และเงียบไปในที่สุด

“หวังว่าบุญที่อาตมาทำจะส่งถึงโยมพ่อนะ” พระภาคินัยก้มลงกราบพระประธานในโบสถ์ หลังงานศพของนายเพ็ง บุตรชายบวชหน้าไฟให้และศึกษาธรรมะต่อมาเป็นเวลาถึงสามเดือนแล้ว พระภาคินัยหวังเพียงแสงสว่างน้อยนิดจะนำทางนายเพ็งออกจากความมืดมนที่นายเพ็งได้เลือกไว้ในเวลาที่ก้าวผ่านสะพานสีรุ้ง

 



Don`t copy text!