
สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 5 : ยามเช้า
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
“ไม่ได้นะคะ ลุงเจิดกินแบบนี้ไม่ได้” คำพูดห้ามปรามดังมาจากเขตผู้ป่วยอาการคงที่
“ไม่ได้ค่ะ เนื้อยังไม่สุก มันสกปรก คราวหลังห้ามญาติเอาเนื้อดิบมาให้ลุงอีกนะคะ” เสียงผู้หญิงคนเดิมยังดังเข้ามาในห้องทำงานพยาบาล
“คีย์ คีย์ไปดูพี่นิตยาหน่อย ลุงเจิดแก แก เอ่อ” ผู้ช่วยพยาบาลวิ่งมาขอความช่วยเหลือที่ห้องพยาบาลหน้าตาตื่น
“มีอะไรกันหรือ” มาคีที่กำลังตรวจความถูกต้องของยาฉีดกับตัวผู้ป่วยอยู่เงยหน้ามาถาม
ค่ำวันทำงานปกติ มาคีขึ้นเวรบ่ายคู่กับนิตยาพยาบาลรุ่นพี่ วันนี้ผู้ป่วยไม่มากนักคนไข้ในส่วนสังเกตอาการใกล้ชิดไม่มี มีแต่คนไข้ทั่วไปที่รอให้ยา หรือติดตามอาการแบบไม่เร่งด่วน
“ป้าดวงใจ ภรรยาลุงเจิดสิ เอาเนื้อดิบมาให้ ลุงเจิดแกจะกินเนื้อดิบ” คนพูดๆ จบก็ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เนื้อดิบๆ เลยนะคีย์ พี่ดูไม่ไหวจะเป็นลม”
“ทำไมป้าดวงใจเอาของแบบนั้นมาเยี่ยมคนป่วย” มาคีถาม อีกฝ่ายส่ายศีรษะรับ คนที่กำลังตรวจเช็กยาอยู่เลยผละจากรถเตรียมฉีดยาไปหาพยาบาลคู่เวรบ่าย
“พี่นิดมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คีย์” แทนคำตอบ มาคีมองไปที่ผู้ป่วยชายวัยห้าสิบแปดที่ตอนนี้ในมือมีเนื้อสีแดงสด ชายคนนั้นพยายามดึงมือออกจากการดึงของนิตยา
“ตายแล้ว ลุงเจิดกินแบบนี้ไม่ได้นะคะ” มาคีเข้าไปช่วยพยาบาลคู่เวรดึงเนื้อสดออกจากมือผู้ป่วย
“ปล่อยนะ ปล่อย จะมายุ่งอะไรกับกู ปล่อย” เสียงเอะอะโวยวายโกรธเกรี้ยวของคนป่วยดังลั่นจนคนไข้คนอื่นแอบชะเง้อมอง
“ไม่ได้ค่ะ ถ้าคุณลุงจะกิน หนูจะไปทอดให้” มาคีเสนอ
“ไม่ ไม่ อย่ามายุ่งกับกู ปล่อยกู” เสียงเอะอะโวยวายตามมาด้วยมือที่ปัดป่ายสะเปะสะปะ ดวงตาเบิกโพลงอย่างคนที่กำลังโมโหจัด “ถ้าไม่ให้กูกิน กูจะหักคอกินเลือดมึง” นายเจิดขู่อาฆาต
นายเจิด ชายวัยห้าสิบแปดปีเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยอายุรกรรมด้วยอาการรับประทานอาหารไม่ได้ รับประทานอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งน้ำ ร่างกายนายเจิดซูบผอมจนน่ากลัว ญาตินำส่งโรงพยาบาลเพราะสงสัยว่านายเจิดมีอาการระบบทางเดินอาหารผิดปกติหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร หรือการตรวจพิเศษอื่นๆ ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
“ทำไมคุณป้าเอาของแบบนี้มาให้ลุงเจิดล่ะคะ ครั้งต่อไปไม่ได้นะคะ ไม่ถูกอนามัย” นิตยาถาม ไม่รู้จะยื่นชิ้นเนื้อสดในมือคืนให้ภรรยาคนป่วยหรือเอาทิ้งลงถังขยะติดเชื้อดี ที่ก้อนเนื้อมีรอยแหว่งขนาดใหญ่เพราะคนป่วยกัดกินไป
“ก็มันไม่กินอย่างอื่นน่ะหนู มันกินแต่เนื้อสดอย่างเดียว ป้ากลัวมันตาย” คนพูดถอนหายใจ
“ถ้าอย่างนั้นที่ลูกๆ ให้ประวัติว่าคุณลุงกินอาหารไม่ได้อาเจียนออกหมดก็ไม่จริงสิคะ คุณลุงยังกินเนื้อสดนี่ได้” มาคีถาม มองก้อนเนื้อในมือนิตยา รู้สึกคล้ายจะเป็นลม
“ตาเจิดมันไม่กินอย่างอื่น กินเนื้อดิบมาสามปีแล้ว” คนพูดก้มหน้างุด “ฉันกลัวเพื่อนบ้าน กลัวลูกๆ รังเกียจเลยไม่กล้าบอกใคร” คนพูดไม่ยอมสบตา
“แล้วลูกๆ ไม่รู้หรือคะ” นิตยาถามบ้าง ตอนนี้เธอยัดเนื้อสดเข้าไปในถุงพลาสติกพร้อมกับผูกปากถุงแล้ว
“ลูกๆ เขาทำงานที่กรุงเทพ นานๆ จะกลับบ้านที” เล่ามาถึงตรงนี้ทั้งมาคีและนิตยาก็นึกได้ว่าทะเบียนบ้านลุงเจิดเป็นคนต่างจังหวัด “พอลูกๆ กลับบ้าน เห็นตาเจิดผอมมาก กลัวมันเป็นมะเร็งเลยพามาตรวจนี่แหละ” คนพูดยังก้มหน้าอยู่ รู้สึกผิดที่ให้ข้อมูลไม่ครบ และยังรู้สึกอายที่สามีกินแต่ของดิบๆ ต่างจากคนปกติทั่วไป
“แสดงว่าคุณป้าไม่ได้บอกลูกๆ เรื่องนี้” นิตยาถามย้ำ
“ฉันไม่กล้าหรอก กลัวลูกมันว่าพ่อมันเป็นบ้าแล้วอาย เดี๋ยวพานไม่กลับบ้านอีก” หญิงสูงวัยพูดพร้อมกับสีหน้าเป็นกังวล “คุณอย่าบอกลูกๆ ฉันได้ไหม”
“แล้วตอนแรกทำไมคุณลุงถึงกินของดิบคะ เมื่อก่อนกินแบบนี้ไหม” มาคีถาม รู้สึกเห็นใจพ่อแม่ที่ลูกๆ มาทำงานห่างไกลนานๆ กลับบ้านทีกลัวลูกๆ รังเกียจกับพฤติกรรมของพ่อและพานไม่กลับไปเยี่ยมบ้านอีก
“ฉันก็ไม่แน่ใจ เมื่อสามปีก่อนที่ฉันไปเจอตาเจิดกินอาหารแบบนี้ ฉันตกใจมาก” ภรรยาคนป่วยเล่าสายตาตื่นตระหนกเมื่อระลึกถึงครั้งแรกที่เห็นเหตุการณ์ “ฉันพยายามห้าม ตาเจิดก็ไม่ฟัง ทะเลาะกันหนัก จนถึงขั้นขู่จะฆ่าฉัน”
“ขนาดนั้นเลยหรือคะ” พยาบาลทั้งสองคนอุทานพร้อมกัน
“แล้วคุณป้าบอกใครบ้าง ถึงขั้นขู่ฆ่ากันเลย นี่เรื่องใหญ่นะคะ” นิตยาท้วง
“ไม่ได้บอกใคร ไม่กล้าบอก” คนที่ก้มหน้าอยู่ทำหน้ายอมรับ “ฉันอายเขา”
“คุณป้าก็เลยปล่อยไปแบบนั้นหรือคะ” มาคีถาม น้ำเสียงอ่อนลงอย่างเห็นใจ
“ช่วงแรก ตาเจิดก็กินบ้างเป็นบางครั้ง จนปีนี้มันไม่แตะอาหารอย่างอื่นเลย กินแต่ของดิบ แล้วมันก็ผอมลงๆ” คนพูดเริ่มตาแดงอย่างสุดกลั้น
“พี่ว่าลุงเจิดคงไม่ใช่คนไข้อายุรกรรมอย่างเดียวแล้วละ” นิตยาพูด มาคีพยักหน้า ไม่รู้ว่าจะต้องรู้สึกกลัวลุงเจิดหรือรู้สึกเห็นใจดีหลังจากที่เห็นภาพน่ากลัวเมื่อครู่ก่อน
“ไม่เป็นไรนะคะ ลุงเจิดแค่ป่วย เดี๋ยวคุณหมอก็รักษาหาย” นิตยายืนยันกับหญิงสูงวัยที่นั่งป้ายน้ำตาตรงหน้า
“หนูอย่าเล่าเรื่องนี้ให้ลูกๆ ฟังนะ ป้าไม่อยากให้ลูกๆ รังเกียจพ่อมัน” คนพูดกำชับพยาบาลทั้งสองคนอีกครั้ง นายเจิดกับป้าอนงค์มีลูกสองคนชาย หญิง ทั้งคู่ทำงานอยู่กรุงเทพมหานคร ส่วนลุงเจิดและป้าอนงค์มีบ้านอยู่ที่สุพรรณ ลูกทั้งสองคนจะไปเยี่ยมพ่อแม่ในช่วงวันหยุดยาวบ้างแต่ก็ไม่บ่อย
ไปทุกครั้งทั้งคู่ก็บ่นแต่เรื่องที่บ้านไม่เจริญ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเหมือนกรุงเทพฯ ลูกทั้งสองคนกินยากอยู่ยาก อะไรไม่ได้ดั่งใจก็พร่ำแต่ว่าจะไม่กลับบ้านอีก ทำให้ป้าอนงค์กลัวลูกทิ้ง เลยปิดบังอาการผิดปกติของลุงเจิดไว้ ตอนที่ลูกๆ ไปเห็นว่าพ่อผอมไร้เรี่ยวแรงจะพามาตรวจ ป้าอนงค์ทักท้วงแล้วว่าจะขอตรวจที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่ลูกทั้งสองไม่ยอม เลยต้องพากันเข้ากรุงเทพฯ ตามใจลูก
“น้องคีย์ช่วยด้วยค่ะ น้องคีย์” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของผู้ช่วยพยาบาลดังขึ้นในเวลาสี่ทุ่ม
“อะไรกันโสภา มีอะไร” เหมือนฝันที่วันนี้เข้าเวรบ่ายคู่กับมาคีวิ่งไปหาก่อนเพราะมาคีติดฉีดยาคนไข้อยู่อีกโซน
“พี่ฝัน เร็วๆ” โสภาเร่ง
“ว้าย อะไรนี่ อย่านะลุงเจิด อย่าทำแบบนี้ ว้าย” เหมือนฝันร้องเอะอะ
“อะไรกันพี่ฝัน เกิดอะไรขึ้น” มาคีรีบผละมาจากคนไข้อีกโซนหลังฉีดยาเสร็จ
“ว้าย อย่าทำแบบนี้นะลุง ไม่นะ ไม่”
ภาพที่พยาบาลและผู้ช่วยเห็นคือชายวัยห้าสิบกว่าปีที่กำลังกินทึ้งเนื้อที่แขนของตัวเองจนหลุดออกมา เลือดสีแดงนองเต็มเตียง
“หิว กูหิว” ริมฝีปากที่มีเลือดติดพูดพร่ำคำเดิม
“ไม่ได้นะลุง ไม่ทำแบบนี้” โสภาที่ทำท่าเหมือนจะเป็นลม พยายามดึงคอเสื้อคนป่วยให้ออกห่างจากแขนของตัวเอง ไม่ต่างจากเหมือนฝันที่พยายามดึงแขนที่เต็มไปด้วยเลือดออกห่างจากปาก
“โทรตามหมอ หรือขอยาสงบอารมณ์ให้หน่อย” เหมือนฝันบอก
“อ่ะ อ่อ ค่ะ” มาคีเหมือนจะขยับขาไม่ออกเพราะถูกตรึงด้วยภาพน่ากลัวตรงหน้า
“เร็วๆ นะคีย์ พี่จับแบบนี้นานไม่ได้นะ พี่จะเป็นลม” เหมือนฝันที่ตอนนี้หน้าซีดเหมือนจะเป็นลมไปทันทีอย่างที่พูด
“อย่านะพี่ อย่าเพิ่งเป็นลม ทนไว้ไว้ก่อน ทนไว้” มาคียกมือปรามทั้งเหมือนฝันและโสภาก่อนจะวิ่งกลับไปที่ห้องทำงานพยาบาล รีบหยิบโทรศัพท์โทร.หาแพทย์เวรบ่าย มันเป็นเวลาสี่ทุ่มในหอผู้ป่วย อายุรกรรมวันที่มีคนไข้ครองเตียงน้อย วันที่พยาบาลจะได้พักขาจากการเดินดูแลผู้ป่วยบ้าง แต่เปล่าเลย มันเป็นเวรบ่ายที่น่าสยดสยองที่สุด
“ไม่เป็นไรนะคะลุงเจิด ใส่สายให้อาหารทางสายยางไว้สักพัก ถ้าลุงรับประทานอาหารได้แล้วก็เอาออกแล้ว” เหมือนฝันบอกหลังจากใส่สายยางเข้ากระเพาะอาหารให้คนป่วยเสร็จ ในเหยือกมีอาหารปั่นปริมาณสองร้อยซีซี
“อาหารนี่มีประโยชน์มาก มีทั้งไข่ ตับ หมู ฟักทอง ลุงจะแข็งแรงขึ้นแน่ๆ” เหมือนฝันจัดท่านอนหัวสูงให้ชายร่างผอมที่นอนตาลอยเสร็จก็เริ่มกระบวนการให้อาหารทางสายยาง
“ลุงหิวบ้างไหมคะ” พยาบาลชวนอีกฝ่ายคุย แต่คนป่วยก็ได้แต่นิ่งเงียบและเลื่อนลอย อาจเป็นเพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอและขาดสารอาหารมากๆ นั่นก็ได้
“ไม่กิน ไม่ต้องเอามาให้กิน” ชายสูงวัยพึมพำหลังอาหารหลอดแรกไหลเข้าสายให้อาหารลงสู่กระเพาะเกือบหมด
“อะไรนะคะ” เหมือนฝันถามเพราะได้ยินไม่ถนัด
“กูไม่กิน ไม่ต้องเอามาให้กิน” น้ำเสียงตอนนี้ชัดเจนขึ้น แม้จะยังนอนนิ่งแต่น้ำเสียงไม่อ่อนล้าเช่นเดิม
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวลุงจะรู้สึกอิ่มอีกแป๊บเดียวก็หมด” เหมือนฝันบอก
“ไม่กิน ไม่ต้องเอามาให้กิน” คนพูดพึมพำคำเดิม
“จะหมดแล้วค่ะ” เหมือนฝันได้ยินที่ลุงเจิดพูด แต่หญิงสาวไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร ยังทำงานตามที่ได้รับมอบหมายเพื่อดูแลคนป่วยให้ดีที่สุด
“บอกว่าไม่กิน” อยู่ดีๆ ร่างผอมอ่อนแรงนั่นก็ลุกพรวดมานั่ง พร้อมกับผลักเหมือนฝันที่กำลังให้อาหารหลอดสุดท้าย ก่อนจะดึงสายให้อาหารออกทางจมูกท่าทางเกรี้ยวกราด สายให้อาหารยาวเกือบสามสิบเซนติเมตรสร้างความทุกข์ทรมานขณะดึงออก คนป่วยโก่งคออาเจียนไปด้วย สำลักไปด้วย
“ไม่ทำแบบนี้สิคะลุง” เหมือนฝันเข้าไปจับมือห้าม ผู้ช่วยพยาบาลอีกคนที่กำลังวัดไข้ผู้ป่วยรีบเข้าไปช่วยห้าม
“ปล่อยๆ” คนพูดพยายามสะบัดมือให้หลุด “ปล่อย ไม่ไหวแล้ว” พูดจบชายสูงวัยก็โก่งคออาเจียน ผู้ช่วยพยาบาลหยิบกระโถนมารองแต่ไม่ทัน เศษอาหารปั่นสีน้ำตาลเลอะเทอะเต็มพื้น นายเจิดโก่งคออาเจียนสักพักก็มีเลือดสีแดงปนออกมา
“ตายแล้ว มีเลือดออกในกระเพาะหรือ เมื่อกี้ฉันก็เทสต์แล้วนี่” เหมือนฝันพูดอย่างตกใจ
เหมือนกับเหตุการณ์จะชุลมุนอยู่พักใหญ่กว่านายเจิดจะสงบและยอมให้ใส่สายยางเข้าไปสวนล้างกระเพาะอาหารอีกครั้ง ครั้งนี้เหมือนคนป่วยจะหมดเรี่ยวแรงต่อต้าน
“แปลกจริง พอล้างท้องแล้วไม่มีเลือดออกมาเลย” สายล้างอาหารที่ใส่น้ำเข้าไปยังใสเหมือนเดิมตอนที่น้ำไหลออกจากกระเพาะมา
“เมื่อกี้เลือดออกตั้งเยอะ” ผู้ช่วยพยาบาลออกความคิดเห็น พร้อมกับมองนายเจิดที่ตอนนี้เพลียจนหลับไปแล้ว แล้วเหตุการณ์ก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่นายเจิดได้รับการดูแลแบบให้อาหารทางสายยาง คนป่วยไม่สามารถรับอาหารได้ทำให้ร่างกายซูบผอมมาก
“ผมว่าจะใส่เส้นให้อาหารที่คอ” แพทย์เจ้าของไข้บอก ลุงเจิดนอนโรงพยาบาลมาร่วมสิบวัน อาการไม่ดีขึ้น ร่างกายผ่ายผอม ดวงตาลึกโหลจนน่ากลัว
“หมอเห็นว่าอะไรดีก็ทำเถอะจ้ะ ป้าไม่รู้จะช่วยมันอย่างไรดีแล้ว” ภรรยาคนป่วยบอกอย่างยอมแพ้ “นี่แหละ ที่ป้าพยายามเล่าให้ฟัง ตอนที่มันเริ่มกินของดิบ ถ้าเอาข้าว เอาอาหารอื่นให้กินมันอ้วกออกมาหมด” คนพูดถอนให้ใจทั้งหนักใจ หวาดกลัว และไม่รู้จะทำอย่างไร
“สารอาหารนี่ให้ทางเส้นเลือด ไม่ได้ให้ผ่านกระเพาะ เดี๋ยวลองดูนะครับ บางทีอาจเพราะคุณลุงไม่ได้กินอาหารปกติมานาน เลยรับอาหารพวกนั้นไม่ได้”
แพทย์เจ้าของไข้แจ้ง คิ้วขมวดเพราะใช้ความคิดหนักเช่นกัน ไม่ว่าจะตรวจด้วยวิธีใดก็ไม่พบความผิดปกติของร่างกาย เคยคิดว่าคนไข้มีอาการทางจิตเวช แต่การอาเจียนเป็นเลือดหลังได้รับอาหารปั่นนั่นก็ยืนยันแล้วว่าเป็นอาการทางกาย โรคอะไรหนอที่ทำให้คนป่วยเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่แค่แพ้แป้ง หรือโปรตีน แต่นี่รับอะไรไม่ได้และต่อต้านด้วยภาวะเครียดจัดจนเลือดออกในกระเพาะ นายแพทย์หันไปมองผู้ป่วยที่นอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่ม หลายวันมานี้ลุงเจิดมีชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำตาลและเกลือแร่ในน้ำเกลือนั่น
“คุณหมอคิดว่าถ้าเราให้อาหารทางหลอดเลือดคุณลุงจะรับได้หรือคะ” เหมือนฝันถามนายแพทย์ท่าทางยังไม่หายตกใจจากเรื่องเมื่อสัปดาห์ก่อน ภาพอาเจียนเป็นเลือดสดหลังเธอให้อาหารทางสายยางยังติดตา
“ผมก็กลัวเหมือนกัน แต่เราคงปล่อยให้ลุงแกอดน้ำอดอาหารแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอก” คนพูดจินตนาการถึงการให้อาหารทางหลอดเลือดวันแรกที่ต้องเตรียมทีมช่วยชีวิตสำรองไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขนาดให้อาหารลงกระเพาะยังอาเจียนออกหมด แล้วนี่ให้อาหารทางเส้นเลือดจะเป็นอย่างไร
“ค่ะ” เหมือนฝันพยักหน้า แน่นอนว่าไม่มีใครปล่อยให้นายเจิดขาดน้ำขาดอาหารจนตายแน่นอน ต้องหาทางช่วยกันอย่างถึงที่สุด
“คีย์ คีย์ ว้าย ช่วยด้วย” เสียงร้องขอความช่วยเหลือของเหมือนฝันทำให้มาคีย์ที่ดูคนไข้อยู่อีกโซนรีบผละมือวิ่งไปหา วันนี้เป็นเวรบ่ายที่สองพี่น้องขึ้นเวรด้วยกัน
“อะไรพี่ฝัน มีอะไร” มาคีย์ถามเสียงดัง
มาคีไม่ต้องถามซ้ำ ภาพตรงหน้าคือเหมือนฝันกำลังไล่กาตัวใหญ่ที่บินว่อนไปมา พวกมันพยายามจะจิกคนป่วยที่นอนอยู่นั่น…ลุงเจิด
“อะไรกัน กาพวกนี้เข้ามาได้ยังไง” มาคีหันซ้ายหันขวา กาตัวใหญ่จะงอยปากยาวน่ากลัวทั้งบินว่อนทั้งร้องเสียงดัง มาคีเหลือบไปเห็นเสาน้ำเกลือแบบปลดจากหัวเตียงได้ เธอรีบวิ่งไปเปิดหน้าต่างก่อนจะใช้เสาน้ำเกลือไล่ต้อนกาพวกนั้นออกไป
“ไป ออกไป” มาคีไล่แต่ไม่ได้ทำร้ายกาตัวไหน พวกมันมีห้าตัว เวลาค่ำคืนกาพวกนี้ควรจะพักหลับได้แล้วแต่พวกมันมาจากไหนกัน แล้วเข้ามาได้อย่างไร
“กามาได้ยังไงพี่ฝัน” มาคีถาม แทนที่พวกมันจะบินออกทางหน้าต่างกลับบินว่อนในห้องผู้ป่วย
“ไม่รู้ ตอนแรกมาตัวเดียว พี่พยายามจับมันไปปล่อย สักพักก็มาทั้งฝูง” เหมือนฝันที่อยู่ใกล้นายเจิดพยายามปัดมือไล่กาไม่ให้เข้าไปหานานเจิด
น่าแปลกที่กาห้าตัวนั้นไม่ได้มีทีท่าตื่นตกใจที่หลงเข้ามาในหอผู้ป่วย หรือแม้กระทั่งตอนที่เหมือนฝันพยายามไล่พวกมันออกไป พวกมันบินวนไปมาเหนือคนป่วยเหมือนจงใจ
ดวงตาแดงก่ำของกาตัวหนึ่งจ้องมาคีอย่างท้าทายก่อนจะบินร่อนลงเกาะที่ตัวคนป่วย มันหันมามองมาคี
“อย่านะ” หญิงสาวเหมือนกับสื่อสารกับมันได้และเหมือนรู้ว่ามันจะทำอะไร รีบพึมพำห้าม
ภาพของกาดำตัวเขื่องดวงตาแดงก่ำค่อยเปลี่ยนไป ร่างนั้นกลายเป็นผู้หญิงในชุดดำ ผมยาวปิดใบหน้า แต่ยังมองเห็นดวงตาแดงก่ำ มาคีผงะถอยหลัง เหมือนฝันยังชุลมุนกับการไล่กา ไม่แปลกที่เหมือนฝันไม่ตกใจภาพผู้หญิงคนนั้น…เหมือนฝันไม่เห็นกาตัวนั้น ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น
“อย่านะ อย่าทำแบบนี้” มาคีพึมพำ ตัวแข็งขยับไม่ได้ราวกับโดนสะกด ซึ่งจริงๆ อาจไม่ใช่ เธออาจตกใจกับภาพตรงหน้าจนสติแตกก็ได้
ดวงตาแดงก่ำหันมามองมาคีอีกครั้ง ริมฝีปากดำคล้ำแสยะยิ้มท้าทายก่อนจะปีนขึ้นคร่อมร่างของชายสูงวัยผู้อ่อนแรง
“อย่านะ กลัวแล้ว” เสียงสั่นเทาพึมพำตัวสั่นงันงก
จากใบหน้าแสยะยิ้มให้มาคีกลับกลายเป็นเบิกโพลงเกรี้ยวกราดเมื่อมองคนป่วย ร่างดำนั้นลากตัวเองขึ้นคร่อมร่างที่นอนใต้ผ้าห่มขาว จากสีขาวกลับถูกปกคลุมด้วยเงาดำ
“อย่านะ อย่าทำแบบนั้น” มาคีพึมพำ
“กลัวแล้ว อย่าทำฉัน กลัวแล้ว”
มือซีดเผือดที่โผล่พ้นชุดสีดำปรากฏ เล็บมือสีดำคล้ำหงิกงอน่าสะพรึง ร่างนั้นหันมามองมาคีอีกครั้ง หญิงสาวที่ได้แต่ยืนนิ่งมองส่ายศีรษะช้าๆ ไม่อาจทำอะไรได้
“อย่านะ ไม่” มาคีรู้สึกถึงความกลัวจนน้ำตารื้น เล็บมือดำคล้ำหงิกงอจรดเข้าที่คอของลุงเจิด ร่างผอมนั้นดิ้นรนแต่ไร้เรี่ยวแรง…เลือดสีแดงพุ่งกระจายออกมาอย่างรวดเร็ว สายให้อาหารทางหลอดเลือดถูกดึงออกโดยมือสีซีดนั้น เลือดพุ่งราวกับน้ำพุ
“ว้าย ตายแล้ว ว้าย” เหมือนฝันอุทานก่อนจะตรงรี่ไปหาคนป่วย ไม่สนใจกาตัวเขื่องที่ตีปีกพึ่บพั่บขัดขวาง
“ป้าดวงใจคะ คุณหมอสั่งห้ามป้าเอาของแบบนี้มาให้ลุงเจิดแล้วไม่ใช่หรือคะ” มาคีถึงกับทำเอกสารหลุดมือเมื่อเห็นภาพที่เห็นตรงหน้า
เวลาบ่ายสามโมงเย็นที่มาคีกำลังเดินตรวจความเรียบร้อยและอาการของผู้ป่วยในหอผู้ป่วย อายุรกรรม นายเจิดที่ตอนนี้ครองเตียงในส่วนคนไข้สังเกตอาการคนเดียวกำลังลุกมานั่งตักอาหารเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย คนไข้ที่นอนนิ่งไร้เรียวแรงจนต้องให้สารอาหารทางหลอดเลือด ในตอนนี้กลับลุกมานั่งซดอาหารจากถ้วยท่าทางหิวจัด
“ขออีก” นายเจิดยื่นถ้วยให้ภรรยาที่นั่งหน้าเผือดเพราะถูกจับได้
“ไม่ได้ค่ะ อาหารไม่ถูกสุขลักษณะ” มาคีทำใจแข็งเตือนอีกฝ่ายทั้งๆ ที่ไม่อยากเห็นภาพเบื้องหน้า “ต่อไปห้ามเด็ดขาดนะคะป้า มันไม่ดีกับสุขภาพเลย” คนพูดทำน้ำเสียงให้ราบเรียบหลีกเลี่ยงคำว่า ‘สกปรก’ เพราะไม่อยากตำหนิผู้สูงวัยกว่ามากนัก
“ป้าขอโทษนะหนู ป้าสงสารมัน ถ้ามันไม่ได้กินแบบนี้ มันต้องตายแน่ๆ” คนพูดเริ่มเสียงเครือ
มาคีมองนายเจิดที่ตอนนี้แย่งปิ่นโตของภรรยาไปยกซดอาหารโดยไม่รอให้เทใส่ถ้วย แน่นอน…มาคีแทบอาเจียนกับภาพที่เห็นแต่ก็ต้องนิ่งและตั้งสติ เลือดสีแดงสดไหลเปื้อนแก้มเพราะคนที่ยกปิ่นโตขึ้นดื่มมูมมามไม่รอกลืนเสียก่อนก็ยกปิ่นโตซ้ำ ท่าทางหิวจัดราวกับคนอดอาหารมาร่วมเดือน
ที่นั่งข้างๆ ร่างผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกปรากฏเงาดำอีกครั้ง เงาสีดำทาบทับนายเจิดจนใบหน้าหมองคล้ำ ริมฝีปากคล้ำของร่างนั้นแสยะยิ้ม
“ป้าคะ” มาคีมองหญิงสูงวัยที่นั่งร้องไห้ข้างๆ ไม่มีท่าทีว่าเธอจะเห็นภาพเงาดำนั้น “ป้ามีอะไรจะเล่าให้หนูฟังไหมคะ” มาคีหันไปสบตานางดวงใจ ที่เงยหน้าสบตากลับมา
“เล่าอะไร” น้ำเสียงฉงนกับคำถามของอีกฝ่าย
“ถ้าป้าไม่เล่า หนูก็ช่วยไม่ได้ โรคนี้รักษาทางการแพทย์ไม่ได้ ป้าทราบใช่ไหมคะ” มาคีตั้งคำถามตรงจุด อีกฝ่ายผงะหลังเหมือนถูกจี้ปม
“มัน…มีด้วยหรือโรคที่หมอสมัยนี้รักษาไม่ได้” ดวงใจถามเสียงเบา
“ป้าคะ ป้าไม่แปลกใจหรือคะที่ลุงเจิดกินได้แต่ของดิบๆ แบบนั้น” ในขณะที่มาคีคาดคั้นประวัติจากภรรยา นายเจิดเหมือนตกอยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง เร่งรีบกินอาหารอย่างเดียวไม่ได้สนใจเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน
“ป้าไม่รู้ ป้าบอกหนูแล้ว” ดวงใจเสียงแข็งขึ้นจนมาคีจับได้
“มันมีอะไรบางอย่างตามลุงเจิดอยู่ คือ…” พอจะเล่าเรื่องที่เห็นมาคีก็เรียบเรียงคำพูดไม่ได้ “คือ ลุงเจิดถูกทำร้ายจากอะไรบางอย่าง สิ่งนั้นไม่ได้ตั้งใจเอาชีวิตลุงแต่ก็ไม่ปล่อยให้ลุงกลับไปใช้ชีวิตปกติอีก เขาอยู่กับลุงตลอดเวลา” มาคีเล่ารัวเร็วเพราะกลัวความคิดของตัวเองจะชะงักไปอีก
“ไม่จริงหรอก ไม่จริง” ดวงใจซบหน้ากับฝ่ามือสะอื้นตัวโยน
“หนูไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง หนูเล่าเท่าที่หนูเห็น” ความรู้สึกขยะแขยงที่เห็นนายเจิดกินเลือดสดๆ ค่อยๆ คลายไปเพราะถูกแทนที่ด้วยความอยากรู้ นางดวงใจรู้แน่นอนว่าสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากอะไรแต่นางไม่ยอมพูด
“มันไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ” ดวงใจพูดเสียงแข็ง มาคีจ้องตาผู้หญิงสูงวัยราวกับจะค้นหาความจริงจากแววตานั้นได้ แต่อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรต่อได้แต่หลบสายตามองมือตัวเองที่ตอนนี้กำไว้แน่นเพราะความตึงเครียด
“อะไรนะคี อยู่ไหน” เหมือนฝันเสียงดังใส่โทรศัพท์ เมื่อคืนมาคีไปขึ้นเวรกะดึก สายวันนี้มาคีโทรศัพท์มาขอแลกเวรกะทันหันบอกว่าอยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวกมาขึ้นเวร
“อยู่สุพรรณพี่ฝัน ขึ้นเวรให้หน่อย” มาคีทำเสียงอ้อน
“ลงเวรดึกมาไม่ใช่หรือเรา ไปทำอะไรสุพรรณ ไม่กลับมานอน” คนพูดๆ รัวคำถาม
“ก็มาสืบเรื่องลุงเจิดนั่นแหละ เมื่อวานถามป้าดวงใจแกว่าแกกลับบ้านต่างจังหวัดวันนี้ เลยแอบตามมา” มาคีบอก ตอนนี้เธอนั่งอยู่ที่สถานีขนส่งและลอบมองดวงใจที่กำลังนั่งรอต่อรถโดยสารอีกคัน
“ไปตามเขาทำไม” เหมือนฝันกลอกตากับโทรศัพท์ มาคีเป็นแบบนี้เสมอ เวลาสงสัยอะไรก็ต้องหาคำตอบจนถึงที่สุด
เหมือนฝันระลึกถึงวันที่ฝูงกาบินว่อนในหอผู้ป่วย พอคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังมือ เธอถูกกาจิกในคืนนั้น จะงอยปากแหลมและแข็งแรงฝังจมเข้าไปในเนื้อ เหมือนฝันยังรู้สึกปวดมากซึ่งน่าจะเกิดจากแผลระบม
“เอาน่า ขึ้นเวรให้หน่อยแล้วจะรีบกลับไป” คนพูดตัดบทสนทนา
“อืม” อีกฝ่ายรับคำน้ำเสียงออกจะรำคาญ “รีบกลับมานะ ดูแลตัวเองด้วย”
มาคีติดตามดวงใจมาเงียบๆ ไม่ถึงขนาดตามติดแต่มาคีก็ไปถึงบ้านของดวงใจได้ไม่ยาก บ้านของนายเจิดและนางดวงใจเป็นบ้านสวนต่างจังหวัด รอบบ้านมีทุ่งนาหลายแห่ง บ้านของนายเจิดมีรั้วรอบเป็นส่วนตัว ต่างจากบ้านชาวบ้านหลังอื่นที่ไม่มีรั้ว หรือเป็นรั้วต้นไม้ที่ดูแลง่ายๆ อย่างข่อย กระถิน หรือดอกเข็มบริเวณสวนหลังบ้านกว้างและครึ้ม
มาคีเฝ้ารอจนนางดวงใจเปิดประตูเข้าบ้าน ก่อนจะแอบเปิดรั้วบ้านที่อีกฝ่ายไม่ได้ล็อกเข้าบ้านไป รอบๆ บ้านค่อนข้างเงียบนอกจากเสียงนกร้องเป็นระยะๆ ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอื่น สายตามาคีเหลือบไปเห็นเงาดำด้านหลังบ้าน ความรู้สึกขนลุกชันบอกว่าเงาดำนั้นต้องการให้เธอตามไป
สวนหลังบ้านนายเจิดมีป่าไผ่รกครึ้ม อากาศรอบๆ เย็นชื้นเพราะแสงแดดส่องไม่ถึง เงาดำนั้นปรากฏเป็นเงาวูบวาบท่ามกลางป่าไผ่ คนที่เดินตามชะงักเป็นพักๆ อย่างชั่งใจ แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ปล่อยให้มาคีคิดนานเพราะเงาดำจะเข้ามาใกล้ทุกครั้งที่มาคีหยุดใช้ความคิด
“อะไรของเค้า” มาคียอมรับกับตัวเองว่ากลัวมากที่มาเดินตามวิญญาณอาฆาตนั้น แต่เพราะความอยากช่วยคนป่วยมาคีเลยฝืนใจเดินตามทั้งๆ ที่รู้สึกกลัว
“ว้าย” มาคีสะดุดกับไม้ขนาดครึ่งแขน แต่ขนาดที่ยาวทำให้หญิงสาวสะดุดล้ม “โอ๊ย” ลักษณะเรียวยาวในตอนแรกรู้สึกทำให้มาคีนึกถึงก้านไม้ไผ่ “บ้าจริง ไม่รู้จักดูเลยฉัน” อดตำหนิความไม่ระวังของตัวเองไม่ได้
ความรู้สึกเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งสัมผัสที่ไหล่ทำให้มาคีสะดุ้งสุดตัว สายตาเหลือบไปเห็นเงาดำที่หางตา มาคีรีบกระถดถอยหันไปมองอย่างรวดเร็ว ที่ไม่ไกลเงาดำนั้นเหมือนจะล่องลอยอยู่ที่นั่น
“อะไร” มาคีนั่งตรึงอยู่กับที่ทั้งกลัวทั้งตกใจอยู่ครู่ใหญ่ เงาดำนั้นไม่ไปไหน ผลุบโผล่อยู่อย่างนั้น
“ให้ฉันไปดูหรือ” มาคีชี้ที่ตัวเองหลังจากมองภาพตรงหน้าและเงานั้นไม่เคลื่อนไหว “เอ่อ คุณช่วยขยับไปไกลๆ หน่อยได้ไหม” มาคีไม่ปฏิเสธหรอกว่าเธอกลัวเงาดำตรงหน้า อีกฝ่ายคล้ายรู้สิ่งที่มาคีบอกจึง ค่อยๆ เคลื่อนร่างออกห่าง
คนขาเจ็บค่อยๆ ควานหาก้านไม่ไผ่ต้นเหตุที่ทำให้หกล้มขาแพลงเพื่อใช้ช่วยพยุง แต่สิ่งที่หยิบมาได้ทำให้มาคีผงะ
“กรี๊ด” หญิงสาวสะบัดมือรีบเอามือปิดปากแน่น สิ่งที่ทำให้เธอหกล้มคือกระดูกอะไรสักอย่าง สีของมันขาวหม่นสกปรก ขนาดยาวเท่าแขน
“อะไรนี่” มาคีได้ยินเสียงหัวใจเต้นเร็วรัวเพราะความตกใจ เหงื่อเม็ดโตผุดเต็มหน้าผาก อะดรีนาลินกำลังทำงานอย่างหนักทำให้เธอตื่นกลัว…หรืออาจตื่นกลัวเลยก็ได้ มาคีรีบกะแผลกขาไปในจุดที่เงาดำปรากฏ
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” มาคีเข่าอ่อนลงตรงนั้น
สิ่งที่ปรากฏคือหลุมขนาดใหญ่ ที่ก้นหลุมมีโครงกระดูกมากมาย เท่าที่เห็นมาคีคิดว่าเป็นกระดูกสัตว์ ไม่รอให้มาคีร่ำไรนานนักความเย็นเยียบกะทันหันรับสัมผัสได้อีกครั้ง หญิงสาวตัวสั่นเพราะผวา
“โอย ถ้าคุณทำแบบนี้บ่อยๆ ฉันต้องช็อกตายก่อนรู้เรื่องแน่” มาคีดันตัวลุกเดินตามเงาดำ
“งื๊ด งื๊ด” ไม่ไกลจากหลุมบรรจุกระดูก มาคีเดินตามมาจนพบกรงขังสุนัข แมว นก มากมาย ที่ไม่ไกลกันนักมีโรงเรือนปูนมีหลังคาขนาดไม่ใหญ่นัก โรงเรือนนั้นมีทั้งมีด กะละมังที่มีคราบเลือดสีแดง…กระดูกสัตว์มากมาย
“อะไรเนี่ย” มาคีคราง ตอนนี้เธอไม่ได้ได้กลัวเงาดำนั่นแล้ว เธอรู้สึกกลัวนายเจิดขึ้นมาจับจิตจับใจ นายเจิด…วิปริต จับสัตว์พวกนี้มากักขัง ทรมาน และฆ่า..แล้วแบบนี้มีหรือที่นางดวงใจจะไม่รู้ ในเมื่อเรื่องเหล่านี้เกิดในบริเวณบ้าน
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องนะ” เสียงพูดด้านหลังทำให้มาคีสะดุ้งก่อนจะรีบถอยหลัง แต่ช้าเกินกว่าของหนักๆ ที่ฟาดมาบนศีรษะอย่างแรง การรับรู้ตัดฉับมีแต่ความมืดมน
“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ใครใช้ให้ตามมา หาเรื่องดีนัก” เสียงผู้หญิงสูงวัยดังอยู่ในโสตประสาทสุดท้ายก่อนจะดับมืดไป…
“มาคี ตื่นเถอะ ลืมตาสิ” เสียงเรียกดังมาจากที่ไกลแสนไกล โลกทั้งโลกหมุนคว้างอีกแล้ว
“พ่อ พ่อหรือเปล่าคะ ใช่พ่อไหม” ในจิตใต้สำนึกลึกๆ มาคีจำได้ถึงช่วงเวลาที่เธอกับพ่อพรากจากกันในครั้งนั้น
“กลับไปเสียคีย์ ลูกยังมีอะไรต้องทำมากมาย” ประโยคฝังใจที่พ่อพูดกับมาคียังแว่วมาในมโนสำนึก
“มาคี ลืมตาสิ” เสียงเย็นนั้นไม่ใช่เสียงของพ่อที่มาคีคุ้นเคย หญิงสาวรู้สึกถึงความเย็นที่เคลื่อนสัมผัสจากปลายเท้า ขา รู้สึกอึดอัดรัดรึงจนหายใจไม่ออก
“มาคี มาคี” เสียงนั้นเร่งเร้า
“ใคร คุณเป็นใคร” ในความมืดหม่นและหมุนเหวี่ยง มาคีรับภาพที่ปรากฏไม่ได้ เห็นเพียงเงาดำวูบไหวไหลผ่านไปมา
“ลืมตาสิ ลืมตา” ความเย็นเยือกลุกลามมาถึงเอว มันรัดแน่นจนมาคีขยับขาไม่ได้ “ลืมตา ถ้าไม่อยากตาย” เสียงนั้นราวกับกรีดร้องจนมาคีต้องยกมือปิดหู ใช้ความพยายามอย่างหนักที่จะเปิดเปลือกตาเหมือนที่อีกฝ่ายเร่งเร้า
“กรี๊ด” มาคีสะบัดตัวเร่า กรีดร้องลั่น พยายามขยับขาแต่เหมือนเปล่าประโยชน์ ความรู้สึกเย็นเยือกและรัดแน่นในช่วงหลับลึกปรากฏแล้วว่าไม่ใช่เพียงคิดไปเอง
งูเหลือมขนาดเท่าขากำลังเลื้อยพันขาเธอ!
“กรี๊ด” มาคีเหงื่อไหลริน ทั้งตกใจกลัวทั้งขยะแขยง “ปล่อยนะ ปล่อย” แม้มาคีจะดื้นรนขนาดไหนแต่พละกำลังของงูใหญ่ก็ไม่ธรรมดา ยิ่งเธอดิ้นเท่าไรงูเหลือมก็ยิ่งรัดแน่นเท่านั้น
เงาดำวูบไหวไปมา บางครั้งเหมือนเข้าใกล้ บางครั้งออกห่างไกล เงานั้นคือกลุ่มอีกาที่มาคีเห็นที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมบนร่างตาเจิด เงาดำดูหวาดกลัวจนใจแทบสลายแต่ในอีกทางก็เหมือนพยายามช่วยมาคีแต่เปล่าประโยชน์ พวกมันเป็นเพียงวิญญาณแค้นไม่สามารถทำอะไรงูใหญ่ได้
ที่ไม่ไกลออกไปกลุ่มกองกระดูกสัตว์มากมายกองอยู่ที่นั่น มาคีนึกถึงสุนัข แมว นกที่ถูกขังกรง ความคิดรวบยอดฉับพลัน เงาดำเหล่านั้นเป็นวิญญาณแค้นของสัตว์เดรัจฉานพวกนั้น…พวกมันถูกจับมาที่นี่เพื่อเป็นอาหารของงูใหญ่ มาคีหันซ้ายหันขวา ที่นี่เป็นหลุมขนาดใหญ่…หรือบ่อเลี้ยงงู
“ไม่นะ ช่วยด้วย ช่วยด้วย” หญิงสาวเริ่มร้องขอความช่วยเหลือ ความคิดระลึกถึงพ่อ พ่อไม่ได้ไล่ให้เธอมาถูกงูเหลือมรัดตายที่นี่แน่ๆ
“ช่วยด้วยค่ะ” เหมือนกับร้องไปก็เปล่าประโยชน์ หลังบ้านนายเจิดมีพื้นที่กว้างขวางติดกับป่าคงไม่มีใครมา เงาดำวูบไหวเข้าใกล้มาคีเสียชิดใบหน้าก่อนจะลอยออกไปด้านข้าง ที่นั่นไม้ยาวมีกิ่งเป็นหนามดูแข็งแรงวางอยู่ มาคีเอื้อมมือไปหยิบไม้อย่างลำบาก แต่ในสำนึกเธอจะต้องไม่ตาย
“ขอบใจนะ” หญิงสาวพึมพำขอบใจเงาดำ ตอนนี้เธอได้ไม้นั่นแล้ว มาคียันไม้ทุลักทุเลก่อนจะง้างปากงูใหญ่ ไม้ยาวหลุดเข้าปากอย่างง่ายดาย
“ฉันไม่อยากทำร้ายแก ถอยไป” มาคีขู่ฟ่อ กระทุ้งไม้ในปากงูที่ยังรัดเหยื่อแน่น “ถอยไป” มาคีเน้นคำอีกครั้ง เงาดำนั่งลงข้างๆ มาคีพร้อมกับยกมือไหว้หญิงสาว
“อ้อ อ้อ” มาคีพึมพำ รู้สึกเหนื่อยจนหอบ มาคีเริ่มท่องบทสวดแผ่เมตตาท่องซ้ำไปมาไม่รู้กี่รอบ ความรู้สึกรัดรึงเริ่มคลาย ความเย็นเหนียวหนับค่อยๆ จางไป
มาคีรีบลากขามานั่งหอบหายใจ งูใหญ่เลื้อยหนีไป หญิงสาวรีบหยิบโทรศัพท์มาเปิดโหมดไฟฉายแล้วก็ต้องตกตะลึง งูเหลือมหลายตัวนอนขดอยู่หลายที่ มาคีกระถดหนีไปจนติดเนินสูง
“นี่มันอะไรกัน”
เงาดำลอยเคลื่อนไปทางกองเศษซากกระดูกสัตว์ มาคีมองตาม เงาดำนั้นราวกับยืนสะอื้นอย่างวิญญาณที่ได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก ก่อนจะเคลื่อนไปในอีกทาง หนังงูขนาดใหญ่ถูกกรีดผึ่งไว้ตรงนั้น…มาคีรู้สึกหน้ามืดเพราะความขยะแขยงอีกครั้ง
“คีย์ คีย์ เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงคุ้นเคยดังมาจากบนเนินดิน
“คีย์ พี่เองคีย์” เป็นเหมือนฝันที่กำลังส่องไฟฉายจากโทรศัพท์ลงมา “รีบขึ้นมาเดี๋ยวนี้ เร็ว” เหมือนฝันหย่อนเชือกให้มาคีพร้อมกับกัดปากแน่นกับภาพที่เห็นข้างล่างไม่ให้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“ขึ้นมาเร็วๆ คีย์” คนที่มาช่วยเหมือนกับกำลังร้องไห้อย่างหนักเพราะภาพที่ชวนตกใจนั้น มาคีไม่รอให้อีกฝ่ายเรียกนาน รีบจับเชือกไต่ขึ้นไปตามเนินดิน หนีไปให้ไกลจากความสยดสยองนั้น
“พี่ฝัน พี่ฝัน” มาคีย์โผเข้ากอดพี่สาวพร้อมกับร้องไห้โฮ
“พี่บอกกี่ครั้งแล้วอย่าทำแบบนี้ จะไปไหนให้ไปด้วยกัน” เหมือนฝันร้องไห้พร้อมกับตำหนิมาคี
“พี่ฝัน ขอบคุณนะ ขอบคุณ มันน่ากลัวมาก น่ากลัวจริงๆ” มาคีตัวสั่น เธอผ่านวิญญาณร้าย วิญญาณไม่มีที่ไปมามาก แต่ไม่มีครั้งไหนที่ภาพตรงหน้าจะน่ากลัวเท่าครั้งนี้
“พี่มาได้ยังไง” มาคีอดถามไม่ได้
“อย่าเพิ่งถาม รีบหนีก่อน” เหมือนฝันรีบลากแขนมาคีวิ่ง หญิงสาวหันไปมองข้างหลัง เงาดำวูบไหวพุ่งขึ้นสูงลอยไปในท้องฟ้า
ภาพข่าวการเข้าปิดฟาร์มเพาะงูเถื่อนเพื่อแร่หนังโด่งดังทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์และโลกอินเทอร์เน็ต ฟาร์มเถื่อนใช้วิธีออกจับสุนัขและแมว นก ทั้งที่มีเจ้าของและพวกจรจัดเอามาเป็นอาหารงูเหลือม เมื่อพวกมันโตได้ที่ก็จับงูพวกนั้นถลกหนังส่งไปตลาดมืด ภาพของดวงใจถูกจับกุม มีลูกทั้งสองติดตามแม่ไม่ห่างเพื่อช่วยสู้คดี
“ไม่น่าเลยนะคีย์ เห็นหน้าซื่อใส น้ำใจเชือดคอจริงๆ” เหมือนฝันวางหนังสือพิมพ์พร้อมกับทำหน้าละห้อย นึกถึงคุณป้าใจดีชาวต่างจังหวัดแล้วสะท้อนใจ
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก ไปไหนเราต้องไปด้วยกัน เกือบถูกงูรัดตายแล้วไหมล่ะ” อีกฝ่ายยังไม่หยุดตำหนิมาคี
“ไม่กล้าแล้วพี่ คีย์กินอะไรไม่ลงเลย” ความรู้สึกตอนที่งูรัดตามมาหลอกหลอนทั้งหวาดกลัวและขยะแขยง เพียงนึกว่างูนั่นจะกลืนร่างที่หมดสติ หรืออาจจะตายแล้วของเธอลงท้องไป
“เดี๋ยววันนี้สถาบันจิตเวชจะมารับลุงเจิด” เหมือนฝันเตือน นายเจิดได้รับการวินิจฉัยในท้ายสุดว่ามีอาการทางจิตเวช ประสาทหลอน มีโอกาสทำร้ายตนเองสูง ต้องย้ายไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลจิตเวช
ที่เตียงใกล้ห้องทำงานพยาบาล นายเจิดถูกมัดมือติดกับเตียง ปากพยายามงับอากาศเพราะประสาทหลอน สร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็นไม่น้อย
“คีย์ว่าลุงแกจะหายและพร้อมจะไปรับโทษกับเมียแกไหม” เหมือนฝันถาม แม้ลึกๆ จะไม่มั่นใจกับอาการของนายเจิดสักนิด
มาคีส่ายศีรษะ…ภาพเบื้องหน้า เงาดำวูบไหวขึ้นยืนเหยียบอกร่างของนายเจิด เงาดำเหยียบซ้ำๆ ที่หน้าอก วิญญาณแค้นของเดรัจฉานคงไม่ให้อภัยง่ายๆ ภาพกองกระดูกมากมายเตือนให้มาคีรู้ว่านายเจิดไม่มีวันหลุดพ้นจากวิญญาณพวกนั้นได้
“พี่ฝัน พรุ่งนี้เราไปทำบุญอุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรของลุงเจิดกัน” มาคีชวน
“เขาทำขนาดนั้นจะไปทำบุญช่วยเขาทำไม” เหมือนฝันถลึงตาใส่น้องสาว ภาพของมาคีที่เกือบถูกงูเหลือมกลืนลงคอยังติดตา
“ไม่ได้ทำบุญเพื่อลุงเจิด ทำบุญให้วิญญาณสัตว์พวกนั้น ให้หลุดพ้นจากแรงอาฆาตแค้น จะได้ไปสู่ทางสงบ” มาคีอธิบาย อีกฝ่ายถอนหายใจ
“เราควรทำแบบนั้นเหรอคีย์ ครอบครัวนั้นเขาควรรับกรรมนะ” เหมือนฝันยังเถียงอย่างไม่พอใจ
“กรรมมันก็ยังอยู่กับตัวเขา วิญญาณเขานั่นแหละพี่ บุญก็ส่วนบุญ เราทำบุญให้สรรพสัตว์พวกนั้น”
เวรกรรมของนายเจิดมากมายเกินได้รับการให้อภัยจากเจ้ากรรมนายเวรเหล่านั้น แม้ในวาระสุดท้ายนายเจิดจะไม่หลุดพ้นจากหลุมดำมืดไปสู่สะพานสีรุ้ง เหล่าเจ้ากรรมนายเวรจะฉุดรั้งวิญญาณนายเจิดสู่ความมืดมน มาคีหวังเพียงกุศลที่ทำจะช่วยบรรเทาให้นายเจิดได้พักและสำนึกในสิ่งที่ทำเพื่อให้บุญเก่าหนุนเนื่องให้นายเจิดหายจากอาการทางประสาทแล้วกลับมารับโทษทัณฑ์ทางโลก แต่เหนือสิ่งอื่นใดมาคีอยากปลดปล่อยแรงอาฆาตแค้นให้สัตว์เหล่านั้นได้ไปสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 9 : ปล่อย
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 8 : หลงในใจ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 7 : ทั้งหมดคือของฉัน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 6 : ถือมั่น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 5 : ยามเช้า
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา...ตีสอง
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา...เที่ยงคืน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 2 : หลงในเวลา...ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา
- READ สะพานข้ามรุ้ง : บทนำ