
สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 6 : ถือมั่น
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
“ประชุมวันนี้เดี๋ยวพี่เลี้ยงส้มตำ อาหารอีสานเจ้าอร่อยเอง” วรรณภาลุกขึ้นพูดหลังจากที่มีคนส่งอาหารนำอาหารกล่องใหญ่มาส่ง
“ขอบคุณค่ะ” เจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมที่นั่งประชุมอยู่พูดขอบคุณกันเสียงใส
“เอ๊ ช่วงนี้หนูตกข่าวอะไรหรือเปล่าน้า” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นพร้อมกับทำสายตาเจ้าเล่ห์ “หรือว่าหัวหน้าเราจะสละโสด สวย สดใสขึ้นทุกวัน แบบนี้ต้องใช่แน่ๆ” คนพูดขยิบตาใส่คนอื่นที่พากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดถูกใจ
“อะ ถูก พี่จะสละโสด” วรรณภาชี้นิ้วกรีดกรายไปที่ต้นความคิดพร้อมกับพูดจีบปากจีบคออย่างมีจริต
“อ้าว จริงหรือคะ อะไรยังไง หนูไม่ยอมนะพี่วรรณไม่เคยเล่า” คนต้นเรื่องเริ่มโวยวายเพราะตกข่าว
“ทำไมเธอต้องรู้ทุกเรื่องยะยัยนิตยา” คนพูดย่นจมูกใส่พร้อมกับค้อนขวับ
วรรณภาหัวหน้าพยาบาลประจำหอผู้ป่วยอายุรกรรมวัยสี่สิบปลายแต่ยังครองตัวเป็นโสด ด้วยนิสัยไม่ถือตัวและชอบดารานักร้องชายหน้าตาดีจึงถูกลูกน้องพูดเล่นเรื่องแต่งงานเสมอ วรรณภาไม่เคยโกรธหลายครั้งก็เล่นหัวไปด้วย เหมือนวันนี้ที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมมีการประชุมประจำเดือนกัน เนื้อหาที่ประชุมมีเรื่องเครียดบ้าง หัวหน้าสาวอารมณ์ดีเลยหาเรื่องคุยเล่นกับลูกน้องไม่ให้เครียดมาก
“แหม ก็หนูเป็นแฟนคลับพี่นี่คะ ถ้าคนอื่นรู้ก่อนหนู หนูก็เสียหน้าแย่” คนพูดทำหน้างอ
“ไม่ต้องมาทำงอนเลยยัยนิด ถ้าฉันมีใครมีหรือเธอจะไม่รู้ แหม” วรรณภาค้อนใส่ นิตยาได้ฉายาว่านักข่าวประจำตึก ไม่ว่าจะมีเรื่องในหอผู้ป่วย หรือเรื่องที่แผนกอื่นในโรงพยาบาลนิตยามักมารายงานก่อนใครเพื่อน เป็นสีสันให้ที่ทำงานไม่ให้แต่ละแผนกห่างเหินกันมากไป
“ตกลงจะสละโสดจริงหรือไม่จริงคะ” นิตยาที่เหมือนจะตั้งคำถามจริงจังแววตาเต้นระริกอย่างล้อเลียน
“ฉันถูกหวยย่ะ” วรรณภาหัวเราะ “กินเลยๆ เจ้านี้คนต่อแถวกันสองเสาไฟฟ้า” คนพูดโบกมือให้
ห้องประชุมประจำหอผู้ป่วยอายุรกรรมไม่ใช่ร้านอาหารหรือโรงแรมที่ไหน แต่คือห้องรับประทานอาหารเล็กๆ ที่อยู่เยื้องถัดจากห้องทำงานพยาบาลเข้าไป ห้องนี้ค่อนข้างเก็บเสียงเพราะเหมือนกับมีประตูล็อกสองชั้นทั้งในห้องทำงานพยาบาลเอง และส่วนห้องรับประทานอาหาร งานพยาบาลส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ออกไปสังสรรค์กันทั้งหมดเหมือนอาชีพอื่น ถ้าอยากรวมตัวไม่ขาดใครก็ต้องอาศัยที่หอผู้ป่วยเป็นที่นัดกัน
“ส้มตำนี่อร่อยมาก นัวมาก” นิตยาทำหน้าเคลิบเคลิ้มกับรสชาติ
“เบาๆ หน่อยไม่ต้องแอ็กติงขนาดนั้น” วรรณภาหัวเราะ “กินเยอะๆ ยัยคีย์ เราน่ะ ผอมเหมือนคนขาดสารอาหารแล้ว” วรรณภาเหลือบมองมาคีที่ละเลียดข้าวอยู่
“ฝัน ฝันผสมนอร์อีมาด้วย” เสียงหนึ่งดังมาจากห้องทำงานพยาบาล
ถึงแม้จะมีการประชุมและรับประทานอาหารร่วมกันแต่ในหอผู้ป่วยก็ยังมีอีกทีมที่ทำงานอยู่ ด้านนอกดูวุ่นวายเพราะทุกครั้งถ้าเหตุการณ์สงบพยาบาลที่ทำงานจะเข้ามารับประทานอาหารร่วมด้วย ไม่เงียบหายไปเลยเหมือนครั้งนี้
“มีอะไรให้พี่ช่วยไหม” วรรณภาผละจากห้องรับประทานอาหารออกมาดูลูกน้องที่วิ่งวุ่นในหอผู้ป่วย
“ไม่เป็นไรค่ะพี่วรรณ นิดหน่อย” พยาบาลเวรประจำการตอบกลับ แม้จะดูวุ่นวายแต่คนอยู่เวรก็ควบคุมสถานการณ์ได้
“เคสอะไรหรือขึ้นยากระตุ้นความดันกันน่ะ” มาคีที่เดินตามมาถาม
“เอ้าคีย์ พี่ว่าไม่ต้องมาไง พี่ช่วยเอง” วรรณภาบอก เพราะวรรณภาเป็นหัวหน้าที่ห่วงลูกน้อง ตัวเองยอมลำบากก่อนเสมอจึงได้ใจลูกน้องมาก
“คนไข้ไปส่องกล้องดูกระเพาะอาหารน่ะค่ะ มาเมื่อคืน เวลากินอาหารแล้วแกจะเจ็บคอ ปวดท้อง” เหมือนฝันที่ตอนนี้เหมือนจะควบคุมสถานการณ์ได้เข้ามานั่งที่โต๊ะทำงานและเริ่มเขียนเอกสารบันทึกอาการผู้ป่วย
“คนไข้มาเมื่อคืน เคสนี้ส่งตัวมาจากต่างจังหวัด คนไข้กินอะไรไม่ได้เลย เคี้ยวอาหารก็เจ็บปาก กลืนอาหารก็เจ็บคอ” เหมือนฝันส่ายศีรษะ นึกไม่ออกว่าคนไข้จะได้รับการวินิจฉัยท้ายสุดว่าอย่างไร
“อาการดูเรื้อรังมากกว่า ทำไมมาหนักเอาวันส่องกล้องก็ไม่รู้” วรรณภาเปรย
“เห็นห้องผ่าตัดบอกว่าพอเริ่มสอดกล้องคนไข้ก็ดิ้นไม่หยุดค่ะ ทั้งๆ ที่ได้ยานอนหลับ” คนที่กำลังเขียนเอกสารรายงาน
“งั้นก็ส่องกล้องไม่ได้สิคะ” มาคีถาม
“ส่องไม่ได้ คนไข้ดิ้นหนักมาก ดมยาสลบก็เอาไม่อยู่”
“พี่ฝันจะเข้าไปกินข้าวสักชั่วโมงไหม เดี๋ยวคีย์เฝ้าข้างนอกให้” มาคีเสนอตัว
“คีย์อิ่มแล้วหรือ” คนพูดมองนาฬิกา เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่า ตอนนี้กระเพาะอาหารเธอเริ่มประท้วงเสียแล้ว เหมือนฝันมองหน้าน้องสาวที่ตอนนี้พยักหน้ารับ “งั้นฝากแป๊บนะ ความดันน่าจะโอเคแล้ว” คนพูดวางปากกาก่อนจะผละไปล้างมือ ความรู้สึกหิวจัดมากระทบตอนที่มองนาฬิกานี่แหละ
“ทิวา ไปกินข้าวไป เดี๋ยวพี่กับคีย์เฝ้าให้” หัวหน้าหอผู้ป่วยกวักมือเรียกพยาบาลอีกคนที่เดินวุ่นอยู่กลางหอผู้ป่วย
คนไข้เตียงหนึ่ง…ผู้หญิงอายุห้าสิบแปดปี รับส่งต่อมาจากต่างจังหวัดเพื่อตรวจเฉพาะทาง เสียงเครื่องควบคุมยากระตุ้นความดันดังสลับกับเครื่องวัดความดันที่ตั้งเวลาไว้ถี่ทุกครึ่งชั่วโมง คนไข้หลับหายใจอย่างสงบเพราะยาสลบที่ได้มาก่อนหน้า ภาพของผู้หญิงคนนั้นถ้าไม่รู้ประวัติมาก่อนก็บอกไม่ได้เลยว่าเธอมีอาการซับซ้อนขนาดนั้น
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เวลาตีสามกว่า…หอผู้ป่วยอายุรกรรมอยู่ในความสงบ คนไข้ทั้งหมดนอนหลับไปแล้ว มีเตียงเฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลงคือคนไข้เตียงหนึ่งที่ให้ยากระตุ้นความดันอยู่
“เครื่องร้องอีกแล้ว” นิตยาบ่นอุบอิบ “นี่เส้นคงไม่แตกอีกนะ สงสารคนไข้”
หลังเที่ยงคืนมาเครื่องควบคุมการให้สารน้ำดังมาทั้งหมดห้าครั้งจากเตียงหนึ่ง เมื่อพยาบาลไปดูอาการก็พบบริเวณผิวหนังที่ให้น้ำเกลือบวมต้องแทงเข็มให้น้ำเกลือใหม่ ครั้งที่หนึ่ง สอง พอครั้งที่สามพยาบาลเวรดึกก็เริ่มใจเสีย รับรู้ถึงความผิดปกติของเหตุการณ์
“เดี๋ยวคีย์ไปดูเองค่ะ จะไปเปลี่ยนน้ำเกลือคนไข้เตียงยี่สิบด้วย” มาคีย์เสนอตัว ก่อนจะลากรถให้สารน้ำออกไป
บริเวณแขนคนไข้บวมเป่งเหมือนที่นิตยาบ่นจริงๆ จากสภาพผิวคนไข้ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องเส้นเลือดเปราะ แต่น่าแปลกเสียจริงที่เส้นเลือดแตกทุกชั่วโมงทั้งๆ ที่เวรเช้าไม่เป็นไร
“เส้นเลือดแตกค่ะคุณป้า หนูขอแทงเส้นเลือดใหม่นะคะ” มาคีย์แจ้ง
หญิงวัยห้าสิบแปดมองหน้าพยาบาลก่อนจะน้ำตาไหล เธอพยายามพูดอะไรแต่เสียงแหบเกินกว่าจะสื่อสารออกมาได้ ยิ่งพูดไม่เป็นคำคนป่วยยิ่งน้ำตาไหลเพราะขัดใจ มาคีเอื้อมมือไปจับแขนให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไรนะคะเดี๋ยวก็หาย ให้เวลาคุณหมอวินิจฉัยโรค ให้ยาได้ทำงาน เดี๋ยวก็ดีขึ้นนะคะ” มาคีพูดน้ำเสียงอ่อนโยน
เหมือนที่มาคีคิดไว้ เส้นเลือดคนไข้ไม่ได้มีความผิดปกติใดๆ ตอนที่มาคีหาเส้นเลือดเพื่อแทงเข็มให้น้ำเกลือ เธอเห็นเส้นเลือดที่สมบูรณ์พอมากมาย เธอเลือกแทงเส้นไหนก็ได้โดยที่เส้นไม่แตกง่าย
“ครั้งนี้ขอให้อยู่ได้นานๆ นะคะ” มาคีบอก คนไข้ก้มมองเส้นให้น้ำเกลือของตัวเองไม่พูดว่าอะไร “พักผ่อนนะคะ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เดี๋ยวก็หาย”
มาคีมองคนป่วยที่หลับตานิ่งก่อนจะเก็บอุปกรณ์คืนที่รถให้น้ำเกลือ…ตีสามกว่าแล้วขอให้หอผู้ป่วยสงบสุข ให้คนป่วยได้นอนพักจนถึงเช้ากันทุกคน…มาคีหันหลังเข็นรถกลับอย่างเงียบเชียบ ในความสลัวใต้แสงไฟสีเหลืองนวลที่เปิดพอให้ส่องเห็นคนไข้รำไร หางตาของมาคีเหลือบไปเห็นใครบางคนนั่งอยู่ที่เตียงตรงข้ามเตียงหนึ่ง มาคีหันขวับไปอย่างรวดเร็ว ร่างของผู้หญิงนั่งห้อยขาอยู่ที่ปลายเตียง ร่างนั้นแกว่งขาไปมาช้าๆ ดูสงบจนเหมือนกับสุขใจด้วยซ้ำ…มาคีกัดริมฝีปากตัวเองแน่นไม่ให้กรีดร้องออกมา ไม่ให้ร่างนั้นรู้ว่ามาคีเห็นเธอ
“ไม่น่าเลยนะ ทำแบบนั้นเป็นฉัน ฉันก็ไม่ยอมหรอก” นิตยานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานพยาบาลและคุยกับสุรีย์ ผู้ช่วยเหลือพยาบาลอย่างออกรส
“ก็เพราะไม่ยอมไงพี่นิด ถึงได้มีเรื่องตบตีกันเมื่ออาทิตย์ก่อน” คนพูดส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
“หา อะไรนะมีเรื่องตบตีกันเลยหรือ ทำไมพี่ตกข่าว” นิตยาทำสีหน้าสนใจเรื่องที่อีกฝ่ายเล่าทันที
“ก็ทางผู้บริหารเขาปิดข่าว ไม่ให้ใครเล่า กลัวโรงพยาบาลเสียชื่อ” สุรีย์ทำหน้าพยักพเยิด
“อ้าว แล้วแบบนี้เธอไปรู้มาได้ไง” นิตยาถาม จริงๆ แล้วเป็นเรื่องปกติของการกระจายข่าว ถ้าเรื่องไหนขึ้นต้นว่าปิดข่าวเรื่องนั้นยิ่งแพร่สะพัดไปไกล
“รู้มาจากน้ำอ้อย ผู้ช่วยตึกศัลยกรรมน่ะ” คนพูดบอกแหล่งข่าว
“แน่ะ มีสายข่าวนะเธอ” นิตยาหัวเราะคิกคัก
“มันก็ต้องมีบ้างนะพี่ คนเรา” สุรีย์หัวเราะขำ เรื่องซุบซิบน่ะใครๆ ก็ชอบอยู่แล้ว ตราบใดที่เรื่องของตัวเองไม่ตกเป็นเรื่องเล่าของคนอื่น
“ขำอะไรกันคะ สองคนนี้ จะลงเวรแล้วอารมณ์ดีนะ” มาคีที่เดินสะพายกระเป๋ามาพร้อมกับเหมือนฝันเพื่อมาขึ้นเวรดึกถาม เพราะเห็นนิตยาและสุรีย์ร่าเริงเกินกว่ากำลังจะลงเวร
“แน่นอนสิ คนจะได้ลงเวร” นิตยายักไหล่ มาคีเลิกคิ้วทำหน้าประหลาดใจ
“อย่าไปเชื่อนะคีย์ เมาท์ชาวบ้านเค้าอยู่สิ” ทิพวรรณ หนึ่งในพยาบาลเวรทำเสียงหมั่นไส้ใส่แต่ก็ยังหัวเราะขำไปด้วย
“หืม เมาท์ใคร คงไม่ใช่พี่นะ” เหมือนฝันหรี่ตาทำหน้าสงสัย
“หูย ใครเค้าไม่เมาท์สาวโสดสนิทอย่างพี่ฝันหรอกค่ะ” นิตยาหัวเราะร่วน “ไม่มีเป้าหมายในการเมาท์” คนพูดจีบปากจีบคอ
“หึ” เหมือนฝันทำเสียงไม่เชื่อในคอ “เล่ามาเลย” น้ำเสียงคาดคั้น ยิ่งอีกฝ่ายทำหน้าน่าสงสัยยิ่งชวนให้คนอื่นอยากรู้
“อยากรู้ละสิ” นิตยาทำยั่วใส่ “เอ้า เอ้า เล่าให้ฟัง เรื่องของแฟนน้องอร พยาบาลตึกตาน่ะ แฟนเขาที่อยู่แผนกเวชระเบียนไปกิ๊กกับน้องปลาแผนกธุรการ”
“เอ้า ไหงงั้นล่ะ ทำงานที่เดียวกัน แล้วแบบนี้จะไปมองหน้ากันติดได้ยังไง” เหมือนฝันส่ายศีรษะอย่างเอือมๆ ข่าวรักสามเศร้าเราสามคนในที่ทำงานของเธอมีมาเรื่อยๆ และเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ บางคนก็เป็นข่าวจริง บางคนก็เรื่องเล่าปากต่อปากสุดท้ายไม่มีอะไรเลย
“เพิ่งมีเรื่องตบตีกันเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยนะคะพี่ฝัน” สุรีย์เล่าต่อสีหน้าตื่นเต้น
“ตายแล้ว แล้วแบบนี้ไม่โดนคาดโทษหรือไง” เหมือนฝันตกใจกับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า สมัยนี้งานหายาก คนที่นิตยาเล่าไม่น่าเอาชีวิตการทำงานของตัวเองมาแลกกับเรื่องชู้สาวพวกนี้เลย
“น่าจะโดนมั้งคะ ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ฝ่ายบริหารให้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ปิดข่าว” สุรีย์เล่าประโยคเดิมที่เพิ่งเล่าให้นิตยาที่ตอนนี้นั่งพยักหน้าตามฟัง
“เขาไม่ให้เล่าแล้วเธอมาเล่าทำไม ยัยสุรีย์” เหมือนฝันทำเสียงดุไม่จริงจังนัก
“แหม พี่ฝัน เรื่องแบบนี้เขาเล่ากันทั้งโรงพยาบาล หนูเอามาเล่าตึกเราจะได้ไม่ตกข่าว” สุรีย์ค้อนขวับหลังถูกตำหนิ
“อย่างงั้นก็เหอะ มีแต่เขาเล่า เรื่องจริงหรือเปล่าเนี่ย” มาคีถาม
“ว่าแต่น้องปลาธุรการนี่เป็นคนสวย หุ่นดีมากนะ ทำไมมาติดกับนายอาร์มก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะหล่อตรงไหน” นิตยายังวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด
“นั่นสิพี่ น้องปลาดูออกจะหัวสูง ไม่รู้มาติดกับอาร์มได้ไง อาร์มนี่ก็เหลือเกิน เมียขึ้นเวรตัวเองไปมีกิ๊กซะงั้น” สุรีย์เออออกับพยาบาลเวร
“สองคนนี้นี่” เหมือนฝันส่ายศีรษะ
“ติ๊ด ติ๊ด ตื๊ด” ก่อนจะส่งเวรต่อให้เวรบ่าย เสียงเครื่องวัดความดันร้องเตือนเสียงดัง
หน้าจอแสดงผลติดตามสัญญาณชีพเตียงหนึ่ง ผู้ป่วยหญิงวัยห้าสิบแปดปีกำลังนอนหอบจนตัวโยน หน้าจอแสดงผลออกซิเจนในเลือดต่ำกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ความดันโลหิตลดต่ำอย่างรวดเร็ว ผลการแสดงการเต้นของหัวใจขึ้นไปถุงร้อยห้าสิบ หัวใจเต้นพลิ้ว รัวเร็ว
“อะไรกันเนี่ย เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนยังปกติอยู่เลย” นิตยาถอนหายใจกับอาการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
“สงสัยได้รีทิวป์ซะแล้ว” เหมือนฝันบอก หญิงสูงวัยชื่อมาลัยคนนี้เพิ่งถอดท่อช่วยหายใจเมื่อสองวันก่อน อาการทรงตัว ไม่หอบเหนื่อยมาสองวันแล้ว วันนี้กลับมามีอาการซ้ำ ก็คงไม่พ้นต้องใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อดันออกซิเจนเข้าปอดให้เต็มที่
“ฉันไปโทรศัพท์ตามแพทย์เวรก่อนนะ” นิตยาบอกเพื่อนร่วมทีมที่ตอนนี้เข็นรถพร้อมอุปกรณ์ช่วยชีวิตมารอแล้ว
“ดูสิ เลยลงเวรเกือบสองทุ่มเลย” นิตยาทำหน้าง้ำบ่นอุบ “ฉันนี่ซวยของจริง จะลงเวรอยู่แล้วเชียว”
“เขาเรียกทำบุญย่ะ ขึ้นเวรเช้าพรุ่งนี้นี่ เดี๋ยวก็กลับหอไปนอนแล้ว อย่าบ่น” เหมือนฝันกลอกตาใส่
“หนูหิวข้าวนี่ ทำงานตั้งแต่แปดโมงเช้า” นิตยายังโอดไม่หยุด
“เอ้าๆ รีบกลับไปหาอะไรกินไป๊ ทีมเวรเช้า” เหมือนฝันไล่
ระหว่างใส่ท่อช่วยหายใจ คนป่วยมีอาการหัวใจเต้นผิดจังหวะจนต้องช็อกไฟฟ้าถึงสองครั้ง ทำให้การใส่ท่อช่วยหายใจ การช่วยชีวิตใช้เวลานาน ทีมพยาบาลเวรเช้าเลยทำงานติดพันทำให้ลงเวรไม่ได้
“นี่ลงเวรตอนนี้คงไม่เจออะไรดีๆ หรอกนะ” นิตยาพึมพำ
“ไม่แน่นะพี่ เห็นว่า ชอบแอบไปรับกัน” สุรีย์รับบทสนทนาอย่างรู้ใจ “เราแวะชั้นสองไหม”
“ไม่ดีมั้ง” คนที่เดินไปด้วยหัวเราะคิก
“สองคนนี่อะไรกัน ฉันไม่รอแล้วนะ กลับก่อนละ เหนื่อยมาก” ทิพวรรณค้อนขวับให้กับสองคู่ล้อที่คุยกันเรื่องเดิมยังไม่จบ
“เอ แปลกจัง ทำไมหน้าจอมอนิเตอร์ของป้ามาลัยถึงปกติเหมือนไม่ได้เป็นอะไรขึ้นมาเฉยๆ นะ” เหมือนฝันมองหน้าจอแสดงผลการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนกลับมาเป็นปกติฉับพลัน ถึงแม้ว่าระหว่างการช่วยชีวิตคนป่วยจะได้รับยาหลายตัว แต่ร่องรอยของอาการผิดปกติเมื่อช่วงเย็นหายไปหมดสิ้น
“อ๊ะ” มาคีผงะ
ผู้หญิงผมยาวที่มาคีเจอนั่งห้อยขาบนเตียงคนป่วยผ่านหน้าไป ไม่เชิงเห็นด้วยหางตา แต่ก็ไม่ช้าจนเหมือนคนอื่นที่เดินผ่าน ผู้หญิงคนนั้นเดินตามนิตยาและสุรีย์ไป มาคีหันไปทางเตียงหนึ่ง ก่อนหน้าที่ทีมกำลังช่วยชีวิตป้ามาลัย มาคีไม่เห็นผู้หญิงคนนี้ แต่อยู่ๆ เธอก็ปรากฏผ่านหน้า และอาการของป้ามาลัยก็กลับเป็นปกติ…
“อย่ามายุ่งกับฉันนะ ฉันไม่เชื่อคุณอีกแล้ว”
“มันไม่มีอะไรเหมือนที่คุณได้ยินมาเลยนะ คุณต้องเชื่อผม” เสียงทุ้มห้าวของผู้ชายตอบกลับ
“ฉันเชื่อตาตัวเอง คุณไม่ต้องมาแก้ตัว” เสียงสั่นของผู้หญิงบอกถึงอารมณ์ที่พยายามสะกดกลั้นความเสียใจและผิดหวังไว้อย่างเต็มที่
มาคีและเหมือนฝันลงเวรบ่ายในเวลาเกือบตีหนึ่ง ทั้งสองพักอยู่หอเดียวกัน ขึ้นเวรเดียวกันเลยอาศัยติดรถมาคันเดียวกันมาในคืนนี้ เสียงผู้หญิงและผู้ชายทะเลาะกันทำให้พยาบาลสาวทั้งสองคนต้องชะงักเท้า
“ฟังผมก่อนสิอร คุณต้องเชื่อผม ไม่ใช่เชื่อคนอื่น” เสียงฝ่ายชายเร่งร้อน
“ไม่ ปล่อย ไม่งั้นฉันจะเรียกยามช่วย” อีกเสียงเกรี้ยวกราดจนเกือบจะกรีดร้อง
“อะไรกันคะ มีอะไรกัน” มาคีรีบเข้าไปห้ามก่อนที่เรื่องจะเลยเถิดไปมากกว่านี้
“ไม่มีอะไรครับ ภรรยาผมเข้าใจผิดกับผมนิดหน่อย” ฝ่ายชายพึมพำ “พี่ฝัน สวัสดีครับ” ทั้งผู้ชายและผู้หญิงยกมือไหว้เหมือนฝันที่เดินตามมาคีมา
“มีอะไรกันอร อาร์ม นี่มันดึกมากแล้วนะ” เหมือนฝันปราม
“มีปัญหากันนิดหน่อยครับพี่” อาร์มบอกเหมือนฝันเสียงเศร้า
“มีปัญหากันค่ะพี่ฝัน อรไม่อยากคุยกับอาร์มคืนนี้” ผู้หญิงในชุดพยาบาลบอก “อรเหนื่อย”
“คุณก็ไม่อยากคุยกับผมตลอดแหละ” อีกฝ่ายเริ่มขึ้นเสียง
“เดี๋ยวๆ พอก่อน เอางี้นะ คืนนี้เธอสองคนแยกย้าย อย่าเพิ่งทะเลาะกัน อาร์มนอนที่ห้องช่างนี่แหละ ส่วนอรก็กลับบ้าน ไว้สงบสติอารมณ์ค่อยคุยกัน คืนนี้มันดึกมาก มาทะเลาะกันในที่ทำงานแบบนี้ ไม่ดีเลย” เหมือนฝันพูดเรียบๆ พยักหน้าเตือนไปทางกล้องวงจรปิดที่ติดไว้ทั่วทุกชั้นและรอบๆ โรงพยาบาล คนที่กำลังทะเลาะกันทั้งสองมองตามสายตาพยาบาลรุ่นพี่และหยุดการโต้เถียงกันลง
มาคีมองคู่รักตรงหน้าแล้วก็อดเสียใจแทนไม่ได้ ทำไมคนที่รักกันในวันหนึ่งต้องมาทะเลาะกันให้คนอื่นเห็นด้วย
“กึก กึก” เสียง กึก กึก เป็นจังหวะดังไม่ขาดระยะ แม้จะอยู่ระหว่างการทะเลาะกันของสองคนแต่มาคีได้ยินเสียงเคาะจังหวะนั้นชัดเจน มาคีเหลือบสายตาไปยังต้นเสียง…ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งห้อยขาอยู่ที่หลังคารถยนต์ เธอแกว่งขาสลับกันไปมาดังเป็นจังหวะกึก กึก…มาคีรีบหันมามองเหมือนฝัน อร และอาร์ม ทั้งสามคนยังตกลงปัญหากันไม่ได้ มาคียืนเหงื่อผุดพราวเต็มหน้าผากและแผ่นหลัง เธอพยายามทำเป็นไม่เห็นผู้หญิงคนนั้น
“กึก กึก” เสียงนั้นยังดังเป็นจังหวะ ไม่รู้ผู้หญิงคนนั้นรู้ไหมว่ามาคีเห็นเธอ
“เมื่อคืนได้ข่าวว่าน้องอรกับอาร์มทะเลาะกันลั่นชั้นจอดรถเลยหรือ” นิตยาถามทันทีที่มาคีเดินเข้าหอผู้ป่วยมา
“พี่นิดรู้ได้ยังไง” มาคีถามอย่างแปลกใจ มองไปด้านในเหมือนฝันก็ยังไม่มา ไม่น่าใช่เหมือนฝันที่มาเล่าเรื่องแบบนี้ให้คนอื่นฟัง
“ก็พยาบาลชั้นสองเขาคุยกันใหญ่ เสียงดังเข้าไปถึงในตึก” สุรีย์พูด
“ขนาดนั้นเลย” เหมือนฝันที่เดินตามมาคีเข้ามาทันได้ยินเรื่องที่สนทนาจึงตั้งคำถามอย่างแปลกใจ
“ใช่ค่ะ พวกนั้นยังบอกถ้าพี่ฝันไม่ห้ามคงได้ฆ่ากันที่ชั้นจอดรถนั่นแน่ๆ” นิตยาทำท่าขนลุก “หูย แบบนั้นไม่ไหวนะ มาฆ่ามาแกงกัน เราคนขึ้นเวรลงเวรคงไม่กล้าเอารถไปจอด”
“คิดไปนั่น สามีภรรยาเขาทะเลาะกันเพราะเข้าใจผิดนิดหน่อยเอง” เหมือนฝันส่ายศีรษะอย่างระอา
“นิดหน่อยอะไรกันพี่ฝัน ชั้นสองเค้าเมาท์กันเสียหายไปถึงไหน” นิตยาพูด
“ใครเขาจะเมาท์เราก็อย่าไปร่วมวงกับเขา เราไม่รู้เรื่องด้วยสักหน่อย บางทีอาจไม่เป็นเหมือนที่เขาเล่าก็ได้นี่” เหมือนฝันเดินเลยเอากระเป๋าไปเก็บที่ด้านหลัง
“นั่นไง เลยโดนเทศนาเลยเห็นไหม” นิตยาหันไปพยักพเยิดกับสุรีย์
“ขนาดโดนเทศนายังบ่น ถ้าเราโดนเอาไปนินทาเรื่องเสียๆ หายๆ บ้างล่ะพี่” มาคีหัวเราะขำก่อนจะเดินตามเหมือนฝันเข้าห้องพักพยาบาลไป
“พี่น้องสองคนนี้นี่เหมือนกันจริงๆ” นิตยาค้อนขวับ ไม่ได้เคืองอะไรจริงจังนักเพราะรู้นิสัยเหมือนฝันดีว่าเป็นคนที่ไม่ชอบพูดเรื่องไม่ดีของคนอื่น
ตึง! เสียงของหล่นดังจนพื้นหอผู้ป่วยสะเทือน
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คนไข้ตกเตียง” เสียงผู้ช่วยพยาบาลเวรบ่ายที่กำลังเดินตรวจความเรียบร้อยร้องขอความช่วยเหลือหลังเสียงดังนั่น
“ตายแล้ว” นิตยารีบผละจากเอกสารวิ่งออกไปหาคนป่วย มีสุรีย์ มาคี และเหมือนฝันวิ่งตามมาหน้าตื่น
“อะไรกันนี่” เหมือนฝันอุทาน
คนไข้หญิงเตียงหนึ่งในสภาพหน้าคว่ำอยู่ข้างเตียง เสาน้ำเกลือล้ม สายน้ำเกลือขาดออกจากกัน เลือดเริ่มไหลย้อนออกจากสายน้ำเกลือ
“ตายแล้ว คุณป้า เป็นยังไงบ้างคะ” เหมือนฝันรีบวิ่งเข้าไปจับหญิงวัยห้าสิบแปดปีนอนหงายและตรวจวัดสัญญาณชีพ
คนไข้หญิงเตียงหนึ่งเพิ่งถอดท่อช่วยหายใจเมื่อเช้านี้ หลังจากต้องใส่และถอดท่อช่วยหายใจมาแล้วสองครั้ง อาการยังไม่คงตัวดีก็กลับมาตกเตียงเสียอย่างนั้น
“ทำไมไม่เอาไม้กั้นเตียงขึ้น” เหมือนฝันทำเสียงตึงเมื่อมองไปที่เตียงแล้วไม้กั้นเตียงผู้ป่วยถูกปลดออก ไม่อยู่ในตำแหน่งป้องกันผู้ป่วยตกเตียงได้
“ก่อนเข้าไปรอส่งเวรหนูเอาขึ้นเองแล้วนะพี่” สุรีย์มองตามพร้อมกับทำหน้าฉงน เธอเป็นคนสำรวจผู้ป่วยคนสุดท้ายพร้อมกับไล่ยกไม้กั้นเตียงกันผู้ป่วยตกเตียงขึ้น เธอไม่พลาดการทำหน้าที่แน่ ยิ่งคนไข้เตียงหนึ่งที่ต้องดูอาการอย่างใกล้ชิด สุรีย์จะตรวจสอบความเรียบร้อยซ้ำๆ
“แล้วทำไมไม้กั้นเตียงถึงถูกปลดลงแบบนั้น” เหมือนฝันขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ “คุณป้าเป็นยังบ้างคะ หัวแตกด้วย” คนพูดตกใจเมื่อเห็นเลือดซึมออกที่ศีรษะ
มาคียืนมองความวุ่นวายตรงหน้า ทั้งเหมือนฝัน นิตยา และผู้ช่วยพยาบาลต่างช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นและตรวจดูอาการทางระบบประสาท บนเตียงผู้ป่วย หญิงสาวสวมชุดขาวมองเห็นรางๆ นั่งห้อยขาอยู่ที่เตียงด้านที่ไม้กั้นเตียงถูกดึงลง เธอแกว่งขาไปมาอย่างเชื่องช้า มองภาพความวุ่นวายด้วยราวกับกำลังสุขใจเสียเต็มประดา
“โอ๊ย ลงเวรค่ำอีกแล้ว” นิตยาโอด ช่วงสัปดาห์นี้ทุกครั้งที่นิตยาอยู่เวรเช้าเธอลงเวรเกือบสองทุ่มทุกวัน “เดี๋ยวมาต่อเวรดึกอีก” คนพูดทำเสียงงอแง
“คีย์ขึ้นดึกให้ก็ได้นะพี่” มาคีเสนอตัวอย่างเห็นใจ
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้พี่มีธุระต้องไปซื้อของน่ะ ขอบใจนะ” นิตยาโบกมือปฏิเสธก่อนจะเดินหน้างอลงตึกไป
เมื่อช่วงต่อเวรผู้ป่วยหญิงตกเตียงจนศีรษะแตก ทำให้ต้องเย็บแผลและส่งคนไข้ไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อดูว่าได้รับการกระทบกระเทือนทางสมองหรือไม่ แต่ละขั้นตอนใช้เวลาพอสมควรทำให้นิตยาต้องอยู่ดูคนไข้จนจบทำให้ลงเวรช้า
“น่าสงสารป้าเค้านะ วันนี้อุตส่าห์จะได้เริ่มกินข้าวต้มสักหน่อย” เหมือนฝันพึมพำมองไปที่เตียงผู้ป่วย
เป็นเวลาสัปดาห์กว่าที่ผู้ป่วยมานอนรักษาตัวในโรงพยาบาล หญิงวัยห้าสิบแปดปีต้องงดอาหารเพราะอาการของโรคตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับการรักษาตัว จนวันนี้กำลังจะได้เริ่มมื้ออาหารก็ต้องมาติดตามอาการทางระบบประสาท งดอาหารและน้ำต่ออีก
“ถึงกินได้ก็คงกินไม่ลงหรอกค่ะพี่ฝัน ปากแตกด้วย” อำไพวรรณ ผู้ช่วยพยาบาลเวรบ่ายพูด อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย
“คีย์ เป็นอะไร ไม่พูดตั้งแต่ขึ้นเวรมาแล้วนะ” เหมือนฝันทักเมื่อเห็นมาคีมองเหม่อไปทางห้องพักผู้ป่วยตลอดเวลา
“พี่ฝันคะ มันมีวิญญาณตามติดคุณป้า เขาแกล้งคุณป้าไม่ให้คุณป้าได้กินอะไรตั้งแต่มา” มาคีกระซิบให้ได้ยินกันสองคน
“ฮะ อะไรนะคี อีกแล้วเหรอ” ถึงแม้จะเคยผ่านเหตุการณ์เหนือธรรมชาติกับมาคีมาหลายเหตุการณ์ แต่เหมือนฝันก็อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ เรื่องราวลึกลับซ้ำๆ มักเกิดในช่วงที่คนเราก้ำกึ่งระหว่างความเป็นและความตาย นั่นคงเป็นเพราะเป็นช่วงเวลาที่จิตคนเราอ่อนแอและสับสนจนทำให้มีการแทรกแซงจากสิ่งต่างๆ ได้ง่าย
“จริงค่ะ” มาคีพูดเสียงเบา สายตายังจับที่เตียงหมายเลขหนึ่ง
“นี่เขายังอยู่ที่นั่นหรือ” เหมือนฝันถาม มองตามจุดสายตาที่มาคีมอง น้ำเสียงบอกถึงความกลัวชัดเจน
“เขาพยายามทำร้ายคุณป้าตั้งแต่วันแรกที่หัวใจเต้นผิดจังหวะนั่นแหละค่ะ” มาคีบอก แม้จะไม่เข้าใจว่าวิญญาณนั้นทำไปทำไม เพราะทุกครั้งไม่ได้หมายเอาชีวิตแต่ก็ไม่ปล่อยให้คนไข้ได้พักอย่างสบายบ้าง
“น่ากลัวจังเลยคีย์” เหมือนฝันหน้าซีด เธอเกลียดเรื่องพวกนี้จริงๆ ตั้งแต่รู้จักมาคีมาเหมือนฝันก็เจอเรื่องพวกนี้บ่อยๆ ทั้งที่อยากจะหนีให้ไกล
“กริ๊ง กริ๊ง”เสียงโทรศัพท์ดังแทรกความเงียบเวลาห้าทุ่มกว่า ทำให้พยาบาลเวรสองคนที่กำลังคุยกันอยู่ถึงกับสะดุ้ง
“ว้าย” เหมือนฝันรีบเอามืออุดปากเพราะเผลออุทานเสียงดังออกมา มาคีเองแม้ไม่ได้อุทานออกมาแต่ก็รู้สึกมือเท้าอ่อนเพราะตกใจ
“ค่ะ ตึกอายุรกรรมค่ะ” มาคีกรอกเสียงไปกับโทรศัพท์หลังเหมือนฝันโบกมือให้รับสายเพราะเธอเองไม่พร้อมคุยโทรศัพท์เพราะยังตกใจมากอยู่
“อะไรนะคะ” เสียงมาคีดังขึ้นจนเหมือนฝันแปลกใจ “ค่ะ ได้ค่ะ อ้อ ค่ะ” น้ำเสียงของมาคีไม่มั่นคงสักนิด สั่นไหวจนเหมือนฝันขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“อะไรอีก” เหมือนฝันถาม
“อำไพวรรณ เตรียมเวนติเรเตอร์ (ventilator) ด้วยจ้ะ” มาคีสบตาพี่สาวที่ยังหน้าซีดอยู่ “พี่ฝันอย่าตกใจนะคะ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ
“เคสอะไร”
“เรารับคนไข้ผูกคอฆ่าตัวตาย” เหมือนฝันพูดเสียงเบา อีกฝ่ายมองหน้ามาคีที่ไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นอะไรเพราะเหมือนฝันเคยรับผู้ป่วยกลุ่มนี้มาแล้ว
“คนไข้คือปลา…ฝ่ายธุรการ” มาคีเสริมประโยคตัวเอง
“หา” เหมือนฝันนั่งลงที่เก้าอี้ “วันนี้มันวันอะไรกัน มีแต่เรื่องชวนหัวใจวาย” คนพูดหยิบยาดมขึ้นมาสูดอย่างแรง
มาคีมองไปที่เตียงหมายเลขหนึ่ง ผู้ป่วยหญิงนอนนิ่งสงบอยู่บนเตียง หน้าจอติดตามการเต้นของหัวใจปรากฏภาพคลื่นหัวใจเต้นปกติ ออกซิเจนในกระแสเลือดปกติ ความดันโลหิตปกติ…ผู้หญิงชุดขาวที่วนเวียนอยู่รอบเตียง คืนนี้หายไป
“น้องปลาเป็นไงบ้าง” วรรณภาถามหลังจากที่เข้าตึกมาตอนเช้า น้ำเสียงตึงเครียดกว่าปกติ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าในไลน์กลุ่มหัวหน้างานเรื่องการฆ่าตัวตายของเจ้าหน้าที่ต้องถูกหยิบมาคุยกันเป็นวาระเร่งด่วน ยิ่งเช้านี้วรรณภามาถึงที่ทำงานแต่เช้าตรู่นั่นแสดงว่าเรื่องของเจ้าหน้าที่ธุรการคงเป็นวาระแรกของวันนี้
คืนก่อนหน้าเพราะนิตยาลงเวรดึก มาคีเลยต่อเวรดึกให้ ตอนแรกนิตยายืนยันจะมาขึ้นเอง สุดท้ายก็ขึ้นไม่ไหวโทรศัพท์มาขอให้มาคีต่อเวรให้ เช้านี้วรรณภาเข้าตึกมาตั้งแต่หกโมงเช้าในขณะที่มาคีกำลังทำงานประจำกับผู้ป่วยเพิ่งเรียบร้อยและเข้ามาเขียนเอกสาร
“ยังหมดสติอยู่เลยค่ะ คงขาดอากาศหายใจสักพัก นี่ก็หายใจตามเครื่อง” มาคีบอก เสียงเครื่องช่วยหายใจบีบอัดเป็นจังหวะ คนป่วยเตียงสองนอนอย่างสงบ
“ไม่ย้ายสลับกับเตียงหนึ่งละ” วรรณภาถาม คนไข้เตียงหนึ่งแม้อาการยังไม่ปกติแต่ก็ไม่ได้ใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว
“เมื่อวานแกตกเตียงค่ะ มีโอกาสกลับมาใส่ทิวป์สูงก็เลยไม่ย้ายดีกว่า”
“อ้อ” วรรณภาหยิบเอกสารของคนไข้เตียงสองขึ้นมาอ่าน “อะไรกันหนักหนาเนี่ย คงไม่ใช่เพราะเรื่องที่เค้าเมาท์กันหรอกนะ” คนพูดถอดถอนใจ
“เนี่ยโชคดีแค่ไหนที่ฉันไม่มีความรัก พวกเธอก็ชอบยุให้ฉันมีแฟน เป็นไงล่ะ” คนพูดค้อนลมค้อนแล้ง
“โธ่พี่ มันคนละเหตุการณ์กันไหม นี่เขาไปยุ่งกับคนมีครอบครัว” อำไพวรรณ ผู้ช่วยพยาบาลที่กำลังลงข้อมูลผู้ป่วยพูด
“จุ๊ จุ๊” มาคีส่ายศีรษะใส่อีกฝ่าย
น่าแปลก ตั้งแต่ปรารณธรหรือปลาเข้ามาในหอผู้ป่วย ผู้หญิงในชุดสีขาวนั่นก็ตามมาด้วย แถมยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นทั้งคืน มาคีเองก็ไม่ได้พักเพราะต้องเฝ้าทั้งสองเตียงอย่างใกล้ชิด เธอไม่รู้ว่าวิญญาณนั้นต้องการอะไรหลังจากผลักคนป่วยเตียงหนึ่งตกเตียงและทำร้ายคุณป้าคนเดิมสารพัด การขึ้นเวรดึกในคืนที่ผ่านมาก็ดีเหมือนกัน เพราะเหมือนมาคีช่วยเฝ้าระวังเรื่องไม่ดีด้วย
“เป็นไงบ้างคีย์” เหมือนฝันที่เร่งรีบเข้ามาที่หอผู้ป่วยเวลาไล่ๆ กับวรรณภาถาม
“โห มาทำไมเช้าพี่ เมื่อคืนกว่าจะลงเวรเกือบตีหนึ่ง” มาคีทัก
“นอนไม่หลับสิ ใครจะไปนอนหลับ” คนพูดกลอกตาใส่น้องสาวก่อนจะหันไปมองที่เตียง สังเกตอาการท่าทางร้อนใจ
“เฝ้าทั้งคืนเลยพี่ ไม่รู้เขาเฝ้าอะไร และก็ไม่รู้เขาต้องการอะไร” มาคีบอก
“นี่พี่กลัวนะคีย์ พี่ต้องทำยังไง” คนพูดทำท่าขนลุกขนพอง สำหรับมาคีเอง การมองเห็นวิญญาณผู้หญิงคนนั้นก็คงน่ากลัวมากอยู่ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่เหมือนฝันสิมองไม่เห็น จะไปเดาใจวิญญาณนั้นถูกหรือ
“ช่วงกลางวันคนพลุกพล่านไม่น่ามีอะไรค่ะ” มาคีพูดสายตายังมองที่เตียงผู้ป่วยสังเกตอาการเตียงหมายเลขหนึ่งและสอง
“แล้วคีย์คิดว่าจะจัดการยังไง” เหมืนฝันถาม “เราจะอยู่ร่วมกับวิญญาณที่คอยแต่จะทำร้ายคนไข้แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้นะ ดูสิ ตาดำเป็นหมีแพนด้าแล้ว” เหมือนฝันบอกเมื่อมองหน้ามาคีที่ตอนนี้ทั้งซีดและขอบตาบวมคล้ำ
“ไม่รู้สิพี่ คีย์ยังไม่รู้เลยว่าเขาต้องการอะไร” มาคีส่ายศีรษะจนปัญญาจะหาทางออกให้ มาคีไม่ได้สื่อสารกับวิญญาณได้ขนาดจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร บางกรณีมาคีก็ไม่อยากให้วิญญาณรู้ด้วยซ้ำว่าเธอมองเห็นพวกเขา
ที่ผ่านมาส่วนใหญ่วิญญาณเหล่านั้นก็มาขอความช่วยเหลือทั้งนั้น ไม่ใช่มาคีไม่อยากช่วยแต่เพราะทุกดวงวิญญาณต่างมีกรรมเป็นของตัวเอง การช่วยดวงวิญญาณไปเรื่อยๆ แบบไม่มีเหตุผลมาคีคิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องดีนัก
“อ้าว อร ลงเวรดึกเหมือนกันหรือ” มาคีทักอิงอรพยาบาลตึกศัลยกรรม
“อ้าว คีย์ ตึกยุ่งหรือเพิ่งลงมา ฉันลงเวรมาสักพักแล้ว รถสตาร์ตไม่ติดน่ะ นี่เรียกช่างแล้ว เขาบอกให้รอก่อน” อิงอรพูด ท่าทางอิดโรยหน้าซีด
“หน้าเธอซีดมากเลยนะอร ไหนดูสิ” มาคียื่นมือรับกุญแจอีกฝ่ายไปลองสตาร์ตรถ เธอเคยลงเรียนช่างเครื่องยนต์เบื้องต้นตอนที่วิทยาลัยสารพัดช่างเปิดให้เรียนในช่วงที่กลับไปพักฟื้นหลังประสบอุบัติเหตุ
“อ๊ะ” มาคีชะงักทันทีที่เปิดประตูรถยนต์เข้าไปนั่ง ที่นั่งข้างคนขับผู้หญิงในชุดขาวนั่งอยู่ข้างๆ มือเย็นเฉียบวางทาบทับไว้บนเกียร์รถยนต์ มาคีรู้สึกเหงื่อซึมชุ่มเต็มแผ่นหลัง ขยับกุญแจสตาร์ตรถเพียงครึ่งเดียว รถยนต์ส่งเสียงครางแต่ไม่ติด มาคีรีบบิดกุญแจและเปิดประตูรถยนต์ออกมา
“อร ติดรถคีย์กลับหอก่อนละกัน ฝากกุญแจรถไว้ให้ช่างที่ยาม ถ้าช่างมาก็ให้เขาดูให้” มาคีบอกอย่างรีบร้อน
“อรว่า อรรอช่างดีกว่า เกรงใจคีย์ต้องไปส่ง” อิงอรพูด
“ไม่เป็นไรอร เดี๋ยวคีย์ไปส่ง ไปเถอะ” มาคีเร่ง ท่าทางร้อนรนไม่ได้มาจากความง่วงอย่างที่อิงอรเข้าใจ
“คีย์กลับก่อนเถอะ” อิงอรบอกเสียงเบา มาคีมองหน้าอีกฝ่ายที่มองไปที่ประตูทางเข้าอาคารผู้ป่วย ชายร่างโปร่งเดินเข้าไปในนั้นในมือมีช่อดอกไม้
“อาร์ม” มาคีพึมพำ ก่อนจะหันขวับไปทางรถยนต์ของอิงอร ผู้หญิงชุดขาวยืนอยู่ที่ประตูรถยนต์อย่างเงียบเชียบ แผ่วเบาเหมือนร่างของเธอ
“ไหนบอกว่าไม่มีอะไรไง นี่อะไร” ช่อดอกไม้สีแดงถูกขว้างลงที่พื้นจนกลีบดอกกระจาย
“อร ทำอะไรน่ะ” ชายร่างสูงโปร่งมีสีหน้าตกใจ
“ทำอะไร ก็มาดูคุณกับชู้ให้เห็นกับตาไง” อิงอรที่หน้าซีดจากการไม่ได้นอนทั้งคืนยิ่งซีดเผือดไปใหญ่
“อร ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ นะ” มาคีที่วิ่งตามมาปรี่เข้าเขย่าแขนเรียกสติ ไม่อยากให้เกิดเรื่อง ก่อนหน้าเธอพยายามเร่งให้อิงอรกลับไปนอนพักที่หอหลังลงเวรดึกทั้งๆ ที่รถยนต์ของอิงอรเสียเพราะมาคีเห็นวิญญาณผู้หญิงในรถของอิงอร แต่กลับเป็นว่าการที่อิงอรไม่ได้กลับหอไม่เกี่ยวกับเรื่องรถยนต์เสียเลย กลายเป็นว่ามาเห็นสามีของเธอเข้ามาเยี่ยมปราณธรที่หอผู้ป่วยพร้อมช่อดอกไม้
“อะไรกันคีย์” เหมือนฝันที่เดินตรวจอาการผู้ป่วยอยู่ปรี่เข้ามาหา เธอเหลียวมองไปรอบๆ หอผู้ป่วย โชคดีมากที่วันนี้คนไข้นอนโรงพยาบาลน้อยมาก
“พี่อร หนูขอโทษนะคะ” ปราณธรยกมือไหว้ขอโทษเสียงแหบ เธอเพิ่งถอดเครื่องช่วยหายใจเมื่อเช้านี้ “หนูผิดไปแล้ว หนูไม่น่าปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนี้” คนป่วยเริ่มร้องไห้
“ขอโทษหรือ ขอโทษแล้วเรื่องทั้งหมดหายไหม ความรู้สึก ความเสียใจ เวลา” อิงอรที่ตอนนี้เหมือนเขื่อนอารมณ์แตก เธอระเบิดอารมณ์ออกมาเต็มที่
“ใจเย็นๆ อร รอให้ปลาหายป่วยก่อนค่อยเคลียร์กัน” มาคีเขย่าแขนเรียกสติอีกฝ่าย แม้ผู้ป่วยจะน้อยแต่คนที่อาการดีขึ้นก็เริ่มสนใจเหตุการณ์ทะเลาะกัน
“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงเครื่องควบคุมการเต้นของหัวใจของผู้ป่วยหญิงเตียงหมายเลขหนึ่งร้องเสียงดัง คลื่นไฟฟ้าแสดงถึงการกระตุ้นจากจุดกำเนิดไฟฟ้าผิดปกติ
“ตายแล้ว พี่วรรณคะ ตามหมอทีคนไข้เตียงหนึ่งคลื่นไฟฟ้าหัวใจเป็นวีแท็กค่ะ” เหมือนฝันตะโกนบอกพยาบาลที่อยู่ในเคาน์เตอร์
“วีแท็กอะไรกันตอนนี้คะคุณป้า” คนพูดวิ่งไปเตรียมอุปกรณ์ช็อกไฟฟ้าหัวใจ
ในความวุ่นวายของเหตุการณ์ซ้อนเหตุการณ์ ร่างในชุดขาวยืนอยู่ข้างเตียงหมายเลขหนึ่งกำลังกดมือที่หน้าอกของคนป่วยที่ตอนนี้นอนดิ้นทุรนทุราย ภาพของอิงอรที่วิ่งออกจากหอผู้ป่วยอายุกรรมมีอาร์มที่พยายามดึงแขนของอีกฝ่ายไว้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
“นี่มันจลาจลอะไรกันนี่” วรรณภาที่เดินมาสมทบท้ายสุดบ่นพึมพำแต่ก็เข้าถึงคนไข้เตียงหมายเลขหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“เธอทำอะไรของเธอ ทำแบบนี้มันบาปมากนะ เธอจะไม่ได้ผุดได้เกิดเลยนะ” มาคีที่เดินเข้าไปช่วยเตรียมผู้ป่วยพึมพำ ผู้หญิงในชุดขาวชะงักมือ
“ฉันเห็นเธอ เห็นมาตลอด ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังทำอะไร แต่ทำแบบนี้มันเกินไป เธอฆ่าคน วิญญาณเธอจะมีบาปหนาติดตัว” มาคียังกัดฟันพูดต่อ
“บาปหรือ ฉันตายเพราะมัน แล้วมันไม่บาปหรือ ฉันจะให้มันชดใช้ ฉันจะให้มันตกนรกทั้งชีวิตที่เหลืออยู่” เป็นครั้งแรกที่ผู้หญิงในชุดสีขาวหันมา ดวงตาของเธอเป็นสีดำเพราะความแค้นที่อัดลึกอยู่ในดวงจิต น้ำตาสีเลือดไหลรินเปื้อนใบหน้าขาวซีด เป็นครั้งแรกเช่นกันที่มาคีมองภาพที่แตกต่างจากตัวเองอย่างสงบ
“ไปนั่งทางโน้นกันเถอะเธอ”
ทันทีที่นิรมลวางจานอาหารลงที่โต๊ะ ผู้หญิงที่นั่งอยู่สามคนพากันลุกและยกจานของตัวเองไปนั่งที่โต๊ะอื่น มันเป็นแบบนี้มาสักพักแล้ว นิรมลเป็นที่รังเกียจของเพื่อนร่วมงาน เธอจะถูกแยกออกจากคนอื่นไม่ว่าจะทำอะไร
“ไม่อยากไปยุ่งกับพวกเมียเก็บ ชีวิตจะอัปมงคล” เสียงคำพูดค่อนขอดแว่วมาให้ได้ยิน อีกฝ่ายไม่ได้ถนอมน้ำเสียงเพราะตั้งใจให้นิรมลได้ยินอยู่แล้ว
“ยังสาวยังสวยแต่อุตริเป็นเมียน้อยคนแก่คราวพ่อ ผู้หญิงสมัยนี้หน้าไม่อายจริงๆ” น้ำเสียงยังดูถูกดูแคลนชัดเจน
“เป็นฉันนะเขานินทากันทั้งบริษัทแบบนี้อยู่ไหวหรอก ลาออกไปให้คนแก่เลี้ยงแล้ว อายแทน”
“อะไรกันพวกเธอ เวลากินข้าวเขาไม่ให้พูดเรื่องอัปมงคล” หญิงสูงวัยเดินมานั่งสมทบพร้อมกับจานข้าวในมือ
“คุณกมลา” เสียงคนที่นั่งอยู่ก่อนทักทายหญิงสูงวัยที่เข้ามาใหม่ ในวัยห้าสิบแปดกมลายังเป็นสาวใหญ่ที่สวยและเปรี้ยว ทำให้ดูอ่อนกว่าวัย ทั้งด้วยเป็นเลขานุการประธานบริษัททำให้กมลาต้องคิดงานอยู่เสมอ ทำให้เธอมีสายตาที่คมกริบไม่เหมือนอีกหลายคนในวัยเดียวกันที่เตรียมเกษียณ
“พวกเธอนี่นะ เวลากินข้าวๆ อย่าไปพูดถึงเรื่องอัปมงคลมันจะทำให้โชคลาภหายไป” คนพูดหัวเราะคิกคัก
“ทนไม่ได้จริงๆ ค่ะ รำคาญลูกตา” คนที่นั่งอยู่ก่อนยังต่อคำไม่หยุด “คุณกมลาก็ระวังไว้นะคะ ได้ข่าวเล็งตำแหน่งเลขาท่านประธานตาเป็นมัน”
นิรมลที่นั่งตักข้าวไปสี่ห้าคำรู้สึกจุกในคอ แน่นไปหมดจนกลืนไม่ลงเลยยอมแพ้ก่อนจะลุกหยิบจานไปเก็บเพื่อกลับไปทำงานต่อ
“ว้าย” ยังไม่ทันเดินถึงไหนนิรมลก็ล้มลงเข่ากระแทก จานที่ถือมากระเด็นไปข้างหน้า
“ว้าย ตายแล้ว ทำไมไม่ระวัง” กลุ่มผู้หญิงที่นั่งอยู่พากันหัวเราะครืน ไม่มีใครคิดจะช่วย
“คงไม่มีใครมาแทนตำแหน่งฉันได้หรอกมั้ง ถ้าฉันไม่อนุญาต” ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีชมพูเข้มยิ้มเยาะอย่างเห็นได้ชัด “ลุกเองนะ ไม่เจ็บเยอะนี่”
นิรมลมั่นใจว่าก่อนที่เธอจะล้มเข่ากระแทกเธอสะดุดอะไรบางอย่างแน่นอน ไม่ใช่เดินหกล้มเอง แต่หญิงสาวไม่คิดว่าคนที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของบริษัทจะทำเรื่องร้ายกาจเหมือนเด็กขี้อิจฉาเช่นนั้น
“คิดดีๆ นะคุณตรี ผู้หญิงคนนั้นน่ะร้ายมากนะ เดี๋ยวจะว่าน้าไม่เตือน” เสียงของกมลาดังลอดออกมาจากห้องหัวหน้าฝ่ายผลิต
“เขาร้ายยังไงหรือครับ” เสียงของชาตรีถามกลับอย่างสงสัย
นิรมลที่กำลังเริ่มคบหากับชาตรียืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง เย็นนี้เธอชวนชาตรีไปซื้อของ นิรมลรู้สึกโชคดีที่ได้เจอชาตรี เรื่องของเธอกับประธานบริษัทคราวพ่อจะได้เงียบไปเสียที แต่…
“นี่คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าคนที่คุณกำลังคบน่ะเป็นเมียเก็บท่านประธาน” เสียงของกมลาไม่เบาเลย คนที่ยืนอยู่หน้าประตูได้ยินชัดเจน พนักงานที่นั่งทำงานอยู่ข้างนอกก็เช่นกัน
“เอ่อ ไม่จริงมั้งครับ ผมว่า…”
“ที่มาเตือนเพราะเห็นแก่อนาคตคุณนะคุณตรี อย่างดีก็ได้ผู้หญิงที่มั่วไปทั่วมาเป็นเมีย อย่างร้ายคุณจะถูกไล่ออกนะไปยุ่งกับเมียเก็บท่านประธาน”
นิรมลหันไปมองรอบห้อง หลายคนกำลังซุบซิบกัน ไม่ว่าเธอจะเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่ก็ตามตอนนี้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่คบชู้ไปเสียแล้ว ค่ำนั้นนิรมลโทรศัพท์หาชาตรีถึงยี่สิบสายแต่ชายหนุ่มไม่รับสาย เธอฝากข้อความไว้ก็ไม่มีการตอบกลับ นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของนิรมลทั้งเสียใจ ผิดหวัง และเคว้งคว้าง
“นิ ทำไมลูกถึงทำตัวแบบนี้” ปลายสายที่พูดกลับมาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
“อะไรหรือคะแม่” นิรมลถามกลับอย่างงงงัน เป็นเรื่องผิดปกติอยู่แล้วที่แม่ของเธอโทรศัพท์หาหลังสี่ทุ่ม
นิรมลมีพื้นเพเป็นคนต่างจังหวัด ที่บ้านมีอาชีพเกษตรกรรมเหมือนคนส่วนใหญ่ เธอมีพี่น้องรวมกันสามคน เธอเป็นลูกสาวคนกลางมีพี่ชายและน้องสาว นิรมลเข้ามาเรียนและทำงานที่กรุงเทพฯ จะกลับบ้านเฉพาะช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว พี่น้องก็ทำงานที่กรุงเทพฯ เหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่เขตเดียวกันทำให้ไม่ได้ไปมาหาสู่บ่อยนัก
“ทั้งพ่อและแม่ผิดหวังในตัวเรามากนะ อย่าบอกว่าเงินที่ส่งมาให้ทุกครั้งมาจากเรื่องที่เราทำไม่ดีกับคนอื่น” น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง
“แม่คะ นี่มันเรื่องอะไรกัน” นิรมลยังถามอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องอะไร เมื่อตอนเย็นมีคนที่บริษัทโทรมาหาพ่อเรื่องที่แกไปเป็นเมียเก็บหัวหน้า” เสียงคนพูดขาดไปได้ยินแต่เสียงสะอื้น
“เขาด่าพ่อแกกับฉันว่าเลี้ยงลูกได้แย่ถึงได้มีลูกแบบแก พ่อแกกับฉันอับอายมาก” เสียงปลายสายสั่นเครือ
“แม่คะ หนูขอพูดกับพ่อหน่อย” นิรมลบอก จากน้ำเสียงของมารดาต่อให้เธออธิบายอย่างไรก็ไม่มีทางรับฟังหรือเข้าใจเธอแน่ๆ
“พ่อแกไม่พูดกับแกหรอก เขาจะไม่คุยกับแกอีก” อีกฝ่ายจะร้องไห้
“แม่คะ หนูว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” นิรมลพยายามอธิบาย
“พอเถอะ แกไม่ต้องแก้ตัวอะไรอีกแล้ว รูปที่เขาส่งมาให้พ่อกับแม่แกดูตอนเย็นมันเห็นชัดเจนแบบนั้น” น้ำเสียงของมารดาเข้มขึ้น “ฉันกับคุณผจญผิดหวังในตัวแกมาก ต่อไปแกไม่ต้องโทรมาแล้ว”
“แม่คะ” นิรมลท้วง
“ไม่ต้องกลับมาที่นี่แล้ว ฉันอายเขา” โดยไม่รอให้นิรมลพูดอะไรปลายสายก็ตัดการสนทนาไป นิรมลพยายามโทรศัพท์กลับไปแต่เหมือนว่าปลายสายจะไม่รับสายโทรศัพท์จากเธออีกแล้ว
ตั้งแต่เล็กจนโตการเป็นลูกคนกลางที่มีพี่น้องทั้งหญิงชายทำให้เธอถูกลืมจากครอบครัวบ่อยๆ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรพี่และน้องจะได้รับความสำคัญกว่าเสมอ เธอมักได้ของมือสองจากพี่ชายไม่ว่าจะเป็นหนังสือเรียนหรือของเล่น รวมทั้งต้องเสียสละของใหม่ให้น้องคนเล็กเพราะเธอเป็นพี่ และสุดท้ายไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรเธอมักถูกคาดโทษไว้ก่อน ครั้งนี้ก็เช่นกัน
ค่ำคืนในเมืองใหญ่นิรมลเหมือนไม่มีใครให้พึ่งพา ไม่มีคนให้พูดคุย มีแต่คนพูดถึงเรื่องของเธอลับหลังและทำร้ายเธอด้วยคำกล่าวหาต่างๆ นานา แม้กระทั่งคนรักที่น่าจะรู้จักเธอดีที่สุด วันนี้เขากลับตีจากเพราะคำพูดของคนที่ไม่รู้จัก เชือกเส้นเขื่องถูกมัดรวบไว้ที่ขอบประตูห้องนอน…นี่คงเป็นเรื่องสุดท้ายที่พวกนั้นจะได้พูดถึงเธอ
“คีย์ คีย์ เปิดเครื่องช็อกสิ” เสียงเหมือนฝันกระตุกภาพในสมองทิ้งฉับพลัน มาคีมองภาพการช่วยชีวิตตรงหน้า
“คุณกมลา” มาคีพึมพำ ข้างๆ กันผู้หญิงในชุดสีขาวยืนมองเธอ “นิรมล”
“มาคี ปรับจูนเครื่องช็อก” เหมือนฝันสั่งอีกครั้ง มาคีรีบเปิดเครื่องท่าทางเงอะงะ
“มานี่มาคีย์ ลงเวรดึกคงเบลอ พี่ต่อเอง” นิตยาที่มาเปลี่ยนเวรเช้ารีบเข้าประจำหน้าที่
“ทุกคนเคลียร์” เสียงออกคำสั่งของแพทย์เวรก่อนช็อกไฟฟ้าผู้หญิงที่นอนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะทำให้ทีมทั้งหมดถอยออกมา
“ว้าย คุณหมอ คุณหมอ คนจะโดดตึก” เสียงกรีดร้องของคนป่วยในล็อกสามทำให้มาคีหันกลับไปมอง ที่เตียงสองปราณธรหายไปจากเตียง
“ไม่นะ” มาคีรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง ทั้งทีมก็มีแต่เธอนี่แหละที่ไม่มีหน้าที่อะไรเพราะเธอลงเวรแล้ว
“ปลา ปลา ใจเย็นก่อนนะ” มาคีไปถึงชานระเบียงที่ตอนนี้หน้าต่างกระจกที่ถูกล็อกไว้ถูกเปิดออก ปราณธรยืนอยู่ที่ชานระเบียงนั้น ผู้หญิงในชุดขาวนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย
“ปลา เข้ามาก่อน อย่าไปยืนตรงนั้นมันอันตราย” มาคีพูดเสียงดังชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ค่ะ ปลาไม่เข้าไป” ปราณธรปฏิเสธ
“ได้ๆ แล้วปลาจะเข้ามาเมื่อไหร่ ให้พี่ออกไปนั่งเป็นเพื่อนไหม” มาคีเสนอตัว
“ไม่รู้ อยากอยู่คนเดียว พี่อย่ามานะ” น้ำเสียงท้ายประโยคหงุดหงิด
“ได้ๆ พี่ไม่ออกไปจ้ะ ปลาไปทำอะไรตรงนั้น” มาคีตั้งคำถามเริ่มมองหาทีมช่วยเหลือ แต่ใครจะมาช่วยเหลือเธอในเมื่อทีมหลักกำลังยื้อชีวิตคนป่วยเตียงหมายเลขหนึ่งอยู่
“ปลาเบื่อ ปลาอยากจบทุกเรื่อง ปลาไม่ไหวแล้ว” ปราณธรเริ่มร้องไห้
“ปลา ปลาฟังพี่นะ ความเบื่อมันก็แค่ช่วงนี้เท่านั้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไปนะ ปลาลองคิดถึงพ่อ แม่ หรือคนที่ปลารักดูสิ ทุกคนก็รักปลานะ”
“ไม่มีแล้ว พ่อแม่ตายหมดแล้ว ปลารักพี่อาร์ม พี่อาร์มไม่รักปลาแล้ว” ปราณธรร้องไห้หนักจนสะอื้น ร่างของผู้หญิงในชุดขาวยืนเทียบร่างปราณธร
“กระโดดลงไปสิ เดี๋ยวก็ไม่เจ็บปวดแล้ว” แม้เสียงนั้นแผ่วเบาแต่มาคีได้ยิน ไม่รู้เพราะอะไรเธอถึงได้ยินสิ่งที่นิรมลพูดกับปราณธร
“หยุดทำแบบนั้นนะนิรมล เธอกำลังจะทำบาปทำกรรมให้ตัวเองไม่จบไม่สิ้น” มาคีพูดกับนิรมล คนป่วยหลายคนยืนฟังแต่ไม่มีใครสงสัยว่ามาคีเรียกชื่อคนป่วยสับไปสับมานั่นเพราะทุกคนไม่รู้จักปราณธร
“บาปหรือ ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่บาป” นิรมลหันขวับมามองหน้ามาคี ดวงตาสีดำเบิกโพลงเพราะโกรธเกรี้ยว
“เขาทำอะไร” มาคีถาม
“ก็เป็นชู้กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ ไง ส่วนฉัน ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นทำไมฉันถึงถูกรังเกียจทั้งบริษัท แต่ผู้หญิงคนนี้กลับมีคนเห็นอกเห็นใจไม่ให้พูดเรื่องไม่ดีของเธอ” ผู้หญิงในชุดขาวกรีดร้องเสียงดัง
“ทุกคนมีกรรมของตัวเอง ใครทำอะไรไว้กรรมจะทำหน้าที่เอง เธออย่าทำร้ายเขามันจะเป็นบาปติดตัวเธอ” มาคีรีบพูดจนรู้สึกว่าตัวเองหอบจนต้องสูดหายใจ
“ฉันไม่รู้จักบาปบุญ ฉันต้องการวิญญาณมาแทนที่” วิญญาณอาฆาตประกาศชัด
“ตัวตายตัวแทนหรือ” มาคีพึมพำ นี่เธอไม่ได้เผชิญหน้ากับวิญญาณแค้นธรรมดา แต่วิญญาณตรงหน้าต้องการตัวแทน
“ไม่นะ ทำแบบนั้นมันบาปหนักมากนะ” มาคียกมือไหว้ “ฉันขอร้อง ฉันจะบวชชีพราหมณ์ ยกบุญให้เธอ”
“ไม่ ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้น” เสียงเกรี้ยวกราดอาฆาต
ที่ไม่ไกลนักแสงสีรุ้งเริ่มทอประกายที่เส้นขอบฟ้า ใครบางคนกำลังจะข้ามภพข้ามชาติไปสู่สะพานข้ามรุ้งหรือไปสู่ความมืดมน มาคีหันไปมองที่ผู้ป่วยหญิงเตียงหนึ่ง
“ไม่ต้องห่วง มันไม่ตายตอนนี้หรอก มันต้องอยู่อย่างทรมาน พูดไม่ได้ กินไม่ได้ไปอีกสักพัก” เหมือนจะอ่านใจมาคีได้อีกฝ่ายจึงพูดก่อน
“พอเถอะนะนิรมล คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ความดีของเธอนะ เธอเห็นสะพานนั่นไหม คิดแต่เรื่องดีๆ กรรมดี” มาคีพยายามชี้ทางให้วิญญาณอาฆาต
“โดดลงไปสิปราณธร โดดลงไปแล้วเธอจะไม่เจ็บปวดอีก”
“อย่านะ” ไวเท่าความคิด มาคีที่อยู่ในหอผู้ป่วยกระโดดพุ่งออกมาที่ระเบียงเกี่ยวเอวของปราณธรที่ดิ้นรนจะโดดลงไปไว้แน่น ญาติผู้ป่วยที่เป็นผู้ชายหลายคนเข้าช่วยมาคีจับปราณธรไว้ แสงสีรุ้งเบื้องหน้าค่อยๆ จางไป เหลือเพียงเส้นทางมืดมน นิรมลหันขวับไปมองที่เตียงผู้ป่วยหมายเลขหนึ่ง ดวงตายังเบิกโพลงอาฆาตแต่ไม่อาจดิ้นหนีจากเงาดำนั้นได้
“ฉันไม่ให้อภัย ฉันจะอาฆาตแกทุกภพชาติ” นิรมลกรีดร้องก่อนที่ร่างผู้หญิงในชุดขาวจะหายไปในเส้นทางมืดมน
“คีย์ หยุดร้องไห้เถอะนะ มันไม่ใช่ความผิดคีย์เลย” มาคีนั่งร้องไห้มาค่อนวัน เธอยังอยู่ในชุดทำงานเวรดึก เหมือนฝันลางานครึ่งวันมาเฝ้ามาคี
“เราช่วยทุกคนไม่ได้หรอกนะคีย์ คีย์ก็รู้” คนพูดยังโน้มน้าวอีกฝ่าย
“คีย์สงสารนิรมลค่ะพี่ฝัน เธอไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ที่ผิดเพราะคนเอาไปนินทากลายเป็นว่าเธอต้องทนกับเรื่องนินทาปลอมๆ นั่น” มาคีรู้สึกเพลียที่สุดแต่ก็ยังหยุดร้องไห้ไม่ได้
“บางทีสองคนนั่นเขาอาจผูกกรรมกันมานานแล้วก็ได้ เรื่องมันเลยรุนแรงแบบนี้” เหมือนฝันนั่งลงข้างๆ น้องสาว
“คีย์บอกวิญญาณพวกนั้นเสมอไม่ใช่หรือ ให้คิดถึงแต่เรื่องดีๆ กรรมดี ทำไมวันนี้คีย์ไม่คิดแบบนั้นบ้างล่ะ”
“โลกนี้มันมีเรื่องไม่ยุติธรรมอยู่มากมายเลยนะคะพี่” มาคีพึมพำ เธออยากนอนพักสักงีบ รู้สึกว่าร่างกายอ่อนล้าเกินจะต้าน
“โลกมนุษย์มันก็แบบนี้แหละคีย์ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับใจเราที่จะปล่อยวางให้ใจสงบ หรืออาฆาตแค้นให้เหมือนไฟรุม” เหมือนฝันถอนหายใจ มองมาคีที่นอนหลับตาก่อนที่จะหายใจยาวลึกอย่างสงบ
เหมือนฝันมองมาคีอย่างหนักใจ เหมือนที่วรรณภาพูดนับวันมาคียิ่งผอมลงเหมือนคนขาดสารอาหาร ทุกวันของมาคีมีแต่ความหดหู่ ความเครียด ยิ่งมาคีช่วยดวงวิญญาณให้ข้ามสะพานข้ามรุ้งมากเท่าไร ยิ่งเหมือนโลกของมาคีขาดความสดใสมากขึ้นเท่านั้น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 9 : ปล่อย
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 8 : หลงในใจ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 7 : ทั้งหมดคือของฉัน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 6 : ถือมั่น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 5 : ยามเช้า
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา...ตีสอง
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา...เที่ยงคืน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 2 : หลงในเวลา...ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา
- READ สะพานข้ามรุ้ง : บทนำ