
สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 7 : ทั้งหมดคือของฉัน
โดย : แก้ว การะบุหนิง
สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”
“อื้อหืม ค่าแล็บตัวนี้แพงมากเลยนะ” วรรณภาที่นั่งกดค่าใช้จ่ายลงในตารางคิดเงินในระบบของห้องการเงินถึงกับอุทาน
“เท่าไหร่หรือคะพี่” เหมือนฝันที่กำลังนั่งสรุปเอกสารคนไข้ถาม เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงเย็นที่พยาบาลผู้ดูแลคนป่วยจะทำการสรุปอาการในเวร ส่วนวรรณภาจะนั่งตรวจค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยแต่ละรายเพื่อลงข้อมูลให้ครบ
“ใช้สิทธิ์พื้นฐานไม่ได้หรือคะ” เหมือนฝันที่ยื่นหน้าเข้าไปดูราคาด้วยถามเพราะเห็นว่าราคาที่ผู้ป่วยต้องจ่ายแพงเกินไป
“ต้องจ่ายเองหมดเลย เดี๋ยวพี่ลองคุยกับคนไข้กับแพทย์เจ้าของไข้ก่อนนะ” วรรณภาพูด
หน้าที่ของพยาบาลนอกจากการดูแลช่วยเหลือพยาบาลแล้ว อีกหนึ่งงานที่เป็นงานแฝงคือการพิทักษ์สิทธิ์ของคนไข้และหน่วยงาน เหมือนเช่นที่วรรณภาทำ เมื่อเธอเห็นความผิดปกติของค่าตรวจพิเศษก็ต้องสอบถามผู้ป่วยก่อนว่าจะยินยอมเสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ ในอีกทางก็ต้องถามแพทย์เจ้าของไข้ถึงความจำเป็นในการตรวจ หากเลี่ยงตรวจวิธีการอื่นแต่ราคาลดลงแพทย์เจ้าของไข้จะยินยอม หรือมีผลในการรักษาหรือไม่
“ค่าแล็บแพงมากเลย นี่เห็นว่าคนป่วยไปรักษาที่เอกชนก่อนมาที่นี่ก็หมดไปเยอะ” นิตยาพูด “ป่วยทีเสียค่าใช้จ่ายสูงขนาดนี้ถ้าเป็นหนูแย่แน่ๆ”
การเจ็บป่วยเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ทุกคนก็ต้องพบเจอ จะเจ็บป่วยมากหรือน้อยก็ต้องเจอ แต่ที่แน่ๆ การเตรียมค่าใช้จ่ายด้านการเงินก็เป็นอีกสิ่งที่หลายๆ คนไม่ได้เตรียม บางคนเตรียมไว้ในรูปแบบประกันชีวิต ประกันวันขาดงาน ซึ่งก็ขึ้นกับการเตรียมความพร้อมในการรักษาตัวเอง
“พี่วรรณคะ มีผู้แทนอุปกรณ์การแพทย์มาเสนอเครื่องค่ะ อ้อ นี่เขาฝากขนมเค้กเจ้าดังมาให้ค่ะ” ผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาแจ้งเรื่องในขณะที่วรรณภากำลังสรุปค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย
“ตายจริง พี่ยังเคลียร์ค่าใช้จ่ายคนไข้เคสนี้ไม่เสร็จเลย สุรีย์ไปบอกเขารอสักครึ่งชั่วโมงได้ไหม” วรรณภาทำสีหน้ายุ่งยากใจ เพราะเธออยากจัดการเรื่องของผู้ป่วยที่มีค่าใช้จ่ายสูงให้เรียบร้อย ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาได้ถูกวิธีและเร็วขึ้น
“ได้ค่ะ” สุรีย์เดินเข้ามาในห้องก่อนจะวางกล่องขนมบนโต๊ะ” “เค้กเจ้าแพงเลย พี่วรรณต้องซื้อของจากเจ้านี้นะคะ” สุรีย์ทำเสียงอ้อนใส่หัวหน้าตึก
“แหม ยัยสุรีย์ เห็นแก่กินนะยะ” คนพูดทำเสียงเล็กเสียงน้อยใส่
“แหม นิดหน่อยเอง ก็เห็นเขาเอาใจใส่เราดีหรอกค่ะ เลยเชียร์” สุรีย์ยิ้มเจ้าเล่ห์
“เอาใจใส่เรานี่ไม่อยู่ในข้อให้คะแนนของฉันนะยะ ต้องเอาใจใส่คนไข้ถึงจะได้คะแนน” วรรณภาพูด
ถึงแม้วรรณภาจะเป็นคนสนุก ติดตลก แต่เรื่องผลประโยชน์ของโรงพยาบาลและคนไข้เธอไม่เคยละเลย แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ค่าทำงานเกินเวลาของน้องๆ ในตึกวรรณภาจะเอาใจใส่ไม่ให้น้องถูกเอาเปรียบ และไม่เอาเปรียบโรงพยาบาลเสมอทำให้เธอเป็นที่รักของน้องพยาบาล และน้องผู้ช่วยพยาบาล
“ว้าย” คนที่เดินมาริมถนนกระโดดหลบแทบไม่ทัน เมื่อน้ำที่ขังนองพื้นกระเด็นเข้าใส่แทบจะเปื้อนชุดพยาบาลที่สวมมา
“โดนไหมคะพี่วรรณ ขับอะไรเร็วนักหนา” คนที่ตั้งคำถามเข้ามายืนมองชุดสีขาวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง “โชคดีไปไม่เปื้อน”
“ในเขตโรงพยาบาลทำไมขับรถไวจัง” คนที่เกือบถูกน้ำสกปรกกระเด็นใส่บ่น
“เห่อรถใหม่มั้งพี่” อีกฝ่ายพูดน้ำเสียงไม่พอใจ “เห็นมีแต่คนบ่นเรื่องยัยนั่นขับรถ” คนที่เดินมาคู่กับวรรณภาค้อนลมค้อนแล้ง
“ยัยนั่น พูดเหมือนรู้จัก” วรรณภาค่อน
“รู้จักสิพี่ คุณปรารถนา หัวหน้าฝ่ายพัสดุไง” สุรีย์บอก “นี่เพิ่งเปลี่ยนรถมาได้เดือนนึงมั้ง เมื่อก่อนขับรถเก่าๆ ไม่เห็นขับแบบนี้เลย พอขับรถใหม่เท่านั้นแหละ ขับเหมือนอวดแบบนั้น” สุรีย์เข่นเขี้ยว
“เขาก็คงอวดแหละ รถคันเกือบสองล้าน” วรรณภาบอก ประเมินด้วยสายตาก็อดหนักใจแทนปรารถนาไม่ได้ ขับรถยนต์หรูกว่าฐานะจะเอาเงินที่ไหนไปผ่อนส่ง
“ทำไมเค้ารวยจังเนาะ พี่ทำงานมาหลายปียังไม่กล้าขับรถรุ่นนี้เลย กลัวไม่มีเงินผ่อน” วรรณภาอดชื่นชมไม่ได้แม้จะรู้สึกหงุดหงิดที่โดนน้ำสกปรกกระเด็นใส่อยู่
“แหม พี่ก็ ไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้คะ” สุรีย์เอียงคอมองอย่างมีจริต
“อ้าว ทำไมฉันต้องรู้ทุกเรื่องยะยัยสุรีย์” วรรณภาทำหน้าดุใส่ “ไปเลย กลับบ้านได้แล้ว” คนพูดเดินนำหน้าอีกฝ่าย เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นที่ทั้งสองเพิ่งลงเวรเช้า วันนี้วรรณภามีคนของบริษัทขายอุปกรณ์การแพทย์มาเสนอรุ่นอุปกรณ์ให้ ส่วนสุรีย์ทำงานไม่เสร็จจึงอยู่เคลียร์งานในส่วนของตัวเอง
“ถ้าฉันได้ขับรถรุ่นนี้บ้าง คงจะฟินน่าดู” วรรณภายิ้มทำหน้าชวนฝัน จริงๆ แล้วแม้เธอจะอยากได้รถยนต์รุ่นราคาแพงแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอยากได้จริงจังนัก
“แหม ก็ถ้าบริษัทมาเสนอขายของอะไร พี่ก็พิจารณาผลประโยชน์เยอะๆ สิคะ เดี๋ยวก็มี” สุรีย์จีบปากจีบคอ ไม่ทันไรฝ่ามือก็ฟาดเข้าที่แขนไม่จริงจังนักแต่คนพูดก็ทำท่าเจ็บเกินจริง
“โอ๊ย พี่วรรณน่ะ”
“ทีหลังอย่าพูดแบบนี้นะ ใครมาได้ยินเดี๋ยวเป็นเรื่อง” วรรณภาย้ำเน้นคำ รู้ว่าอีกฝ่ายพูดเล่นแต่ก็ไม่อยากให้ใครมาได้ยิน
“โอ๊ย เจ็บจังเลย ช่วยด้วย เจ็บ ไม่ไหวแล้ว”
“ใจเย็นๆ นะคะลุงพนม หนูฉีดยาแก้ปวดให้แล้ว อีกสักพักก็เบาแล้วค่ะ” มาคีบอกคนที่นอนดิ้นไปมาให้รับทราบว่ากำลังได้รับยาแก้ปวด
“โอ๊ย ปวดเหลือเกิน เจ็บมากเหมือนหนังจะหลุดออกมา” คนป่วยยังครวญครางดิ้นไปมาไม่หยุด
“มีอะไรกันหรือคีย์” วรรณภาที่เพิ่งเดินเข้าตึกมาในเวลาเจ็ดโมงเช้าเข้ามาที่เตียงผู้ป่วย หลังจากเห็นเหตุการณ์ในตึกที่ดูวุ่นวาย
“ลุงพนมน่ะค่ะ แกร้องเสียงดังทั้งคืน บอกว่าปวดๆ นี่คีย์เพิ่งขอยาแก้ปวดมาฉีดให้” มาคีพูด
“ดีขึ้นหรือยังคะลุง” วรรณภาพยักหน้ารับทราบที่มาคีเล่า เธอเดินเลยมาเกาะที่ขอบเตียงผู้ป่วยที่ยังไม่สงบเพราะอาการปวด
“เจ็บเหลือเกิน ฉันอยากจะตายไวๆ ไม่ไหวแล้ว ทรมานเหลือเกิน” คนป่วยคร่ำครวญเพราะความเจ็บปวด
“หมอจะส่งทำเอ็มอาร์ไอค่ะ” มาคีรายงานหลังจากเห็นสายตาของหัวหน้าตึกที่เต็มไปด้วยคำถาม
“อ้อ คุณลุงอดทนอีกนิดนะคะ เดี๋ยวยาออกฤทธิ์ก็ดีขึ้น” วรรณภาปลอบใจผู้ป่วยที่ตอนนี้คงไม่ได้สนใจคำพูดของใครเพราะเอาแต่ร้องเสียงดังบ่นแต่ว่าเจ็บ ปวด
“งั้น เช้านี้ก็ต้องไปคิดค่าเอ็มอาร์ไอเพิ่มอีกสิ” วรรณภาทำหน้ายุ่งยากใจเมื่อคิดถึงค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยตรงหน้า ไม่ว่าเธอจะช่วยคิดเงินให้ถูกต้องเพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยเท่าไร ก็เหมือนกับค่ารักษาพยาบาลกลับเพิ่มขึ้นๆ ทั้งๆ ที่นายพนมรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลรัฐบาล แต่ค่าใช้จ่ายใหม่ๆ ก็ออกมาทุกวัน
“ถ้าเอ็มอาร์ไอแล้วรู้สาเหตุของโรคก็คงดีขึ้นนะคะ จะได้รักษาถูก ตรงกับโรค” วรรณภาพูดกับคนป่วยที่ตอนนี้เริ่มสงบลงแต่กลับมีน้ำตาไหลรินแทน
มาคียืนมองนายพนมด้วยความรู้สึกแปลกใจ ชายผู้นี้มาด้วยอาการเจ็บปวดทั้งร่างกาย ปวดจนจะลุกมาทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองยังทำไม่ได้ นายพนมเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน ได้รับการค้นหาโรคทั้งค่าแล็บเอกชน แม้กระทั่งผ่านการทำเอ็มอาร์ไอมาแล้ว แต่ก็ยังหาสาเหตุของอาการปวดนั้นไม่ได้
“โอ๊ย โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน” ไม่ว่าเวลาผ่านไปสิบนาที หรือยี่สิบนาที ผู้ป่วยยังคงร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดจนแพทย์เจ้าของไข้ต้องสั่งเพิ่มขนาดยาแก้ปวดแต่ปริมาณยาที่เพิ่มขึ้นดูเหมือนจะไม่ช่วยบรรเทาให้ผู้ป่วยเลยสักนิด
“พี่วรรณคะ คุณปรารถนาหัวหน้างานพัสดุโทรมาค่ะ” ผู้ช่วยพยาบาลบอกหัวหน้าหอผู้ป่วยอายุรกรรมที่กำลังง่วนอยู่กับเอกสารค่าใช้จ่ายของผู้ป่วย
“ขอบใจจ้ะ” คนพูดเงยหน้ามารับโทรศัพท์จากลูกน้อง “สวัสดีค่ะ” วรรณภาตอบกลับไป
“พักนี้คุณปรารถนาโทรศัพท์หาหัวหน้าเราบ่อยจัง” นิตยาพูด
“นั่นสิ ฉันละไม่ชอบให้หัวหน้าไปยุ่งกับคนนี้เลย” สุรีย์พูดพร้อมกับถอนหายใจ เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอเพิ่งเล่าถึงเรื่องที่คนทั้งโรงพยาบาลพูดลับหลังถึงรถยนต์ใหม่ราคาเกือบสองล้านของหัวหน้างานพัสดุ
“อยากรู้จังเขาโทรมาทำไม” นิตยาลดเสียงให้เบาลงเหมือนกับกำลังตั้งใจฟังหัวหน้าหอผู้ป่วยคุยโทรศัพท์ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วอยู่คนละห้องกันและไม่มีทางได้ยินเรื่องที่สนทนา
“สองคนนี้เมาท์อะไรกัน” เหมือนฝันเข็นรถฉีดยากลับมาที่ห้องทำงานพยาบาล “เมาท์เรื่องคนอื่นนี่ยังไม่เข็ดอีกหรือ” คนพูดหรี่ตาใส่
“โอ๊ย เข็ดแล้วพี่ เข็ดจริงๆ” ทั้งสองคนรีบพูดพัลวัน
“เข็ดแล้วเมาท์อะไร” คนพูดคาดคั้นเพราะจากท่าทางทั้งสองต้องมีเรื่องลับๆ คุยกันแน่
“ไม่ได้เมาท์” นิตยาลากเสียงยาวก่อนจะทำเป็นง่วนหยิบเอกสารมาตรวจสอบ เหมือนฝันหันไปมองสุรีย์ที่ทำหน้าเลิ่กลั่กหลังคู่หูเอาตัวรอดไปก่อน
“อ้อ หนู หนูจะเอาแล็บไปส่ง” พูดจบก็รีบเดินตัวปลิวออกห้อง
“ทำเป็นปิดบังนะ” เหมือนฝันยังหรี่ตามมองจับผิดพยาบาลสาวที่นั่งอ่านเอกสารกำกับยาให้ตรงกับที่แพทย์สั่งใช้ยา
“ฝัน ถ้ามีคนมาถามหาพี่บอกว่าพี่เข้าประชุมกับหัวหน้าฝ่ายนะ” วรรณภาเดินผ่านพยาบาลเวรไปอย่างรีบเร่ง
“ประชุมเรื่องอะไรคะ” นิตยาถามอย่างเคยชิน
“เรื่องสัพเพเหระ” คนพูดโบกแฟ้มในมือไม่ได้หันมาคุยด้วย
“ช่วงนี้พี่วรรณประชุมทุกวันเลย ฝ่ายบริหารเขามีอะไรกันหรือเปล่า” เหมือนฝันตั้งข้อสังเกต
“ประชุม หรือหนีอะไรหรือเปล่า” นิตยาพูด
“หนีอะไร” เหมือนฝันขมวดคิ้วถามอีกฝ่ายที่พนักพเยิดหน้าไปที่ประตูเข้าห้องทำงานพยาบาล
“สวัสดีค่ะ คุณปรารถนาให้แพรวมาหาพี่วรรณ พี่หัวหน้าตึกค่ะ” หญิงสาวแต่งหน้าสวยในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงผ้าปรากฏที่ประตูพร้อมกับแฟ้มเอกสาร
“พี่วรรณไปประชุม คุณมีเรื่องด่วนหรือเปล่าคะ” เหมือนฝันถาม
“ว้า ประชุมอีกแล้วหรือคะ เมื่อวานแพรวมาก็ประชุม” คนพูดทำหน้าผิดหวัง
“มีเรื่องด่วนไหมคะ ถ้าด่วนฉันจะโทรศัพท์ตามให้” เหมือนฝันพูดอย่างมีน้ำใจ เมื่อวานเธอไม่ได้อยู่เวรเช้าเลยไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้ามาหาวรรณภาไปรอบหนึ่งแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ ฝากบอกว่าน้องแพรวมาหานะคะ” อีกฝ่ายแนะนำตัวเอง “อ้อ แพรวให้ร้านอาหารข้างโรงพยาบาลเอาส้มตำ ไก่ย่างมาให้ เดี๋ยวพวกพี่รับไว้ด้วยนะคะ พรุ่งนี้แพรวค่อยมาใหม่”
“อ้าว เดี๋ยวสิคะ ไม่รอ…” เหมือนฝันยังพูดไม่ทันจบอีกฝ่ายก็หมุนตัวออกไปสวนกับมาคีที่กำลังเดินมาขึ้นเวรบ่าย
“อะไรเนี่ย ไม่ฟังเราเลย” คนพูดพึมพำ
“บ่นอะไรพี่ฝัน” มาคีอดล้อเลียนสีหน้าหงุดหงิดของเหมือนฝันไม่ได้
“บ่นอะไร เดี๋ยวเถอะ เด็กคนนี้” คนพูดค้อนใส่ “แล้วมาขึ้นเวรอะไรก่อนเวลาเป็นชั่วโมง” นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาบ่ายสามโมงเย็น
“เมื่อวานพี่วรรณให้ไปเบิกมอร์ฟีนแล้วลืมแหละ เดี๋ยวโดนดุ เลยรีบมา” มาคีบอกพร้อมกับทำหน้าล้อเลียนเวลาวรรณภาโกรธ ครั้งนี้ถูกเหมือนฝันตีที่แขนเบาๆ “ได้มาแล้ว” คนพูดยกขวดยาเล็กๆ ให้อีกฝ่ายดู
“สม ได้มาขึ้นเวรก่อนเวลาเป็นชั่วโมง ไม่รู้จักรับผิดชอบก็งี้แหละ” อีกฝ่ายหัวเราะสนุกใส่น้องสาว “นี่ถือว่ามีบุญนะ มีคนจะเลี้ยงส้มตำพอดี”
“ว้าว จริงหรือคะ ดีจัง” มาคียิ้มกว้าง อากาศร้อนๆ ยามบ่ายทำให้ร่างกายรู้สึกเพลียไม่น้อย การคิดถึงอาหารรสจัดจ้านกระตุ้นพลังงานและความสดใสได้ดีจริงๆ
“โอ๊ย ปวดจังเลย โอ๊ย” เสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดดังมาจากเตียงผู้ป่วย
เวลาบ่ายสี่โมงครึ่งหลังส่งเวรกันแล้ว พยาบาลเวรเช้ายังไม่ลงเวรทั้งหมดยังรับประทานอาหารร่วมกันอยู่ก่อนจะลงเวร
“ลุงพนมหรือ” วรรณภายื่นหน้าออกจากห้องพักมาถามมาคีที่กำลังเตรียมยาบรรเทาปวด
“ใช่ค่ะ”
“น่าแปลกจัง วันนี้ทั้งวันก็สงบดี บทจะเป็นก็เป็นกะทันหัน เอ็มอาร์ไอก็ไม่พบความผิดปกติอะไร” วรรณภาถอนหายใจ อดคิดถึงค่าใช้จ่ายที่คนป่วยต้องเสียไม่ได้
“เอ็มอาร์ไอไม่เจออะไรก็คงต้องรอผลเลือดนะคะ” เหมือนฝันพูด
“ขนาดเอ็มอาร์ไอยังไม่เจอเลย แล้วแล็บจะพบความผิดปกติหรือ” นิตยาเสริม
“หนูว่าให้ญาติแกไปทำบุญ สะเดาะเคราะห์น่าจะดีนะคะ” สุรีย์แสดงความคิดเห็น
“จะบ้าหรือไง” สามเสียงผสานกันใส่คนพูด
“อ้าว ก็เราหาความผิดปกติอะไรไม่พบ อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งทางใจนะ ญาติๆ มาเห็นลุงดิ้นไปมาคงไม่สบายใจ” สุรีย์พูด
“คีย์ว่าก็ดีนะคะ” มาคีที่กลับมาจากฉีดยาบรรเทาปวดให้ผู้ป่วยพูดบ้าง
“อ้าว นี่ก็เห็นด้วยหรือไง” วรรณภาทำเสียงเข้ม
“ก็พี่ดูหน้าญาติลุงพนมสิคะ แต่ละคนร้องไห้กันใหญ่แล้ว” มาคีบอก ที่เตียงของนายพนม ลูกสาวสองคนและภรรยายืนร้องไห้เพราะสงสารคนป่วยอยู่ข้างๆ เตียง
“น่าเห็นใจเค้าจริง” หัวหน้าหอผู้ป่วยถอนหายใจ
“อาหารมาส่งครับ” ชายในชุดฟอร์มพนักงานส่งอาหารปรากฏที่ประตูห้องทำงาน
“ของใครหรือ” มาคีถามอย่างสงสัย เธอและเพื่อนร่วมเวรบ่ายยังไม่มีใครมีเวลาสั่งอาหารแน่ๆ
“คุณแพรวให้เอามาส่งให้คุณวรรณภา หัวหน้าตึกครับ”
“อ้อ ใช่ๆ คุณแพรวอะไรนั่นบอกไว้” เหมือนฝันบอกวรรณภาที่ยืนงง
“อ้อ…” วรรณภาเอื้อมมือไปรับถุงอาหาร
“อุ๊ยๆ ดีจัง ลาภปาก” สุรีย์เดินไปรับถุงอาหารหลายถุงจากมือหัวหน้า “เดี๋ยวหนูเอาไปใส่จานไว้นะคะ” คนพูดทำเสียงกระตือรือร้น
“เอาไปใส่ตู้เย็นไว้ พรุ่งนี้เขามาเอาคืนเขาไปด้วย” น้ำเสียงเฉียบขาดแตกต่างจากความขี้เล่นเช่นเคย
“หา อะไรนะคะ” สุรีย์ถามเหมือนไม่แน่ใจ
“พี่บอกเอาไปใส่ตู้เย็นไว้ พรุ่งนี้เขามาเอาคืนเขาไป” วรรณภาพูดเสียงเย็น
“แต่…ทำไมล่ะคะ” เหมือนฝันถาม เธออยู่กับวรรณภามาหลายปีไม่เคยเห็นหัวหน้าทำท่าหงุดหงิดแบบนี้ “เขาคงเอามาฝาก…”
“เขาเอามาฝาก เพราะอยากจะติดสินบนน่ะสิ” วรรณภาโพล่งออกมา
“อ่ะ อ้าว” นิตยาและสุรีย์พึมพำพร้อมกัน
“ก็เธอเคยเตือนพี่เองนี่ สุรีย์ ลืมหรือไง” คนพูดหันไปคาดคั้นสุรีย์ที่ยืนถือถุงอาหารงงๆ ไม่รู้ควรทำอย่างไรกับอาหารเจ้าปัญหาดี
คนออกคำสั่งพูดจบก็เดินสะบัดหน้าหนีไปทิ้งให้คนรับของยืนหันซ้ายหันขวาอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ หันไปทางเพื่อนร่วมทีมก็พากันส่ายศีรษะไม่เข้าใจก่อนจะหันไปสนใจงานของตัวเอง
“คุณพยาบาลคะ คุณพนมตัวแดงไปหมดเลย บ่นแสบร้อน ดิ้นไม่หยุด” ญาติของนายพนมวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหา “ช่วยด้วยค่ะ”
“แย่แล้ว แพ้ยาหรือเปล่า” มาคีรีบวิ่งไปที่เตียงคนป่วย
“แพ้ยาหรือ เมื่อวานก็ฉีดนี่” เหมือนฝันทำหน้างง วิ่งตามมาคีออกไปเพื่อช่วยประเมินคนป่วย
นายพนมที่นอนดิ้นไปมาตอนนี้ผิวแดงเป็นผื่นยาวทั้งแขนและขา พยาบาลสาวสองคนช่วยกันวัดความดัน ใช้เครื่องฟังปอด จับออกซิเจนที่ปลายนิ้ว
“สงสัยแพ้มอร์ฟีนจริงๆ” เหมือนฝันบอกน้องสาว “ไปรายงานแพทย์เวรขอยาแก้แพ้ไป เสียงปอดชัดมาก เดี๋ยวพี่ดูคนไข้ให้ก่อน”
มาคีพยักหน้าและผละออกไป เมื่อก่อนหน้าตอนที่เธอมาฉีดยาบรรเทาปวด ผิวคนไข้ยังดูซีดเซียวเพราะอาการเจ็บป่วย แต่ตอนนี้เป็นผื่นแดงทั้งตัวจนน่ากลัวว่าอาการอาจรุนแรงจนถึงขั้นระบบหายใจล้มเหลว น่าแปลกมากที่เมื่อวานคนป่วยก็ได้ยาตัวเดียวกันแต่กลับไม่มีอาการแพ้ใดๆ
“พี่ถามจริงๆ เถอะคีย์” เหมือนฝันเปิดประเด็นในช่วงบ่ายวันทำงานวันหนึ่งขึ้นเวรคู่กับมาคีที่ตอนนี้กำลังประสานงานขอสารอาหารพิเศษให้คนไข้
“คะ” มาคีเลิกคิ้วถามหลังจากวางโทรศัพท์แล้ว
“คีย์ เห็นอะไรผิดปกติเกี่ยวกับคุณลุงพนมบ้างไหม” เหมือนฝันพูดติดๆ ขัดๆ หลีกเลี่ยงคำพูดบางคำที่เธอไม่อยากพูดถึง
“ผิดปกติยังไงคะ” มาคีถามสีหน้างุนงง
“ก็แบบ เห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น หรืออะไรที่คนแบบพี่ไม่เห็น” เหมือนฝันปัดมือไปมาสีหน้ายุ่งยากใจ
“พี่ฝันหมายถึงมีวิญญาณ หรือเจ้ากรรมนายเวรตามติดคุณพนมอย่างนั้นใช่ไหมคะ” มาคีทวนคำถามเป็นประโยคคำพูดให้ หลังเข้าใจความหมายที่อีกฝ่ายสื่อออกมา คู่สนทนายกนิ้วชี้ชิดริมฝีปากเป็นสัญญาณให้มาคีพูดเบาๆ
“นั่นแหละ” เหมือนฝันพยักหน้าใส่น้องสาว “เห็นบ้างไหม”
“ไม่เห็นนะคะ” มาคีส่ายหน้า หลายครั้งเธอพยายามมองไปที่เตียงนายพนมทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าเวลาใดเตียงนั้นก็มีคนป่วยที่นอนอยู่คนเดียว “คีย์ก็เคยคิดเหมือนกันว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า แต่ไม่ว่าจะพยายามมองเท่าไหร่ก็ไม่มี” มาคีบอก ทุกครั้งที่ผ่านมาเวลามีเหตุการณ์ประหลาดมาคีมักเจอใครอีกคน หรือบางสิ่งที่อยู่เคียงข้างคนป่วย สิ่งเหล่านั้นคือผู้ทำให้เกิดเรื่องหลายเรื่อง
“น่าสงสารแกเนาะ นี่ก็ตรวจทุกอย่าง เสียค่าใช้จ่ายค่าตรวจแล็บเอกชนแพงๆ ยังไม่รู้เลยว่าแกเป็นโรคอะไรกันแน่” เหมือนฝันถอนหายใจ จะว่าโล่งอกที่คนที่นอนตรงนั้นไม่ได้ป่วยเพราะบางสิ่งก็ไม่เชิง การหาความเจ็บป่วยได้ไม่ตรงกับโรคที่เป็นยิ่งทำให้การรักษาล่าช้าและโรคลุกลาม
“นั่นสิพี่ นี่คุณหมอก็สั่งให้อัลบูมินวันละแปดขวดเลย” มาคีบอก
“โอ้โห ต้องจ่ายเท่าไหร่กันนั่น” เหมือนฝันอุทาน ถึงแม้ค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิ์ผู้ป่วยจะรักษาได้ครอบคลุม แต่ญาติของนายพนมก็อยากให้ทางโรงพยาบาลให้การรักษาดีที่สุดและยอมจ่ายส่วนต่างราคาแพง แม้ผลที่ได้จากการรักษาจะยังไม่ยืนยันว่าดีจริงหรือไม่
“เห็นว่าจะให้สักอาทิตย์นึงแล้วเจาะเลือดตรวจอีกครั้ง” มาคีบอก
“แล้วทางญาติเขาโอเคแล้วหรือ หมอแจ้งญาติหรือยัง” เหมือนฝันอดเป็นห่วงค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยไม่ได้
“แจ้งแล้วค่ะ ญาติบอกให้เต็มที่เลย” คนพูดบอกเสียงเบา “ถ้าคุณพนมรับสารนี้ได้ดี ร่างกายปรับตัวดีก็คงดีเนาะพี่”
“รับแอดมิตด้วยค่ะ” เสียงพยาบาลตึกอุบัติเหตุฉุกเฉินดังมาทางประตูทางเข้าหอผู้ป่วยพร้อมกับเสียงลากเตียงตามหลัง
“เคสอะไรคะ” เหมือนฝันหันไปถาม
“พี่ปรารถนาหัวหน้าพัสดุค่ะ ปวดท้องมา ตอนนี้ค้างเอกซเรย์คอมพิวเตอร์รองดน้ำอาหารให้ครบ ขอคิวห้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ได้สามทุ่มนะคะ”
“อ้อ ค่ะ” เหมือนฝันรับเอกสารพร้อมกับพาไปที่เตียงสามในล็อกผู้ป่วยสังเกตอาการ
“อ้าว มาแล้วหรือ” วรรณภาที่เดินออกจากห้องทำงานพยาบาลมาถามพร้อมกับลากเครื่องวัดความดันโลหิตตามมา “ห้องฉุกเฉินโทรมา พี่รับแอดมิตไว้ เมื่อกี้เราสองคนอยู่ข้างนอก”
“คืนนี้ขอนอนห้องพิเศษได้ไหมคะ” คนป่วยที่นอนตัวงอเป็นกุ้งถาม
“เอ มีคนเฝ้าไหมคะ ตอนนี้ดูท่าทางคุณต้องมีคนช่วยเหลือ ทางตึกเข้าไปดูอาการให้แต่คงไม่ตลอดเวลา” วรรณภาบอก
“มีใครรับจ้างเฝ้าไข้ไหมคะ ญาติอยู่ต่างจังหวัดยังมาไม่ถึง” คนปวดท้องหน้าซีดเผือด
“เดี๋ยวติดต่อให้นะคะ ถ้าน้องผู้ช่วยค่าดูแลคืนละหนึ่งพันบาท ถ้าพยาบาลสองพันห้าร้อยบาท” หัวหน้าหอผู้ป่วยพูด “จริงๆ คนเฝ้าไข้จะไม่ใช่น้องๆ ของโรงพยาบาลเรานะคะ เราจะติดต่อของเอกชนมา เพราะน้องๆ เราเวรอัดมาก ระหว่างรอเดี๋ยวนอนเตียงสังเกตอาการก่อนเนาะ”
หลังจากดูแลความเรียบร้อยของคนไข้รายใหม่ ทั้งสามคนเข้ามาในห้องทำงานพยาบาลเพื่อสรุปการรักษาและอาการแรกรับ
“หมอสงสัยอะไรนะพี่” มาคีถามหลังอ่านเอกสาร
“คงสงสัยเนื้องอกที่รังไข่” วรรณภาพูดเบาๆ
“หูย ขนาดนั้นเลยหรือคะ นี่อายุเพิ่งสามสิบแปดเอง” มาคีหน้าเสีย ถึงแม้จะอยู่กับความเจ็บป่วยและความเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันทุกวัน แต่พยาบาลทุกคนไม่ได้รู้สึกชินชากับความเจ็บป่วยนั้น
“ห้องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ส่งเวลามาให้แล้วค่ะ” มาคีบอกหลังจากมีข้อความปรากฏที่หน้าจอผู้ป่วย ตอนนี้ทุกคนยังไม่อยากคิดถึงโรคร้ายใดๆ ของผู้ป่วยได้แค่หวังว่าเป็นอาการปวดปกติ
“โอ๊ย ปวดมากเลย พยาบาล ช่วยหน่อยค่ะ ปวดท้อง” เสียงร้องดังของผู้หญิงดังมาจากล็อกสังเกตอาการ
“อ้าว เสียงคุณปรารถนานี่” วรรณภาพูดก่อนจะรีบเดินออกไปประเมินอาการ “ประเมินหน้าท้องก็ไม่มีจุดผิดปกติ ไม่มีไข้ เดี๋ยวไปดูแล็บแล้วรายงานแพทย์อีกทีนะ” หัวหน้าหอผู้ป่วยบอกมาคีที่เดินตามมา
“ปวดมากเลย ช่วยด้วย” คนที่นอนบนเตียงดิ้นไปมา
“ใจเย็นๆ นะคะ น้องพยาบาลกำลังรายงานแพทย์เพื่อขอยาให้” วรรณภาบอก
“ขอยาแก้ปวดแรงๆ หน่อย ฉันไม่ไหวแล้ว” คนพูดยังดิ้นพล่านบนเตียงไม่หยุด เสียงกรีดร้องเรียกร้องความสนใจให้ผู้ป่วยและญาติเตียงอื่นในหอผู้ป่วย
“เป็นวันวุ่นวายอะไรก็ไม่รู้” เหมือนฝันพูดหลังเหลือบมองนาฬิกาฝาผนัง เข็มนาฬิกาบอกเวลาสองทุ่ม หลังจากรับหัวหน้าพัสดุเข้าสังเกตอาการ เหมือนว่าอาการของผู้ป่วยจะรุนแรง หลังให้ยาบรรเทาปวดคนไข้มีอาการแพ้ยาจนต้องให้ออกซิเจนเข้มข้นและให้ยาบรรเทาอาการแพ้ทางหลอดเลือด หลังส่งผู้ป่วยไปเอกเรย์คอมพิวเตอร์ผู้ป่วยแพ้สารทึบแสงและมีอาการแพ้รุนแรงซ้ำ
“นึกว่าจะไม่ได้ลงเวรแล้ว” มาคีถอนหายใจ
“น่าแปลกมากเลย ผลเอกซเรย์ออกมาปกติ ไม่พบอะไรเลย แต่ทำไมปวดรุนแรงขนาดนั้น”
“นั่นสิพี่ฝัน หรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เราพัง เคสก่อนก็ลุงพนมยังหาข้อวินิจฉัยไม่ได้จนตอนนี้” มาคีพูดและเหมือนกับนึกอะไรบางอย่างออก “เอ้อ ลุงพนมก็แพ้ยาแก้ปวดแบบนี้” มาคีเหมือนพึมพำกับตัวเอง
“ยังไงนะ” เหมือนฝันคิดตาม “ทำไมเหตุการณ์มันคล้ายๆ กัน”
“คีย์ว่า เรื่องนี้มันแปลกๆ แล้วนะพี่ฝัน”
“เธอไม่เห็นอะไรจริงๆ นะ” เหมือนฝันหันซ้ายหันขวา ยามค่ำของโรงพยาบาลที่ผู้คนหายไปหมดดูเปลี่ยวร้างท่ามกลางไฟทึมๆ
“ไม่เห็น” มาคีขมวดคิ้ว “แต่คีย์…คิดว่ามันต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ๆ”
มาคีกับเหมือนฝันเดินผ่านอาคารผู้ป่วย ทั้งสองคนไม่พูดกันต่อต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง ทบทวนกรณีศึกษาผู้ป่วยสองคนที่มาด้วยอาการคนละเรื่องแต่อาการเจ็บปวดเหมือนเป็นรูปแบบเดียวกัน และท้ายที่สุดทั้งสองกรณีไม่ได้รับข้อสรุปการเจ็บป่วยหรือการรักษา เว้นเสียแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงไปเรื่อยๆ เพื่อหาข้อสรุปการรักษาต่อไป
“พี่วรรณคะ ตัวแทนเครื่องมือแพทย์มาขอพบอีกแล้วค่ะ เขาบอกคุณปรารถนาป่วยเหลือแต่พี่ที่ต้องเซ็นรับของ เขาต้องส่งงาน ต้องเจอพี่ให้ได้” สุรีย์เข้ามาแจ้งหัวหน้าหอผู้ป่วยในช่วงสายของวัน
ตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ปรารถนาป่วยหนักนอนให้การรักษาพยาบาลอยู่ที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมและงดเยี่ยมเด็ดขาดเนื่องจากอาการแพ้อย่างรุนแรง ตัวแทนอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ที่ติดต่อผ่านปรารถนาก็มาหาวรรณภาทุกวันเพื่อให้วรรณภาเซ็นรับเครื่องมือแพทย์
“มาอีกแล้วหรือ”
“เขาฝากผลไม้มาให้พี่ด้วย” สุรีย์ยกกระเช้าผลไม้ที่ประกอบด้วยผลไม้นำเข้าให้หัวหน้าดู ปกติสุรีย์จะตื่นเต้นกับของฝากเสมอ แต่ครั้งนี้ดูเหมือนผู้ช่วยเหลือคนไข้เองก็ไม่ปลื้มนัก “เอามาติดสินบนทุกวัน”
“เฮ้อ” วรรณภาใช้นิ้วนวดขมับ “ฉันจะทำยังไงล่ะ ของฉันก็ไม่ได้เห็นชอบด้วยสักหน่อย”
“ให้สุรีย์ไปบอกว่าพี่ประชุมไหมคะ” คนพูดเสนอความคิดเห็น
“ประชุมอะไรทุกวันล่ะ” เหมือนฝันท้วง สามวันมานี้เธออยู่เวรเช้าตลอดเลยได้เห็นเหตุการณ์ทุกวัน “พี่ไม่ลองไปคุยกับฝ่ายบริหารดูล่ะคะ” เหมือนฝันเสนอความคิดเห็น
“พี่ก็สงสารเขานะ เทียวเอาของมา เราก็ปฏิเสธรับทุกวันก็ยังเอามา” วรรณภาบอก ทุกวันตัวแทนสินค้าจะมีของติดมือมาและวรรณภาก็จะให้น้องผู้ช่วยเอาไปคืนทุกครั้ง
“เรื่องแบบนี้สงสารได้หรือคะ” เหมือนฝันพูด “อะไรก็สงสารได้นะพี่ แต่เรื่องไม่ตรงไปตรงมานี่ยกเว้นเถอะค่ะ”
“พี่ไม่กล้าไปบอกฝ่ายบริหารหรอกว่าบริษัทนี้เขาติดสินบน ขืนไปพูดแบบนั้นเรื่องรู้ถึงหูบริษัทน้องผู้แทนคนนี้โดนให้ออกจากงานแน่ อยู่ๆ จะทำให้คนตกงานเอาสิ” วรรณภาถอนหายใจ มันเรื่องอะไรที่เธอต้องมากลุ้มใจแบบนี้หนอ
“แล้วทำไงดีล่ะคะ” เหมือนฝันเองก็เหมือนจะจนตรอก คิดหาทางออกไม่เจอเช่นกัน
“เอางี้สิพี่ พี่ก็บอกทางบริหารให้ชะลอซื้อของไปก่อนจนกว่าคุณปรารถนาจะหาย เพราะพี่วรรณยังไม่เห็นของ เลยเซ็นรับไม่ได้” มาคีที่นั่งฟังอยู่สักพักออกความคิดเห็น
“แต่ตัวแทนเขาบอกว่าต้องปิดยอดเพราะปรารถนาตกลงรับของมาแล้วนะ” วรรณภาท้วง
“ก็ต้องบอกแบบนั้นนั่นแหละพี่ คุณปรารถนารับของมาก็ต้องมาให้หัวหน้าหอผู้ป่วยดูสินค้าก่อน เราเป็นคนใช้เครื่องมือเราก็มีสิทธิ์ตัดสินใจ” เหมือนฝันเสริมมาคี
“แต่สุรีย์ว่าคงไม่ง่ายเหมือนคีย์แนะนำหรอกค่ะ” สุรีย์พูด
“ทำไมล่ะ ก็เราพูดตามจริง” มาคีเริ่มสงสัย
“โอ๊ย” สุรีย์ค้อนใส่หัวหน้าตึกก่อนจะพูดต่อ “สุรีย์เล่าเลยละกัน พี่ฝันกับคีย์ไม่เคยได้ยินคนในโรงพยาบาลพูดกันหรือว่าคุณปรารถนาน่ะมีนอกมีในกับพวกบริษัทขายของ”
“จุ๊ สุรีย์” วรรณภาทำเสียงห้ามปราม
“เอาน่าพี่ ไม่พูดตรงๆ ก็ไม่เข้าใจหรอก” คนพูดหันไปหาเหมือนฝันและมาคี “แบบนี้พี่วรรณเลยถูกบังคับให้เซ็นรับโดยปริยาย ยิ่งคุณปรารถนานอนป่วยหนักแบบนั้นถ้าเราไม่รับ เขาแฉขึ้นมา คุณปรารถนาจะเดือดร้อน”
“อ้าว แล้วเกี่ยวอะไรกับเราล่ะสุรีย์ เขาทำแบบนั้นเขาก็ต้องรับไป” เหมือนฝันไม่เห็นด้วย
“จริงๆ พี่ก็จะพูดกับฝ่ายบริหารนั่นแหละ แต่จะรอเขาหายป่วย ให้เขารับผิดชอบเอง ตอนนี้ไม่อยากซ้ำเติมเขา” วรรณภาอธิบาย หลังจากพูดให้เพื่อนร่วมงานฟังแล้วก็รู้สึกโล่งที่ไม่ต้องเก็บความลับไว้คนเดียว
“ขอโทษนะคะ คุณพยาบาล ญาติคุณพนมมาจ่ายค่ารักษา” เสียงผู้หญิงวัยเดียวกับนายพนมพูดที่หน้าเคาน์เตอร์
“อ้อ เดี๋ยวให้น้องพาไปที่ห้องการเงินนะคะ” วรรณภาเดินไปหยิบใบค่ารักษาส่งให้สุรีย์ที่ยืนเก้ๆ กังๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับกระเช้าผลไม้
“เอามานี่มา เดี๋ยวพี่ไปคุยกับเขาเอง” วรรณภาเอื้อมมือไปรับกระเช้าจากลูกน้อง ก่อนจะส่งใบแสดงค่ารักษาให้
“คุณพนมนี่น่าสงสารจัง ครั้งนี้ค่าใช้จ่ายเท่าไหร่คะ” มาคีถามหลังจากที่สุรีย์เดินนำญาติผู้ป่วยออกจากห้องไปแล้ว
“สี่หมื่น” วรรณภาถอนหายใจ
“แพงมากเลย เสียเงินค่าวินิจฉัยเรื่อยๆ แต่หาโรคไม่เจอ เวรกรรมแท้ๆ” เหมือนฝันพึมพำ
“พี่ก็ไม่รู้จะว่ายังไง มันเป็นความหวังของเขาน่ะเนาะ เราจะไปห้ามความหวังก็ไม่ได้”
อาการป่วยของนายพนมหลังเข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยอายุรกรรม จริงๆ แล้วไม่ใช่ที่แรกที่นายพนมเข้ารักษาตัว เขาเคยไปนอนป่วยที่โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำมาก่อน ก่อนจะย้ายมาที่นี่
“เห็นว่าที่โรงพยาบาลก่อนก็เสียค่ารักษาหลายแสน” วรรณภาบอก “นี่เห็นภรรยาแกบอกว่าเงินที่สะสมไว้จะหมดแล้ว เหลือแต่ไปกู้หนี้ยืมสินมารักษา สงสารมาก”
“แต่คีย์ว่าอาการของแกดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะคะ ถ้าเทียบกับช่วงแรก ติดแต่เราไม่รู้แกเป็นอะไร ได้แต่รักษาตามอาการ” มาคีหยิบกราฟแสดงสัญญาณชีพมาดู อาการไข้หายไปหลายวันแล้ว อาการแพ้ไม่ทราบสาเหตุก็เหมือนจะทุเลา
“พี่ก็คิดแบบนั้นนะคีย์ ช่วงนี้แกเริ่มกินอาหารได้” เหมือนฝันพูด “ดูสดชื่นขึ้น”
“น่าแปลกจริงๆ กลายเป็นคุณปรารถนาที่มีอาการนับหนึ่งเหมือนคุณพนม” มาคีพูดก่อนจะมองไปที่เตียงผู้ป่วยสังเกตอาการอีกครั้ง เหมือนฝันมองตามสายตามาคี เธอเข้าใจที่มาคีมองและอยากสะกิดถามตอนนั้นเลยถ้าไม่ติดว่าวรรณภานั่งอยู่
“โอ๊ย ปวดหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย” เวลาตีสามกว่า เสียงกรีดร้องของผู้หญิงทำให้พยาบาลเวรดึกสะดุ้งและรีบวิ่งไปที่เตียง
“คุณปรารถนาเป็นไงบ้างคะ” มาคีถามพยายามจะเข้าไปสัมผัสร่างกายของคนป่วยแต่อีกฝ่ายยิ่งกรีดร้อง
“เดี๋ยวพี่ไปเอายาแก้ปวดก่อนนะ หมอเขียนยาไว้ให้แล้ว” เหมือนฝันซึ่งคืนนี้ขึ้นเวรคู่กับมาคีบอก
“ใจเย็นๆ นะคะ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” มาคีที่เข้าไปสัมผัสคนป่วยไม่ได้ ได้แต่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันไม่ให้คนป่วยตกเตียงและรอเหมือนฝันเอายาบรรปวดมา “ใจเย็นๆ นะคะ”
“ปวดเหลือเกิน ไม่ไหวแล้ว ปวด” คนป่วยราวกับไม่ฟังอะไรเอาแต่กรีดร้อง นอนดิ้นไปมา
“ใจเย็นๆ ค่ะเรากำลังช่วยอยู่” มาคีปลอบคนป่วย
“ให้เขาไปบริจาคเงินทั้งหมดสิ เดี๋ยวก็ดีขึ้น” เสียงของคนไข้เตียงหนึ่งพูดเสียงปร่าก่อนที่เจ้าตัวจะลุกขึ้นนั่ง ใบหน้านั้นซีดเผือดราวกับไร้สีเลือด
“อะ อะไรนะคะ” มาคีถามเสียงสั่น หัวใจตกไปกองอยู่ปลายเท้า
นายพนมเตียงหนึ่งที่มีอาการป่วยและหาข้อวินิจฉัยไม่ได้ นอนป่วยติดเตียงมาหลายเดือน ตอนนี้ลุกมานั่งเองและพูดกับมาคี มาคีมองใบหน้าซีดอีกฝ่าย รู้สึกถึงความตึงเครียดของร่างกาย ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่ผี ไม่ใช่วิญญาณ เป็นคนป่วยนอนติดเตียงที่สุดแสนจะซีดเซียว แต่กลับลุกมานั่งได้
“อะ อะไรนะคะ” มาคีถามซ้ำ
“ให้เขาเอาเงินไปบริจาคให้หมด มันช่วยได้” หลังจากพูดจบประโยค นายพนมก็ลุกขึ้นยืนบนเตียงในสภาพโงนเงนไปมา
“คุณพนมคะ อย่ายืนแบบนั้นค่ะ อันตราย” มาคีห้ามเสียงสั่น ยังไม่ทันพูดจบประโยค นายพนมก็ทิ้งตัวลงจากเตียงแต่แขนห้อยอยู่ราวเตียงไม่ยอมปล่อย
“กรี๊ด พี่ฝัน พี่ฝัน สุรีย์ ช่วยด้วย” มาคีตะโกนเรียกสุดเสียง เหมือนฝันและสุรีย์รีบวิ่งมาที่โซนสังเกตอาการก่อนจะยืนหน้าซีด ตัวสั่น ตั้งสติอยู่พักหนึ่งไม่ต่างจากมาคี ชายสูงวัยนอนอยู่ที่พื้นใบหน้าซีดเซียว มือข้างขวาเกาะไม้กั้นเตียงแน่นมันหักผิดรูปอย่างเห็นได้ชัด
“ฉีดยาแก้ปวดให้แล้วนะคะ นอนพักผ่อนนะคะ” เหมือนฝันบอกคนป่วยเตียงหนึ่งที่ตอนนี้ข้อมือมีเฝือกสีขาวใส่ไว้เรียบร้อย
“โชคดีแค่ไหนที่ไม่ต้องผ่าตัด” มาคีพูด หลังจากค่ำคืนแห่งความวุ่นวายที่ผ่านมา คืนนี้สองพี่น้องอยู่เวรดึกด้วยกันอีก
“ตอนนี้อาการปวดลดลงหรือยังคะ” เหมือนฝันถามคนป่วย อีกฝ่ายพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นนอนพักนะคะ”
“เดี๋ยวคุณพยาบาล” เสียงแหบพร่าของชายสูงวัยเรียก เป็นครั้งแรกตั้งแต่มานอนโรงพยาบาลเลยที่คนป่วยพูดคุยกับพยาบาล
“คะ ต้องการอะไรเพิ่มหรือเปล่า” มาคีที่กำลังจะผละไปที่ห้องทำงานเดินกลับมาที่เตียง
“ขอบคุณนะที่ช่วยดูแลผมมานานเลย” อีกฝ่ายพูด
“อ้อ ค่ะ ไม่ต้องกังวลนะคะ เป็นหน้าที่อยู่แล้ว” มาคีพูด เพราะสิ่งที่อีกฝ่ายสื่อสารทำให้มาคีไม่ทันตั้งตัวเลยตอบกลับไปตะกุกตะกัก
“ตอนนี้ผมวางใจแล้ว ไอ้ที่เคยติดเอาอะไรของใครมาก็คืนไปหมดแล้ว ผมสบายใจมาก” อีกฝ่ายพูดเรื่อยๆ
ตอนมารับเวรดึก นิตยาที่อยู่เวรบ่ายเพิ่งส่งเวรมาว่าญาติของนายพนมเพิ่งเอาเงินมาจ่ายค่ายาที่สั่งตรงมาจากต่างประเทศ และบอกว่าหลังจากจ่ายค่ารักษางวดนี้ขอกลับไปใช้สิทธิ์พื้นฐานของนายพนมเพราะว่าเงินก้อนสุดท้ายจากการขายบ้านหมดไปแล้ว
“ในเมื่อยาที่สั่งมาจากต่างประเทศไม่ตอบสนองทำไมครอบครัวแกยังยอมจ่ายเนาะ นี่ถึงขนาดขายบ้านเลยหรือ” เหมือนฝันรู้สึกสะท้อนใจด้วยความสงสาร
“เห็นภรรยาคุณพนมบอกว่ายังเหลือบ้านเก่าที่ต่างจังหวัด หลังจากนี้ครอบครัวคงต้องย้ายกลับต่างจังหวัด” นิตยาบอก “นี่ดีนะที่ลุงพนมแกอาการดีขึ้นถึงเมื่อคืนจะเกิดเรื่องก็เถอะ”
“คุณพยาบาล ตอนนี้ผมวางใจได้แล้ว ผมไม่ติดค้างอะไรอีกแล้ว” คนที่นอนอยู่บนเตียงยังพูดคำเดิม
“ดีแล้วค่ะ ทำใจให้สบายและพักผ่อนนะคะ ถ้าอาการดีขึ้นแบบนี้อีกไม่นานคงได้กลับบ้าน” เหมือนฝันพูด
“ฝากบอกผู้หญิงคนนั้นด้วย อย่าโลภเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของเรามา ถ้าเจ้าของเขามาทวงคืนเราต้องคืน บางทีเขาเอาคืนมากกว่าที่เราเอาเสียอีก” นายพนมหันไปทางเตียงสามที่ปรารถนานอนอยู่
“คะ” มาคีรับคำอย่างงงๆ
“คุณไม่เชื่อก็ได้ แต่ผมเห็น ผมเห็นบางอย่างกำลังรุมทึ้งเขาเหมือนที่ผมเจอมาหลายเดือน” หลังจากเริ่มพูดนายพนมก็พูดเสียยืดยาว ตอนแรกเหมือนกับคนเพ้อ แต่พอรับฟังก็พบว่านานพนมไม่ได้เพ้อเลย
“เห็นอะไรคะ” มาคีถามต่อ
“บางอย่างที่มองไม่เห็นกำลังรุมทึ้งเขาอยู่ เหมือนที่ผมป่วยมาหลายเดือน เขาไปเอาอะไรของใครมาล่ะ”
คำถามที่นายพนมถามสองพยาบาลไม่มีคำตอบ เพราะทั้งสองคนก็ไม่รู้เรื่องของปรารถนาเช่นกัน มาคีได้แต่มองตามไปที่เตียงสามและพยายามมองให้นานขึ้นเพื่อจะเห็น ‘อะไรบางอย่าง’ ที่นายพนมบอก แต่ก็เหมือนไม่มีประโยชน์เพราะเธอไม่เห็นอะไรเลย
“พี่ฝัน พี่ฝัน” เวลาตีสามกว่าในหอผู้ป่วยอายุรกรรม คืนนี้คนป่วยหลายเตียงแต่ทุกเตียงนอนพักอย่างสงบ ไม่มีเสียงเครื่องควบคุมการทำงานช่วยชีวิตเครื่องใดร้องเสียงดัง
“อะไรคีย์” เหมือนฝันสะดุ้ง เวลาตีสามที่ทุกอย่างสงบแต่มาคีกลับเรียกหน้าตาตื่น
“แสงนั่น” แม้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นสะพานสีรุ้งแต่มาคีก็อดพูดไม่ได้ หลายครั้งมาคีอธิบายให้เหมือนฝันฟังถึงสะพานเพื่อข้ามไปสู่อีกภพภูมิจนเหมือนกับพี่สาวมองเห็นไปด้วย
“ทำไม เตียงไหน” เหมือนฝันลุกพรวดอย่างตกใจ
“เตียงหนึ่ง”
หลังมาคีบอกทั้งสองคนวิ่งไปที่เตียงนายพนม แสงสีรุ้งทาบผ่าน เครื่องติดตามการเต้นของหัวใจไม่ร้องสักนิด
“ลุงพนมคะ ลุง….” มาคีไม่รู้จะถามอีกฝ่ายอย่างไรดี นายพนมที่ตอนนี้ลุกนั่งข้างเตียง ใบหน้าที่เคยซีดเซียวกลับอิ่มเอิบ
“ผมจะไปแล้ว” คนที่นั่งอยู่เตียงหนึ่งพูด
“แต่ว่า…” มาคียุ่งยากใจ เพราะหน้าที่ของเธอคือช่วยชีวิต
“ผมกับภรรยาเซ็นไม่ปั๊มหัวใจ ไม่ใส่ท่อช่วยหายใจไว้ คุณพยาบาลไม่ต้องห่วง ผมพร้อมแล้ว” นายพนมพูดเหมือนรู้ใจมาคี
“เอ่อ…” มาคีที่ดูเหมือนไม่เข้าใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นได้แต่พึมพำสับสน
“ถ้าคุณสังเกตคงเห็นว่าผมดีขึ้น จริงๆ ผมรอวันนี้มานาน วันที่จะคืนทุกอย่างให้คนที่ผมเอาของมาไป ผมเอาของใครมาน่ะหรือ…” นายพนมหยุดไปนิดหนึ่ง มองเหม่อลอย “บางทีตอนนั้นก็ไม่รู้ผมคิดอะไรอยู่ ผมรับสินบน รับเงินใต้โต๊ะ…นั่นแหละ แต่ตอนนี้ผมคืนไปหมดแล้ว ผมคุยกับภรรยาแล้ว” คนพูดปลดปลง
มาคีเพิ่งเข้าใจตอนนี้เองว่าทำไมเธอถึงไม่เห็นเจ้ากรรมนายเวร หรือวิญญาณตามติดนายพนมเหมือนรายอื่นที่ผ่านมา นั่นเพราะนายพนมไม่ได้ไปทำร้ายใครโดยตรงแต่ยักยอกเงินส่วนรวม สิ่งที่ตามติดนายพนมจึงไม่ใช่วิญญาณแต่คือกรรมนั่นเอง
“อย่าลืมเอาเรื่องผมเป็นวิทยาทานให้ผู้หญิงคนนั้นนะ อายุยังน้อย อย่าทำแบบนั้น” นายพนมพยักหน้าไปที่ปรารถนา “เล่าเรื่องเป็นทานครั้งสุดท้าย” คนพูดบอก “ผมวางใจ ไม่ติดค้างแล้ว”
แสงสีขาวนวลสว่างวาบมาที่เตียงหนึ่ง เหมือนฝันกับมาคีวิ่งเข้าไปที่ข้างเตียงใช้ออกซิเจนเข้มข้นครอบที่จมูกคนไข้ ชายที่นอนอยู่บนเตียงสงบไม่ทุรนทุรายราวกลับว่าเขานอนหลับ นี่คงเรียกว่า ‘วางใจ’ โดยแท้จริง
“ลุงพนมเขาจะไปที่ไหน” เหมือนฝันถาม
“สักที่ ที่ใสสะอาดค่ะ” มาคีส่ายหน้าก่อนจะตอบคำถามพี่สาว จริงๆ แล้วมาคีก็ไม่รู้หรอกว่าแสงรุ้งเหล่านั้นปลายทางมันคือที่ไหนบ้าง รู้แต่ว่าปลายทางต้องเป็นที่ที่ดีแน่ๆ แล้วค่ำคืนแห่งความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานของนายพนมก็จบลง เจ้าตัวปล่อยวาง ยอมรับ และชดใช้สิ่งที่ตัวเองทำในวาระสุดท้าย บ่วงกรรมในชีวิตถูกปลดปล่อยแม้ในช่วงชีวิตชายคนนั้นจะกระทำเรื่องไม่ดีไว้ แต่เขาก็ชดใช้ไปหมดสิ้น สุดท้ายเขาได้ข้ามสะพานสู่ความสว่าง
“ช่วยด้วย เจ็บมาก ขอยาแก้ปวดไม่ไหวแล้ว เจ็บเหมือนมีดบาดทั้งตัวเลย” เสียงกรีดร้องมาจากผู้ป่วยเตียงสามในเวลาบ่ายสามโมงเย็น นิตยาวิ่งไปที่เตียงพร้อมด้วยยาแก้ปวด มีวรรณภาหัวหน้าตึกวิ่งตามไปด้วย
วันนี้หอผู้ป่วยอายุรกรรมคนป่วยน้อย เตียงหนึ่งที่มีชายสูงวัยเคยนอนป่วยร่วมสามเดือนถูกคลุมผ้าไว้อย่างเรียบร้อย ผู้ที่เคยครองเตียงนี้จากไป รอผู้ป่วยใหม่ที่มีอาการที่ต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดมานอนรักษาตัว
เตียงสังเกตอาการใกล้ห้องทำงานพยาบาล ยังคงเป็นเตียงที่รอรับผู้ป่วยเพื่อให้การพยาบาล ไม่ว่าผู้ที่พักชั่วคราวนี้จะเป็นคนดี ไม่ดี หรือมีประวัติใดๆ ก็ตาม…
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 9 : ปล่อย
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 8 : หลงในใจ
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 7 : ทั้งหมดคือของฉัน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 6 : ถือมั่น
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 5 : ยามเช้า
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 4 : หลงในเวลา...ตีสอง
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา...เที่ยงคืน
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 2 : หลงในเวลา...ยี่สิบเอ็ดนาฬิกา
- READ สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา
- READ สะพานข้ามรุ้ง : บทนำ