สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก

สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 10 : อันเป็นที่รัก

โดย : แก้ว การะบุหนิง

Loading

สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4  มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”

ในห้องความดันลบ อุณหภูมิในห้องถูกควบคุมไว้ไม่เกินยี่สิบแปดองศาเซลเซียส แม้อุณหภูมิในเวลาสามทุ่มจะคงตัวที่ยี่สิบสี่องศาเซลเซียสแต่คนที่อยู่ในชุดขาวคลุมตั้งแต่ศีรษะลงมาก็รู้สึกร้อนอบอ้าว เหงื่อซึมที่ต้นคอ แถมฝ้าจากอากาศอุ่นปะทะอากาศเย็นก็ทำให้แว่นตาที่สวมเป็นฝ้าทำให้มองเห็นภาพตรงหน้าไม่ถนัดนัก

“หนาวไหมลูกน้องทาม” คนที่สวมชุดคลุมพูดกับร่างผอมที่นอนใส่ท่อช่วยหายใจไม่ตอบโต้อะไร “เดี๋ยวเราจับน้องทามนอนตะแคงซ้ายนะ” เสียงอู้อี้ในหน้ากากคลุมตั้งแต่ศีรษะพูด

“วันนี้อาหารเพิ่มไข่นะน้องทาม อร่อยไหม ถ้าอยากอร่อยกว่านี้ต้องรีบหายนะ” น้ำเสียงผู้หญิงอีกคนบอกเด็กที่นอนอยู่

เด็กชายภูมิธรรม อายุสิบปี นอนรักษาตัวอยู่ในห้องควบคุมความดันลบหรือห้องแยกโรคสิบห้า ครั้งแรกเด็กชายติดเชื้อโควิดไปรักษาแบบผู้ป่วยนอก ก่อนจะมีอาการติดเชื้อปอดอักเสบกลับมารักษาตัวในโรงพยาบาล มีอาการติดเชื้อซ้ำซ้อนเพราะครอบครัวซื้อยาแก้อักเสบรักษากันเอง เด็กชายมีอาการแพ้ยารุนแรง ผิวหนังลอก ติดเชื้อที่ปอด และติดเชื้อดื้อยาชนิดรุนแรกในวันที่กลับมารักษาที่โรงพยาบาลจนต้องให้อยู่ในห้องความดันลบ และงดเยี่ยม

ที่ด้านนอกกระจกพ่อและแม่ของเด็กชายร่างผอมยืนมองผ่านกระจก คนเป็นแม่ร้องไห้ทุกครั้งที่มองลูกชาย เธอเป็นหญิงอายุสามสิบห้าปี ใบหน้าซีดเซียวเพราะไม่ได้พักมาหลายวันตั้งแต่ลูกชายป่วยนอนโรงพยาบาล เธอแทบจะไม่รับประทานอาหารเพราะความเป็นห่วงและเสียใจกับอาการของลูก

ส่วน ‘นิรันดร์’ ชายวัยสามสิบแปดปี ผู้เป็นพ่อ มีอาชีพขับรถสิบล้อรับจ้าง สัปดาห์นี้เขาไปทำงานส่งของอยู่วันเดียวเพราะไม่มีใจจะออกไปทำงาน แม้จะไม่ร้องไห้เหมือน ‘ดาราวรรณ’ ภรรยาแต่เขาก็แทบไม่ยิ้มเลย ใบหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา

“ฉันฝากน้ำอัดลมให้น้องทามกินได้ไหม” ดาราวรรณเข้ามาประชิดตัวมาคีทันทีที่หญิงสาวเดินออกจากห้องความดันลบ

“น่าจะยังไม่ได้นะคะ น้องต้องให้อาหารสูตรบำรุงของโรงพยาบาล อาหารอื่นคงต้องงดไว้ก่อน” มาคีแจ้ง หลังชุดปฏิบัติการตอนนี้มีเหงื่อซึมจนชุ่ม

“อาการของน้องทามเป็นยังไงบ้าง” นิรันดร์ถาม

“ตอนนี้อาการคงตัวค่ะ สัญญาณชีพปกติ แต่ปอดยังหย่าเครื่องช่วยหายใจไม่ได้ เสมหะเยอะมากค่ะ” มาคีแจ้ง เมื่อตอนเย็นนายแพทย์ศรัณมาเยี่ยมอาการ พ่อของเด็กชายก็ถามคำถามเดิม เขาแทบจะถามคำถามนี้กับเจ้าหน้าทุกคนเมื่อเจอหน้ากัน

“น้องทามชอบน้ำอัดลมมาก นิดนึงก็ไม่ได้เหรอพยาบาล” ดาราวรรณถาม

“ไม่ได้ค่ะคุณ จริงๆ คือการให้อาหารทางสายยางน้องไม่รับรสอยู่แล้วค่ะ” มาคีมองน้ำอัดลมในกระป๋อง “ยิ่งถ้าเป็นน้ำสีดำ แดง หรือส้มยิ่งต้องงดก่อนค่ะ ถ้าน้องอาเจียนออกมาเราจะแยกว่าเป็นสีน้ำอัดลมหรือมีอาการแทรกซ้อนเลือดออกไม่ได้” มาคีอธิบาย

“ผมขอเข้าไปหาลูกได้ไหม” นิรันดร์ถาม

“ได้ค่ะ แค่คุณต้องใส่ชุดคลุม หมวก แมสก์ รองเท้า ถุงมือก่อน เยี่ยมได้ครั้งละยี่สิบนาทีนะคะ” มาคีบอก “เดี๋ยวคุณเปลี่ยนชุดคลุมในตู้นั้นนะคะ” มาคีบอกพลางชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่วางอยู่หน้าห้อง

“คีย์ คีย์ คนไข้สายฉี่หลุด พี่ฝันติดเคสอยู่” สุรีย์ ผู้ช่วยเหลือคนไข้วิ่งมาบอก เธอเป็นคนที่เข้าคู่ให้การพยาบาลเด็กชายภูมิธรรมก่อนหน้านั้นกับมาคี

“อ่อ พยาบาลขอตัวก่อนนะคะ” มาคีบอกอย่างเร่งรีบ

เป็นเวรบ่ายที่ค่อนข้างวุ่นวายเช่นเดิมในหอผู้ป่วยอายุรกรรมด้วยอัตรากำลังพยาบาลสามคน ผู้ช่วยเหลือคนไข้หนึ่งคน ผู้ช่วยพยาบาลหนึ่งคน ที่ต้องรับผู้ป่วยสามสิบรายซึ่งในนี้มีผู้ป่วยหนักอยู่ห้ารายรวมทั้งเด็กชายภูมิธรรมที่ต้องให้การดูแลทั้งหมด เสียงเครื่องติดตามสัญญาณชีพ และเครื่องควบคุมยาดังแทบจะทุกสิบห้านาที มาคีวุ่นวายกับการทำงานจนไม่ได้กลับไปดูครอบครัวเด็กชายภูมิธรรมอีกจนลงเวร

 

“เป็นไงสองสาว เมื่อคืนสาหัสเลยเหรอ” วรรณภาทัก เวลาเจ็ดนาฬิกาสี่สิบห้านาที ทั้งเหมือนฝันและมาคีนั่งรอรับส่งเวรด้วยใบหน้าซีดเซียว

“ขาแทบหลุดเลยค่ะพี่” เหมือนฝันบอก “กว่าจะได้ลงเวรตีหนึ่ง”

“ง่วงแย่เลยสาวๆ” หัวหน้าหอผู้ป่วยเปรย “เดี๋ยวรับเวรแล้วแอบไปกินข้าวต้มในห้องพักนะ พี่ซื้อมาเผื่อ” วรรณภาบอก “ไม่ทันกินข้าวเช้ากันละสิ” เป็นเรื่องปกติสำหรับพยาบาลเวรบ่ายที่ต้องมาต่อเวรเช้าที่จะไม่ได้กินอาหารเช้า ยิ่งคนมีลูกมีครอบครัวยิ่งลำบาก เพราะแค่นอนก็ไม่พอแล้วยังต้องรีบตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้ครอบครัวด้วย

“หัวหน้าใจดีที่สุดเลย” มาคีทำเสียงอ้อน “ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้ง…”

“พอ ส่งเวรแล้วรีบกิน รีบทำงาน” วรรณภาปรามพร้อมกับหัวเราะ

“นี่ถ้าได้กาแฟอีกแก้วนี่สู้ตาย” มาคีพึมพำพร้อมกับทำหน้าทะเล้นใส่

“เยอะ เยอะแล้ว” คนเป็นหัวหน้าถลึงตาใส่

 

“ไหนดูสิคะ เจ็บนิดนึงนะคะคนเก่ง” ววรณภาจับข้อมือเล็กๆ ของเด็กหญิงอายุแปดปีแทงเข็มเพื่อให้น้ำเกลือ “เก่งมากเลยค่ะลูกสาว” ในช่วงอากาศแปรปรวนหอผู้ป่วยเด็กมักจะล้นด้วยเด็กติดเชื้อระบบทางเดินหายใจเสมอและบ่อยครั้งก็จะมีเด็กในหอผู้ป่วยอายุรกรรม

“เก่งที่สุด อีกสองวันยาครบ ไม่มีไข้ก็ได้กลับบ้านแล้วนะ นี่ เราติดปลาสเตอร์คนเก่งที่สุดด้วย” ปลาสเตอร์ลายการ์ตูนสีชมพูถูกแปะปิดปลายเข็ม

“น้องฟ้าเก่งมากๆ เลยค่ะ” มาคีชม ปกติเส้นเลือดของเด็กมักหายาก หลายคนต้องแทงเข็มมากกว่าหนึ่งครั้ง “ไม่ร้องไห้สักแอะ”

“ฟ้าใสไม่ร้องไห้เพราะต้องรีบหายป่วยเนาะ” คุณแม่ฟ้าใสพูด

“ต้องรีบไปโรงเรียนแน่เลย” มาคียิ้ม มือก็ช่วยวรรณภาพันก๊อซป้องกันสายน้ำเกลือเลื่อนหลุด

“ไม่ใช่ค่ะ น้องฟ้ารีบกลับไปหาพี่มิคกี้ พี่มิคกี้ไม่สบายเหมือนกัน น้องฟ้าต้องรีบกลับไปดูแล” ฟ้าใสมองผ้าก๊อซตัวเองแต่ก็ตอบคำถาม

“มิคกี้” วรรณภาทวนคำ

“มิคกี้เป็นพี่หมาของฟ้าใสค่ะ แก่แล้ว เขาไม่สบายเหมือนกัน” หญิงวัยสามสิบกว่าบอกพยาบาล

“ฟ้าใสเป็นห่วงพี่มิคกี้ค่ะ แม่บอกพี่มิคกี้คิดถึงฟ้าใสไม่ยอมกินข้าว” เด็กหญิงพูดสายตาเหมือนจะร้องไห้มากกว่าตอนที่โดนใส่น้ำเกลือ

“สู้ๆ นะคะ อีกสองวันยาครบ ต้องไม่มีไข้เนาะ จะได้กลับบ้าน พี่มิคกี้รออยู่” มาคีชูสองนิ้ว เด็กหญิงฟ้าใสทำตาม

“แต่ว่าตอนนี้ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว” ผู้หญิงในชุดหมวกคลุมศีรษะและผ้ากันเปื้อนยกถาดอาหารกลางวันเข้ามา “เราต้องกินเยอะๆ นะคะ” ทุกคนมองเด็กหญิงฟ้าใสที่ตักอาหารเข้าปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามหน้าที่ตัวเอง

“ทำไมน้องทามไม่ใส่เข็มน้ำเกลือง่ายเหมือนน้องผู้หญิงคนนั้น” ดาราวรรณพูดเสียงเข้มหลังจากมาคีและวรรณภาเดินออกจากห้องความดันลบมา

“ของน้องทามจะแทงน้ำเกลือยากหน่อยค่ะ ผิวหนังแกลอกและบางมาก” วรรณภาบอก

“แล้วทำไมต้องเจาะเลือด ให้น้ำเกลือให้ยาทุกวัน เด็กป่วยก็แย่แล้ว ต้องมาเจ็บตัวไปอีก” นิรันดร์พูด วันนี้เขาไม่ได้ไปขับรถส่งของ ผ่านมาเกือบสัปดาห์ที่เขาหยุดงาน

“น้องทามยังต้องให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนในปอดอยู่ค่ะ ต้องใช้ยาฉีด” วรรณภาตอบอย่างใจเย็น ปกติเธอเป็นคนอารมณ์ดีติดตลก มักคุยเล่นกับคนป่วยและญาติเพื่อให้ทุกคนผ่อนคลาย

“ผมว่าพวกคุณไม่อยากดูแลน้องทามมากกว่า” นิรันดร์พูดเสียงเครียด

“เอ คุณน่าจะเข้าใจผิดแล้วนะคะ คนไข้ก็คือคนไข้เราไม่เลือกปฏิบัติ” วรรณภาบอก มาคีที่เดินตามหลังมาทำท่าอยากจะพูดแต่เกรงใจหัวหน้าเลยยืนฟังอยู่ด้านหลัง

“คุณมาเจาะเลือดให้ยาเช็ดตัวน้องทามทีหลังคนอื่นทุกวันเลย แบบนี้ไม่เลือกปฏิบัติเหรอ” นิรันดร์ยังถามคำถามไม่หยุด นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาเที่ยงสี่สิบ

“น้องทามติดเชื้อดื้อยา การให้การพยาบาลเลยต้องทำหลังสุดเพื่อป้องกันการติดเชื้อไปหาคนป่วยอื่นค่ะ เราไม่ได้เลือกปฏิบัติอะไรเลย” วรรณภาตอบ จริงๆ คำพูดนี้พยาบาลเวรทุกคนแทบจะถูกถามทุกวันอยู่แล้ว “ตอนนี้เราทำเช็ดตัวทำความสะอาด ให้ยาให้อาหารเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณพ่อคุณแม่จะไปทานข้าวก่อนก็ได้” หัวหน้าหอผู้ป่วยอายุรกรรมบอก

“พวกคุณไม่ต้องมาไล่ตัดบทหรอก ไป วรรณ เขาไล่แล้ว” หลังพูดจบนิรันดร์ก็เดินลงส้นตึงๆ ไป มี      ดาราวรรณเดินตามสีหน้าไม่พอใจชัดเจน

“เอ้า แบบนี้ก็ได้บ่สู” มาคีพึมพำอยู่ข้างหลัง วรรณภาหันไปตีแขนลูกน้องเบาๆ

“พูดมากน่ะ ไปกินข้าว หิว”

เด็กชายภูมิธรรมให้น้ำเกลือและยาทางหลอดเลือดดำอยู่หลายวันทำให้เส้นเลือดที่หายากจากผิวลอกอยู่แล้วยิ่งหายาก เส้นที่พอจะมองเห็นก็แข็งใช้งานไม่ได้ วันนี้มาคีพยายามให้น้ำเกลือแต่ก็ไม่สำเร็จต้องไปตามหัวหน้างานมาช่วย

“ถ้าจะมีใครถูกเลือกปฏิบัติก็เรานี่แหละ ป่านนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย” มาคีลูบท้อง

“ปะ กินข้าว ก่อนจะไม่ได้กิน” วรรณภาหัวเราะในคอ ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ “เดี๋ยวพี่มีประชุมบ่ายด้วย” คนพูดมองนาฬิกาแขวนผนังก่อนจะถอนหายใจ

 

“น้องคี น้องคี มาดูนี่หน่อย” เสียงเรียกมาจากห้องความดันลบผ่านเครื่องติดต่อภายในดัง “น้องทามเหมือนจะมีเลือดออกในทางเดินอาหาร” เวลาบ่ายสามโมงเป็นเวลาทำความสะอาดร่างกายในภาคเช้า ผู้ช่วยพยาบาลและผู้ช่วยเหลือคนไข้จะเข้าไปเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้

“ยังไงละเนี่ย” มาคีรีบลุกจากโต๊ะทำงาน หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงสารน้ำเข้าออกของคนไข้แต่ละเตียง

“ทำไมเลือดออกในกระเพาะได้ ได้ยาฉีดลดกรดอยู่นี่” เหมือนฝันถาม วันนี้เธอได้รับมอบหมายให้ดูแลคนไข้อีกส่วนหนึ่ง “ยังไงก็กดโฟนเรียกได้นะ” เธอสำทับน้องสาว

มาคีเข้ามาเปลี่ยนน้ำเกลือห้องความดันลบในช่วงตีสองหลังจากฉีดยาคนไข้อื่นในตึกเรียบร้อย เด็กชายภูมิธรรมนอนหายใจตามเครื่องช่วยหายใจ วันที่เท่าไรของการนอนโรงพยาบาลแล้วก็ไม่รู้ หลายวันเกินกว่ามาคีจะนับเพราะเด็กที่นอนใส่เครื่องช่วยหายใจเปลี่ยนยาฉีดฆ่าเชื้อไปแล้วถึงสี่ชนิดจากสาเหตุเพราะติดเชื้อดื้อยาซ้ำไปซ้ำมา

มาคีนั่งข้างเตียงจ้องมองเด็กชายด้วยความแปลกใจ สำหรับผู้ป่วยวาระสุดท้ายหรือคนป่วยที่อาการหนักครึ่งเป็นครึ่งตายเธอจะเห็นวิญญาณหรือสิ่งบ่งอะไรสักอย่างเสมอ แต่สำหรับเด็กชายทาม มาคีสัมผัสอะไรไม่ได้เลย หรืออาจเป็นเพราะสัมผัสที่หกของมาคีหายไปแล้ว หญิงสาวเอื้อมมือกำมือเล็กๆ ของเด็กชาย

“น้องทามเป็นยังไงบ้างลูก” มือนั้นเย็นเหมือนไร้ชีวิต แต่เครื่องติดตามสัญญาณชีพก็ปกติดี น่าแปลกมากที่มาคีไม่รู้สึกถึงการมีชีวิตของเด็กชายภูมิธรรมเลย

“มันยังไงนะ” มาคีมองออกไปที่หน้ากระจก พ่อแม่ของเด็กชายวัยสิบปีไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่จริงๆ แล้วสองคนนั้นก็มักจะหายไปช่วงดึกและกลับมาอีกทีในตอนสายของอีกวัน คงเพราะทั้งสองคนกลับไปนอนที่บ้าน เจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยอายุรกรรมเองก็ไม่เคยได้ถามอะไรเพราะเคยถามแล้วก็ถูกเกรี้ยวกราดใส่

 

“คิดถึงน้องฟ้าแย่เลยเนี่ย” วรรณภากอดเด็กหญิงวัยแปดขวบที่เดินยิ้มมาลากลับบ้าน

“หนูจะกลับไปดูแลพี่มิคกี้ก่อนค่ะ” เด็กหญิงยิ้มแป้น “พี่มิคกี้น่ารักไหมคะ” เธอยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปสุนัขพันธ์ไทยสีน้ำตาลให้ดู

“นี่พี่มิคกี้เหรอคะ ป้าก็นึกว่าพี่มิคกี้เป็นน้องหมาตัวเล็กๆ” วรรณภาเปรย จริงๆ ใครได้ฟังเด็กหญิงเรียกพี่มิคกี้ก็ต้องเข้าใจว่าพี่มิคกี้เป็นสุนัขพันธุ์เล็กไม่พูเดิลก็ชิสุ ใครจะคิดว่าพี่มิคกี้จะเป็นสุนัขพันธุ์ไทยแท้สีน้ำตาล หน้าตามอมแมมตามวัย

“พี่มิคกี้เป็นน้องหมาจรค่ะ เราช่วยไว้ตั้งแต่เด็ก ตอนนั้นฉันกำลังตั้งท้องหนูฟ้า พอหนูฟ้าคลอดพี่มิคกี้ก็ทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็ก ติดกันมากทั้งพี่ทั้งน้อง” คนเป็นแม่เด็กหญิงบอกด้วยน้ำเสียงเอ็นดู

“เลี้ยงมาด้วยกันเลยเหรอ” คำถามแทรกมาจากเสียงผู้หญิงที่เดินผ่านมาแล้วบังเอิญเห็นรูปสุนัขสีน้ำตาล

“ใช่ค่ะ เขาโตมาด้วยกัน ตอนนี้พี่มิคกี้แก่แล้ว แต่น้องฟ้ายังไม่โตเลย” คนพูดหัวเราะอย่างเอ็นดู

“ไม่กลัวลูกติดโรคจากหมาเหรอ” คนพูดคือ ‘ดาราวรรณ’ แม่ของเด็กชายภูมิธรรม คำถามนั้นทำให้อีกฝ่ายชะงักไปครู่

“พี่มิคกี้ได้วัคซีนครบ ไปหาหมอตามที่หมอนัดตลอดค่ะ เขาไม่ได้สกปรกอะไร” คนพูดเล่าเรื่อยๆ

“ที่บ้านฉันก็เคยมีหมาสีนี้ พอดีมันท้องแล้วฉันมีลูกพอดีเลยเอาไปปล่อย ตอนนี้ตายไปแล้วมั้ง” อีกฝ่ายเล่าเรื่อยๆ เช่นกันแต่ทำให้แม่ของเด็กหญิงฟ้าเงียบไปพร้อมกับมองหน้าพยาบาลที่ยืนเงียบเช่นกัน

“นี่ได้กลับบ้านแล้วเหรอจ๊ะหนูฟ้า” ดาราวรรณถามเด็กหญิงฟ้าที่ยืนรอผู้ใหญ่คุยกันอยู่ “ดีใจด้วยนะจ๊ะ แข็งแรงไว”

“น้องฟ้าต้องรีบแข็งแรงค่ะ จะได้ดูแลพี่มิคกี้” เด็กหญิงตอบกลับท่าทางมุ่งมั่น

“แหม แต่อย่าเพิ่งไปขลุกกับหมาเลย สกปรก มันจะป่วยซ้ำนะ” คนพูดเตือนท่าทางห่วงใย

“อ้อ หนูฟ้าลาพี่ๆ พยาบาลก่อนเร็ว เรารีบกลับไปดูพี่มิคกี้ก่อนเนาะ มานอนโรงพยาบาลหลายวันพี่มิคกี้คิดถึงแย่” มารดาของหนูฟ้าพูดพลางยิ้มเจื่อนๆ พยาบาลที่ยืนส่งเด็กหญิงก็เช่นกัน

“หายไวๆ นะคะหนูฟ้า ขอให้พี่มิคกี้แข็งแรงไวๆ ด้วยนะคะ ถ้าผ่านมาแถวนี้มาเที่ยวหาพี่ๆ พยาบาลบ้างนะคะ” วรรณภายิ้มกว้าง

เด็กหญิงเดินอย่างร่าเริงตามมารดาออกจากหอผู้ป่วยไป กำลังใจของคนเราเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากคุณพ่อคุณแม่แล้วกำลังใจที่ทำให้น้องฟ้าเข้มแข็งคือพี่มิคกี้ พี่ชายสี่ขาที่รออยู่ที่บ้าน

 

“น้องคีย์คะ น้องทามเลือดออกในกระเพาะอีกแล้ว” เสียงผู้ช่วยพยาบาลดังมาจากโทรศัพท์ภายใน

“มันยังไงเนี่ยคีย์ ฟีดสองวันเลือดออกวันนึงต้องงดฟีดอีก”  วรรณภาถาม เพราะสังเกตมาหลายวันกับอาการไม่คงที่ของเด็กชายภูมิธรรม

“ไม่รู้เลยค่ะพี่ เจาะความเข้มข้นเลือดปลายนิ้วก็ปกติทุกครั้ง นี่ก็งงมาก” มาคีตอบ “เดี๋ยวคีย์เข้าไปดูก่อนนะคะ” มาคี

“แต่นิดว่ามันต้องใช่แน่ๆ เห็นหลายครั้งละ” นิตยา หนึ่งในพยาบาลหอผู้ป่วยอายุรกรรมพูดพร้อมกับทำหน้าเจ้าเล่ห์

“ใช่อะไร” วรรณภาถาม

“พี่ว่าไม่ได้เลือดออกอะไรหรอกคีย์” นิตยาไม่ตอบหัวหน้าแต่หันไปพูดกับมาคี

“ยังไงคะ” มาคียืนอิงโต๊ะหันมาสบตานิตยาอย่างอยากรู้ไม่ต่างจากวรรณภาที่ตั้งใจฟัง

“พี่เห็นคุณแม่เขาถือน้ำอัดลมสีดำสีแดงมาทุกวันเลย ตอนแรกก็ไม่ได้สงสัยอะไร แต่พอได้ยินเราบ่นบ่อยๆ ก็คิดว่าต้องใช่แน่ๆ คุณแม่เขาเอาน้ำอัดลมให้น้องกินหรือเปล่า” นิตยาขมวดคิ้ว

“ไม่มั้งพี่ คีย์บอกหลายครั้ง สั่งห้ามให้เลยนะ อีกอย่างคนฟีดอาหารก็เป็นเราทำ เขาจะเอาให้น้องทามยังไง น้องทามนอนไม่มีสติขนาดนั้น” มาคีทำหน้าสงสัย

“ไม่รู้สิ พี่ตั้งข้อสังเกตเฉยๆ ยังไงต่อไปต้องลองดูเวลาเขาเข้าไปเยี่ยมลูก”

เป็นอย่างที่นิตยาพูด เวลานิรันดร์และดาราวรรณเข้าไปเยี่ยมเด็กชายภูมิธรรม เจ้าหน้าที่ในตึกมักไม่ได้สนใจมากนักเพราะต่างคิดว่าก็เป็นธรรมดาที่ครอบครัวจะไปเยี่ยมให้กำลังใจกัน แต่พอเกิดเหตุการณ์ซ้ำบ่อยๆก็ทำให้มาคีคิดตามที่นิตยาพูด การเป็นเจ้าหน้าที่สายสุขภาพนอกจากจะให้การดูแล รักษา พยาบาล ฟื้นฟูแล้วก็ยังต้องเป็นสายสืบสุขภาพ หาต้นตอสาเหตุของการเจ็บป่วยถึงจะได้ที่มาของการแก้ปัญหาโรคอย่างแท้จริง

 

“ขอบใจนะคีย์ที่มาเป็นเพื่อน” เหมือนฝันบอกมาคีหลังจากกรวดน้ำใต้ต้นไม้เรียบร้อย

          วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดเหมือนฝันตรงกับวันหยุดของทั้งสองคนพอดี เหมือนฝันเลยชวนมาคีมาทำบุญที่วัดด้วยกัน

“ไม่เป็นไรหรอกพี่ฝัน คีย์อยากมาวัดตั้งนานแล้ว ไม่ได้มานานเลย” มาคีบอก “วัดนี้ร่มรื่นดีจัง” ต้นไม้ใหญ่บริเวณลานวัดทำให้วัดเย็นและชื้นปรับความร้อนจากภายนอกให้ร่มเย็นและสงบ

“มากินข้าวเร็ว” เสียงสามเณรเคาะชามสเตนเลสก่อนจะมีสุนัขร่วมสิบตัววิ่งมา ที่มุมหนึ่งสุนัขร่างกายผอมซูบนั่งให้นมลูกสุนัขสามตัวท่าทางหวาดกลัว

“เอ้า กินข้าวซะจะได้มีน้ำนมเลี้ยงลูก” เณรอีกรูปเดินเอาชามข้าวไปวางห่างๆ

“มีแม่หมาเกิดใหม่ด้วยเหรอคะ” เหมือนฝันทัก

“หมาเขาเอามาทิ้งไว้ข้างถนนน่ะ หลวงตาท่านไปบิณฑบาตเจอมันเฝ้าลูกที่โดนรถเหยียบข้างถนนเลยเรียกมาอยู่วัด” สามเณรบอก

“คนเอามาทิ้งใจร้ายจัง ลูกเขาโดนรถเหยียบตายเหรอคะ” เหมือนพูดย้ำ

“ตัวนึงโดนหมาจรเจ้าถิ่นกัดตาย ตัวที่เขาเฝ้าน่าจะตายทีหลัง” สามเณรบอกน้ำเสียงสังเวช

“คนเอามาทิ้งเลวร้ายสุด” มาคีพูด “อีกหน่อยก็หนีกรรมเวรไม่พ้น”

“คีย์” เหมือนฝันเรียกน้องสาวก่อนจะส่ายศีรษะห้ามปราม “มาทำบุญ” พี่สาวทำตาคว่ำใส่จนมาคีเบ้ปาก

“หลวงตาท่านเวทนา เลยเรียกกลับวัด แต่แม่หมาเขาเศร้ามากนะ ไม่กินข้าวกินปลา ตรอมใจ อีกสามตัวก็น่าจะเป็นขี้เรื้อน ไม่รู้ว่าเอามาทิ้งนานเท่าไหร่” สามเณรบอก

“น่าสงสารจัง ผิวลอกหมดคงเจ็บ” เหมือนฝันที่เดินเข้าไปใกล้แม่สุนัขพึมพำ ถึงแม้เหมือนฝันจะเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีสัมผัสที่หกเหมือนมาคี แต่เหมือนฝันกลับมีจิตใจที่อ่อนโยนกับทุกเรื่องทั้งคน หรือสัตว์

“น่าสงสารจัง” มาคีที่เดินตามเข้าไปดูพึมพำ ผิวหนังของลูกสุนัขมีแผลทั่วตัว บางที่มีเลือดไหลจากเล็บข่วนเพราะเกาตัวเองแรงๆ

“งั้นเดี๋ยวเราออกไปซื้ออาหารเม็ดกับยามาให้เจ้าพวกนี้กัน ไหนๆ วันนี้ก็ว่างแล้วนี่” เหมือนฝันเสนอความคิดเห็น มาคีพยักหน้า “แล้วเจ้าพวกนี้ทางวัดต้องดูแลไปถึงเมื่อไหร่เหรอคะ”

“ถ้าพวกมันโชคดีก็มีคนมาขอไปเลี้ยง ถ้าโชคไม่ดีก็เป็นหมาวัดไป จริงๆ ถึงเป็นหมาวัดถ้าได้ทำหมันก็ถือว่าเป็นบุญของมัน ไม่ต้องออกลูกมาอีก ไม่ต้องมีลูกหมามาอยู่เป็นโซ่กรรมไม่สิ้นสุด” สามเณรบอก

“หลวงตาท่านมีเมตตาเลยนะคะ บางวัดเขาไม่ช่วยเหลือแถมให้เอาไปปล่อยต่ออีก” เหมือนฝันบอก หญิงสาวเคยเห็นข่าวหลายครั้งที่ชาวบ้านออกมาประท้วงเรื่องการนำหมาวัดไปปล่อยต่อที่อื่น หรือแม้กระทั่งการวางยาเบื่อเพื่อกำจัด

“ปีนี้พี่ฝันได้ทำบุญวันเกิดแบบบุญมหาศาลเลยนะ” มาคีบอก หลังออกจากวัดตอนเช้าทั้งสองคนก็ไปซื้ออาหาร และไปร้านสัตวแพทย์ซื้อยามาดูแลสุนัขที่วัด กว่าจะเสร็จก็เหยียบหกโมงเย็น

“บุญไม่บุญไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก เรื่องสำคัญคือได้ช่วยเหลือสัตว์ผู้ยาก พี่ทำใจไม่ได้หรอกถ้าไม่ช่วยลูกหมาเล็กๆ ขี้เรื้อนพวกนั้นน่ะ”

“จ้า พี่สาวนางฟ้า” มาคียิ้มตาหยี

“เดี๋ยวรอพวกมันหายจากขี้เรื้อนเรามาช่วยกันหาบ้านให้กันนะ แล้วอีกสักเดือนมาช่วยพี่พาแม่เขาไปทำหมันด้วย” คนพูดวางแผนไว้ในใจอย่างหมายมั่น

“นี่ไง” มาคีดีดนิ้วเสียงดัง “ใจดีที่สุดแหละ พี่สาว” ครั้งแรกที่มาคีรู้จักกับเหมือนฝันยังไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงรู้สึกเชื่อใจเหมือนฝันมาก และเหมือนฝันก็ใจดีกับมาคีขนาดที่เพิ่งรู้จักกันก็ยังช่วยมาคีจนพาตัวเองไปเสี่ยงตายกับคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ จนตอนนี้มาคีเข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่อยู่ข้างๆ หลังจากมีเรื่องแปลกๆ กับมาคีต้องเป็นเหมือนฝัน นั่นเพราะผู้หญิงข้างๆ เป็นคนใจดี จิตใจดีจากเนื้อในแบบที่มาคีเองก็ไม่ดีเท่า นอกจากเรื่องประหลาดที่มาคีเจอ เหมือนฝันคงเป็นพลังงานบวกที่คอยส่งต่อให้มาคีเสมอ

“อุ๊ย” มาคีชะงัก

“อะไรคีย์”  เหมือนฝันที่เดินมาด้วยสะดุ้ง

“คือ…” มาคีกะพริบตาอีกครั้ง

“ขอบใจนะโยม อยู่ช่วยดูแลหมาวัดจนค่ำเลย” น้ำเสียงมีเมตตาดังมาจากด้านหลัง ทั้งเหมือนฝันและมาคีหันไปก็เจอหลวงตาเจ้าอาวาสผู้มีเมตตาที่สามเณรกล่าวถึง ผู้หญิงทั้งสองคนพนมมือไหว้

“ไว้วันหน้าจะขออนุญาตหลวงตาพาแม่สุนัขไปทำหมันนะคะ” เหมือนฝันบอก

“โอ้ อนุโมทนานะโยม ตัวหลวงตาเองพาไปไม่ไหว ถ้ามีคนใจดีพาไปก็เป็นบุญของมัน” หลวงตาพูด “นี่จะกลับกันแล้วเหรอ”

“ค่ะ ค่ำแล้ว อยู่ค่ำกว่านี้คงไม่เหมาะ” ระหว่างที่เหมือนฝันคุยกับเจ้าอาวาสมาคีก็หันหน้าหันหลังไม่มีสมาธิ เหมือนฝันเองชินกับท่าทางแบบนี้ของน้องสาวจนปล่อยผ่าน แต่เจ้าอาวาสจับสังเกตนั้นได้

“ยังไงล่ะโยม”

“คีย์ คีย์ หลวงตาพูดด้วย” พี่สาวสะกิดน้องที่ยืนอยู่ข้างๆ

“มีอะไรจะถามหลวงตาไหม” เจ้าอาวาสถามก่อนจะมองเหมือนฝัน “หรือไม่สะดวก”

“เอ่อ ไม่ใช่ค่ะ พี่ฝันเขารู้ทุกเรื่อง เอ่อ มันเรียบเรียงคำถามไม่ได้ค่ะ” มาคีเองก็อยากถามแต่เหมือนกับจับต้นชนปลายไม่ถูก

“เด็กคนนั้นมาที่นี่สักพักนึงแล้ว” เจ้าอาวาสพูดขึ้นมาโดยที่คนทำหน้ายุ่งยากยังไม่ได้ถาม “มาเดินตามเจ้าพวกตัวเล็กนั่น” มาคีที่มัวแต่สนใจภาพเลือนรางของคนตัวเล็กๆ จนไม่ได้สนใจที่ด้านหน้าของร่างนั้นมีร่างสี่ขาเล็กๆ สี่ตัววิ่งไปมาอยู่

“อะไรกันนี่” มาคีอุทาน

“หลวงตาก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเรื่องอะไรกัน เขาไม่บอก เป็นแบบนี้มาหลายวันแล้ว ลูกพอรู้ไหมว่ามันเรื่องอะไร” โดยไม่ต้องถามจากสายตาของมาคีเจ้าอาวาสก็รู้เรื่องราวทั้งหมด

“เราพอจะช่วยเด็กคนนั้นได้ไหมคะ” มาคีถาม

“เขาไม่ได้ร้องขอให้ช่วย เขามีความสุขดี” เจ้าอาวาสมองตามสายตาของมาคี เหมือนฝันก็มองตามแม้จะไม่เข้าใจการพูดคุยของทั้งคู่ที่สนทนากัน

“แต่พ่อกับแม่น้องเขาเป็นทุกข์มากเลยนะคะ” มาคีบอก นึกถึงสายตาแห้งผากของนิรันดร์ และดวงตาที่รื้นน้ำตาตลอดเวลาของดาราวรรณ

“บางเรื่องมันเป็นเวรเป็นกรรม เราชี้ทางสว่างได้ แต่เขาจะเดินไปหรือเปล่านั่นคือกรรมนำพา” หลวงตาเจ้าอาวาสบอกเป็นปริศนาธรรมก่อนจะเดินกลับกุฏิอย่างเงียบ

“เล่ามาสิมาคี” เหมือนฝันที่เฝ้ามองการสนทนาที่เต็มไปด้วยปริศนาธรรมโดยไม่ได้พูดแทรกอะไรถามขึ้นหลังจากเจ้าอาวาสเดินกลับกุฏิ มาคีถอนหายใจ

 

“ผมขอสั่งห้ามคุณพ่อคุณแม่ให้น้ำอัดลมน้องทามอีกนะครับ ไว้น้องทามหายค่อยให้กินได้” นายแพทย์ศรัณหรือหมอเดี่ยว อายุรแพทย์ประจำหอผู้ป่วยนั่งที่เก้าอี้ในห้องทำงานพยาบาลโดยมีนิรันดร์และดาราวรรณนั่งเก้าอี้ตรงข้าม

“น้องทามชอบน้ำอัดลมมากเลยนะคะ ฉันอยากให้ลูกได้กิน น้องนอนแบบนี้มาหลายวันแล้วคงอยากกินบ้าง” ดาราวรรณค้าน

“แต่มันไม่ดีระหว่างการรักษาครับ น้องทามต้องงดอาหารหลายครั้งเพราะเราคิดว่ามีเลือดออกในกระเพาะ ซึ่งจริงๆ เป็นสีน้ำอัดลม” นายแพทย์อธิบาย เขามองสบตามาคีที่นั่งทำงานในโต๊ะถัดไป

“แล้วทำไมพวกคุณไม่ดูดีๆ เอะอะก็ล้างท้อง เจาะเลือด แล้วเนี่ยกี่วันแล้ว ไม่หายสักที” นิรันดร์เริ่มโวยวายอย่างทุกวันที่มาหาลูก

“อะไรที่ปรากฏทางสายตามันดูยากครับ มันเลยต้องได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ การเจาะเลือดก็เป็นการยืนยัน ถ้าน้องทามมีอาการแบบนี้บ่อยๆ ทางเราก็ต้องเจาะดูค่าความเข้มข้นเลือด ยังไงช่วงนี้อย่าเพิ่งให้น้ำอัดลมนะครับ” นายแพทย์มองมาคีเหมือนร้องขอตัวช่วยแต่มาคีก็ก้มหน้าอยู่กับคอมพิวเตอร์

“แล้วเมื่อไหร่ลูกผมจะหายสักที พวกคุณรักษาไม่ถูกหรือเปล่าเลยไม่หาย” นิรันดร์ยังคาดโทษต่อ

“เราให้ยาตัวที่ดีที่สุด แพงที่สุดกับน้องทามอยู่ครับ อาการของน้องทามหนักมากตั้งแต่มาหาเราคงต้องใช้เวลา” นายแพทย์ยกมือขึ้นปัดผมที่ปรกหน้าผากแก้เก้อ บางเรื่องเขาก็จนใจจะอธิบายถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมรับ

“ขอให้น้องได้กินของชอบนิดหน่อยไม่ได้จริงๆ เหรอคะ” ดาราวรรณยังต่อรอง

“ไม่ได้จริงๆ ครับ ยิ่งคุณให้น้ำอัดลมทางปากถ้าน้องสำลักลงปอดก็จะยิ่งปอดอักเสบซ้ำซ้อน ไม่ดีเลย” ตอบคำถามนี้เสร็จนายแพทย์แทบอยากยกมือเกาศีรษะเพราะยุ่งยากใจมาก “คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกลัวน้องทามจะอยากกินอาหารอะไรนะครับ เพราะน้องยังซึมหลับไม่ได้สติ น้องยังรับรสไม่ได้” ไม่รู้ทั้งสองคนจะเข้าใจที่นายแพทย์พูดไหมแต่สีหน้าทั้งสองคนยังขุ่นเคืองเช่นเดิม

 

“ใครไปฟ้องหมอ เรื่องแค่นี้ต้องฟ้องหมอด้วยเหรอ” นิรันดร์ถามเสียงดังหลังจากนายแพทย์ศรัณกลับออกไปแล้ว

“ยังไงนะคะ มันไม่ใช่เรื่องฟ้องไม่ฟ้อง มันเป็นเรื่องที่คุณหมอต้องแจ้งญาติอยู่แล้วค่ะ” วรรณภาเดินมาคุยกับนิรันดร์

“แค่กินน้ำอัดลมนิดๆ หน่อยๆ มันจะอะไรนักหนา ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” ดาราวรรณเองก็เสียงดังไม่แพ้สามี “พวกคุณมีหน้าที่ให้การพยาบาลเช็ดเนื้อเช็ดตัวก็ทำไป ไม่ต้องมาจับผิด”

“ใจเย็นๆ นะคะ ไม่มีใครเจตนาจับผิดอะไรใคร เหมือนที่ฉันบอกมันเป็นการชี้แจงการรักษาให้คุณแม่กับคุณหมอเข้าใจร่วมกัน” วรรณภายังอธิบายต่ออย่างใจเย็น แต่มาคีที่นั่งลงข้อมูลอยู่แอบกลอกตาไปหนึ่งรอบแล้ว

“ไม่มีปัญญารักษาคนไข้ให้หายก็โทษคนอื่นไปเรื่อย พรุ่งนี้กูจะขอย้ายโรงพยาบาล” นิรันดร์ขึ้นมึงกู ซึ่งไม่รู้ว่าแค่อธิบายการรักษาของนายแพทย์ไปทำให้พ่อเด็กชายภูมิธรรมโกรธไปถึงไหน

“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ ทางเรารักษาน้องเต็มที่อยู่แล้ว เราทำตามหลักวิชาการทุกอย่าง ยังไงคืนนี้คุณพ่อคุณแม่กลับไปนอนพักให้หายเหนื่อยก่อน พรุ่งนี้เราค่อยคุยกันอีกที” วรรณภาบอก วันนี้หัวหน้าหอผู้ป่วยประชุมจนค่ำแล้วมานั่งสรุปรายงานทำให้เธออยู่ที่ทำงานจนล่วงเวลามาสองทุ่มทำให้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด

“ไม่ต้องมาพูดชักแม่น้ำทั้งห้า ไม่มีปัญญารักษาก็บอก ยังไงพรุ่งนี้กูจะย้ายโรงพยาบาล” นิรันดร์ชี้หน้าหัวหน้าหอผู้ป่วย มาคีลุกจากเก้าอี้ก็พอดีสองสามีภรรยาเดินกระแทกเท้าออกไปจากหอผู้ป่วย

“คนอะไรมารยาทแย่ที่สุด” มาคีปึงปัง “หัวหน้าทนได้ยังไงคะ ให้เขามาชี้หน้า” ตั้งแต่ทำงานพยาบาลมามีครั้งนี้ที่มาคีแทบอยากจะลุกไปต่อว่าญาติคนป่วย

“เอาน่า ช่างมันเถอะ เรื่องงี่เง่า” วรรณภายังไหล่

“แต่มันด่าพี่วรรณนะคะ” มาคีโมโหจนเสียงสั่น

“เอาน่า ช่างมันเถอะอย่าเอามาเป็นอารมณ์ เราต้องเจอผู้รับบริการแบบนี้อีกเยอะ” เพราะทำงานมาหลายปีทำให้วรรณภาปลดปลงกับสถานการณ์แบบนี้ได้เร็วกว่ามาคี

“โอ้โห แค่คนเดียวก็แย่แล้วค่ะ ถ้าหลายคนคีย์ลาออกดีกว่า มาทำงานไม่ได้มารองรับอารมณ์ใคร” มาคียังไม่หยุดปึงปัง

“นี่โมโหหิวหรือเปล่า ไปกินข้าวไป” วรรณภาบอก แน่นอนว่าเธอก็มีอารมณ์โกรธ โมโหเหมือนคนอื่น แต่เพราะเป็นผู้ใหญ่กว่าเวลาเกิดเหตุการณ์แบบนี้วรรณภาก็อยากรับมือเอง ไม่อยากให้น้องพยาบาลรุ่นใหม่ถอดใจ ในใจได้แค่หวังว่าเธอจะเป็นแบบอย่างให้น้องได้

“น้องทามรีบๆ กลับมานะลูก คุณพ่อเขาจะย้ายลูกไปรักษาที่อื่นแล้ว” มาคีจับมือเด็กน้อยที่นอนนิ่ง มือนั้นเยียบเย็นเช่นเดิม ถึงแม้จะบอกให้เด็กชายรีบกลับมาแต่มาคีรู้ดีว่าแรงปรารถนาภายในใจไม่รุนแรงเท่าคำพูด หลายครั้งแรงปรารถนาของมาคีจะส่งถึงดวงจิตสุดท้ายที่กำลังหลงทาง แต่ครั้งนี้ความรู้สึกนั้นอ่อนลงนัก มาคีรู้ดี

 

“คีย์ไม่เรียกน้องกลับไปด้วยเหรอ” เหมือนฝันถามในค่ำวันเกิดที่ไปทำบุญที่วัด

“บางทีน้องเขาอาจไม่อยากกลับนะคะ” ร่างเล็กที่วิ่งไล่ตามลูกสุนัขดูมีความสุข ร่างนั้นหันมามองมาคีชั่วครู่ รับรู้การมาของพยาบาลสาวที่ดูแลตัวเอง แต่ก็เลือกวิ่งตามลูกสุนัขไป

“แล้วเขาไม่คิดถึงพ่อแม่เขาเหรอ” น้ำเสียงเหมือนฝันไม่เห็นด้วย

“คีย์ว่าคงไม่” คนพูดน้ำเสียงแข็งขึ้น

“คีย์ ยังไงเขาก็ครอบครัวเดียวกัน ลองเรียกพาน้องกลับสิ” เหมือนฝันย้ำ แม้ในใจมาคีย์จะคิดถึงท่าทางก้าวร้าวของนิรันดร์และท่าทางคิดถึงแต่ตัวเองของดาราวรรณจนไม่มีความคิดอยากจะช่วยเหลือแต่เหมือนฝันขอร้อง น้องสาวก็ต้องยอมทำตาม

“ไปลูก เรากลับบ้านกันเถอะ” มาคีเรียกร่างเล็กนั้นน้ำเสียงอ่อนโยน ร่างนั้นเพียงหันมามอง “คุณพ่อคุณแม่รออยู่นะ” เพียงพูดว่าคุณพ่อคุณแม่ ร่างนั้นก็วิ่งตามร่างสี่ขาเล็กๆ นั้นไปทันที

“วิ่งหนีไปแล้ว” มาคีบอกพี่สาวเสียงเบา

“คีย์รู้ไหม คีย์เปลี่ยนไปนะ ดูหงุดหงิดง่าย” เหมือนฝันบอก “เมื่อก่อนคีย์ใจเย็นและอ่อนโยนกว่านี้” พี่สาวมองหน้าน้องสาว แววตาของเหมือนฝันอบอุ่นเหมือนวันแรกที่มาคีฟื้นมาเจอ

“ไม่มีอะไรนี่คะ” มาคีเองก็รู้สึกเหมือนที่เหมือนฝันบอก แต่ก็ไม่เห็นว่ามันผิดอะไร เธอแค่คิดว่าถ้าใครควรช่วยก็ช่วย ส่วนใครไม่คู่ควรให้ช่วยก็ต้องปล่อยวาง ต่างจากเหมือนฝันที่พยายามช่วยทุกคนจนตัวเองลำบาก

“พี่ให้กำลังใจนะคีย์ พี่รู้ว่าคีย์แบกความรับผิดชอบที่หนักมาก แต่อย่าให้ความหนักหนามาทำให้เราเป็นคนเย็นชา” เหมือนฝันบีบมือให้กำลังใจน้องสาว มาคีถอนหายใจมองร่างเล็กๆ ที่วิ่งไล่จับร่างสี่ขาอย่างสนุกสนาน

 

“ห้องแยกโรคว่าง…อย่าบอกนะว่าน้องทาม” เหมือนฝันที่มารับเวรบ่ายพร้อมกับมาคีมองไปที่หน้าจอแสดงเตียงคนไข้

“คุณพ่อเขามาขอย้ายโรงพยาบาลจ้ะ” วรรณภาบอก

“อย่าบอกว่าขอย้ายเลยพี่วรรณ มาหาเรื่องมากกว่า” นิตยาพูดแทรก

“แหม เรานี่ ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ” วรรณภาเบ้ปากใส่

“ก็จริงนี่พี่ พูดจาหาเรื่องขนาดนั้น แม่น้องก็ไม่เบานะพูดกระแนะกระแหนว่าเรารักษาไม่ถูกโรค อะไรก็ไม่รู้” นิตยาที่ท่าทางยังอารมณ์ค้างเล่าไม่หยุด เหมือนฝันหันมามองหน้ามาคี เมื่อคืนมาคีอยู่เวรบ่ายและคงรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว

“เล่ามายัยคีย์” เหมือนฝันคาดคั้นเมื่ออยู่กันสองคน

“น้องทามเขาไม่ยอมกลับมาแล้วค่ะ” มาคีบอก

“ทำไมเขาจะไม่กลับมา ยังไงเขาก็เด็ก คีย์อธิบายเหตุผลให้น้องเข้าใจหรือยัง” คนพูดถลึงตาใส่มาคีที่ทำท่าไม่สนใจ

“บอกแล้ว” มาคียานคางตอบ

“แล้วน้องเขาจะเป็นยังไงต่อ” คนถามสีหน้ากังวล

“พี่ฝันคะ จำคำหลวงตาที่พูดวันนั้นได้ไหมคะ สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม น้องทามจิตเขาติดอยู่กับฝูงลูกหมานั่น นั่นเพราะกรรมที่พ่อแม่น้องพรากลูกพรากแม่หมาเอาไปปล่อยจนพวกมันตาย ส่วนน้องทามที่ผูกจิตอยู่กับลูกหมาเขาโกรธพ่อแม่เขา จิตเขาก็ตามติดสิ่งที่เขารักไปจนกว่าจะหมดกรรม” มาคีพูดซ้ำ

“คีย์รู้ไหม คำตอบที่ออกจากปากคีย์มันไม่ใช่คีย์เมื่อก่อนเลย” เหมือนฝันมองมาคีอย่างไม่เข้าใจ

“คีย์ก็เป็นคนเดิมนี่แหละค่ะ” มาคีถอนหายใจ

“ถ้าเป็นคีย์เมื่อก่อน คีย์จะพยายามช่วยให้น้องทามกลับมาเต็มที่ แล้วนี่อีกนานเท่าไหร่น้องเขาจะได้กลับมา”

มาคีไม่ตอบคำถามเหมือนฝัน เพราะไม่อยากบอกว่าเด็กชายภูมิธรรมจะไม่กลับมาแล้ว ไม่ว่าร่างของเด็กชายจะเปลี่ยนไปรักษาอีกกี่โรงพยาบาล ในที่สุดเด็กชายก็จะจากพ่อกับแม่เขาไป ส่วนนิรันดร์กับดาราวรรณจะได้รับความทุกข์จากการที่ลูกชายนอนป่วยไร้สติไปอีกนานเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับการอโหสิกรรมของเจ้ากรรมนายเวรที่ไปพรากลูกพรากแม่เขา

มาคีมองเข้าไปที่ห้องความดันลบด้วยความรู้สึกว่างเปล่า เธอไม่รู้สึกถึงความรัก ความหวังใดๆ ในห้องนั้น มันเป็นแค่ห้องเปล่าโล่งรอรับผู้ป่วยรายใหม่ บางทีมาคีอาจค่อยๆ เปลี่ยนไปดังที่เหมือนฝันพูดก็ได้

 



Don`t copy text!