สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ

สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 11 : คำตอบ

โดย : แก้ว การะบุหนิง

Loading

สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4  มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”

“อาการของนายวิชิตเป็นยังไงบ้าง” ผู้ชายในชุดเสื้อแจ็กเก็ตติดป้ายแสดงชื่อตำรวจนั่งลงตรงหน้านายแพทย์ศรัณ

“ตอนนี้ก็คงตัว คงจะซึมหลับสักสามสี่วัน เราก็เฝ้าระวังเรื่องระบบทางเดินหายใจ ส่วนเรื่องที่กินยาแก้ปวดมากเกินไปเราก็ดูเรื่องตับไต คงเจาะเลือดดูค่าตับค่าไตทุกวันไปก่อน” นายแพทย์ศรัณแจ้งอาการนายตำรวจหนุ่มที่นั่งฟังพร้อมกับขมวดคิ้วสีหน้ากังวลใจ

“มันยังไงเนี่ยสารวัตร” พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรเป็นนายตำรวจในพื้นที่ มีเรื่องติดต่อราชการกับทางโรงพยาบาลเสมอทั้งเรื่องพาผู้ต้องหามาตรวจอาการต่างๆ หรือการติดต่อรูปคดี และครั้งนี้เมื่อผู้ต้องหากินยาฆ่าตัวตายหนีคดีก็เป็นคดีของเขาอีก

“คดีอะไรกัน” นายแพทย์ศรัณในฐานะแพทย์เจ้าของไข้และในอีกทางเป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนมัธยมกับสารวัตรเอื้ออังกูรกระซิบถาม จะว่ากระซิบก็ไม่เชิงนักเพราะห้องนั้นเป็นห้องทำงานพยาบาล มีพยาบาลเวรนั่งทำงานอยู่สามคน

“สงสัยฆ่าข่มขืนว่ะ” จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังเจ้าหน้าโรงพยาบาลเพราะอย่างไรเสียผู้ต้องหาก็ต้องรักษาตัวอยู่ที่นี่สักพัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องจะมาป่าวประกาศให้คนอื่นรู้

“เฮ้ย” นายแพทย์อุทาน เหมือนฝันที่นั่งพิมพ์อาการผู้ป่วยชะงักมือ

“อืม นั่นแหละ ตอนนี้ก็แค่ผู้ต้องสงสัย อย่าเพิ่งปรักปรำเขา” นายตำรวจบอก “ต้องผ่านการหาหลักฐานและฟ้องศาลอีกนานกว่าจะกลายเป็นผู้ต้องหา”

“แล้วไปทำอีท่าไหนวะ กินยาไปขนาดนั้น” นายแพทย์ถาม ถึงจะเป็นผู้ต้องสงสัยก็ต้องถูกควบคุมตัว ทำไมหายามากินง่ายดายนัก

“ก็มาจากของเยี่ยมนั่นแหละ ผู้ต้องหาบอกว่ามีโรคประจำตัวให้ญาติเอายามาให้ ทางเราก็ต้องให้เขากินยาโรคประจำตัว ใครจะไปคิดว่าจะเอามาฆ่าตัวตาย” สารวัตรเอื้ออังกูรส่ายศีรษะ

 

“สารวัตรครับ ผู้ต้องหาเรียกไม่ตื่นครับ” เสียงโทรศัพท์รายงานจากตำรวจเวรดังในตอนสองทุ่มครั้ง พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรเพิ่งอาบน้ำเสร็จหลังจากกลับจากรับคนไข้ที่ไปขึ้นศาลมาฝากขัง

“เอ้า ใครล่ะจ่า” ยังไม่ทันได้กินข้าวกินปลาก็งานเข้าต่อเนื่องอีก

“นายวิชิตครับ”

แค่ชื่อนายวิชิตก็ทำให้พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรรีบออกจากบ้านพัก นายวิชิตกำลังเป็นข่าวครึกโครมในทุกช่องข่าวจากคดีฆ่า ข่มขืนผู้หญิงวัยสิบเจ็ดปีที่เขาหลอกลวงมา ที่เป็นข่าวดังเพราะเหยื่อเป็นดาวติ๊กต่อกที่มีชื่อเรื่องความน่ารักและมีผู้ติดตามมากมาย การที่เหยื่อถูกฆาตกรรมกลางกรุงทำให้เหล่าแฟนคลับไม่พอใจอย่างมาก หัวข้อความไม่ปลอดภัยในการใช้ชีวิตกลางคืนในกรุงเทพมหานครถูกยกมาวิเคราะห์ ทั้งนักการเมืองท้องถิ่น และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถูกตั้งคำถามถึงนโยบายความปลอดภัยของเมืองหลวง และทางสถานีตำรวจท้องที่ถูกกดดันให้หาหลักฐานมาเอาผิดผู้ต้องสงสัยภายในสามวัน

“อย่าบอกนะว่านี่คือนายคนดังที่ออกข่าวในทีวีน่ะ” แม้จะไม่มีเวลาติดตามข่าว แต่เรื่องนี้ค่อนข้างสร้างผลกระทบหลายแวดวงแม้แต่นายแพทย์ศรัณผู้ไม่มีเวลายังรู้เรื่องและติดตามข่าวเพราะเกิดในพื้นที่

“คนนั้นแหละ” แม้จะไม่อยากพูดแต่สารวัตรหนุ่มก็ตอบคำถาม

“นี่คงไม่หนีออกจากโรงพยาบาลให้กูเขียนรายงานหรอกนะ” นายแพทย์หนุ่มบ่น

“เดี๋ยวให้ตำรวจเข้าเวรเฝ้าผลัดละสองนาย คงหนีไม่ได้หรอก” นายตำรวจหนุ่มบอก “กินข้าวยังวะ”

“กินแล้ว อย่าบอกว่ามึงยังไม่ได้กิน” นายแพทย์ศรัณถามเพื่อน

“ยัง เพิ่งไปรับผู้ต้องหามาฝากขัง เข้าบ้านอาบน้ำก็มาต่อนายวิชิตกินยานี่แหละ” พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรบอก

“แล้วจะออกไปกินไหมล่ะ ข้างโรงบาลมีร้านอาหารตามสั่ง” นายแพทย์ศรัณชวน

“ไม่ละ สั่งมากินกับลูกน้องดีกว่า สักเที่ยงคืนก็จะกลับแล้ว มึงมีเบอร์ร้านป่าววะ ให้เขามาส่งได้ไหม”นายตำรวจถาม สายตาจับจ้องไปที่เตียงหน้าห้องพยาบาลที่ตอนนี้ล้อมผ้าไว้รอบด้าน ยกเว้นด้านที่มองจากห้องพยาบาลเพื่อให้เจ้าหน้าที่เห็นคนป่วยชัด

“ไม่มีว่ะ คุณฝันมีเบอร์ร้านข้าวข้างล่างไหมครับ” นายแพทย์ศรัณถามพยาบาลที่นั่งพิมพ์อาการคนไข้อยู่ไม่ไกล

“แป๊บนะคะ” เหมือนฝันตอบ ก่อนจะกดโทรศัพท์มือถือเครื่องที่ใช้ในตึกหาเบอร์โทรศัพท์ร้าน “นี่ค่ะ อ้าว…” เธอเดินมายื่นโทรศัพท์ให้นายแพทย์ศรัณก่อนจะมองหน้าสารวัตร “ผู้กอง…เอ่อ…”

“สารวัตรครับ สารวัตรเอื้อ” นายตำรวจหนุ่มพูดยิ้มๆ “ครั้งก่อนเจอกันผมก็แจ้งแล้วนะ” คนพูดบอกไม่จริงจังมากน้ำเสียงยั่วมากกว่า

“ค่ะ” เหมือนฝันส่งโทรศัพท์ให้นายแพทย์ศรัณแล้วทำท่าจะเดินกลับไปทำงาน

“นี่รู้จักกันเหรอ” นายแพทย์ศรัณพูดน้ำเสียงแปลกใจ

“ไม่ค่ะ” เหมือนฝันปฏิเสธเพราะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวจริงๆ

“รู้” พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรตอบพร้อมกับพยาบาลสาว

“อ้าว คนนึงรู้จักแต่อีกคนไม่อยากรู้จัก ว่างั้น” นายแพทย์ศรัณหัวเราะแต่ก็ต้องรีบเงียบเสียงเมื่อ      เหมือนฝันส่งสายตาถมึงทึงมาให้

“คุณหมอใช้โทรศัพท์เสร็จแล้วก็วางไว้ตรงนั้นได้เลยค่ะ” คนพูดสะบัดหน้าเดินหนีไป

“เอ้า ” ศรัณทำจมูกย่นเก้อๆ ใส่เพื่อน

“น่าจะเคืองคดีเก่า” นายตำรวจกระซิบก่อนจะหัวเราะ “ช่างเหอะๆ ไว้ค่อยเล่า สั่งข้าวเร็ว หิวจะตายแล้ว” คนพูดเร่งเร้าเพื่อน

“นี่ก็นึกว่าเป็นตำรวจจะสบาย ที่ไหนได้ไม่ต่างจากกูเลย ข้าวปลาไม่มีเวลากิน” นายแพทย์ศรัณหัวเราะ ชีวิตการทำงานของเขาไม่ค่อยได้ออกไปพบปะเพื่อนฝูงเพราะต้องอยู่เวรเกือบทุกวัน การได้เจอเพื่อนแม้ในสถานการณ์ไม่ปกติก็ช่วยให้ผ่อนคลายลงไปบ้าง

“มันมีอาชีพไหนสบายวะ ขนาดโจรยังลำบาก” แม้จะเป็นมุกตลกฝืดแต่เพื่อนสองคนก็หัวเราะขำให้กันอย่างสนุก ปล่อยให้เหมือนฝันมองตาคว่ำอย่างรำคาญ

 

“พี่ฝัน” มาคีวิ่งเข้ามาในห้องทำงานพยาบาลหน้าตาตื่น นาฬิกาที่ผนังบอกเวลาอีกสิบห้านาทีจะเที่ยงคืน

“อะไรคีย์ หน้าตาตื่นมากลางดึก” เหมือนฝันถาม มองผ่านไปด้านหลังมาคีก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ มาคีมาขึ้นเวรดึก ส่วนเหมือนฝันเป็นเวรควบบ่ายดึก เธอทำงานส่วนใหญ่เกือบเสร็จจึงนั่งพักรอเวลาคู่เวรส่งเวรให้มาคี

“เป็นอะไรยัยคีย์ กลางค่ำกลางคืนวิ่งมาทำไม” นิตยาถาม

“วอร์ดทำอะไรกัน ทำไมไม่ปิดไฟคะ” แทนคำตอบที่สองสาวถามมาก่อนมาคีตั้งคำถามกลับ ถ้ามารูปแบบนี้มาคีต้องเจอบางสิ่งที่เล่าให้ใครฟังไม่ได้นอกจากเหมือนฝันมาแน่ๆ

“มีคนไข้คดีน่ะ” นิตยาบอก

“หืม” มาคีขมวดคิ้วอย่างสนใจ

“กินยาฆ่าตัวตายมา” พยาบาลเจ้าของไข้รายงานต่อโดยไม่ต้องถาม “แต่ไม่ต้องห่วง มีตำรวจเฝ้าสองนายตลอดเวลา เสียดายสารวัตรเอื้อเพิ่งกลับเมื่อกี้ ล้อ หล่อ อยากให้มาทุกวันเลย” คนพูดทำหน้าเคลิ้มฝัน

“สารวัตรเอื้ออังกูรน่ะเหรอคะ” มาคีเลิกคิ้ว

“ใช่แล้ว สารวัตรคนหล่อ คนดี คนเดิม” คนพูดยิ้มหวานจนมาคีหัวเราะพรืด

“ส่งเวรๆ แหม เคลิ้มเชียวนะพี่” คนมารับเวรหัวเราะ นึกถึงภาพจำใบหน้าเครียดๆ ของสารวัตร เจอกันเมื่อไหร่ก็หนีไม่พ้นต้องมีเรื่องสักคดี “คนนี้ก็เคลิ้ม คนนั้นก็หน้างอ” มาคีส่ายศีรษะเมื่อเห็นหน้าเหมือนฝันคู่ปรับเก่าของสารวัตรเอื้ออังกูร “มันยังไงกัน”

 

“ไหน เจออะไร วิ่งหน้าตื่นมาดึกดื่น” เหมือนฝันถามตอนที่อยู่ในห้องทำงานกันสองคน ผู้ช่วยเหลือคนไข้และผู้ช่วยพยาบาลออกไปวัดไข้รอบตีสอง

“เปล่า” มาคีหันมาตอบสั้นๆ แต่อีกฝ่ายกอดอกจ้องเขม็งแสดงสัญลักษณ์ว่าถ้าไม่ได้คำตอบเธอก็จะคาดคั้นไม่เลิก

“ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” มาคีบอกปัดไม่อยากต่อความยาวให้เหมือนฝันกลัว

“เจอนายวิชิตหื่นกามนั่นหรือไง เป็นวิญญาณหื่นกามอยู่ไหนละ” มาคีเหลือบตามองพี่สาวแทบสำลักขำออกมาทั้งๆที่ ไม่ใช่เรื่องน่าขำสักนิด

“พี่ฝัน” น้องสาวยานคางเรียกชื่อ “นี่คือโมโหนายวิชิต หรือรำคาญสารวัตรเอื้อ”

“เจอนายวิชิตหรือไง นายคนนี้น่ากลัวนะ” เหมือนฝันตั้งคำถามเดิมสีหน้าจริงจัง มองผ่านกระจกออกไปเห็นตำรวจสองนายนั่งเฝ้าข้างเตียงขนาบซ้ายขวาก็อุ่นใจขึ้นมาหน่อย

“ถ้าบอกว่าไม่ใช่ล่ะ” มาคีหันมาสบตาพี่สาว

“แล้วเจออะไร” เหมือนฝันคาดคั้น จะมีอะไรน่ากลัวไปกว่าวิญญาณของฆาตกรเพ่นพ่านไปมาล่ะ

“พี่ฝัน ไม่ต้องกลัวหรอก วิญญาณก็แค่ดวงจิตล่องลอยไปมา ทำร้ายเราเหมือนตอนเป็นคนไม่ได้หรอก” มาคีบอกเมื่อเห็นพี่สาวหน้าถอดสี

“แต่วิญญาณนั่นคือฆาตกรฆ่าข่มขืนนะ” คำตอบของมาคีไม่ได้ทำให้เหมือนฝันสบายใจ

“ไปฟีดชาโคว์ดีกว่า” มาคีลุกจากเก้าอี้เพราะไม่อยากต่อความยาวกับเหมือนฝัน (Charcoal คือผงถ่าน ในทางการแพทย์กรณีคนป่วยรับประทานยาบางกลุ่มเกินขนาดจะให้ Charcoal เพื่อดูดซับสารพิษ)

“นี่ จะไม่เล่าจริงๆ เหรอ มันยังไงอะคีย์”  เหมือนฝันรู้สึกเสียดายที่ไม่รู้เรื่องที่มาคีจะเล่า นั่นเพราะนิตยาอยู่ตรงนั้นแท้ๆ เธอเลยพลาดฟังเรื่องที่มาคีตั้งท่าจะเล่าตอนวิ่งเข้ามา มาคีบอกไม่ใช่วิญญาณนายวิชิตที่ทำให้มาคีวิ่งหน้าตื่นมา แล้วมาคีเจออะไรกันแน่

 

มาคีออกมาเปลี่ยนยาให้คนไข้ในเวลาตีสอง อากาศที่ห้องรวมหอผู้ป่วยอายุรกรรมค่อนข้างเย็น ไฟส่องสว่างถูกลดลงเหลือเพียงไฟสลัวส่องทางเดินเหตุผลเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนในเวลากลางคืน มาคีมองเข้าไปที่เตียงหนึ่ง ผ้าม่านถูกดึงปิดสายตาคนไข้เตียงอื่นแต่มาคีรู้ดีว่าภายในผ้าม่านไม่ได้มีเพียงคนไข้ลำพังแต่มีตำรวจสองนายเฝ้าอยู่

“อุ๊ย” เข็มฉีดยาในมือที่กำลังจะจรดฉีดให้คนไข้ที่นอนพักอยู่หลุดมือ มาคีถอนหายใจ หลายครั้งแล้วที่มักมีเหตุการณ์แบบนี้เมื่อต้องมาให้การพยาบาลคนไข้เตียงหนึ่ง

 

‘ผู้หญิงที่โดนฆาตกรรมเขามาตามนายวิชิตบ้างไหม’ เหมือนฝันเคยถามมาคี

ถ้าเป็นวิญญาณแค้นผู้หญิงสักคนมาตามติดร่างของนายวิชิตมาคีเข้าใจได้ แต่สิ่งที่มาติดตามอยู่ข้างเตียงกลับไม่ใช่  มาคีหยิบหลอดฉีดยาขึ้นมา เตรียมจะกลับไปผสมใหม่

“อุ๊ย” คราวนี้แทนที่จะทำยาตกหล่นเหมือนทุกครั้งกลายเป็นมาคีเองที่สะดุดหกล้ม เธอมองไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งก็เห็นคลุมผ้าม่านเหมือนทุกครั้ง คนที่หกล้มดันตัวลุกขึ้นเองพยายามไม่มองไปที่ต้นเหตุทำให้ล้ม

“ไม่ต้องมาช่วยมัน” น้ำเสียงดุออกคำสั่ง “ปล่อยมันนอนอยู่แบบนั้นแหละ”

มาคีลุกเดินเข้าไปในห้องพยาบาล พยายามไม่เหลือบมองไปที่เตียงหมายเลขหนึ่งแต่หางตาก็เหลือบไปเห็นที่เตียงหนึ่งมีชายร่างกำยำยืนเฝ้าอยู่ไม่ห่างจากนายตำรวจอีกสองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียง ชายร่างทะมึนนั่นเป็นใครและต้องการอะไร เหมือนกับจะสัมผัสได้ว่ามาคีมองอยู่ ชายคนนั้นหันมามองมาคีใบหน้าถมึงทึงแม้ในเงามืด

 

“คีย์ เป็นอะไร หน้าซีดเชียว” เหมือนฝันทักตอนที่มาคีเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าซีดเหมือนไร้เลือดฝาด ท่าทางหมดแรง “ขึ้นเวรเยอะไปหรือเปล่าเนี่ย”

“ไม่มีอะไรค่ะ น่าจะเพลียนิดหน่อย” มาคีเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นอะไร รู้สึกหมดแรงคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาเฉยๆ

“ตั้งแต่นายวิชิตมานอนที่นี่ คีย์ทำท่าจะเป็นลมบ่อยนะ”

“ไม่น่าจะมีอะไรนะคะ เดี๋ยวคีย์เตรียมยาใหม่” มาคีเดินไปเตรียมยา อาการอึดอัดหายใจไม่ออกกะทันหันทำให้มาคีหมดแรง แขนขาราวกับจะยกไม่ขึ้นเสียเฉย กลิ่นคาวคลุ้งตามมาชวนคลื่นเหียนอาเจียน

 

แสงไฟระยิบระยับย่านทองหล่อยามค่ำเต็มไปด้วยร้านอาหาร ร้านนั่งเล่น และสถานบันเทิงมากมาย เด็กสาวร่างผอมบางในชุดกางเกงขาสั้นเดินเข้าไปในร้านนั่งเล่นที่เป็นแหล่งรวมวัยรุ่น ดนตรีร่วมสมัยบรรเลงเคล้าเครื่องดื่มที่ถูกนำมาเสิร์ฟทั้งน้ำอัดลม โซดา หรือแม้กระทั่งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์

“คีย์ ดื่มน้ำอะไรดี” คนถามเป็นผู้หญิงผมยาว แต่งหน้าจัด ริมฝีปากสีแดงยิ้มเยื้อนให้กับทุกคน

“ขอเป็นพันช์ค่ะ” เสียงนั้นเป็นเสียงมาคีแต่ไม่ได้ออกจากปากของมาคีจริงๆ มันเหมือนเป็นคำพูดของคนอื่น ผู้หญิงผมยาวหันไปพูดกับพนักงานเสิร์ฟ หลังจากรับคำสั่งแล้วพนักงานก็หายไปพักใหญ่และกลับออกมาพร้อมน้ำสีหวานเย็นจับใจ

“อุ๊ย นี่ผสมเหล้าเหรอคะ” เสียงของมาคีถามมาจากที่ไหนสักที่

“นิดหน่อยเอง” ผู้หญิงผมยาวบอก “น่า ไม่ต้องกลัว ถ้าเมาเดี๋ยวพี่เอ๋ไปส่งบ้าน” หลังการสนทนามาคีรู้แล้วว่าคู่สนทนาชื่อ ‘เอ๋’

“ขอแบบไม่ผสมเหล้าดีกว่าพี่เอ๋ คีย์บอกที่บ้านว่ามาติว ถ้ามีกลิ่นเหล้าเข้าบ้านไปพ่อจับได้แน่” เสียงพูดของมาคีดังมาจากที่ไกลจนน่าแปลกใจ

“อะ งั้นก็กินแก้วนี้ก่อนละกัน เสียดาย” ไม่พูดเปล่าอีกฝ่ายยื่นแก้วพันช์สีส้มหวานให้มาคี มาคีทำท่าลังเลแต่ก็ทนการคะยั้นคะยอของอีกฝ่ายไม่ได้เลยต้องยกแก้วสีสวยขึ้นดื่ม…

 

“อะไรกันนี่”  ‘มาคี’ ที่เพิ่งฟื้นมาเห็นตัวเองเห็นภาพตรงหน้าแล้วทั้งสับสนทั้งแปลกใจ มาคีคนนั้นดูเด็กมากที่จะมาเที่ยวสถานที่แบบนี้ และยิ่งตกใจมากขึ้นไปใหญ่เมื่อเด็กสาวตรงหน้าดื่มพันช์แก้วที่สอง

“อะไรกัน ไม่ได้นะ” ไม่ว่าจะห้ามปรามอย่างไร มาคีในร่างเด็กสาวก็ไม่สนใจ

“ใจเย็นๆ รออีกแป๊บ น้องเขากำลังสนุก” ผู้หญิงผมยาวเดินมาหาชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำ มาคีรู้สึกคุ้นตาผู้ชายคนนั้น ทั้งคุ้นตาทั้งกลัวผสมกัน

ชายวัยกลางคนยื่นเงินให้ผู้หญิงแต่งหน้าจัดแต่สายตาจับจ้องที่เด็กสาวมาคี ผู้หญิงคนนั้นเอาเงินไปนับอย่างพอใจ

“แปดพัน” เธอพึมพำ “อย่าให้มีเรื่องมาถึงฉันนะ” หลังเก็บเงินไว้ในกระเป๋าเรียบร้อยผู้หญิงคนเดิมหันมาบอกผู้ชายที่ยืนจ้องมาคีไม่วางตา

“อะไรกัน ค้ามนุษย์เหรอ” มาคีโวยวายแต่ไม่มีใครได้ยิน “ไอ้ผู้ชายหื่นกาม ฉันจะแจ้งความ” ไม่ว่าจะโวยวายเท่าไรก็เหมือนอากาศธาตุสำหรับคนอื่น “ทำยังไงดี ทำยังไง”

“คีย์ กลับบ้าน” ชายสูงวัยเดินเข้าประชิดเด็กสาวพร้อมกับดึงแขนให้ลุก ก่อนที่เขาจะเข้ามาถึงตัวไม่มีใครทันสังเกตเห็น

“อะไรกันคุณ มาฉุดลากผู้หญิงได้ยังไง” ผู้หญิงผมยาวเดินเข้าไปขวาง

“นี่ลูกสาวผม” คนพูดแสดงตัว

“พ่อ นั่นพ่อเหรอคะ” มาคีคนที่ไม่มีใครเห็นร้องเรียกพ่อ พยายามเอื้อมมือไปคว้าพ่อด้วยความคิดถึงแต่เปล่าประโยชน์เพราะมันเหมือนคว้าอากาศ

“พ่อ พ่อจ๋า คีย์อยู่นี่” มาคีร้องไห้จนตัวโยน นี่มันเรื่องอะไรกัน เธออยู่ที่ไหน ภาพตรงนี้เป็นเรื่องจริงหรือฝัน หรือเธอเป็นบ้าไปแล้ว

“ไป กลับบ้าน” พ่อลากมาคีย์ที่เดินตามอย่างมึนงงเพราะฤทธิ์น้ำพันช์

“ไม่ได้นะ จะมาลากน้องคีย์ไปตอนนี้ได้ยังไง เป็นพ่อจริงๆ หรือแอบอ้าง” ผู้ชายที่ยื่นเงินให้ผู้หญิงผมยาวโวยวายพร้อมกับเอาตัวเข้าขวาง

“แล้วนายเป็นใคร” คนเป็นพ่อของมาคีถามเสียงดุ

“ไม่ได้เป็นอะไร แต่ผมไม่เชื่อว่าคุณเป็นพ่อน้อง พ่ออะไรปล่อยลูกมาเที่ยวดึกๆ” อีกฝ่ายหาข้ออ้าง

“งั้นไปแสดงตัวกันที่โรงพักละกันว่าผมใช่หรือไม่ใช่พ่อมาคี คุณ…”  พูดพร้อมกับชี้หน้าผู้หญิงผมยาว “ผมจะแจ้งความร้านคุณที่ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีเข้า” คนพูดหมายมาดพร้อมทั้งดึงมาคีให้เดินตาม

“ฉันไม่รู้นะคะ อายุอะไร น้องเขาบอกว่ายี่สิบแล้ว ฉันไม่เกี่ยว” คนพูดตอบอย่างร้อนรน “มันโผล่มาได้ไงวะ” ประโยคท้ายหันไปพูดกับชายร่างกำยำที่ยืนกำหมัดแน่น

“บอกแล้ว อย่าให้ฉันเดือดร้อน ฉันเตือนแล้วว่ามันเป็นเด็กก็จะเอาให้ได้” คนพูดเข่นเขี้ยวใส่

“พูดมากน่า” อีกฝ่ายตอบกลับอย่างรำคาญ

“ตามไปจัดการซะ อย่าให้ฉันให้ร้านเดือดร้อน” อีกฝ่ายถลึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง ชายร่างกำยำถอนหายใจใส่ก่อนจะเดินตามสองพ่อลูกไป

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” มาคีที่ยืนมองเหตุการณ์ชุลมุนตรงหน้าหันไปรอบตัวเพื่อหาคำตอบ เผื่อจะมีสักคนที่มองเห็นเธอและตอบได้ว่าสิ่งที่เกิดตรงหน้าคืออะไร ความสับสนหมุนเหวี่ยงไปมาจนมาคีรู้สึกคลื่นไส้และปวดหัวอย่างรุนแรง

 

“โอ๊ย” มีความรู้สึกเหมือนโดนตีหัวก่อนที่จะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ภาพตรงหน้ามาคีนั่งมาในรถยนต์กับพ่อ พ่อไม่พูดอะไรแต่ขบกรามแน่น ส่วนมาคีที่ดูเด็กกว่านั่งคอพับมาในรถยนต์ ภาพตรงหน้าค่อยๆชัดขึ้นในสมองของมาคี…มันคือภาพคืนเกิดเหตุก่อนที่เธอจะสูญเสียพ่อไปตลอดกาล

“พ่อคะ” มาคีเอื้อมมือไปจับไหล่พ่อ ชายวัยกลางคนเหมือนจะสัมผัสได้เขาหันมามอง มาคีน้ำตาคลอ พ่อยังเป็นพ่อที่มาคีจำได้เสมอ พ่อดูมีชีวิตเหลือเกิน

ตึง! เสียงดังท้ายรถพร้อมกับอาการเสียหลัก พ่อสบถก่อนจะประคองรถอย่างระวัง

“อะไรวะ” พ่อมองผ่านกระจกที่มีแสงไฟหน้ารถคันหลังสว่างจ้า “นี่มันกะขับรถชนกลางเมืองเลยเหรอ”  ยังไม่ทันจะตั้งตัวรถยนต์ก็เซถลาอีก

“คีย์ ลูก คีย์รัดเข็มขัดดีๆ” พ่อเอื้อมมือไปดึงเข็มขัดรัดลูกสาวกับที่นั่ง

ตึง! เสียงดังสนั่นพร้อมกับรถยนต์ที่เซถลาไปข้างหน้า ครั้งนี้พ่อควบคุมรถไม่ได้เสียแล้ว

“พ่อ พ่อจ๋า พ่อ” ภาพตรงหน้าหมุนวนอีกรอบ มาคีรู้สึกคลื่นไส้…นึกออกแล้ว นึกออกแล้วว่าทำไมผู้ชายคนนั้นหน้าคุ้นเหลือเกิน

“พ่อ พ่อ อย่าไปนะคะ คีย์เอง คีย์ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด พ่อขา คีย์ขอโทษ พ่อ” มาคีตะโกนเสียงดัง

 

“คีย์ คีย์ เป็นยังไงบ้าง คีย์”  เสียงที่คุ้นเคยปลุกให้มาคีที่ล่องลอยไปมากลับมาอยู่กับปัจจุบัน “คีย์ เป็นไงบ้าง”

“พี่ฝัน คีย์เป็นอะไรคะ” มาคีย์ถาม ยังมีอาการคลื่นไส้อยู่ “พ่อ คีย์เจอพ่อ”

“คีย์เป็นลม ที่พี่ทักคีย์ว่าหน้าซีดไง แล้วคีย์ก็เป็นลมไปเลย” เหมือนฝันขมวดคิ้ว มองหน้ามาคีที่ตอนนี้ซีดเซียวและผอมไปมาก “เกิดอะไรขึ้น จะเล่าไหม” เหมือนฝันมองหน้าน้องสาวและตั้งคำถามเพราะมองเห็นความผิดปกติในสายตา

“คงนอนน้อยค่ะพี่ฝัน” มาคีตอบ

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เสียงร้องเตือนจากเครื่องติดตามสัญญาณชีพดังขึ้น

“น้องฝัน คนไข้เตียงสองออกซิเจนในเลือดลดลง” สุรีย์บอกหลังจากออกไปดูต้นเหตุของเครื่อง “ท่าทางคนไข้จะหายใจไม่ไหว”

“คีย์ไม่ต้องมาช่วยพี่นะ ไปนอนพักตรงโน้นเดี๋ยวพี่ไปดูคนไข้ก่อน” เหมือนฝันออกคำสั่ง “ห้ามลุกไป เพราะถ้าเราไปเป็นลมอีกจะยิ่งสร้างงานให้พี่” คนพูดหันมาสำทับ

มาคีลุกไปนั่งที่ห้องทำงานพยาบาล มือเท้าชาแทบขยับไม่ได้ ความวุ่นวายตรงหน้าเหมือนภาพฝันลอยๆ ที่ห้องพักผู้ป่วยกำลังวุ่นวาย แพทย์และพยาบาลยืนล้อมเตียงหมายเลขสองเตรียมการใส่ท่อช่วยหายใจ

มาคีนั่งมองความวุ่นวายตรงหน้า ก่อนจะมองเลยไปที่เตียงหมายเลขหนึ่ง ตำรวจสองนายยังนั่งขนาบซ้ายขวา ส่วนตัวคนป่วยยังซึมหลับตลอดเพราะฤทธิ์จากยานอนหลับที่เจ้าตัวกินเข้าไปหลายเม็ด

 

“มันคือคนนั้นไง คนที่ทำให้พ่อเธอตาย” เสียงแหบแห้งของผู้ชายทำให้มาคีตกใจ รู้สึกเหมือนจะเป็นลมซ้ำอีกครั้ง

“พรุ่งนี้โอกาสดี ไปจัดการมันเสียสิ แก้แค้นให้พ่อ” เสียงนั้นออกคำสั่ง มาคีนั่งนิ่งเงียบไม่ต้องการให้ชายร่างกำยำรับรู้ว่าเธอมองเห็นเขา

“ฉันรู้ว่าเธอรู้ว่าฉันอยู่ตรงนี้มาคี ไม่อยากแก้แค้นเหรอ ลืมไปแล้วเหรอว่ามันเป็นต้นเหตุให้พ่อเธอตาย” เสียงนั้นยังก่อกวนในหัว มาคีเหลือบตามองเตียงหมายเลขหนึ่ง ชายคนนั้นก็ไม่ได้จะอาการดีอะไร เขานอนครึ่งเป็นครึ่งตาย แทบไม่รับรู้อะไรแล้วด้วยซ้ำ

“ถ้ามันตายจะช่วยผู้หญิงได้หลายคนเลยนะ มันเป็นฆาตกรโรคจิต ฆ่า ข่มขืน เธอจะปล่อยมันลอยนวลจริงๆ เหรอ” เสียงนั้นยังตามโน้มน้าว

“กว่าที่เธอจะจำเรื่องทั้งหมดได้ ระหว่างนั้นมันก่อคดีกับผู้หญิงไปอีกเท่าไหร่ คดีล่าสุดถึงกับฆ่าเลยนะ มันเกินเยียวยาแล้ว” มาคีไม่โต้ตอบแม้จะเห็นด้วยในสิ่งที่ร่างนั้นพูด แต่เธอยังคงนิ่งราวกับไม่รู้ ไม่ได้ยินสิ่งที่ร่างนั้นกำลังบอก “เธอช่วยได้นะ ช่วยคนอื่นได้”

 

“อาการวิชิตเป็นไงมั่งหมอเดี่ยว” พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรเข้ามาสอบถามอาการในช่วงเย็นของวันถัดมา “อ้าว น้องคีย์ อยู่เวรเหรอครับ” สายตานายตำรวจหันไปเห็นมาคีเลยยิ้มทัก

“สวัสดีค่ะสารวัตรเอื้อ” มาคียกมือไหว้

“บอกให้เรียกพี่เอื้อ สารวัตรอะไร” คนพูดหัวเราะ เขาเคยบอกให้มาคีเรียกแบบนั้นตั้งแต่รู้จักกันเมื่อคราวคดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ  “ว่าไง กูจะได้เขียนรายงาน”

“ค่าตับเพิ่มขึ้นทุกวันเลยว่ะ ไตก็แย่ นี่กูพยายามให้ยารักษาตับอยู่แต่ไม่ดีขึ้นเลย” นายแพทย์หนุ่มบอก “แล้วคดีของมึงล่ะ สรุปว่าเป็นนายวิชิตจริงๆ เหรอ”

“ใช่สิ ตอนนี้ก็ตามรอยได้สี่คดีที่มีหลักฐาน เมื่อก่อนมันก็เริ่มจากล่อลวงผู้หญิง ถ่ายคลิป ช่วงหลังมันน่าจะเล่นยาเลยพลั้งมือฆ่าเหยื่อ สี่คดีล่าสุดผู้หญิงไม่รอดเลย” พันตำรวจตรีเอื้ออังกูรถอนหายใจ

“โห รู้แบบนี้ไม่อยากรักษาเลย” นายแพทย์หนุ่มกระซิบ

“รักษาให้มันหาย จะได้ขึ้นศาลไปรับโทษ” นายตำรวจบอก

“กูก็พยายามอยู่เพื่อน” คนพูดยืนยัน

“เลวร้ายที่สุด” เหมือนฝันพึมพำ ห้องทำงานพยาบาลไม่กว้างมากเธอเลยได้ยินเรื่องที่ทั้งสองคนคุยกัน

“เราควรแช่งให้มันตายไหมคะ” มาคีกระซิบ เหมือนฝันทำหน้าตกใจ

“คิดอะไรแบบนั้นคีย์ เรื่องเป็นเรื่องตายของคนอื่น อย่าเอามาพูดแบบนั้น” เหมือนฝันทำหน้าเครียดใส่

“แต่คนนั้นคือฆาตกรที่ก่อคดีรุนแรงระคะ” มาคีย้ำ

“แต่เราจะมาแช่งชักคนอื่นไม่ได้นะคะ เคยได้ยินไหมคำแช่งมันจะย้อนกลับตัวเอง” เหมือนฝันทำหน้าจริงจัง “คราวหลังห้ามคิดแบบนี้”

“แล้วถ้ามันฆ่าคนที่เรารักล่ะคะ เราจะทำยังไง” มาคีตั้งคำถามใหม่ เหมือนฝันหันมามองหน้าน้องสาวพร้อมกับถอนหายใจ

 

เวลายี่สิบสามนาฬิกาที่เตียงหมายเลขหนึ่ง ตำรวจสองนายหายไปจากเตียง มาคีเข็นรถฉีดยามาที่เตียงพร้อมกับมองหานายตำรวจทั้งสองคนก่อนจะลงมือฉีดยา หอผู้ป่วยเงียบสงบ คนไข้และญาติคนไข้ต่างนอนพัก มาคีมองชายฉกรรจ์ที่นอนซึมหมดสติมาหลายวัน

“ทางสะดวกแล้ว ตำรวจไม่อยู่” โดยไม่ต้องคิดหรือวางแผนอะไร เสียงออกคำสั่งของชายในเงาทะมึนดังแทรกมาอีกครั้ง

“จัดการมันเลย” น้ำเสียงนั้นมีอำนาจ “ถ้าไม่มีมันพ่อเธอคงไม่ตาย แม่คงไม่ต้องทำงานหนัก เพราะมันครอบครัวเธอเลยต้องแยกกันอยู่ พ่อตายอย่างทรมาน” ครั้งนี้เหมือนมาคีแพ้ใจตัวเองเช่นกัน เธอคิดถึงวันเกิดเหตุ คิดถึงหน้าพ่อ ความน่ารังเกียจของชายที่นอนหมดสติ

มาคีหยิบเข็มฉีดยาขึ้นมา ความรู้สึกรถยนต์หมุนวนลงข้างทางและเธอหมดสติกลับมาอีกครั้ง หลังจากฟื้นจากอาการบาดเจ็บพ่อก็เสียชีวิต มาคีไม่มีโอกาสเห็นหน้าพ่อและบอกลาครั้งสุดท้าย ถ้าไม่มีมัน…

“คีย์ ทำอะไร” เสียงที่คุ้นเคยทัก ในหอผู้ป่วยเวลายี่สิบสามนาฬิกามีเพียงไฟส่องทางเดินที่เปิดไว้ให้พอมองเห็นเท่านั้น มาคีกำเข็มฉีดยาแน่น

“คีย์ เข้าไปพักในห้องทำงานกันเถอะ” เหมือนฝันบอกก่อนจะเดินเข้ามาจับมือมาคี “อย่าทำแบบนี้” ที่ห้องทำงานพยาบาลเหมือนฝันเห็นมาคีเดินวนรอบเตียงหมายเลขหนึ่งครู่ใหญ่ก่อนจะหยิบเข็มฉีดยาออกมา

“พี่ฝัน” มาคีมองหน้า “ถ้าเป็นพี่จะทำยังไง ถ้า…” คนพูดมองไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งบนเตียง

“พี่ไม่รู้ว่าพี่จะทำยังไงหรอกคีย์ พี่รู้แค่ตอนนี้เราอยู่ในหน้าที่พยาบาลคนป่วย ทำหน้าที่พยาบาล” เหมือนฝันย้ำ

“แต่มันคือ…” มาคีพึมพำ

“คีย์จะไม่ปล่อยให้ความคิดด้านร้ายต่างๆ มาสั่งให้คีย์ทำอะไรที่ไม่ดีใช่ไหม” ถึงแม้ครั้งนี้มาคีแทบจะไม่เล่าอะไรให้เหมือนฝันฟังเลย แต่จากท่าทางที่ผ่านมาสองสามวันเหมือนฝันก็สรุปเรื่องทั้งหมดได้ ถ้าเป็นเหมือนฝัน…คนที่ทำลายชีวิตเรามานอนอยู่ตรงหน้าจะทำอย่างไร

“ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด” เครื่องติดตามการเต้นของหัวใจหน้าจอเหนือเตียงหมายเลขหนึ่งแสดงภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ก่อนจะค่อยๆ ช้าลง

“ทิวา ทิวาตามหมอหน่อยคนไข้อะเรส” (Arrest : ภาวะหัวใจหยุดเต้น) เหมือนฝันกดโทรศัพท์ภายในแจ้งพยาบาลร่วมทีมที่นั่งอยู่ในห้องพยาบาล “พี่สุรีย์ เตรียมปั๊มต่อนะคะ” หญิงสาวดันไม้กระดานเข้าหลังคนไข้ก่อนจะขึ้นทำการปั๊มหัวใจนายวิชิต ทีมช่วยชีวิตเตรียมยากันอย่างรวดเร็ว เหมือนฝันมองมาคีที่ตอนนี้เธอมองกลับมาเช่นกัน สายตาของน้องสาวเหมือนจะว่างเปล่าและเดาความคิดไม่ได้ ในมือหลอดฉีดยาหลอดนั้นยังถูกกำไว้แน่น

 



Don`t copy text!