โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 1 : เซี่ยเหมยซี (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 1 : เซี่ยเหมยซี (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

โรงน้ำชานี้ใช้ชื่ออันแสนจะตรงตัว ‘ฮุ่ยอี่’ มีความหมายว่าความทรงจำ แต่หากเป็นคนไม่รู้ ที่นี่ก็เป็นเพียงแค่โรงน้ำชาธรรมดาๆ เท่านั้น และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบชงชาธรรมดาแต่ฝีมือไม่ธรรมดาก็คือหญิงสาววัยสี่สิบเอ็ดปีที่ดูนุ่มนวลทว่าแคล่วคล่องนามว่าเซี่ยเหมยซี

เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดเฉินเอิน เซี่ยเหมยซีเคยผ่านการรับน้ำชามาแล้วโดยใช้การทำงานเป็นลูกจ้างในโรงน้ำชานี้เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับราคาของชาถ้วยเดียวถ้วยนั้น

“ขอชานมไข่มุกแบบมุกเยอะๆ หวานเน้นๆ สองแก้วค่ะ”

ลูกค้ารายแรกของวันเป็นเด็กสาวสองคนที่ใส่เสื้อยืดสีสดใสสะท้อนแสงแยงตาคู่กับกางเกงขาสั้นเสมอหูเข้ากับสภาพอากาศในหน้าร้อน ทั้งคู่ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันเข้ามาจากหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักเพราะได้ข่าวว่ามีร้านชาเปิดใหม่ที่เหมารวมตามความเข้าใจได้ว่าคงเป็นร้านขายชานมไข่มุก เด็กสาวร่างเล็กกว่ากวาดตามองไปรอบๆ อย่างพึงพอใจพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย

“ร้านเราขายแต่ชาจีนค่ะ ต้องขออภัยด้วยจริงๆ” เพราะน้ำเสียงนุ่มนวลและรอยยิ้มพิมพ์ใจของเซี่ยเหมยซีทำให้ลูกค้าไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใดที่ไม่มีของที่อยากได้ เพียงแต่ออกอาการไม่เข้าใจมากกว่า สองคนยกมือขึ้นเกาหัวแกรกพร้อมกันเรียกแววตาขบขันพลางขอลุแก่โทษจากทีมาสเตอร์มือหนึ่งของร้าน

เซี่ยเหมยซีเองก็เคยเสนอกับคนที่เป็นเจ้าของโรงน้ำชานี้ดูแล้วว่าเมนูชายอดนิยมของเมืองไทยต้อง ‘ใส่น้ำแข็ง’ และเมนูชาไข่มุกก็เป็นที่โปรดปรานของบรรดากลุ่มลูกค้าผู้หญิงตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยผู้ใหญ่

แต่สิ่งที่เธอพูดก็เป็นเพียงสายลมพัดผ่านแผ่วเบาไหนเลยจะสะเทือนขุนเขาได้ คนหัวโบราณไม่ทันสมัยจะเก็บมาใส่ใจหรือก็ไม่ ทั้งยังตีหน้าขรึมบอกออกมาเสียอีกว่า ขายไม่ได้ก็ดีเพราะไม่อยากวุ่นวายมากจนเกินไป ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ที่ฝั่งนั้นจะไม่มีความกระตือรือร้น ด้วยชาธรรมดาที่เธอชง ต่อให้ขายดีเป็นเทน้ำเทท่ามาทั้งปีก็คงไม่เท่ากับชาพิเศษที่เขารังสรรค์ขึ้นเพียงถ้วยเดียวถ้วยนั้น

“เป็นชาจีนแบบชาร้อน พอจะรับได้ไหมคะ” เซี่ยเหมยซีเอ่ยถาม โดยไม่ได้ติดว่าฝั่งนั้นเด็กกว่าทั้งยังเป็นลูกค้าเธอถึงได้ถามอย่างสุภาพ ดวงหน้านี้สวยละมุนตามวัยและเคยสวยสะพรั่งมาก่อนเมื่ออายุเท่ากับเด็กสาวที่เป็นลูกค้า

“ชาจีนก็ชาจีนค่ะ” เสียงเด็กสาวรูปร่างสูงใหญ่กว่าตอบออกมา ยังไงเสียจุดมุ่งหมายที่มาก็ไม่ได้ต้องการจะกินชาไข่มุกหรือจะเป็นชาวิเศษรสดีมาแต่ไหน ก็ที่มาเนี่ยตั้งใจจะมาถ่ายรูปต่างหาก

ความงามของโรงน้ำชาแห่งนี้ดูสวยแปลกตาท่ามกลางธรรมชาติที่โอบล้อม มันเริ่มเผยให้เห็นมาตั้งแต่ซุ้มประตูทางเข้าแบบจีนประดับป้ายไม้มีอักษรภาษาจีนสีทอง ‘ฮุ่ยอี่’ สลักจารอยู่อย่างวิจิตรบรรจง

ซุ้มประตูที่เคยพบเห็นแต่ในซีรีส์จีนโบราณดูใหญ่โตโอ่อ่าเสียจนต้องแหงนหน้าตั้งคอมองด้วยความทึ่ง สวนจีนที่มีเก๋งหรือเจดีย์ทรงหกเหลี่ยมซ้อนกันเป็นชั้นๆ ตั้งอยู่กลางสระน้ำซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บน้ำบริสุทธิ์มีสะพานไม้วางพาดผ่านอย่างมีศิลปะ โดยสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนถูกก่อสร้างสลับสล้างตามแปลนที่วางไว้เพื่อหลบหลีกต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ หรือเลี่ยงกลุ่มหินก้อนโตซึ่งเป็นประติมากรรมตามธรรมชาติ

แค่ได้เดินเล่นถ่ายรูปมุมโน้นมุมนี้ก็คุ้มเกินคุ้ม ส่วนน้ำชาก็แค่พร็อพประกอบที่ใช้ในการถ่ายรูปเท่านั้นในความคิดของเด็กทั้งสองคน

เมื่อกระหน่ำเก็บภาพอย่างหนำใจไปเสียทุกซอกทุกมุม หลังจากจิบชาจนหมดในตอนที่มันเย็นแล้วและกินจนหมดโดยที่ไม่ได้พินิจพิจารณาถึงรสชาติของมันเลยแม้แต่น้อย สองคนก็กลับออกไป

“สถานที่ก็สวยดี แต่ชาไม่อร่อยเลยสักนิด”

นั่นคือคำที่เด็กสาวพูดกันเองหลังเดินออกมาจากร้าน ขณะกำลังจะข้ามผ่านสะพานก็บังเอิญเดินสวนเข้ากับบุรุษรูปร่างสูงสง่า คิ้วเข้มราวกระบี่พาดผ่านใบหน้าควรที่จะทำให้ดวงหน้าดูแข็งกระด้างทว่าเมื่อประกอบกับดวงตาทรงรีที่มีประกายลึกลับกลับทำให้ดูดึงดูดสายตาได้อย่างน่าประหลาด จมูกโด่งเป็นสันเน้นขับเครื่องหน้า และริมฝีปากบางได้รูปสีระเรื่อแทบทำให้สองสาวเก็บอาการ ‘เพ้อ’ ไม่ได้

“อาจจะดื่มยากสักหน่อยเมื่อไม่เคยดื่มมาก่อน ชาที่ดื่มเข้าไปเมื่อครู่เรียกว่ากานผู่ฉา คือชาผู่เออร์ในผลลูกส้ม ชาผู่เออร์นี้เหมาะสำหรับดื่มในตอนอากาศร้อนเพราะทำให้ชุ่มคอและยังมีสรรพคุณลดน้ำตาลในเลือด” เขาเอ่ยแนะนำขณะนึกถึงชานมไข่มุกเยอะๆ หวานเน้นๆ ของสองสาว เดาว่าเซี่ยเหมยซีน่าจะเข้าใจจุดประสงค์ของลูกค้าเป็นอย่างดีถึงได้แนะนำชาที่ดูมีลูกเล่นแบบนี้ให้

“ขะ…ค่ะ…” ด้วยความตะลึงที่อยู่ดีๆ ผู้ชายหน้าตาเหมือนพระเอกซีรีส์จีนโบราณก็เอ่ยปากพูดด้วยถึงได้รับคำไปแค่นั้น ต่อเมื่อเฉินเอินเดินพ้นออกมาถึงได้ยินเสียงกรี๊ดกร๊าดดังขึ้นตามหลังทำเอาต้องส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความระอาปนขบขัน

ร่างสูงตรงในชุดเสื้อยืดโปโลแขนสั้นและกางเกงชิโนสีอ่อนตามสมัยนิยมเดินข้ามสะพาน ก่อนจะผลักประตูไม้กรุด้วยกระจกเข้ามายังด้านในร้านเล็กๆ ซึ่งตกแต่งแบบสมัยใหม่ทว่ามีกลิ่นอายของจีนโบราณปรากฏอยู่ให้เห็น ตั้งแต่โต๊ะเก้าอี้ที่ทำจากไม้สีเข้ม ภาพประดับจากปลายพู่กันจีน รวมถึงรูปปั้นกระเบื้องเคลือบที่มีรูปทรงเส้นสายสวยงามของฉาเซียนลู่อวี่ (1) ตรงเคาน์เตอร์ ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่เซี่ยเหมยซีซึ่งกำลังเก็บโต๊ะอยู่

“เด็กสมัยนี้นี่ใส่กางเกงสั้นกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ” คำถามเชิงบ่นถูกเอ่ยเมื่อพบหน้า

“ก็อากาศร้อนนี่คะ” หญิงสาวเพียงแต่หัวเราะออกมา ก่อนจะวางมือจากทุกสิ่ง

ร่างบางระหงของเซี่ยเหมยซีเดินหายเข้าไปด้านหลังร้านซึ่งถูกสร้างให้เป็นห้องเล็กๆ สำหรับเก็บใบชาชั้นดีจากแหล่งต่างๆ บนชั้นที่เรียงรายไปตามผนังมีถ้ำชา (2) วางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ

ถ้ำชาบางใบเป็นกระเบื้องเคลือบเก่าแก่ย้อนหลังไปถึงยุคราชวงศ์หมิง หลายใบทำมาจากดีบุกซึ่งเป็นที่นิยมกันอยู่ในยุคราชวงศ์ชิง ด้านล่างของชั้นวางของเป็นที่เก็บน้ำดื่มบรรจุขวดซึ่งมาจากแหล่งเดียวกันกับที่ปลูกใบชา ว่ากันว่าการจะชงชาให้ได้รสดีที่สุดและดึงรสชาติออกมาได้มากที่สุดนั้นต้องใช้น้ำจากแหล่งเดียวกันกับที่ปลูกชาชนิดนั้น

เพียงครู่ หญิงสาวก็กลับออกมาพร้อมกับใบชาห่อเล็กๆ เพื่อจะฟังคนหัวอนุรักษ์นิยมบ่นต่อ

“ก็เพราะอากาศร้อนอย่างไร ไม่ควรเลยที่จะกินน้ำแข็ง จะเป็นร้อนในเอาได้ง่ายๆ”

“แต่คนก็เข้าใจว่าอากาศร้อนก็ต้องกินของเย็นนะคะ หมายถึงของเย็นที่ไม่ใช่ของฤทธิ์เย็นน่ะค่ะ ไม่อย่างนั้นมันจะร้อนเอามากๆ เด็กสมัยนี้ไม่รอกันหรอกค่ะ ร้อนเดี๋ยวนี้ก็ต้องเย็นเดี๋ยวนี้ จิบชากว่าจะรู้สึกชุ่มคอกว่าจะรู้สึกสบายตัวก็ถึงบ้านแล้ว พอถึงเวลานั้นก็ได้แต่คิดว่าเป็นเพราะเครื่องปรับอากาศที่เปิดไว้จนเย็นฉ่ำเลยทำให้ตัวเย็นสบาย คงไม่ได้คิดว่าเป็นเพราะฤทธิ์ของชาที่ดื่มเข้าไปหรอกค่ะ อ้อ ไป๋หาวหยินเจิน (3) นะคะ?” ปลายประโยคนั้นเอ่ยเป็นเชิงถาม พออีกฝั่งพยักหน้า มือบางก็ค่อยๆ เทใบชาจากห่อใส่ถาดกรอกใบชาที่ทำจากไม้ไผ่ กลิ่นของใบชาแห้งจากแหล่งกำเนิดใบชาชั้นยอดลอยขึ้นมาเตะจมูกตั้งแต่ยังไม่ได้สัมผัสกับน้ำ

เฉินเอินนั่งมองคนตรงหน้าหยิบจับคล่องแคล่วขณะนึกถึงเด็กสองคนที่เพิ่งจะได้พบไปด้วย อายุคงจะเท่ากับเซี่ยเหมยซีในตอนนั้น ในตอนที่เขาพบเธอเป็นครั้งแรก ถึงตอนนี้เวลาก็ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว

“โลกเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยเบา มองควันที่ค่อยๆ ลอยม้วนขึ้นมาและสูดกลิ่นหอมอบอวลคล้ายกลิ่นดอกไม้อ่อนๆ ของยอดชาขาวจากถ้วยกระเบื้องเนื้อดี

โลกเปลี่ยนไป แต่คนตรงหน้าเธอกลับไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

เซี่ยเหมยซีเท้าแขนมองภาพนั้นพลางนึกขึ้นเรื่อยเปื่อย เฉินเอินนั่งหลังตรงยกชาขึ้นจิบด้วยท่วงท่าสงบสง่างาม ราวกับเวลาจะหยุดเดินเพื่อหยุดภาพสวยงามนั้นเอาไว้

ขณะที่กาลเวลาผันเปลี่ยน สายลมแปรทิศ กระแสน้ำรินไหล พระอาทิตย์ขึ้นและตกเช่นเดิมทุกวันเพื่อเปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืน ชายผู้นี้กลับยังคงมีรูปลักษณ์เหมือนเดิมอย่างไม่มีผิดเพี้ยน

เหมือนเดิมเมื่อแรกเจอเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน

ตอนนั้นเซี่ยเหมยซีเป็นเด็กสาวอายุสิบหก กำลังบานสะพรั่งด้วยความงามและความอ่อนเดียงสา ถึงอย่างนั้นก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นอยากเห็นโลกเสียเต็มประดา

เมื่อบ้านที่อยู่ไม่เหลือใครด้วยพ่อทิ้งเธอและแม่ไปมีครอบครัวใหม่ กระทั่งแม่ของเธอได้จากไปเซี่ยเหมยซีจึงหันหลังให้บรรดาญาติที่เกี่ยงกันไปมาราวกับเตะลูกหนังในเรื่องการรับสิทธิ์เลี้ยงดูเด็กสาว เพราะเหตุนั้นเซี่ยเหมยซีเลยตัดสินใจทิ้งบ้านเดิมที่สิบสองปันนาแล้วเดินทางเข้ามาหางานทำที่เมืองใหญ่ของประเทศซึ่งได้สมญานามว่าเป็นปารีสตะวันออกอย่างนครเซี่ยงไฮ้เพราะเธอมีเพื่อนจากบ้านเกิดเดียวกันทำงานอยู่ที่นั่น

ที่นั่นและปีนั้น ในขณะที่เซี่ยเหมยซีเพิ่งจะอายุได้สิบหกเท่านั้นเอง กลับเป็นวัยที่ความเดียงสาได้สะดุดหยุดลง

เมืองใหญ่สำหรับเธอเป็นเรื่องแปลกใหม่ เมื่อปรับตัวได้ทุกอย่างก็กลับคุ้นเคย ในขณะที่เพื่อนซึ่งเคยสนิทก็กลับห่างเหินด้วยต่างคนต่างต้องทำงานและภาระของแต่ละคนก็มากขึ้นทุกขณะ สุดท้ายก็กลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันไปโดยปริยาย

ค่ำคืนหนึ่งในฤดูที่อากาศหนาวเย็น หิมะหยุดตกมานานหลายสัปดาห์แล้ว และอีกไม่กี่วันก็คงจะเข้าฤดูใบไม้ผลิ เซี่ยเหมยซีกระชับเสื้อกันหนาวเข้ากับตัวและบอกลาเพื่อนร่วมงานก่อนจะเดินกลับบ้านหลังเลิกงานที่ภัตตาคารเป็นปกติ

เวลาเกือบเที่ยงคืนในมหานครที่เต็มไปด้วยแสงสีไม่เคยหลับใหล ป้ายไฟโฆษณาแข่งกันอวดแสงสว่างแยงตาไปแทบทุกตารางนิ้ว แต่ถึงจะศิวิไลซ์แค่ไหนทุกที่ย่อมมีแหล่งเสื่อมโทรม มีที่สว่างก็ย่อมมีที่มืด และในเมื่อมีคนดีก็ย่อมมีคนไม่ดีปะปนไป เพราะเหตุนี้เองสิ่งที่น่ากลัวที่สุดจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ขณะเดินผ่านย่านที่อยู่อาศัยอันหนาแน่นซึ่งคนส่วนใหญ่เป็นคนงานของท่าเรือเซี่ยงไฮ้ เซี่ยเหมยซีก็ถูกปิดปากโดยชายแปลกหน้าซึ่งเธอคิดว่าน่าจะมีสองคน หญิงสาวโดนฉุดตัวเข้าไปในบ้านที่บ่งบอกได้ว่าผู้อยู่อาศัยนั้นคือกรรมกรค่าแรงราคาถูก ชายกักขฬะหยาบช้าในเพิงที่สร้างขึ้นอย่างทึมทึบหนาแน่นไร้ระเบียบ

กลิ่นชื้นของเสื้อผ้า กลิ่นอับเชื้อราของที่นอน กลิ่นเหล็กขึ้นสนิม ทุกอย่างในสถานที่มอซอไม่แย่เท่ากับความรู้สึกกลัวของเธอในยามนั้น มันเป็นความกลัวจนจับขั้วหัวใจ กลัวทุกอย่างจะเลวร้ายเกินไปกว่าสิ่งที่คนกลัวกันหนักหนาคือความตาย

สำหรับเซี่ยเหมยซี สิ่งนั้นก็คือการตายทั้งเป็น

เพียงไม่กี่นาทีหลังจากดิ้นรนต่อสู้จนหมดแรงหยดสุดท้ายทั้งที่ถูกมัดและถูกปิดปากจนแทบไร้อากาศเธอก็ถูกชกเข้าที่ท้องและหน้าอก เซี่ยเหมยซีทรุดตัวลงไร้ความรู้สึก ทว่าท่ามกลางสติสัมปชัญญะที่กำลังค่อยๆ เลือนหาย สมองกลับบันทึกเก็บกักทุกสิ่งอันแสนเลวร้ายเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

เมื่อตะวันแรกของเช้าวันใหม่ฉาบฉายไปยังหอไข่มุก เสียงแตรรถยนต์และเสียงกริ่งจักรยานก็ดังขึ้นระรัวตรงข้ามกับหัวใจดวงหนึ่งซึ่งเหมือนจะหยุดเต้นลงไปเสียแล้ว

ขณะหลายคนตื่นออกจากที่นอนเพื่อทำงานหาเช้ากินค่ำหากินเลี้ยงปากท้องกันต่อไป แต่สำหรับเซี่ยเหมยซีแล้วสิ่งเหล่านี้ช่างไร้ความหมาย ดังแม่น้ำแยงซีจะกลายเป็นสีเลือด กลั่นออกมาเป็นหยดน้ำตาของหญิงสาวที่เนื้อตัวเต็มไปด้วยราคีหม่นหมอง

หากมีแรงมากกว่านี้เซี่ยเหมยซีคงจะตะเกียกตะกายลุกขึ้นกระโจนตัวลงน้ำและจบชีวิตตัวเองลงแล้ว เพียงแต่ว่าในความหม่นหมองนั้นมีบางอย่างที่ดึงรั้งเธอไว้

ความหวังเล็กๆ วูบสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป ก็เมื่อคืนนี้นี่เองที่เธอเพิ่งได้ยินแขกคนสำคัญของร้าน นักธุรกิจระดับสูงผู้เป็นเจ้าของเรือมากมายเอ่ยถึงน้ำชาที่จะเปลี่ยนชีวิตได้

ในตอนนั้นเธอเพียงแค่ฟังผ่านและได้แต่สงสัยว่ามันเป็นชาแบบไหน แต่ในเวลาที่ราวกับแสงทุกอย่างดับวูบลงเหลือเพียงความมืดมิด แสงสว่างน้อยนิดจากถ้อยที่ได้ยินเพียงไม่กี่คำกลับกระจ่างขึ้นสว่างไสว

เซี่ยเหมยซีกลับถึงบ้านได้อย่างไรและเมื่อไรเธอเองก็จำไม่ได้ จำได้แต่เพียงว่าเธออาบน้ำถูสบู่จนเนื้อตัวเจ็บไปหมด แต่ความเจ็บนั้นให้มากกว่านี้เธอก็ยอมถ้ามันจะลบล้างความทรงจำเหล่านั้นออกไปได้

เธอกลับไปทำงานหลังจากนั้นไม่กี่วัน เฝ้ารอแขกคนสำคัญของภัตตาคารแต่ฝั่งนั้นก็ยังไม่มา ระหว่างนั้นเธอก็ยังเฝ้าคิดวนเวียนถึงสถานที่นั้น ที่ซึ่งเธอได้ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสราวกับตกนรก

เธอจำหน้าตาของมันทั้งคู่ไม่ได้ จำได้แต่สถานที่ซอมซ่อซึ่งกำลังรอรื้อถอนและคนผิดก็ไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เป็นไปได้ว่าพอรู้ว่าตนสามารถหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยพอพบคนอับโชคอย่างเธอพวกมันถึงไม่มีแม้แต่ความลังเลใจ กว่าผู้ถูกกระทำจะหายตระหนกและตัดสินใจย้อนกลับไปดูก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นให้เอาผิดได้แล้ว จะถามใครก็ระแวงไปหมดเพราะเรื่องเพิ่งจะเกิด เธอมีทั้งความกลัวและความอับอาย นานไปก็ยิ่งกลายเป็นเจ็บแค้น

เซี่ยเหมยซีครุ่นคิดวุ่นวาย ทั้งเรื่องความทรงจำเลวร้ายแสนชัดเจนไม่ยอมจากไปไหน ตรงกันข้ามกับเรื่องลูกค้าของภัตตาคารกับข่าวเรื่องโรงน้ำชาที่ดูเหมือนจะห่างไกลออกไป ความเป็นไปรอบตัวหรือข่าวสารใดๆ ดูช่างไร้ความหมาย

ดวงตาคู่งามจ้องมองดูโทรทัศน์ฉายข่าวเครื่องบินไชน่าแอร์ไลน์เที่ยวบินที่ 676 เกิดอุบัติเหตุขณะลงจอดที่ไต้หวัน เป็นข่าวใหญ่ที่ผู้คนต่างให้ความสนใจทว่าภายในใจของเธอกลับเฉื่อยชาเกินกว่าจะรับรู้

ปฏิทินถูกฉีกออกทีละใบเท่ากับเวลาที่ล่วงไปในแต่ละวัน เธอเฝ้าคิดถึงน้ำชาที่อาจจะกลายเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ สลับกับเรื่องชายกักขฬะชาติชั่วสองคนนั่น วันแล้ววันเล่าผ่านไปด้วยความทรมาน งานที่ทำอยู่ ความศิวิไลซ์ที่เคยอยากพบและสัมผัส ทั้งหมดกลายเป็นเรื่องไร้สาระและจับต้องไม่ได้ไปถนัดใจ

หญิงสาวใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอยทั้งที่ใจหนักอึ้ง น้ำหนักที่ถ่วงไว้เริ่มถ่วงหนักขึ้นเรื่อยๆ จนอยากจบชีวิตตัวเองไปให้พ้นๆ แต่แล้วอยู่ดีๆ วันนั้นก็มาถึง แขกคนสำคัญ…ลูกค้าห้องวีไอพีที่เคยเอ่ยเรื่องน้ำชาคนนั้นอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงสง่าในชุดสากลนิยม

อะไรบางอย่างบอกเธอว่าชายแปลกหน้านั้นเป็นคนพิเศษ พิเศษกว่าบุคคลทั่วไปเพราะบุคลิกท่าทาง ความมั่นคงแต่เรียบง่ายสง่างามในทุกอิริยาบถ สำนวนการทอดน้ำเสียง กระทั่งแววตาลุ่มลึกแฝงรอยปรานีแต่กลับมีแววเศร้าแฝงอยู่

เซี่ยเหมยซีได้ยินแขกของเธอเอ่ยเรียกชื่อบุรุษแปลกหน้าด้วยความเคารพว่า ‘คุณเฉิน’

 

เชิงอรรถ : 

(1) ลู่อวี่ ผู้เขียนคัมภีร์ชาเล่มแรกของโลกเกิดในสมัยราชวงศ์ถัง ถูกยกให้เป็นปรมาจารย์ชา บ้างเรียกเซียนชาหรือเทพเจ้าแห่งชา

(2) ภาชนะสำหรับใส่ใบชามีฝาปิดส่วนใหญ่ทำจากตะกั่วหรือดีบุก

(3) ชาขาวเข็มเงิน แหล่งเพาะปลูกอยู่ที่มณฑลฝูเจี้ยน



Don`t copy text!