โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 2 : พ่อบ้านจาง (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 2 : พ่อบ้านจาง (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เวลาของเมืองจีนต่างจากประเทศไทยเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น หากว่าเวลาในจีนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลยังใช้เวลาเดียวกันได้ ดังนั้นการมาอยู่เมืองไทย เรื่องการปรับเวลาก็ดูจะไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรในความรู้สึกของเซี่ยเหมยซี

“ค่ะพี่ต้าชาน” เสียงนุ่มหวานเอ่ยกรอกลงไปในสายสนทนาทางไกลผ่านระบบสื่อสารอันทันสมัย

“เป็นยังไงบ้างเหมยซี สบายดีไหม…” หลังจากนั้นก็เป็นการถามไถ่ถึงสารทุกข์สุกดิบตามประสาคนรู้จักที่มีไมตรีดีต่อกันมานานแรมปี อีกฝั่งของสายคือชายหนุ่มวัยสี่สิบสี่ปี ได้รู้จักคุ้นเคยกันก็เพราะโรงน้ำชาของคุณเฉิน

ฝั่งนั้นเป็นเพียงลูกค้าธรรมดาๆ ผู้ซึ่งไม่เคยระแคะระคายหรือรับรู้ถึงการมีอยู่ของน้ำชาพิเศษ เสิ่นต้าชานเพียงแต่ติดใจในรสของชาที่เธอบรรจงชงให้ หรือบางทีอย่างที่พ่อบ้านจางชอบอ้างเรื่องอาบน้ำร้อนมาก่อนว่าชายหนุ่มนั้นคงมีเยื่อใยมากกว่าการเป็นลูกค้าของโรงน้ำชา

“เธอน่ะเป็นคนสวยมากนะเหมยซี แต่ปิดตัวเองเหลือเกิน ฉันก็ไม่เห็นว่าเสิ่นต้าชานจะเสียหายตรงไหน ลูกชายฉันน่ะบอกว่าสมัยเรียนกฎหมายมาด้วยกันนี่เรียนเก่งกว่าใคร แถมยังหล่อเหลาเอาการอยู่นา” ถึงแม้จะสู้คนนั้นไม่ได้ก็เถอะ พ่อบ้านจางต่อท้ายในใจนึกถึงคนที่ดูยังไงก็ไม่มีทางที่จะลงเอยกันได้

“พี่ต้าชานไม่มีอะไรเสียหายเลยค่ะ อันที่จริงต้องเรียกว่าดีเกินไปด้วยซ้ำ ดีเกินกว่าจะมาลงเอยกับคนอย่างเหมยซี” คนอย่างเธอน่ะหรือสมควรจะได้เป็นภรรยาหรือแม่ของลูก

“ก็แล้วเธอมันเสียหายตรงไหน” พ่อบ้านจางเอ่ยตรงๆ ทำเอาเซี่ยเหมยซีสลดลง “เหมยซี เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่ากักขังตัวเองไว้กับความทุกข์อย่างนี้เลย ปล่อยให้ตัวเองมีความสุขเสียบ้าง คุณเฉินเองก็คงอยากเห็นเหมยซีมีความสุขเหมือนกัน”

หญิงสาวรับฟังอย่างเงียบๆ ด้วยความหม่นหมอง ก่อนจะเลี่ยงเดินเข้าไปหยิบชาในห้องด้านหลังเพื่อตั้งสติ กลับมาอีกทีเธอก็พยายามจะเปลี่ยนเรื่องให้ฉีกไปไกลจากบทสนทนาเมื่อครู่

“วันนี้ลูกชายก็โทรมาอีกหรือคะ” เอ่ยถามพลางวางชาเขียวซีหูหลงจิ่งไว้ตรงหน้าพ่อบ้านคนสำคัญ ถึงวัยจะต่างกัน และแม้หัวข้อที่คุยจะเป็นเรื่องส่วนตัวเสียเหลือเกิน แต่หญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกว่าถูกละลาบละล้วง ตรงกันข้าม เธอเข้าใจความหวังดีนั้นดี

เซี่ยเหมยซีรู้สึกผูกพันกับพ่อบ้านจางเป็นพิเศษ อาจจะเพราะเธอเจอชายผู้นี้พร้อมๆ กับที่ได้พบคุณเฉินก็เป็นได้ พ่อบ้านจางเรียกได้ว่าเป็นผู้มีพระคุณเช่นเดียวกับคุณเฉิน ในข้อแรกเพราะเขาช่วยให้เธอได้พบกับเจ้าของโรงน้ำชา และข้อสองคือเขาช่วยควานหาตัวคนร้ายมาลงโทษจนได้

“อย่าถือคนแก่เลยนะเหมยซี แก่แล้วก็พูดจาเรื่อยเปื่อย” ชายวัยเกือบเจ็ดสิบเอ่ยเมื่อสังเกตเห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าสลดลง “อ้อ เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ ลูกชายใช่ไหม โทรมาทุกวัน ไม่รู้จะห่วงอะไรกันหนักหนา พูดอย่างกับว่าเราหอบกันมาลำบากลำบนเสียอย่างนั้น เมื่อก่อนคนจีนที่อพยพกันลงมาน่ะต้องนั่งเรือเป็นเวลาหลายเดือนมีเพียงแค่เสื่อผืนหมอนใบ นี่เรานั่งเครื่องบินกันมา เงินทองก็ไม่ได้ขัดสนแล้วยังจะห่วงอะไร”

“ก็คงอยากให้อยู่สบายๆ นี่คะ ลูกชายก็เป็นถึงทนายใหญ่ ก็คงอยากให้อยู่ใกล้กันมากกว่า”

“จะได้ตีกันตายน่ะซี อยู่อย่างนี้ก็สบายดี ไม่ได้หมายถึงข้างนอกหรอกนะ หมายถึงข้างในนี้ต่างหาก เธอเองก็เข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหมเหมยซี” พ่อบ้านจางชี้ไปที่หน้าอกซึ่งมีก้อนเนื้ออัศจรรย์เต้นเป็นจังหวะอยู่

“เข้าใจสิคะ” คนถูกถามตอบพร้อมรอยยิ้ม

‘เธอไม่เข้าใจหรอกเหมยซี’ พ่อบ้านจางนึกอย่างเอื้อเอ็นดู

สิ่งที่เซี่ยเหมยซีกับเขาคิดมันเป็นคนละอย่างกันแน่นอน

สำหรับเซี่ยเหมยซี อาจคิดว่าคนแก่อย่างพ่อบ้านจางจะไม่รู้ แต่กล้าคิดกระนั้นหรือ ว่าคนอย่างคุณเฉินก็จะไม่รู้ด้วย ความรู้สึกจงรักภักดีที่มีให้ สายตาที่มองสัตบุรุษไม่เพียงแต่แสดงความกตัญญูรู้คุณ แต่เบื้องลึกยังแอบเร้นบางอย่างเอาไว้

…ความรัก…

เขาไม่ตำหนิเซี่ยเหมยซีในข้อนี้เลย หากไม่รักสิถึงจะแปลก ในเมื่อคุณเฉินเป็นเอกบุรุษที่ดีพร้อมในทุกด้าน รูปร่างหน้าตาดังสวรรค์จะสรรสร้าง บุคลิกแสนเรียบง่ายทว่าสง่างามในทุกอิริยาบถ ไม่เคยหยิ่งผยองถือตัวแม้กับใคร หากเพียงแต่พ่อบ้านจางจะเกิดเป็นสตรีก็อาจจะมีความรู้สึกนี้เช่นกัน

แต่ว่ามันเป็นไปได้หรือ ในเมื่อคนที่เซี่ยเหมยซีรักไม่อาจจะรักเซี่ยเหมยซีตอบกลับได้ ไม่ใช่เพราะเขาไร้หัวใจ แต่เพราะชายผู้นี้จะไม่มีวันตายต่างหาก

ไม่มีวันที่จะแก่เฒ่าไปพร้อมกัน ยิ่งไม่มีทางจะได้เดินชมจันทร์เคียงข้างเมื่อสังขารค่อยๆ ร่วงโรยขณะหยอกล้อกันเรื่องผมที่เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนดังหิมะ

ขณะที่คนหนึ่ง เวลากำลังพรากทุกอย่างไปทีละนิดอย่างไม่ทันได้รู้คิด แต่อีกคน เวลากลับฆ่าเขาด้วยการหยุดทุกอย่างไว้เพียงแค่นั้น ทรมานคุณเฉินด้วยการพรากชีวิตของคนใกล้ชิดให้ห่างหายตายจากไปทีละคนสองคน

ความตายช่างน่ากลัวนัก แต่ใครเลยจะรู้ว่า การไม่ตายกลับน่ากลัวยิ่งกว่า

“วันนี้ร้านเป็นยังไงบ้าง เห็นมีลูกค้าเข้ามาอย่างนั้นหรือ” พ่อบ้านจางดึงตัวเองออกจากภวังค์เลื่อนลอย เปล่าประโยชน์ที่จะพูดถึงเรื่องที่หญิงสาวไม่อยากพูดถึง เขาเลยหยิบยกหัวข้ออื่นขึ้นมาพูดคุยถามไถ่

“คุณจางเห็นด้วยหรือคะ สายตาดีเหมือนกันนะคะ”

“ไม่ได้ดีหรอก ที่รู้ก็เพราะสีเสื้อนั่นแหละสะท้อนแสงมาแต่ไกลถึงได้รู้ว่ามีลูกค้ามาด้วย กำลังเล่นหมากล้อมอยู่กับคุณเฉินทีเดียวจนใกล้จะจบตา ทางนั้นน่าจะได้ยินมาก่อนฉันจะเห็นสีเสื้อเสียอีกถึงไม่ยอมเล่นต่อไป คงอยากเห็นลูกค้ากระมัง แล้วก็มาบอกว่าไม่สนใจ”

“ว่าแต่แล้วคุณเฉินล่ะคะ จะรับลูกค้าอีกทีเมื่อไหร่หรือคะ” เธอหมายถึงลูกค้าพิเศษของเขา

“เร็วๆ นี้ละ เห็นว่าเป็นนักธุรกิจหนุ่มหล่อไฟแรง” พ่อบ้านจางเอ่ยยิ้ม

“คล้ายกับเห็นตัวเองเมื่อก่อนเลยใช่ไหมคะ” เซี่ยเหมยซีพูดแบบรู้ทัน ชายชราก็หัวเราะออกมาอย่างถูกใจนึกถึงครั้งหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนที่โลดแล่นอยู่ยังดินแดนปารีสตะวันออก แต่ธุรกิจก็เหมือนกระแสน้ำล้วนมีขึ้นลงขอเพียงแต่ว่าอย่าได้ก้าวพลาดเช่นที่เขาประสบมา หากไม่ได้ชาของคุณเฉินป่านนี้ก็ยังไม่รู้ว่าครอบครัวจะตกระกำลำบากถึงเพียงไหน

ตลอดเวลาที่ผ่านมาการรับน้ำชาเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกระจายกันไปโดยปากต่อปาก เพียงแต่ว่ามันอาจไม่เรียบง่ายถึงขั้นนั้น เช่นสำนวนที่ว่ากระดาษย่อมห่อไฟไว้ไม่ได้ ไม่ว่าใครคงต้องมีสักเรื่องสองเรื่องที่อยากรู้และอยากลบไปจากความทรงจำทั้งนั้น แต่จำนวนคนที่เข้ารับน้ำชาแม้จะไม่น้อยแต่ก็ไม่มากถึงขนาดนั้น ไม่ว่าพ่อบ้านจางจะครุ่นคิดอย่างไรก็ขบไม่แตก ครั้งหนึ่งถึงเคยได้เอ่ยถามออกไป ว่าชาความทรงจำและผู้คนที่ผ่านเข้ามาต่างดึงดูดกันอย่างไร

“ภายใต้กลิ่นหอมและรสนุ่มนวลของใบชาพวกนี้ยังมีความลับอีกมากมาย กระทั่งคนที่ปรุงมันขึ้นมายังต้องอาศัยเวลาและการคาดเดา แต่ก็พอจะอนุมานได้ว่าผู้ที่มีสิทธิ์ได้รับชาคือผู้คนที่สืบสายเลือดมาจากทหารซึ่งพลีชีพไปเมื่อหลายร้อยปีก่อน สงครามมันเลวร้ายนักคุณจางและฉันก็เป็นหนี้มาตั้งแต่ตอนนั้น” พ่อบ้านชราเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ เฉินเอินถอนใจยาวก่อนจะกล่าวต่อไป

“ฉันเป็นหนี้บรรพบุรุษของคุณจาง สายเลือดถูกส่งต่อกันเช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์ของต้นไม้ และชานี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะทำได้เพื่อชดเชยสำหรับลูกหลานของผู้ที่สละชีพไปในสนามรบในครั้งนั้น”

เลือดที่นองหยาดหยดลดลงบนแผ่นดินทุกหยดก่อเป็นหนี้เลือด ทว่าหนี้ต่อผู้คนเหล่านั้นเป็นเพียงสำนึกที่ไร้การพันธนาการใดๆ เว้นเสียแต่หนี้จากคนสกุลหงเท่านั้นซึ่งสายเลือดที่หมุนเวียนในตัวได้ผูกพันผูกมัดเขาไว้อย่างไม่มีทางจบสิ้น และหนี้นี้เองเป็นสิ่งที่เขาต้องชดใช้

“นั่นหมายความว่าผู้ที่รับชาทั้งหมดล้วนมีที่มาจากสถานการณ์เดียวกัน คือล้วนแล้วแต่สืบสายเลือดมาจากทหารที่พลีชีพไปในเหตุการณ์นั้นน่ะหรือ” พ่อบ้านจางถามพลางทบทวนอย่างไม่อยากเชื่อก่อนจะเอ่ยด้วยอารมณ์ขัน “ว่าแต่ตรวจดีเอ็นเอหรือยัง”

ประโยคนี้เองทำเอาเฉินเอินถึงกับยิ้มออกมาได้

“ก็ถ้าหากจะมีการพิสูจน์ดีเอ็นเอมาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนฉันก็คงทำไปแล้ว แต่จะบอกให้นะ คุณจาง คัมภีร์อี้จิงเองประกอบด้วยกว้า (1)  ทั้งหมดหกสิบสี่กว้าเช่นเดียวกับรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ ดังนั้นแล้ววิทยาศาสตร์และพยากรณ์ศาสตร์นั้นมีอะไรต่างอย่างนั้นหรือ หรือถ้าคุณจางจะขยันขนาดนั้นก็ลองไปสืบหาแล้วพิสูจน์ดูเอาเองก็แล้วกัน”

“คิดว่ารอไปถามเอากับบรรพบุรุษบนนั้นท่าจะดีกว่า” มือเหี่ยวย่นชี้ขึ้นบนฟ้าพลางหัวเราะก่อนจะนึกขึ้นได้ “แล้วข้อแลกเปลี่ยนสำหรับน้ำชา…”

“นั่นเป็นการบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกำหนดโดยฉันเอง” คนตอบตอบหน้าตาย จะเรียกว่าฉกฉวยโอกาสก็ไม่ได้เพราะเป็นการตกลงกันทั้งสองฝั่ง และฝั่งรับก็ไม่ได้ใช้มันเพื่อประโยชน์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย

“แล้วเรื่องคุณสมบัติของผู้รับชาล่ะคุณเฉิน”

“จริงอยู่ แม้ผู้รับชาจะต้องเป็นสายเลือดของวีรชนเหล่านั้น มาถึงตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าสมมติฐานมันได้เปลี่ยนไปบ้างหรือเปล่าเพราะเวลาผ่านมายาวนานเกินกว่าจะสืบหา แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังมีสิทธิ์เลือกในการจะมอบน้ำชาหรือปฏิเสธดูจากเจตนาเป็นสำคัญ รวมทั้งยังมีส่วนในการโน้มน้าวและชี้นำ ส่วนสำหรับผู้รับชาเอง น้ำชาก็ยังเป็นทางเลือกอยู่เช่นเดียวกัน ดูอย่างเซี่ยเหมยซีมีทางเลือกอยู่สองทาง ฉันถึงได้คิดว่าเป็นความผิดฉันส่วนหนึ่งที่ไม่อาจดึงรั้งให้เซี่ยเหมยซีจำหน่ายความทรงจำนั้นทิ้งไปได้”

“แต่คุณเฉินก็ไม่ได้ปฏิเสธการรับน้ำชาในวันนั้น” พ่อบ้านจางเอ่ยเตือนความจำ

“ฉันไม่มีเหตุผลใดต้องปฏิเสธ เซี่ยเหมยซีก็ยังเป็นผู้ที่ควรได้รับน้ำชาอยู่ดี คุณจางเองก็ด้วย”

ชายชรานิ่งเงียบนึกถึงความทรงจำนั้น แม้เวลาจะผ่านมาแล้วเนิ่นนาน สำหรับชายชราอายุเกือบเจ็ดสิบ ประสบการณ์ในครั้งนั้นกลับยังคงแจ่มชัดสว่างโชติช่วงอยู่เสมอ

ความทรงจำในครั้งนั้น ไม่ใช่ของเขาอย่างแน่นอน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในหัวพ่อบ้านจางหรือตอนนั้นก็คือเถ้าแก่จาง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากดื่มด่ำกับรสชาติล้ำลึกของน้ำสีอำพันบริสุทธิ์ก็คือการที่รู้สึกว่าตนกำลังเลื่อนลอยไปตามกระแสธารของเวลา เรื่องราวต่างๆ พัดผ่านเข้ามาราวกับดูหนังอยู่สักเรื่อง ทว่าหนังที่ฉายขึ้นในหัวนั้นมองผ่านสายตาของศัตรูในคราบมิตร และสิ่งที่เขาปรารถนาจะได้เห็นก็ได้ปรากฏขึ้น

เอกสารฉบับสำคัญที่คิดว่าถูกทำลายไปนานแล้วถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดีภายในเรือสินค้าลำหนึ่งโดยล็อกอยู่ในตู้เซฟภายในห้องทำงานที่ดัดแปลงขึ้นมาอย่างง่ายๆ เขาได้เห็นกระทั่งที่ซ่อนกุญแจ รหัสเปิดตู้ ช่างครบถ้วนสวยงามและง่ายดายจนเหลือเชื่อ

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสี่สิบกว่าปีก่อน ในตอนที่เถ้าแก่จางยังเป็นเพียงนายจาง เป็นต้นหนของเรือขนส่งสินค้าที่มองเห็นโอกาสในการทำธุรกิจขนส่งที่กำลังเฟื่องฟูขึ้นในมหานครเซี่ยงไฮ้ภายใต้ธงแดงที่ปลิวไสว หลังการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนในปี 1978 การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

โชคลาภเป็นของคนที่มองเห็น เถ้าแก่จางร่วมหุ้นลงขันกับเพื่อนที่รักกันดังพี่น้องจากเงินที่เฝ้าเก็บหอมรอมริบมานานปี ในทีแรกสองคนเช่าเรือเพื่อทำการขนส่งสินค้า ก่อนจะค่อยๆ ขยายกิจการกระทั่งได้เป็นเจ้าของเรือสินค้าหลายลำเรียงรายไปตามท่าเรือหลักของนครเซี่ยงไฮ้ การค้าเฟื่องฟู ชีวิตเถ้าแก่จางก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างพร้อมมูล รวมถึงการได้แต่งงานกับภรรยาและมีลูกชายหญิง

ทว่าขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย สิ่งที่ไม่ควรเกิดก็เกิดขึ้น เมื่อเพื่อนที่ลำบากด้วยกันมาเหมือนพี่น้องร่วมสาบานกลับมีใจไปเป็นอื่น

‘ไม่เคยคิดเลย’ เถ้าแก่จางเอาแต่พร่ำรำพันกับภรรยา ‘ไม่เคยคิดว่าเงินจะสำคัญกว่ามิตรภาพนานนับสิบปี ถ้าเพื่อนจะเอาส่วนแบ่งมากกว่าฉันก็พร้อมจะให้ หรือเพื่อนไม่พอใจตรงไหนก็พูดคุยปรึกษากันได้ แต่นี่เล่นจะกรีดเลือดเอากันจนหมดเนื้อหมดตัว ฉันมันมองคนผิดไป ฉันมองคนผิดไปจริงๆ’

เถ้าแก่จางได้แต่เฝ้ามองทุกอย่างที่สร้างสมมาถูกทึ้งออกไปทีละอย่างด้วยความคับแค้นใจ ความยุติธรรมอยู่ตรงไหน? ความซื่อสัตย์เล่า? เพราะไว้ใจจนมอบสัญญาสำคัญให้เก็บรักษา จนป่านนี้ก็ไม่รู้จะไปหามาจากที่ไหน

ขณะที่กำลังร้อนใจภรรยาก็กลับยื่นโทรศัพท์มาให้ ปลายสายคือญาติห่างๆ ของตนซึ่งไม่ได้ติดต่อกันมานานแต่รู้ข่าวคราวความยากลำบากที่ต้องพบเจอ

เรื่องราวถูกหยิบยกขึ้นมาพูดขณะอยู่ในห้องส่วนตัวของภัตตาคารซึ่งนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้มาเยือนเมื่อเงินทองไม่ได้คล่องมือเหมือนเมื่อก่อน และหัวข้อในการพูดคุยนั้นก็คือเรื่องญาติคนนั้นและน้ำชาความทรงจำของคุณเฉิน

หากเป็นสถานการณ์ปกติเถ้าแก่จางคงได้หัวเราะจนฟันหักไม่ก็ด่าเอาเสียแล้วว่าเพ้อเจ้อ แต่นี่เป็นสถานการณ์หน้าหน้าสิ่วหน้าขวาน ทั้งบางอย่างกำลังบอกเขาว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่จะมองข้ามหรือเอามาหัวเราะเยาะได้ คิดได้ดังนั้นเลือดในกายก็คล้ายจะพลุ่งพล่านขึ้นมา เช่นนั้นเขามีอะไรจะต้องเสียอย่างนั้นหรือ

เถ้าแก่จางเดินทางไปหาญาติในทันที แต่ก็สูญเปล่าด้วยเพราะคุณเฉินเดินทางขึ้นมายังเซี่ยงไฮ้ สถานที่ซึ่งเขาเพิ่งจะจากมานี่เอง

โดยไม่ได้หยุดพัก เถ้าแก่จางกระหืดกระหอบเร่งเดินทางกลับไป สุดท้ายเมื่อตามจนเจอถึงได้ขอนัดพบที่ภัตตาคารร้านประจำซึ่งเคยไปเมื่อครั้งยังมีเงินทองมากมายพอจับจ่าย

เถ้าแก่จางไม่นึกเลยว่าคุณเฉินที่ญาติของตนพูดถึงนั้นจะเป็นเพียงชายหนุ่มวัยยี่สิบกว่าที่แลดูอ่อนวัย ก็เมื่อคราวที่คุยกันญาติคนนั้นเล่าว่าเหตุการณ์ที่รับน้ำชาในครั้งนั้นมันก็สิบกว่าปีล่วงมาแล้ว

แล้วนี่มันยังไงกัน

หากว่าชายหนุ่มคนนี้และคุณเฉินคนนั้นจะเป็นคนเดียวกันจริง ก็เท่ากับว่าเจ้าของโรงน้ำชาจะเป็นเทพเซียนจุติลงมาบำเพ็ญเพียรอย่างนั้นหรือถึงดูไม่แก่ขึ้นเลย

‘ไม่คิดว่าคุณจางจะเป็นไปกับเขาด้วย อ่านนิยายมากไปหรือเปล่า’ นั่นคือคำที่คุณเฉินเอ่ยเมื่อเขาเล่าระบายความคิดในเย็นวันหนึ่งขณะเล่นหมากล้อมกัน

ผมของเถ้าแก่จางร่วงหล่นไปตลอดทางที่เข็มนาฬิกาเดินผ่านจนเหลือแต่ที่ราบเตียนโล่งอย่างกับภูเขาหัวโล้นบนศีรษะ แต่ทางฝั่งนั้นแม้สีขาวสักเส้นก็ยังไม่มีให้เห็น

‘ก็แล้วมันสมเหตุสมผลที่ตรงไหนกัน’ เถ้าแก่จางยังคงเถียง

‘ก็แล้วน้ำชาความทรงจำนั่นละ มันสมเหตุสมผลหรือไง’ คุณเฉินเอ่ยยิ้มอย่างไม่เห็นเป็นสาระ ก่อนจะเอาชนะด้วยการวางหมากสีขาวตัวสุดท้ายลงบนกระดาน

สุดท้าย กลายเป็นว่านอกจากเถ้าแก่จางแล้วก็ยังมีอีกคนที่ตามหาคุณเฉิน เด็กสาวที่บังเอิญได้ยินเขาพูดคุยกับพี่ชายภรรยาผ่านโทรศัพท์ในห้องส่วนตัวของภัตตาคารในวันนั้น

เธอน่าสงสารกว่าเขามากนัก

คุณเฉินตอบรับคำขอดื่มชาโดยที่ราคานั้นคือการช่วยเซี่ยเหมยซีตามหาคนร้ายเพราะจะหาใครคุ้นเคยกับบรรดาคนที่ท่าเรือมาทั้งชีวิตอย่างเถ้าแก่จางนี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนเซี่ยเหมยซีก็จ่ายค่าน้ำชาเป็นการย้ายออกไปอยู่ในโรงน้ำชา

หากว่าไม่ใช่เทพเซียนลงมาบำเพ็ญเพียร บุรุษผู้นี้ก็คงเป็นมนุษย์ที่ดีกว่ามนุษย์ สมควรจะได้มีชีวิตอยู่ยืนยาวเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นอย่างแท้จริง

 

เชิงอรรถ : 

(1) การเรียงตัวของเส้นหยินและหยางสามเส้นในลักษณะที่แตกต่างกัน ใช้เส้นเต็มแทนหยาง เส้นขาดแทนหยิน

 



Don`t copy text!