โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เวลาค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า ไม่นานก็เกือบเดือนแล้วที่เธอมาอยู่ที่นี่ กว่ามโนชาจะระลึกได้ว่าโรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ได้ขายดีอย่างที่คิด แม้บรรยากาศโดยรอบจะสวยงามและสงบเงียบต่างจากความวุ่นวายในกรุงเทพฯ เป็นอย่างมากก็ตามที ถูกแล้วที่ว่ามันสงบ แต่มันก็สงบเงียบเกินไป ไกลจากชุมชนเกินไป เดินทางมายากเกินไป และเจ้าของโรงน้ำชานี้ยังหัวเก่าเกินไป

“ธุรกิจของที่บ้านหรือคะ” มโนชาป้องปากกระซิบเซี่ยเหมยซีด้วยความสงสัยในยามเย็นวันหนึ่งในตอนใกล้จะปิดร้าน คนถูกถามมองยิ้มๆ พอจะเดาความคิดอีกฝ่ายได้

“ไม่ใช่จ้ะ ของคุณเฉินเองนั่นแหละ”

“จริงๆ โรงน้ำชานี้ก็ไม่ใช่เล็กๆ เลย อย่างนี้ไม่ต้องคิดเรื่องขาดทุนกำไรหรือคะ” ก็เห็นๆ อยู่ว่าที่นี่ไม่ได้ทำกำไรให้ตรงไหนเลย อันที่จริงต้องเรียกว่าเอาเงินมาละลายทิ้งเสียด้วยซ้ำไป “หรือว่ามีอะไรเบื้องลึกเบื้องหลังหรือเปล่าคะ หรือว่าบางทีนี่อาจไม่ใช่ธุรกิจจริงที่ทำก็ได้แต่…” มโนชากำลังคิดในสิ่งที่ชาวบ้านแถบนี้เคยสงสัย

“ไม่ต้องคิดเยอะหรอกจ้ะ แต่พี่จะบอกให้ก็ได้ว่าโรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ใช่งานหลักของคุณเฉินจริงอย่างที่ซินสงสัย แต่รับรองว่าพวกเราน่ะไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมายแน่นอน” ก็เพราะไม่มีกฎหมายข้อไหนห้ามซื้อขายความทรงจำนี่ “แต่อันที่จริงมันไม่ได้เงียบแบบนี้หรอกนะ เพราะเมื่อตอนอยู่ที่จีนก็เป็นที่นิยมมากเหมือนกัน” มโนชาพยักหน้าคล้อยตาม

“ก็จริงค่ะ เมืองไทยเราออกจะนิยมร้านกาแฟมากกว่า แต่ก็ใช่ว่าจะทำการตลาดไม่ได้นี่คะ พี่เหมยซีไหนๆ เราก็ขายชาแล้ว เพิ่มเมนูชาไข่มุกลงไปด้วยดีไหมคะ เผื่อจะดึงดูดลูกค้ามากขึ้น ใช้โซเชียลมีเดียในการโปรโมต แล้วก็ถ่ายรูปคุณเฉินลงไปด้วย รับรองลูกค้าสาวๆ เพียบ”

“ทำได้ก็ดีสิ คุณเฉินน่ะเห็นเงียบๆ นิ่งๆ อย่างนี้นะ แต่ถ้าคิดอะไรแล้วอย่าหวังว่าใครจะเปลี่ยนใจได้” มโนชาย่นจมูกทำหน้ายู่เมื่อได้ฟัง เซี่ยเหมยซีเลยเอ่ยต่อด้วยรอยยิ้มขำ “เชื่อสิว่าพี่ลองมาหมดแล้ว”

“ซินไม่เข้าใจเลยว่าขายดีไม่ดีตรงไหน จะว่าไปถ้าตอนอยู่เมืองจีนขายดีก็แล้วทำไมถึงต้องย้ายมาที่นี่ด้วยคะ” เซี่ยเหมยซีส่ายหน้าพลางหัวเราะ

คำถามจากเด็กสาวคนนี้ช่างมากมายเหลือเกิน เธอไม่เคยตอบเรื่องพวกนี้กับใครเสียด้วยเพราะที่ผ่านมาคนที่เข้ามาทำงานในโรงน้ำชาส่วนมากมักจะเป็นผู้ที่ผ่านการรับชามาทั้งนั้น เพิ่งมีน้องนักเรียนซึ่งขาดความกระตือรือร้นคนนั้น กับหญิงสาวที่เอาความกระตือรือร้นมาไว้กับตัวหมดคนนี้เท่านั้น

“เรื่องพวกนี้เอาไว้ซินถามกับเจ้าตัวเองแล้วกันนะ” มโนชาไหวไหล่น้อยๆ จริงๆ ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร เธอก็แค่สงสัย มือบางหมุนปากกาในมือเล่นนั่งคิดนั่นนี่ ความเงียบเริ่มคลี่คลุมบรรยากาศอีกครั้ง คนที่ไม่ค่อยถูกกับความเงียบก็เลยเอ่ยชวนคุยขึ้นมาอีก

“ว่าแต่มาอยู่ที่นี่พี่เหมยซีคิดถึงเมืองจีนบ้างไหมคะ”

“ก็คิดถึงบ้างเหมือนกัน แล้วตอนซินไปเรียนที่จีนคิดถึงเมืองไทยบ้างไหมล่ะ”

“คิดถึงสิคะเพราะมีคนให้คิดถึงไง ส่วนมากเวลาคนเราคิดถึงบ้านมันเป็นเพราะเราคิดถึงใครบางคนที่บ้านไม่ใช่หรือคะ อย่างซินก็คิดถึงอาม่า คิดถึงพี่ๆ เพื่อนๆ ว่าแต่พี่เหมยซีคิดถึงใครอยู่คะ” มโนชาเอ่ยแซวโดยที่เซี่ยเหมยซีเพิ่งจะรู้ตัวว่าโดนคำถามกึ่งแซวเข้าให้แล้ว น่าจะเพราะมโนชารู้ดีว่าช่วงกลางคืนเมื่อถึงเวลาสามทุ่มตรงของทุกวันเธอจะต้องไปรับสายจากเมืองจีน

“นั่นน่ะสิ” เซี่ยเหมยซีไม่ได้ตอบคำถาม เพียงมองหน้าคนอยากรู้อยากเห็นยิ้มๆ อย่างรู้ทัน “พี่จะคิดถึงใครได้ล่ะ”

คนที่ปลายสายนั่นน่ะหรือ เซี่ยเหมยซีไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหลายครั้งใครคนนั้นมักจะปรากฏอยู่ในห้วงความคิดคำนึงของเธอตอนกลางคืน อาจเป็นเพราะได้คุยกันก่อนนอนก็เป็นได้ บางครั้งก็สงสัยตัวเองว่าเธอคิดถึงเขาจริงหรือเปล่า เสิ่นต้าชานคนนั้น หรือบางทีเธอแค่ต้องการใครสักคนมาเติมเต็มบางสิ่งบางอย่างลงในความอ้างว้างเหน็บหนาวยาวนานนี้ก็เป็นได้

แต่แม้ว่าเสิ่นต้าชานจะปรากฏตัวในตอนตื่น หากว่ายามหลับฝันคนที่อยู่ในนั้นกลับเป็นอีกคน

ทว่าถึงแม้ตัวจะอยู่ใกล้ แต่ในด้านของความรู้สึกยังห่างไกลเกินจะมาบรรจบกันได้ หลายครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความฝันอันเลวร้ายที่ติดมากับความทรงจำตามหลอกหลอน เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเฉินเอินอยู่ห่างออกไปไม่ไกลเธอก็ได้แต่เฝ้าบอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เขาเคยช่วยเธอให้ผ่านมาได้ในครั้งนั้น อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังอยู่ใกล้เพียงแค่นี้ แต่ยิ่งนานสิ่งที่เฝ้าบอกตัวเองนั้นกลับคล้ายจะเลื่อนลอยขาดน้ำหนักลงไปทุกที

ความรู้สึกอบอุ่นจากสายตาคู่นั้นเมื่อแรกพบแม้จะยังไม่เปลี่ยนแต่กลับไม่ได้ให้ความอุ่นใจเหมือนเมื่อก่อน มนุษย์เราเกิดมาพร้อมความโลภ ทั้งที่เคยบอกตัวเองว่าขอแค่ได้อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอใจแล้ว ในตอนนี้เธอเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเธอกำลังหลอกตัวเองอยู่หรือเปล่าเพราะความรู้สึกเจ็บปวดและว่างโหวงนี้ และเธอก็ไม่มีหน้าจะขยับเข้าใกล้เขาเพื่อเดินหน้าสารภาพสิ่งที่คิดที่รู้สึกในใจ ยิ่งไม่อาจเรียกร้องให้เขามาปลอบใจเธอได้ เพราะเธอไม่ใช่เด็กสาวในตอนนั้นอีกแล้ว และเฉินเอินเองก็มีกำแพงของเขา มันถูกขีดแบ่งเอาไว้ไม่ให้เธอหรือใครก้าวข้ามผ่านเข้าไป

ทุกคนมีเรื่องราวเป็นของตนเอง ยิ่งสำหรับคนไม่ธรรมดาอย่างเขาด้วยแล้ว อิทธิพลของเขาที่มีต่อเธอทำให้เธอรู้สึกกริ่งเกรงเกินกว่าจะก้าวล่วงหรือเรียกร้องขอความรักความใส่ใจแบบเดียวกันกับที่เธอสามารถร้องขอจากอีกคนได้

เธอเห็นแก่ตัวใช่หรือไม่ ให้ความหวังเสิ่นต้าชาน เรียกร้องขอน้ำใจทดแทนสิ่งที่ปรารถนาจะได้จากอีกคน นำมันมาหล่อเลี้ยงหัวใจอันสิ้นหวังนี้ต่อไปเรื่อยๆ

เซี่ยเหมยซีอดยิ้มเยาะตัวเองไม่ได้ ไม่แน่ว่าครั้งนี้ใครจะเป็นคนยอมแพ้หมดใจไปก่อน เธอหรือว่าเสิ่นต้าชานคนนั้น

 



Don`t copy text!