เปลือกมุกสีชมพู บทที่ 10 : Boulevardier ขมขื่น เจ็บปวด เข้ม ร้อนแรง

เปลือกมุกสีชมพู บทที่ 10 : Boulevardier ขมขื่น เจ็บปวด เข้ม ร้อนแรง

โดย : ขวัญอินทร์

Loading

เปลือกมุกสีชมพู โดย ขวัญอินทร์ นวนิยายดราม่าเข้มข้นที่อ่านเอานำมาให้ได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวที่จะแสดงให้เห็นว่าเราอาจไม่เคยมองเห็นเนื้อแท้ของใครได้เลย ถ้าเราเลือกมองแค่เพียงเปลือก ความสำเร็จ ความล้มเหลว และภาพจำที่ผู้อื่นตีกรอบให้ เราจึงไม่ควรด่วนตัดสินใคร เพราะสุดท้ายผลกรรมจะเปิดโปงทุกอย่างไม่ช้าก็เร็ว

 

เบอร์เบิน สวีตเวอร์มุต กัมปารี

มุกอันดาเข้ามาบ้านมายังไม่ทันได้พักเหนื่อย ป้าศรีก็มาบอกว่าป้าจีให้ไปพบ ทั้งที่เธอไม่คิดไป

เหยียบบ้านนั้นอีก นับแต่วันเปิดพินัยกรรม เธอนึกรู้ในใจว่าไม่แคล้วพูดเรื่องที่ดิน คิดแล้วก็เหนื่อยหน่ายหัวใจบอกไม่ถูก ทำไมป้าถึงไม่ปล่อยวางบ้าง ทั้งที่ได้ทุกอย่างไปมากแล้ว

“ที่ดินเป็นยังไงบ้าง อยู่ที่ไหน” ป้าจีถามทั้งที่เธอยังไม่ทันหย่อนก้น

“ก็ไม่เป็นไงค่ะ เป็นสวนยางแก่ทั่วไปติดกับสวนลุงภู อยู่แถวช้างกลอย” มุกอันดาอธิบายเส้นทางให้ป้าฟังเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อให้เห็นภาพ

“นึกแล้วเชียวว่านายภูต้องจัดการ นี่คงจะหลอกย่าแกช่วยซื้อ!” คุณจีพูดเข่นเขี้ยว “ดีเลย งั้นแกก็ขายภูวดลนั่นแหละ” ขจีออกคำสั่งทันที

“ทำไมต้องขายคะ” มุกอันดาถาม งงกับคำสั่งป้าจี

“ถามได้ ก็จะได้เอาเงินมาแบ่งกันน่ะสิ ยังไงที่ตรงนั้นก็ต้องให้พี่ฟ้าด้วย”

“ตรรกะป่วยแล้วป้า” มุกอันดาอุทานเสียงหลง ไม่มีความเกรงใจอีกต่อไป

“ถ้าไม่อยากขายที่ดิน แกก็ขายไม้ยางก่อนก็ได้” ขจีใจเย็นหาทางต่อรอง

“ขายไม้ยางแล้วไง มุกต้องแบ่งป้าด้วยเหรอ” มุกอันดายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น คุณขจีถอนหายใจยาว ก่อนเล่าความจริงให้ฟัง อย่างไรเสียมุกอันดาก็เป็นหลานสาวแท้ๆ แม้จะเป็นคู่กัดกันตลอดก็ตามที

“ตลาดกำลังถูกยึด ถ้าแกไถ่คืนมาได้ฉันจะแบ่งค่าเช่าให้ครึ่งนึง”

ป้าจีเสียงอ่อน อธิบายปัญหาโครงการอสังหาฟ้าพราวที่ขาดสภาพคล่อง จนต้องเอาตลาดไปฝากขายเมียอากรณ์

มุกอันดาอ้าปากค้าง เธอเองก็เคยสงสัยว่าทำไมพี่ฟ้าถึงไม่เคยพัฒนาตลาดทั้งที่เก็บค่าเช่าทุกเดือน แถมยังเก็บค่าเช่าแพงจนแม่ค้าบ่นจะย้ายไปอยู่ที่อื่นกันหมดแล้ว

“แล้วค่าเช่าตลาดล่ะคะ หายไปไหนหมด”

“ถามได้ก็เอาไว้กินจ่ายในบ้านน่ะสิ ไหนจะผ่อนธนาคารอีก มันจะไปพอได้ยังไง แล้วสมรก็คิดดอกแพงแสนแพง ป้าเลยอยากหาเงินไปปิดๆ จะได้เริ่มต้นใหม่” ตอนท้ายน้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย เธอไม่เคยเห็นป้าจีหมดรูปเสียท่าเท่านี้มาก่อน

มุกอันดานั่งมึนเหมือนโดนค้อนทุบหัว เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าป้าจีกับพี่ฟ้าจะมีปัญหาเรื่องเงิน ก็เห็นทั้งสองคนยังดูอู้ฟู้ หรูหรา ไม่ได้ดูเหมือนคนมีปัญหาสักนิด

“แกขายที่ดินนั่น แล้วเอาเงินมาปิดหนี้อาหมอน จะขายใครป้าก็ไม่ว่า แล้วป้าจะแบ่งค่าเช่าให้หนึ่งส่วน” ป้าจียื่นข้อเสนออีกครั้ง

มุกอันดานิ่งคิด ที่ดินส่วนของป้าจีมีมหาศาล พอๆ กับของพ่อ แต่ละครั้งที่ป้าขายไม่ต่ำกว่ายี่สิบล้าน แล้วเงินหายไปไหนหมด เธอเกิดคำถามในใจ ตอนนี้กลายเป็นว่าเงินก็หมด ที่ดินก็เหลือแค่ตลาดท่าพรุ ที่ทั้งสองไม่กล้าขายคงกลัวอายคน เธอไม่คิดเลยว่าแค่ชั่วเวลาสิบกว่าปี ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้ แต่นั่นมันก็ไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด

“ไม่ละค่ะ หนี้ป้ากับพี่ฟ้า ป้าก็ใช้เองสิ มุกไม่ขายหรอกที่แปลงนี้คุณย่าให้มุกคนเดียว” ถึงแม้ยังงงกับเรื่องที่เพิ่งได้ยิน แต่เธอก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองต้องรับผิดชอบ

“ฟ้าบอกแม่แล้วใช่มั้ยว่าอย่าไปพูดให้เสียเวลา ยังไงมุกก็ไม่ช่วยอะไรเราอยู่แล้ว” ฟ้าพราวเอ็ดตะโรใส่คุณขจีเสียงดัง ทำเหมือนว่าไม่มีมุกอันดาอยู่ที่นั่น

เธอเข้ามานานพอได้ยินบทสนทนาทั้งหมดโดยไม่มีใครสังเกตเห็น เธอได้ยินคำปฏิเสธของมุกอันดา และเรื่องเสียหน้าเมื่อคืน ทำให้เธอหมดความอดทนเอ็ดตะโรใส่คุณขจี

“แม่ไปขอร้องมันทำไม แม่ไม่เห็นแก่หน้าฟ้าเลย เธอออกไปเลยนะมุก ต่อให้พี่ไม่เหลืออะไรพี่ก็ไม่มีวันก้มหัวให้เธอ แล้วอย่าคิดว่าคุณยายทำพินัยกรรมให้เพราะรักเธอมากกว่าพี่ คุณยายแค่เวทนาต่างหาก เวทนาความไม่เอาไหนทั้งอาจ่างทั้งเธอ”

ฟ้าพราวหันมาต่อว่าน้องสาวแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนกระทืบเท้าเข้าห้องไป มุกอันดายิ่งงงกว่าเดิม ว่าเธอผิดอะไร

“ฟ้า ฟ้า…ถึงยังไงแกต้องขายที่มาไถ่ตลาด ไม่งั้นก็ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าป้า” ป้าจีหันมาสำทับก่อนตามฟ้าพราวออกไป

“อะไรวะ อยู่ๆ ก็เรียกมาด่า” มุกอันดาอุทาน ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้กับตัวเองดี เธอเองก็อยากย้อนถาม ในทางกลับกันถ้าฟ้าพราวได้ที่ดินไป ป้าจะแบ่งให้เธอหรือเปล่า

————————————————————————————————————

ภายในห้องนอนของฟ้าพราว เจ้าตัวกำลังโกรธเกรี้ยวกับมารดา เธอพรั่งพรูความคับแค้นใจออกมาให้มารดาฟัง

“แม่รู้มั้ยฟ้าเจออะไรมาบ้าง แม่ไปขอร้องมันทำไม” ฟ้าพราวพรั่งพรูความเสียใจออกมาทั้งเรื่องที่ประชุมวันนี้ และเรื่องที่โดนมุกอันดาเยาะเย้ยเมื่อคืน

“ฟ้าเจ็บใจ ที่ฟ้าต้องเตรียมผลงานให้ก้องเกียรติหาเสียง ฟ้าเหมือนโดนปล้นผลงาน ใครๆ ก็รู้ว่าฟ้าเป็นคนทำ ทำไมคะ ทำไม มันต้องเป็นฟ้าสิ ที่ได้ลงสมัครสอทอ”

“แม่ขอโทษลูก แม่ แม่จนปัญญาจริงๆ สมรก็เร่งจะเอาเงินต้นคืน บอกว่าจะเอาไปให้ก้องเกียรติหาเสียง นึกแล้วก็เจ็บใจ รู้ทั้งรู้ว่าฟ้าช่วยงาน ยังจะมาทวงอยู่ได้”

ยิ่งได้ฟังเรื่องจากแม่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย วันนี้เธอไม่ได้ไปกับต้นบุญก็เพราะต้องประชุมสรุปผลงานเพื่อเตรียมให้ก้องเกียรติหาเสียง ความจริงแล้วช่วงบ่ายยังมีประชุม แต่เธออ้างว่าติดธุระแล้วตรงกลับมาบ้าน มาถึงก็เจอเรื่องของแม่กับมุกอันดาอีก

“ฟ้า แม่ว่าเราขายทุกอย่าง แล้วมาเริ่มต้นใหม่เถอะ” ขจีเห็นลูกสาวทุกข์ใจก็นึกสงสาร

“แม่หยุดพูดแบบนี้สักทีได้มั้ย ฟ้ากำลังสู้ กำลังแก้ปัญหาอยู่นะคะ ช่วยไม่ได้ก็อยู่เฉยๆ ได้มั้ย”

“แต่…ดอกเบี้ยธนาคาร…”

“ฟ้าอยากอยู่คนเดียวค่ะแม่” ฟ้าพราวยกมือห้ามและยอมแพ้ในเวลาเดียวกัน เธอไม่อยากฟังอะไรอีกแล้ว ขจีจำใจต้องลุกขึ้นออกไป ไม่อยากให้ฟ้าพราวเกรี้ยวกราดมากไปกว่านี้

ทันทีที่ปิดประตูลงเธอก็ทรุดลงนั่งหน้ากระจกพลางมองเงาตัวเอง เธอได้ชื่อว่าเป็นหญิงสาวที่น่าอิจฉาที่สุด นอกจากความสวยที่ไม่ได้เป็นรองใคร ยังมีครบทั้งฐานะและชาติตระกูล

ไม่มีใครรู้ว่าเธอปรารถนามากกว่านั้น เธออยากพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่าเธอเป็นคนเก่งด้วย คุณตาของเธอเป็นกำนันสองสมัย พอหมดวาระก็มาเป็นนายกเทศมนตรีอีกสองสมัยอยู่จนครบวาระอีกเช่นกัน เธอได้ใกล้ชิดและลิ้มรสอำนาจบารมีมาแล้วสมัยแบบคุณตารุ่งโรจน์ และเธอก็ปรารถนาที่จะอยู่ในเส้นทางอำนาจนั้นด้วยเช่นกัน

————————————————————————————————————

สามวันต่อมาต้นบุญเดินทางกลับกรุงเทพฯ เที่ยวบินเช้าตรู่ ฟ้าพราวมาส่งเขาที่สนามบินอีกเช่นเคย เธอฝากแผนธุรกิจให้เขาพิจารณา คนที่มารับเขาคือคุณภูวดล อากาศที่กรุงเทพฯ ขมุกขมัวด้วยฝุ่น PM ต่างจากหาดบุรีโดยสิ้นเชิง แถมรถรายังติด จนเขาบ่นอุบ

“ไปต่างจังหวัดไม่กี่วัน เจออากาศกรุงเทพแล้วบ่นใหญ่เชียว” คุณภูวดลแซวลูกชาย

“ก็มีบ้างครับ เมืองเล็กๆ มีครบทุกสิ่ง ก็สะดวกดี” ต้นบุญบอก เอนปรับเบาะเล็กน้อย เพราะขนาดที่นั่งตรงนี้เป็นของแม่ ซึ่งตัวเล็กกว่า

“แล้วเรื่องโครงการเป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีครับ งานส่วนที่เราจัดการไม่มีปัญหา ผมได้บริษัทรับเหมาถูกใจแล้ว งานดี ราคาดี แต่ใบอนุญาตนี่สิ นายช่างคนนี้เคี่ยวมากจะเรียกค่าน้ำชาเพิ่ม” ต้นบุญพูดเสียงหงุดหงิดในตอนท้าย เขาเล่าเรื่องหัวหน้าโยธาวัยใกล้เกษียณในวันที่เขาไปยื่นใบขออนุญาต

“สงสัยจะหาเงินเกษียณละมั้ง แล้วอากรณ์ว่าไงบ้าง” คุณภูวดลหัวเราะในลำคอ ก่อนถามถึงนายกฯ กรณ์ หัวหน้าโยธาคนนั้นคงไม่รู้ว่าบริษัทเขารู้จักกับท่านนายกฯ

“ยังไม่ได้ไปพบครับ คิดว่าถ้าเรารับได้ก็ไม่ต้องไปรบกวนท่าน ช่วงนี้เห็นยุ่งเรื่องเตรียมเลือกตั้ง” เรื่องนี้ถือเป็นอุปสรรคที่นักอสังหาทุกคนไม่ว่าโครงการเล็กใหญ่ต้องเผชิญ เพียงแต่ว่าใครจะกินตะกละมากกว่ากัน

“ก็ลองเอาเข้าประชุมดู แล้วเรื่องมุกอันดาล่ะ เรียบร้อยดีมั้ย”

“ก็ดีครับ พอเห็นที่ดินก็หน้าจ๋อยเหมือนกัน คงกำลังมึนว่าจะเอายังไงต่อดี”

“บอกน้องแล้วใช่มั้ยว่าถ้าจะขายให้บอกเราก่อน”

“บอกแล้วครับ และก็บอกแล้วด้วยว่าต่อไปราคาอาจดีกว่านี้” ต้นบุญพูดไปก็หัวเราะขำตัวเองไป ถ้าใครรู้เข้าคงคิดว่าเขาโง่ แทนที่จะขอซื้อตอนนี้ กลับรอซื้อตอนราคาแพง เรื่องของเรื่องคือนึกสงสารเท่านั้น

“ดีแล้วละ ค่อยๆ แนะนำน้องให้ลงทุนปลูกยางพารา หรือจะรอพัฒนาที่ดินตอนถนนขยายเต็มที่พร้อมเราก็ได้ ต้นต้องแนะนำน้องนะลูก”

“ครับ นี่ก็ส่งข้อความมาบอกว่า รอบหน้าจะเลี้ยงเหล้า ขอบคุณที่พาไปดูที่ดิน”

คุณภูวดลส่ายหัวดิกก่อนหัวเราะขำ “ลูกพ่อจริงๆ เชื้อไม่ทิ้งแถว เสียดายเป็นผู้หญิง นี่ถ้าเป็นผู้ชายคงได้เป็นนักการเมืองแทนปู่”

“ฟ้าพราวล่ะครับ เป็นไม่ได้หรือ ผมว่าเค้าดูเป็นผู้ใหญ่ ดูสง่า จัดการเก่ง ยิ่งพอรู้ว่าเราอายุเท่ากันผมงี้อายเลย”

“นักการเมือง จะให้อะไรใครต้องรู้จักใจคน แต่ฟ้าพราวไม่สนใจใครนอกจากความต้องการตัวเอง”

“แบบนี้มุกอันดาก็คิดว่าผมชอบดื่มน่ะสิ” ต้นบุญโวยวายเมื่อคิดถึงข้อความไอ้ตัวแสบ

“ก็แกไปทำเอาอิท่าไหนล่ะ เด็กถึงได้เข้าใจไปแบบนั้น” คุณภูวดลถามเสียงเรียบแต่ก็ออกแนวติงเล็กน้อย

“ก็…ไปที่ร้านนั้นสองสามครั้งเองนะครับ” ต้นบุญบอกเสียงอ่อย เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไปหาดบุรีสามครั้ง แสดงว่าไปที่ร้านเกือบทุกครั้งที่ไป คงไม่ใช่ไปดื่มน้ำเปล่าแน่ “แต่ผมก็ไม่ได้ดื่มจัดสักหน่อย”

“น้องก็กะเลี้ยงแกแค่แก้วเดียวนั่นแหละ สมัยพ่ออยู่ที่นั่น ใครที่ไปกินเหล้ากับอาจ่าง มุกอันดาจะเป็นคนชงเหล้าให้ รู้ด้วยนะว่าคนนี้กินกี่ฝา กี่แก้ว ใครจะเมาไม่เมา ถ้าใครเริ่มเมาพี่แกแอบรินน้ำชาผสมเหล้าให้ดูสีเข้ม คนเมาก็ลิ้นชาที่รู้ก็กลับ ที่ไม่รู้ก็ดื่มไปชมไป ดีที่เป็นคนแถวนั้นเลยไม่มีใครถือสา เพราะถ้าลองแม่ทำฤทธิ์ไม่ให้เข้าบ้าน อาจ่างก็ต้องยอม”

ต้นบุญหัวเราะลั่นเมื่อได้ยินสรรพคุณวัยเด็กของมุกอันดา เรียกว่าแสบตั้งแต่เด็ก มิน่าถึงไม่ถูกกับคุณขจีและฟ้าพราว เขานึกถึงมุกอันดาตอนเป็นบาร์เทนเดอร์กับตอนเดินในสวนยาง รูปลักษณ์อาจดูต่างกัน แต่นิสัยใจคอแทบไม่ต่างกันเลย

“มีอีกเรื่องครับพ่อ ฟ้าพราวเปรยๆ ว่าจะเสนอให้เราร่วมทุนโครงการอาคารพาณิชย์ เห็นว่าโดนผู้รับเหมาโกง ทำให้โครงการล่าช้า”

“แล้วต้นคิดว่าไง”

“ผมว่าลงทุนเพิ่มสักสามสิบล้านก็เสร็จ แต่ไม่รู้ว่าจะขายได้หรือเปล่าน่ะสิครับ เพราะเราไม่ได้ประเมินตลาดตอนเริ่มโครงการเอง” เขาตอบแบ่งรับแบ่งสู้

“พ่อว่าซื้อขาดน่าสนใจกว่า อย่างน้อยเราก็ได้ที่ดิน ซึ่งต้องอยู่ในราคาที่เรารับไหวนะ แต่ถ้า…ร่วมทุนพ่อว่าอย่าเลย ปวดหัวเปล่าๆ แม่เราคงบ่นเรื่องทำบัญชีจนหูชา” คุณภูวดลตอบลูกชาย ซึ่งแน่นอนว่าหากร่วมทุนบัญชีต้องแม่นยำ และบริษัทที่มีปัญหาส่วนใหญ่ก็เกิดจากการบริหารบัญชี การเงินไม่ละเอียด ดังนั้น แค่เริ่มจะลงทุนดีไม่ดีอาจมีปัญหากับคุณขจีอีกต่างหาก

“ครับ ผมจะได้บอกฟ้าพราวไป เธอจะได้หาคนร่วมทุนใหม่” ต้นบุญรับคำอย่างง่ายดาย

ถึงแม้ลึกๆ จะกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฟ้าพราวจะลดลง แต่งานก็ต้องมาก่อน ถึงจะเสี่ยงต่อการถูกมองว่าเป็นลูกแหง่ แต่เขาเชื่อในการตัดสินใจของพ่อเสมอ สำหรับเขาขอให้ธุรกิจมั่นคงปลอดภัยไว้ก่อน การขาดทุนทางธุรกิจก็เหมือนเดินตกหลุมแล้วก็ยากที่จะให้มันเพิ่มพูน เพราะกว่าจะทำได้เราก็ต้องถมหลุมให้เต็มเสียก่อน

 

 



Don`t copy text!