สายแนน บทที่ 1 : คนแปลกหน้า
โดย : SUDA
สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง
ตะวันคล้อยลงปลายไม้เปลี่ยนแผ่นฟ้าให้เป็นสีทองอร่าม สายลมเย็นพัดผ่านเรือนหลังน้อยเป็นสัญญาณของฤดูหนาว บรรยากาศยามเย็นในวันนี้ดูร่มรื่นชวนผ่อนคลายนัก
แม่หญิงคนหนึ่งยืนอยู่หน้าเรือนตามลำพัง หญิงสาวร่างบางอ้อนแอ้น ผิวพรรณขาวนวล แต่งกายด้วยผ้าซิ่นสีน้ำตาล มีผ้าพันอกไว้หลวมๆ แล้วเบี่ยงพาดไหล่ซ้ายไปเพื่อปกปิดเนินอกอิ่ม สองมือถือกระด้งใหญ่ฝัดข้าวเป็นจังหวะจนเปลือกข้าวปลิวไปตามแรงลม…เหลือเพียงข้าวสารไว้เผื่อนึ่งตอนเช้ามืด
ถัดจากเรือนไปไม่ไกลนักก็มีลานดินกว้าง ที่มักมีเด็กๆ ในละแวกนั้นจับกลุ่มวิ่งเล่นอยู่เสมอ เย็นวันนี้เองก็เช่นกัน เสียงวิ่งเล่นร้องเจื้อยแจ้วท่าทางสนุกสนานนัก
ชาวบ้านในที่นี่มีราวแปดสิบครัวเรือน สร้างเรือนอยู่อาศัยด้วยไม้เนื้อแข็งที่หาได้ทั่วไป ปลูกต้นไม้ใหญ่รอบบริเวณเพื่อให้ร่มเงาเพราะยามกลางวันแดดจัดนัก
แผ่นดินอีสานนี้ยามฝนมาก็อุดมสมบูรณ์ แต่หากเข้าสู่หน้าแล้งยามใด น้ำก็เหือดแห้งไปจนแผ่นดินแตกระแหง เหตุเพราะลักษณะเนื้อดินคล้ายทรายขาวอุ้มน้ำไม่อยู่
หญิงสาวเจ้าของเรือนยืนถือกระด้งฝัดข้าวอยู่นานโขจนตะวันเริ่มลับแสงลง เด็กๆ ต่างทยอยวิ่งกลับเรือนกันหมดแล้วจึงทำให้บรรยากาศสงบเงียบ เธอจึงเดินกลับเข้ามาในเรือนแล้วเก็บข้าวสารให้เรียบร้อย
“ปิ่นเอ๊ย กับข้าวเสร็จแล้วบ่ลูก”
“จ้ะแม่”
เมื่อมารดาร้องเรียกเธอจึงส่งเสียงตอบรับ สายตาเหลือบมองสำรับข้าวที่ตนเตรียมไว้ก่อนจะยกไปนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้า “แลงนี้มีกับข้าวหลายอย่างจ้ะแม่ ป่นปลาเข็งกินกับผักสด ปิ้งปลาแห้ง แกงหน่อไม้”
เอ่ยอธิบายเรียบร้อยแล้วเธอจึงนั่งล้อมวงกินข้าว แต่เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทลงทุกทีจึงทำให้แทบมองไม่เห็น หญิงสาวจึงหันกลับเข้าครัวอีกครั้งเพื่อไปจุดท่อนขี้ไต้ให้แสงสว่าง แต่ควานหาอย่างไรก็ไม่พบ คิ้วเรียวจึงขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย
“กระบองขี้ไต้หมดแล้วหรือจ๊ะ”
“บ่หมด” นางสายผู้เป็นมารดาส่ายหน้าเบาๆ “แม่เอาไปเก็บไว้ข้างล่างเฮือน มีอันที่เพิ่งซื้อมาใหม่หลายอยู่…ป้าคำมีเอามาขายให้”
เมื่อมารดาเอ่ยอธิบายว่าเก็บไว้ใต้ถุนเรือน ปิ่นจึงเดินลงบันไดไปควานหาในทันที กระบองขี้ไต้เป็นท่อนใบไม้เล็กๆ ขนาดราวหนึ่งศอก ทำจากใบไม้แห้งผสมยางจากต้นยางนา ใช้ตอกมัดเป็นท่อนเก็บไว้ใช้จุดไฟให้แสงสว่าง
“อ้อ! เห็นแล้ว”
ปิ่นกวาดสายตามองครู่หนึ่งก่อนจะอุทานเบาๆ แล้วเดินปรี่เข้าไปหา มือหยิบเอากระบองขี้ไต้ไปสองสามท่อน แต่เมื่อหันกลับมาก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเห็นเงาคนยืนอยู่ใต้ถุนท่ามกลางความมืด เงาชายร่างสูงคนหนึ่งกำลังมองมาหาเธอ…สายตาจ้องเขม็งชวนขนลุก
“ผะ…ผี!” ปิ่นถอยหลังหนีทันที เมื่อเห็นชายปริศนาก้าวเข้ามาเธอจึงกรีดร้องดังลั่น
“กรี๊ดดดดดด! ผีหลอก!”
ร่างเล็กรีบถอยหนีท่าทางตื่นกลัวถึงขีดสุด แต่เพราะความรีบร้อนจึงทำให้สะดุดล้มหงายลงกับพื้น เมื่อชายปริศนาก้าวเข้ามาดูเธอใกล้ๆ ปิ่นยิ่งกลัวจนทำอะไรไม่ถูก
เขาเป็นชายวัยกลางคน แววตาดุดันราวสัตว์ร้าย เพราะยืนอยู่ท่ามกลางความมืดและแววตาน่ากลัวเช่นนี้ เธอจึงคิดว่าเป็นผีร้ายแน่
“พ่อจ๋า! แม่จ๋า! ผีหลอกก”
“ปิ่น! เป็นหยังไปลูก!” บิดาของหญิงสาวได้ยินเสียงจึงรีบวิ่งลงมาในทันที แต่เมื่อมาถึงชายปริศนานั้นก็หายไปเสียแล้ว เหลือเพียงลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนที่นั่งปิดหน้าร้องไห้
“ผี…ผีหลอก…”
“บ่มีผีดอกลูก ตั้งสติก่อน” นางสายรีบลงจากเรือนมาหาลูกสาวเช่นกัน เมื่อคนเป็นพ่อแม่ยืนยันแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ปิ่นจึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ชายปริศนาหายไปแล้วเธอจึงถอนหายใจเบาๆ แล้วยกมือปาดน้ำตาบนนวลแก้ม
“ลูกเห็น…ลูกเห็น…”
“ข้างล่างเฮือนมันมืด เจ้าคงตาฝาดไปนั่นละ”
เมื่อบิดากล่าวเช่นนั้นปิ่นจึงตั้งสติก่อนจะพยักหน้ารับ ปล่อยให้มารดาเดินจูงมือขึ้นไปบนเรือนทั้งที่ตนยังหวาดกลัวมิทันหาย แต่เธอมั่นใจนักว่าตนเองมิได้ตาฝาด ต้องมีชายปริศนามายืนอยู่ใต้ถุนเรือนเป็นแน่ หากมิใช่ผีก็คงเป็นโจรผู้ร้าย…เพราะสายตาที่มันจ้องมองเธอนั้นน่ากลัวนัก จ้องมองราวกับจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้…
แม้คืนนั้นไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดเกิดขึ้นอีก แต่ปิ่นก็มั่นใจนักว่าจนบัดนี้ก็ยังมีชายปริศนาเฝ้ามองเธออยู่เสมอ ยามกลางวันเธอจึงดำเนินชีวิตตามปกติ…แต่หากพลบค่ำลงเมื่อใดก็รีบเก็บตัวอยู่แต่ในเรือนไม่ยอมออกไปไหน
ยามบ่ายของวันนี้ก็เช่นกัน ดูแลงานเรือนเรียบร้อยแล้วหญิงสาวจึงหาบกระบุงเปล่าไปตักน้ำที่ชายป่าทางทิศใต้ เมื่อมาถึงก็เห็นผู้คนยืนสนทนามากมายอย่างทุกครั้ง ชาวบ้านที่นี่มักจะหาบกระบุงมาตักน้ำบริเวณนี้ทุกวัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแม่หญิงในเรือนเพราะต้องนำน้ำเหล่านี้ไปใช้อุปโภคบริโภค
บ่อน้ำแห่งนี้เป็นบ่อน้ำเก่าแก่ที่ชาวบ้านช่วยกันขุดลึกจนถึงชั้นหินด้านล่าง ทำให้มีน้ำไหลตลอดปี เพราะตามปกติแล้วหากฝนหยุดฤดูลงคราใด น้ำตามบึงก็แห้งขอดจนแผ่นดินแตกระแหง ชาวบ้านจึงนิยมมาตักน้ำที่บ่อแห่งนี้ไปใช้
หญิงสาวเดินเข้าใกล้ปากบ่อแล้วหยิบครุใบใหญ่เกี่ยวขอไม้ไผ่หย่อนลงไปตักน้ำด้านล่าง แต่เมื่อตักใส่จนเต็มก็ต้องชะงักไปเพราะมีบุรุษร่างสูงเดินเข้ามาหา
“อ้ายหาบน้ำให้เอง”
ชายหนุ่มหันมาส่งยิ้มกว้าง มือหนาสอดคานหาบให้เป็นคู่แล้วยกขึ้นพาดบ่า ปิ่นเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยเลยตามเลย ยามสองคนได้สบตา นวลแก้มสาวก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
“อ้ายทอง…อ้ายไปส่งแค่หน้าเฮือนลุงก่ำก็พอ อย่าตามไปถึงเฮือนข้อยเลย…เดี๋ยวพ่อแม่ข้อยเห็น”
“อย่างนั้นก็ได้” ทองพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มกรุ้มกริ่ม “แต่เมื่อเช้าอ้ายขุดปูนาได้มาหลาย อ้ายสิแอบเอาไปวางไว้ให้”
“บ่ต้องดอก” หญิงสาวรีบกล่าวปฏิเสธแม้ในใจจะรู้สึกตรงกันข้าม เธอกับเขาผูกสมัครรักใคร่กันมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาตามมาถึงเรือนเสียที เพราะตนเป็นหญิงหากไม่สงวนท่าทีก็อาจดูไม่งามได้
ทองเป็นชายหนุ่มอายุมากกว่าเธอห้าปี รูปร่างสูงสง่า ใบหน้าคมเข้ม ท่อนบนเปลือยเปล่าเผยให้เห็นแผ่นอกกำยำน่าสัมผัส ท่อนล่างนุ่งหยักรั้งด้วยผ้าผืนเดียว แล้วใช้ผ้าขาวม้าผูกเอวท่าทางทะมัดทะแมงนัก นอกจากรูปกายที่ดูสง่างามกว่าชายหนุ่มในวัยเดียวกันแล้ว ทองยังขยันทำมาหากินอีกด้วย
สองหนุ่มสาวเดินเคียงกายกันมาสักพักหนึ่ง จนกระทั่งถึงเรือนของลุงก่ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของเธอนัก แต่ยังมิทันได้กล่าวร่ำลากัน ปิ่นก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งยืนสนทนากับบิดาเธอท่าทางสนิทสนม
เมื่อเห็นใบหน้าชัดเจน…หัวใจเธอก็พลันกระตุกวูบ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ
“อ้ายทอง นั่น…นั่นมัน…!”
ปิ่นอุทานพร้อมกับเบี่ยงตัวหลบอยู่ด้านหลังเขา มือน้อยเกาะแผ่นหลังแกร่งไว้แน่นด้วยความหวาดกลัว เธอจำคนผู้นั้นได้แม่นยำนัก ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงสง่า อายุมากกว่าบิดาเธอเพียงไม่กี่ปี นัยน์ตาเคร่งขรึม แต่บางคราก็ดูน่ากลัวชวนขนลุก
“เจ้าเป็นหยังไป”
“ลุงคนนั้น! ข้อย…ข้อยเคยเห็น เขาเป็นผีมาหลอกข้อยอยู่เฮือน”
“คงบ่แม่นผีดอก” ทองกล่าวตอบพลางเหลียวมองตามไป “เห็นกันยามกลางวันแสกๆ อย่างนี้ก็คงเป็นคนธรรมดานี่ละ”
แม้ฟังคำตอบจากเขาเช่นนั้น แต่ในใจของปิ่นก็มิคลายความหวาดกลัวลงสักนิด ทำไมหนอ…คนแปลกหน้าเพียงคนเดียวกลับทำให้เธอขนลุกได้ถึงเพียงนี้ ราวกับชายผู้นั้นรู้จักเธอ และต้องการอะไรบางอย่างจากเธอด้วย
แต่เพราะความจำเป็นที่ต้องกลับเรือนตน สุดท้ายเธอจึงรวบรวมความกล้าเดินเข้ามาจนได้ หญิงสาวหาบน้ำไปเติมในโอ่งด้านหลัง ก่อนจะขึ้นเรือนมาด้วยความหวาดกลัว บัดนี้ชายปริศนาเดินขึ้นมาบนเรือนแล้ว อีกทั้งยังนั่งสนทนากับพ่อแม่ของเธอท่าทางสนิทสนมนัก…เมื่อเห็นเธอเดินขึ้นบันไดมาจึงส่งยิ้มให้
“นั่นลูกเจ้าแม่นบ่”
“แม่นจ้ะ ชื่อนางปิ่น…ลูกสาวคนเดียวของข้อย” นางสายเอ่ยอธิบายโดยมิได้สังเกตเห็นท่าทีของลูกสาว ปิ่นจึงทำได้เพียงถอยหนีจนหลังชนฝาเรือน สายตาจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความหวาดหวั่น
“อีนางเอย เอาน้ำท่ามาให้ลุงแสงคำเร็วลูก”
มารดากล่าวเช่นนั้นปิ่นจึงลุกไปตักน้ำดื่มมาวางไว้ให้ มือไม้สั่นเสียจนเกือบทำขันน้ำหล่นหลายหน ก่อนจะถอยออกไปนั่งห่างๆ ท่าทางตื่นกลัวอย่างเห็นได้ชัด
“อีหล่าปิ่น…ลูกเป็นหยังไป”
“บ่…บ่เป็นหยังจ้ะ!”
“นี่ลุงแสงคำ…เป็นผัวของป้าเจ้าที่ตายไปเมื่อสามสิบปีก่อน” นางสายผู้เป็นมารดาเอ่ยอธิบายเมื่อเห็นปิ่นนั่งเงียบ ก่อนจะหันกลับไปถามนายแสงคำอีกครั้ง “ว่าแต่อ้ายไปอยู่ไหนมา ข้อยบ่ได้ยินข่าวคราวหลายสิบปีแล้ว”
“อ้ายย้ายไปอยู่อีกฝั่งแม่น้ำโขง พยายามใช้ชีวิตให้ลืมเรื่องราวแต่ก่อนเก่า…แต่ก็ลืมยากหลาย บั้นปลายชีวิตจึงอยากกลับมาอยู่ที่นี่ หากินไปวันๆ ใช้วิชาอาคมมารักษาคนเจ็บไข้”
“ดีหลาย ข้อยขออนุโมทนาบุญ”
บิดาของปิ่นกล่าวสมทบเมื่อได้ฟังเรื่องราว “ข้อยจำได้ว่าสมัยยังเป็นเด็กน้อย เห็นอ้ายเป็นนายฮ้อยวิชาอาคมแก่กล้า หากย้ายมาอยู่นี่ก็คงเป็นบุญของคนบ้านเฮาหลาย ยามเจ็บไข้สิได้พึ่งพาอาศัย ทำพิธีไล่ภูตผีให้ พักหลังมานี้ข้อยว่ามันมีอีหยังแปลกๆ ในบ้านเฮาอยู่ อีนางปิ่นลูกสาวข้อยก็เพิ่งเห็นผีเมื่อคืนก่อน”
“เห็นผี?”
นายแสงคำยกยิ้มมุมปากเมื่อได้ฟังถ้อยคำ “หากเห็นผีอย่างนี้ก็คงเป็นเพราะดวงตก ภูตผีเลยเข้ามาสิงสู่ได้ง่าย ขยับมานี่…ลุงจะตรวจดวงชะตาให้”
“บ่ต้อง! อย่ามายุ่งกับข้อย!” ปิ่นรีบถอยหลังไปด้วยความตื่นตระหนก
“ปิ่นเป็นหยังไปลูก…เข้ามาหาลุงแสงคำเร็ว” นางสายช่วยเกลี้ยกล่อมปิ่นอีกแรงเมื่อเห็นเธอขยับหนี แต่เมื่อปิ่นยังดื้อรั้นนางสายจึงต้องปล่อยเลยตามเลย ทำได้เพียงบอกวันและเวลาตกฟากของเธอเท่านั้น
“อีนางปิ่นลูกสาวข้อย เกิดวันพุธกลางคืน ยามสอง ขึ้นสิบห้าค่ำ…เดือนสี่…ปีชวด”
นางสายเอ่ยอธิบาย “คืนที่นางปิ่นเกิด แม่ข้อยบอกว่าเป็นวันเวลาตกฟากเดียวกันกับเอื้อยเดือน เพียงแต่ห่างกันสามรอบเท่านั้น หน้าตามันก็ละม้ายคล้ายเอื้อยเดือนสมัยยังสาว จนบางครั้งข้อยก็แอบคิด…ว่าอีนางปิ่นเป็นเอื้อยเดือนกลับชาติมาเกิด”
“บ่แม่นดอก วิญญาณของเดือนยังอยู่แถวนี้…ยังบ่ได้ไปเกิดที่ไหน”
นายแสงคำกล่าวตอบเสียงเรียบนิ่ง เขารู้มาก่อนหน้านี้แล้วว่าแม่ปิ่นมีวันเวลาตกฟากเดียวกันกับเดือน แม่หญิงอันเป็นที่รักของเขา และเหตุที่เขากลับมาครั้งนี้ก็เพื่อใช้ดวงชะตาของปิ่นนำพาเดือนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
แม้รู้ว่าที่ผ่านมาเธอไม่เคยมีใจให้…หนำซ้ำยังเกลียดเขายิ่งกว่าสิ่งใด แม้ตายเป็นผีแล้วก็ยังไม่ปรากฏตัวให้เห็นหน้า แต่เพราะรักที่เขามีนั้นมากเกินกว่าจะปล่อยวาง…แล้วปล่อยเธอไป แม้เวลาผ่านนานเท่าใดรักนั้นก็มิเคยลบเลือนหาย ที่ผ่านมาเขาทุกข์ทรมานราวกับตกนรก หากมีสักหนทางหนึ่งที่จะชุบชีวิตเธอกลับคืนมาได้…มีหรือเขาจะไม่คว้าไว้
แม้ต้องแลกกับชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่างแม่ปิ่นก็ตาม…