สายแนน บทที่ 3 : เฝ้าถนอม
โดย : SUDA
สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง
ภาพเหตุการณ์เมื่อสามสิบปีก่อนยังชัดเจนในความทรงจำ ยิ่งนึกถึงยิ่งตอกย้ำให้เจ็บปวดมากขึ้นจนแทบทนมิไหว นายแสงคำยังนั่งเงียบอยู่ในกระท่อมท้ายป่าช้า สายตาหันมองเถ้ากระดูกของแม่หญิงอันเป็นที่รัก ภาพความทรงจำที่วนเวียนกลับมาอีกครั้ง…ทำให้น้ำตาไหลหยดอาบใบหน้า
แต่เพราะเรื่องราวผ่านมาสามสิบปีแล้ว หากมัวนั่งเศร้าโศกไปก็คงไร้ประโยชน์ เขาจึงยกมือปาดน้ำตาตนเองก่อนจะเก็บห่อเถ้ากระดูกของเดือนให้เรียบร้อย
ร่างสูงนั่งอยู่ในเรือนคนเดียว มือหยิบเอาข้าวของมาตั้งโต๊ะหมู่บูชา ประกอบไปด้วยสายสิญจน์ ดินเจ็ดป่าช้า ข้าวสารเสก ธูปเทียน มีดลงอาคมและข้าวของอัปมงคลอีกหลายอย่าง เหตุที่ต้องเตรียมทำพิธีเล่นมนตร์ดำเช่นนี้ เพราะเขามิได้กลับมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างสุขสงบดังที่กล่าวกับชาวบ้าน แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็เพื่อหาทางฟื้นชีวิตของเดือนให้กลับมาเท่านั้น
หลังจากเตรียมข้าวของทำพิธีเรียบร้อยแล้ว แสงคำจึงนั่งรอเวลาจนเข้าสู่ยาม 3 ก่อนจะนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าโต๊ะบูชา เอื้อมมือหยิบดินเจ็ดป่าช้ามาปั้นเป็นรูปคนแล้วมัดด้วยด้วยสายสิญจน์ พร้อมกับขยับริมฝีปากเบาๆ ร่ายมนตร์สะกด ใบหน้าที่เริ่มมีริ้วรอยตามวัย…บัดนี้ดูเรียบนิ่งชวนขนลุก
เสียงหมาหอนดังแว่วมาทำให้ท้ายป่าช้าวังเวงมากขึ้น…สายลมพัดรุนแรงจนเกิดเสียงดังหวีดหวิว เบื้องหน้าปรากฏเป็นผีหุ่นพยนต์ที่เขาเสกขึ้นมาเมื่อครู่ เป็นแม่หญิงรูปร่างผอมแห้งเนื้อติดกระดูก ผมเผ้ารุงรังยาวถึงกลางหลัง นุ่งผ้าซิ่นและสไบห่มกายจากเศษผ้าเก่าในป่าช้า นัยน์ตาแดงก่ำ…ผิวกายดำคล้ำราวซากศพมนุษย์
นายแสงคำเหยียดยิ้มมุมปากเบาๆ แล้วจ้องมองหุ่นตรงหน้าแน่วแน่ “ให้มึงไปหาอีปิ่น ลูกสาวคนเดียวของอีสายน้องเมียกู ไปหลอกหลอนมัน…ไปเอามันมาให้กู…”
นายแสงคำเอ่ยเสียงเรียบ นัยน์ตาดุดันราวสัตว์ร้ายมิต่างจากเมื่อครายังหนุ่มแน่น หุ่นพยนต์ฟังคำสั่งก่อนจะพยักหน้ารับแล้วเงยหน้าสบตา ริมฝีปากแห้งกรังนั้นแสยะยิ้มฉีกไปถึงใบหู จากนั้นจึงเลือนหายไปพร้อมเสียงหัวเราะชวนขนลุก…
แม้ในป่าช้าคืนนี้บรรยากาศวังเวงสักเพียงใด แต่เรือนหลังน้อยของปิ่นกลับยังเงียบและสงบสุขดังวันเก่า ดึกสงัดจนถึงยาม 3 เช่นนี้ผู้คนจึงต่างเข้าสู่ห้วงนิทรา รอบกายมีเพียงสายลมหนาวพัดมาเป็นระยะเท่านั้น
ร่างเล็กของปิ่นนั่งอยู่บนชานเรือนตามลำพัง…เหตุเพราะยังนอนไม่หลับจึงออกมานั่งรับลมข้างนอก หญิงสาวนั่งกอดเข่าเหม่อมองดาวบนแผ่นฟ้า แต่เพราะความวังเวงที่ปกคลุมรอบกายนั้นมากขึ้นจนรู้สึกได้…นัยน์ตาคู่ใสของปิ่นจึงหันมองรอบกายด้วยความหวาดหวั่น
เหตุใดหนออยู่ๆ บรรยากาศจึงน่ากลัวนัก ท้องฟ้าที่เคยงดงามพลันเปลี่ยนเป็นมืดสนิท บางคราก็ได้ยินเสียงลมพัดหวิดหวิว…ฟังแล้ววังเวงชวนขนลุก
นึกได้เช่นนั้นปิ่นจึงคิดว่าตนควรเข้านอนเสียที มือบางกระชับผ้าคลุมไหล่ของตนให้แน่นขึ้นเพราะรู้สึกหนาว ก่อนจะดับไฟในท่อนกระบองขี้ไต้ที่กำลังส่องแสงสว่าง แต่ทันทีที่ไฟมอด ก็พลันมีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านลำคอ…พร้อมเสียงหัวเราะแหบแห้งดังอยู่ข้างหู
“สะ…เสียงอีหยัง…”
ปิ่นอุทานพร้อมกับถอยหลังไปด้วยความตื่นตระหนก เหงื่อผุดพรมทั่วกายสาว นัยน์ตาคู่ใสมีน้ำตาเอ่อด้วยความกลัว เมื่อเห็นท่าไม่ดีเธอจึงรีบลุกขึ้นหมายจะวิ่งกลับเข้าห้องนอน แต่ก็มีมือปริศนาจับหัวไหล่บางไว้เธอจึงกรีดร้องดังลั่น
“กรี๊ดดดดด!”
ปิ่นสะบัดมือเย็นยะเยือกนั้นออกแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต เท้าเล็กสะดุดล้มลงกับพื้นจึงตะเกียกตะกายคลานถอยหนีด้วยความตื่นตระหนก ผีหุ่นพยนต์มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้พลางฉีกยิ้มน่าสยดสยอง นัยน์ตาแดงก่ำมีเลือดไหลทะลัก เสียงหัวเราะดังวนเวียนก้องอยู่ในหัว…เสียงดังมากจนเธอต้องเอามือปิดหูแล้วกรีดร้องราวคนวิปลาส
“กรี๊ดดดดด! ผีหลอก! ผีหลอกกก!!”
“ปิ่น! เป็นหยังไปลูก”
นายสินได้ยินเสียงกรีดร้องจึงสะดุ้งตื่นแล้ววิ่งออกมาชานเรือนทันที ภาพที่เห็นคือลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนนอนเกลือกกลิ้งกับพื้นเรือนพร้อมกับกรีดร้องดังลั่น เขาจึงรีบเข้าไปประคองไว้แล้วเขย่าหัวไหล่บางให้เธอตั้งสติ
“ปิ่นเอ๊ย! ได้ยินเสียงพ่อบ่ลูก! ตั้งสติก่อน”
นางสายผู้เป็นมารดาออกมาดูเหตุการณ์พร้อมๆ กัน เมื่อเห็นปิ่นยังกรีดร้องทุรนทุรายจึงคิดว่าผีเข้าเป็นแน่ ทั้งสองจึงรีบเข้ามากอดลูกไว้แล้วเอ่ยเรียกให้เธอคืนสติแต่ก็ไม่เป็นผล เสียงกรีดร้องของปิ่นดังไปไกลจนชาวบ้านละแวกนั้นวิ่งออกมามุงดูด้วยความตกใจ รวมถึงทองเองก็รีบมาดูเหตุการณ์ด้วย
“อีนางปิ่นถูกผีเข้า! อีนางปิ่นถูกผีเข้า!”
นางสายกรีดร้องพลางวิ่งเข้าไปจับตัวปิ่นไว้ น้ำตาไหลเอ่อด้วยความกลัวเมื่อเห็นลูกสาวยังดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงนั้น ชาวบ้านบางคนได้ยินเสียงจึงรีบขึ้นมาช่วย แต่เมื่อปิ่นยังไม่ได้สติสักทีจึงคิดหาหมอผีมาช่วยปราบให้
“เอาอีปิ่นไปหาลุงแสงคำอยู่ท้ายป่าช้า…เร็ว!”
ชาวบ้านที่มาช่วยรีบบอกแก่บิดาเธอ เพราะคิดว่านายแสงคำมีอาคมแก่กล้าเกินใครจึงปราบผีตนนี้ได้แน่ แต่ก่อนจะอุ้มร่างเธอลงเรือนไปทองก็เดินขึ้นมาเสียก่อน ร่างสูงเดินแหวกฝูงชนเข้ามาก่อนจะถอดสร้อยคอมาคล้องให้แม่หญิงคนรัก
“บักทอง! มึงสิเฮ็ดหยัง”
“กรี๊ดดดดดด!” ทันทีที่สร้อยคล้องลงบนลำคอระหงปิ่นก็กรีดร้องดังลั่น แต่เพียงไม่นานผีหุ่นพยนต์ที่สิงอยู่ก็เริ่มหมดฤทธิ์ทำให้หญิงสาวเป็นลมหมดสติ ร่างเล็กนอนหงายบนพื้นหายใจหอบเหนื่อย ไร้เรี่ยวแรงเสียจนเอ่ยคำใดออกมามิได้…
“บักทอง! มึงเอาอีหยังคล้องคอลูกสาวกู”
“เบี้ยแก้” ทองกล่าวตอบก่อนจะช้อนร่างบางของปิ่นมากอดไว้แนบอก เป็นเวลาเดียวกันกับสมภารขันที่เดินทางมาถึงพอดี เหตุเพราะเรือนของเธอมิไกลจากวัดนัก จึงมีชาวบ้านนิมนต์ให้มาช่วยปราบผีให้
สมภารขันเดินอุ้มบาตรน้ำมนต์มาด้วยท่าทีสงบ ก่อนจะก้าวเข้ามานั่งบนชานเรือน มือข้างหนึ่งเปิดฝาบาตรน้ำมนต์ออกแล้วให้ชาวบ้านถือไว้…ทองจึงอุ้มร่างเล็กของเธอมาวางต่อหน้า
เพียงเห็นอาการของหญิงสาวก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น สมภารขันจึงตั้งสมาธิบริกรรมคาถาลงน้ำมนต์ เสียงสวดทุ้มลึกและสงบนิ่งนั้นทำให้บรรยากาศรอบกายเงียบลงอย่างน่าประหลาด…
“นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ อิติปิจะสุคะโต โลกะนาโถ อะระหัง ปัตโต นะนิพพะนังสิวัง ระวังมะอะอุ สุขัง ปิยังมะมะฯ”
สมภารขันเป่ามนต์ลงในบาตร ก่อนจะเทน้ำมนต์อาบลงศีรษะแม่ปิ่นทันที…
“กรี๊ดดดดดดดด!”
“ปิ่น! ปิ่นลูกพ่อ”
ปิ่นกรีดร้องโหยหวน เนื้อตัวเปียกปอนไปพร้อมๆ กับชายหนุ่มที่ประคองเธอไว้ ร่างเล็กโผซบเข้ากอดบนอกอุ่นของทองเพื่อบรรเทาความหนาว แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของบิดาจึงเริ่มได้สติ หญิงสาวจึงรีบตะเกียกตะกายคลานเข้าไปใกล้ “พ่อจ๋า…แม่จ๋า…”
“ปิ่น…ดีขึ้นบ่ลูก”
“ลูกดีขึ้นแล้วจ้ะ…ลูกดีขึ้นแล้ว…” เมื่อมารดากล่าวถามปิ่นจึงร้องไห้เป็นเด็กๆ แม้เนื้อตัวสั่นสะท้านเพราะความหนาว แต่ก็ดูมีเลือดเนื้อมากกว่าเมื่อครู่มากนัก หญิงสาวโผเข้ากอดพ่อแม่ของตนแล้วร้องไห้คร่ำครวญทั้งน้ำตา แต่เพราะเธอกลับมาพูดจารู้เรื่องเป็นปกติแล้วทุกคนจึงคลายกังวลลงไปได้
“หลวงลุง…นางปิ่นลูกข้อยเป็นหยังไปขอรับ” นายสินเอ่ยถามเสียงสั่น
สมภารขันยังมิได้กล่าวตอบด้วยคำใด แต่กำลังเงยหน้ามองผีหุ่นพยนต์ที่นั่งอยู่บนขื่อหลังคาเรือนด้วยท่าทีสงบนิ่ง มันจ้องมองมาหาสมภารขันด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะค่อยๆ เลือนหายไปในอากาศ
“หลวงลุงขอรับ…ลูกข้อยเป็นอีหยัง…”
“มีคนเล่นของใส่ลูกมึง” สมภารขันกล่าวตอบเมื่อนายสินเอ่ยถามอีกครั้ง ในใจสมภารเองก็กังวลไม่ต่างกันนัก เพราะเพียงมองหุ่นพยนต์นั้นก็รู้ได้ทันที…ว่าเรื่องร้ายในคืนนี้เป็นฝีมือใคร
“บักแสงคำ…มันกลับมาแล้วแม่นบ่”
สิ้นคำถามชาวบ้านรอบกายก็พลันนิ่งเงียบ ไม่มีใครกล้าปริปากออกมาแม้สักคน เหตุเพราะบางคนยังจำได้ถึงเหตุการณ์อันเลวร้ายเมื่อสามสิบปีก่อนหน้า และบางคน…ยังจำได้ถึงเรื่องความบาดหมางระหว่างสมภารขันและนายแสงคำ จนทำให้เรื่องราวบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้
แต่ความเงียบของชาวบ้านก็เป็นคำตอบชัดเจนนัก สมภารขันจึงเผลอถอนหายใจเบาๆ ด้วยความเครียด เรื่องราวผ่านมาสามสิบปีแล้ว เหตุใดมันผู้นั้นจึงหวนกลับมาสร้างความวุ่นวายอีกครั้ง ดวงวิญญาณที่เคยได้อยู่อย่างสงบ บัดนี้กลับต้องถูกคนชั่วตามรังควานไม่จบไม่สิ้น
เหตุใดหนอ…เหตุใดจึงไม่เลิกรากันเสียที…
ปิ่นอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเหตุการณ์กลับสู่ความสงบแล้ว สมภารขันจึงกลับกุฏิโดยมีทองและชาวบ้านตามมาส่ง รอจนชาวบ้านทุกคนกลับไปหมดแล้วจึงออกมาเดินจงกรมตามลำพัง
ร่างสูงห่มจีวรก้าวเดินอย่างเชื่องช้า ตั้งสติเจริญกรรมฐาน สองเท้าก้าวเลียบกำแพงวัดก่อนจะหยุดยืนนิ่งตรงหน้ากำแพง…สายตามองผืนดินที่ถูกขุดเป็นหลุมใหญ่
เถ้ากระดูกที่เคยฝังไว้อย่างสงบมาสามสิบปี…บัดนี้ไม่เหลือแม้เพียงเศษผ้าให้เห็น
สมภารขันยืนนิ่งไปนานโข ยิ่งมาเห็นกำแพงหลังวัดถูกขุดเอาเถ้ากระดูกออกไปแล้ว นัยน์ตาคมก็พลันเจือความเศร้า แม้รู้ดีว่าตนครองสมณเพศควรเก็บความรู้สึกไว้ในใจ แต่เพราะเรื่องราวในอดีตนั้นเจ็บปวดนักจึงมิอาจลบเลือนได้โดยง่าย
“เดือน…โยมเดือนได้ยินบ่…”
เมื่อฝากเสียงกระซิบไปกับสายลม แล้วมีเพียงความว่างเปล่ากลับมาเป็นคำตอบ สมภารขันจึงนั่งยองๆ หน้าหลุมเถ้ากระดูก ก่อนจะใช้มือโกยดินกลบหลุมอย่างเชื่องช้า…เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในความทรงจำมากมายเสียจนใจเต็มไปด้วยความทุกข์
“ขอให้โยมอย่ามีห่วงหยังอีกเลย อาตมาขอสัญญา…ว่าสิบ่ให้มันมาทำร้ายโยมได้อีก”
สมภารขันเอ่ยกระซิบเสียงเศร้า พยายามกลั้นน้ำตาตนเองไว้มิให้ใครเห็น เพราะความทรงจำอันเจ็บปวดเมื่อสามสิบปีก่อน…มันหวนคืนมาอีกครั้ง
ก่อนลาบวชแล้วละทางโลกมาได้สามสิบพรรษา สมภารขันเองก็เคยเป็นหนุ่มชาวบ้านธรรมดาที่หวังว่าตนจะมีชีวิตอันสุขสงบ อยู่ร่วมเรียงเคียงกายกับแม่หญิงอันเป็นที่รักไปจนแก่เฒ่า แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้เราสองต้องพลัดพราก…เมื่อมีคนชั่วช้าอย่างนายแสงคำเข้ามาในชีวิต
ภาพเรื่องราวเหล่านั้นยังวนเวียนอยู่ในหัว…ชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้…
30 ปีก่อนหน้า…
ตะวันคล้อยลงปลายไม้ ผืนนภายามเย็นจึงเปลี่ยนเป็นสีทองงดงาม เสียงนกน้อยร้องเจื้อยแจ้วบินกลับรังชวนให้บรรยากาศวันนี้ดูอ้างว้าง เย็นนั้นเดือนหาบกระบุงมาตักน้ำเช่นเคยโดยมีนายขันตามมาด้วย
สองหนุ่มสาวนั่งเคียงกายกันตามลำพัง…ต่างคนต่างกังวลใจถึงเรื่องราวเมื่อวานนี้
“เดือน…”
นายขันเอ่ยเรียกพลางคว้ามือเธอมากุมไว้อย่างทะนุถนอม ก่อนจะเผลอถอนหายใจเสียงเครียด เรื่องชายปริศนาที่นำวัวมามอบให้บิดาเธอถึงเรือนทำให้เขากังวลใจนัก เพราะแม้มิต้องเอ่ยอธิบายด้วยคำใด แต่บุรุษอย่างเขาก็เดาจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
เดือนเองก็พอเดาได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร หญิงสาวจึงเอื้อมมือกุมมือเขาไว้พลางหันสบตาแน่วแน่ “อ้ายขัน…เชื่อใจข้อยได้บ่…ข้อยกับเขาบ่มีหยังเกี่ยวข้องกันเลย”
“อ้ายเข้าใจ…” นายขันกล่าวตอบเสียงเบา ก่อนจะเงยหน้าเหม่อมองผืนนภาด้วยแววตาหม่นหมอง “อ้ายเข้าใจดีว่าเราสองคนยังรักมั่น แต่หากพ่อแม่เจ้าอยากได้เขยเป็นคนมั่งคนมี แล้วคนทุกข์ยากอย่างอ้าย…สิเอาหยังไปสู้เขา”
“แต่ข้อยบ่ได้รักเขา…” เดือนเอ่ยตอบพร้อมกับกุมมือเขาไว้แน่นขึ้น “ต่อให้เขาเป็นนายฮ้อยค้าวัวควายฝูงใหญ่หรือมีเงินทองล้นฟ้า แต่หากข้อยบ่ฮัก…ก็บ่มีไผมาบังคับขืนใจข้อยได้ อีกอย่างเขาก็แค่ต้อนวัวควายผ่านทางมา คนเพิ่งรู้จักกันจึงบ่มีความผูกพันอีหยังสักอย่าง หากเขาไปเห็นแม่หญิงคนใหม่…ก็คงลืมข้อยไปเองนั่นละ”
นายขันทำได้เพียงนั่งฟังหญิงสาวเอ่ยอธิบายเงียบๆ แต่เมื่อเธอบอกว่าอีกฝ่ายเป็นนายฮ้อยค้าวัวควาย ใบหน้าคมก็พลันขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย “เป็นนายฮ้อย?”
“แม่น” เดือนพยักหน้ารับ
เมื่อเป็นเช่นนั้นนายขันก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเก่า เหตุเพราะได้ยินมาว่านายแสงคำเป็นชายฉกรรจ์รุ่นราวคราวเดียวกับเขา อายุเพียงยี่สิบกว่าปีจะเป็นนายฮ้อยค้าวัวควายได้อย่างไร
เขาเพิ่งเก็บหอมรอบริบซื้อวัวเทียมเกวียนมาได้คู่หนึ่ง จึงมีโอกาสได้เห็นขบวนต้อนวัวควายของนายฮ้อยแต่ละคนที่นำไปขายตามหัวเมืองใหญ่ ซึ่งนายฮ้อยแต่ละคนล้วนเป็นชายมีอายุพอสมควรกันทั้งนั้น เหตุเพราะการเป็นหัวหน้าคุมขบวนเดินทางมิใช่เรื่องง่าย จะต้องใช้ทั้งความเก่งฉกาจทั้งในด้านการต่อสู้และอาคมพุทธคุณป้องกันภัย อีกทั้งยังต้องมีบารมีมากพอเพื่อให้ชาวบ้านไว้ใจจนยอมฝากวัวควายไปขายด้วย
“แปลก…”
ชายหนุ่มบ่นพึมพำในลำคอ ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยอธิบายกับแม่หญิงคนรัก “นายฮ้อยค้าวัวควายแถวนี้มีบ่ถึงสิบคนดอก แต่บ่มีไผอายุน้อยสักคน อ้ายเองก็เพิ่งซื้อวัวเทียมเกวียนมาจากนายฮ้อยทรัพย์ นายฮ้อยคนเดียวที่ต้อนวัวควายผ่านทางนี้”
เดือนได้ฟังถ้อยคำก็ยิ่งงุนงงกว่าเก่า “อ้ายหมายความว่า…”
“บักแสงคำ…มันอาจสิบ่แม่นนายฮ้อย” นายขันเอ่ยอธิบายเสียงเรียบนิ่ง “แต่หากมันมีฝูงวัวควาย มีคนติดตามเป็นขบวนอย่างที่เจ้าเห็น ก็คงสิเป็นไปได้อย่างเดียว…คือมันเป็นโจรป่า”
ถ้อยคำของนายขันทำให้เดือนนิ่งชะงักด้วยความตกใจ หากนายแสงคำเป็นโจรป่าจริง…หลังจากนี้คนในเรือนของเธอต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ เพราะแม้นายแสงคำจะเดินทางออกไปแล้ว แต่หากวันใดคิดหวนกลับมาคงมิอาจปฏิเสธเขาได้อีกแล้ว เพราะบิดาเธอทั้งชื่นชมและถูกชะตาเขานัก
เมื่อหญิงสาวนั่งน้ำตาคลอด้วยความหวาดกลัว นายขันจึงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอื้อมมือเช็ดน้ำตาให้อย่างทะนุถนอม “อ้ายสิให้คนช่วยสืบให้ ว่ามันเป็นโจรอีหลีบ่”
“อ้ายขัน…แล้วหากเขาเป็นโจรขึ้นมา…”
“บ่ต้องห่วงไปดอก…” นายขันรีบปลอบโยนเมื่อเห็นเธอเริ่มร้องไห้ วงแขนแกร่งคว้าเธอมากอดไว้อย่างทะนุถนอม “มันมาเฮ็ดหยังเจ้าบ่ได้ดอก”
“อ้ายสัญญาว่าสิดูแลเจ้า…ปกปักรักษาเจ้าไว้เท่าชีวีต”